ผีมีจริง...ตอนสร้างเมรุเผาศพเสร็จเพราะมีเว็บพลังจิตใช้งบเกือบล้าน(ป่าช้าโบราณ)

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย พระจิรวัฒน์ ญาณวโร, 7 กรกฎาคม 2011.

  1. nahpee

    nahpee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    554
    ค่าพลัง:
    +690
    ...อนุโมทนาสาธุครับ ท่านพระอาจารย์
    ...เรื่องบุญ บาป กฎแห่งกรรมและความตายเป็นสิ่งที่มีจริงและไม่มีใครหลีกเลี่ยงไปได้
    ...ฉนั้นการทำดีหรือการทำบุญจึงเป็นอริยทรัพย์ที่ควรพึงปฏิบัติกันไว้
    ...ทาน ศีล ภาวนา ก็เพื่อ ลด ละ เลิก กิเลส ตัณหา อุปาทาน อวิชชา อกุศลกรรม ให้เบาบางลงไปเรื่อยๆ
    ...แต่ในฐานะมนุษย์ที่ยังมีสติและปัญญาในทางโลกและทางธรรม
    ...ความไม่ประมาทควรพิจารณาด้วยสติและปัญญาในขณะที่ลมหายใจยังมีอยู่
    ...วันนี้ผมอาจจะเริ่มไม่กลัวตายแล้วเพราะยังไงๆ ขอเกิดเป็นชาติสุดท้ายดีกว่าแน่นอน
    ...แต่ขณะที่ความตายยังมาไม่ถึง ความไม่ประมาทในทางโลกก็อาจยังจำเป็นในการเตรียมความพร้อมไว้บ้าง
    ...แต่ไม่ใช่ความตระหนก ตกใจ เพราะกลัวความตาย เป็นการระมัดระวังกับภัยพิบัติที่จะมาถึงเท่านั้นเองครับ
    ...นอกจากที่สุดของที่สุดเราถึงเวลาแห่งความตายก็ถือว่าหมดอายุขัยที่จะอยู่ดูโลกต่อไปขอมุ่งสู่นิพพานอย่างเดียวเท่านั้นครับ
     
  2. ณิช

    ณิช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,391
    อนุโมทนา สาธุ คำสอนของหลวงพี่ค่ะ โยมพิจารณาเรื่องความตายอยู่บ้าง แต่ยังพิจารณาไม่บ่อย ที่โยมห่วงก็ห่วงตัวเล็กเจ้าค่ะ โยมยังปฏิบัติไปไม่ถึงไหนเลย เกรงว่าเกิดมาชาตินี้ไม่คุ้มกับที่ได้เกิด เวลาสั้นเหลือเกินค่ะ
     
  3. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    โบราณสอนไว้ว่า..
    ของดีให้หมั่นเก็บ..ของเสียให้หมั่นทิ้ง..

    ความสุข-ความทุกข์..
    ของคนเราก็เป็นเช่นเดียวกัน..

    หากเป็นความสุข..
    จงหมั่นเก็บรักษาไว้..นำมาใส่ในใจของเรา..
    แม้จะมากบ้าง..น้อยบ้าง..
    ถ้ามีโอกาสก็ให้รีบเก็บไว้..

    แต่ถ้าเป็นความทุกข์..
    จงหมั่นเก็บไปทิ้งออกจากใจ..
    แม้เล็กน้อย..ถ้ามีขึ้นในใจ..
    ก็อย่าเก็บไว้..ให้รีบนำไปทิ้งเสียทันที..ทันใด..

    อยากมีความสุข..
    ก็จงสร้างความรู้สึก..ให้เป็นสุข..
    แล้วเราก็จะมีความสุข..
    แต่สำหรับความทุกข์..เราไม่ต้องสร้าง..
    ถ้ามันเกิดมีขึ้นมา..ให้รีบทำลายทันที..

    การทำลายก็คือ..โยนมันทิ้งเสีย..
    อย่าเก็บ..อย่าสะสมมัน..
    อย่ามัวแต่คิดว่า...มันทำยาก..
    ถ้าไม่ลงมือทำ..จะรู้ได้อย่างไรว่า..มันยาก..
    ที่มันยาก..ก็เพราะชอบพูดว่า..มันยาก..มันทำไม่ได้..
    ชีวิตของเราก็เลยเต็มไปด้วยความทุกข์ยากลำบากต่าง ๆ ..
    ก็เพราะคิดว่า..ทำไม่ได้..โยนมันทิ้งไม่ได้..นั่นแหละ..

    ลองคิดและทำใจเป็นคนใหม่..
    อย่าบอกว่า..ยาก..แล้วไม่ยอมทำ..
    ทำไปก่อน..ลงมือทำก่อน..แล้วค่อยพูด..
    ถ้าลองได้ลงมือทำ..รับรองว่า..มันไม่ยากอย่างที่คิด..

    คนที่ชอบพูดว่า..ยาก..
    ระวังจะทุกข์มาก..เพราะชอบทำตัวง่าย..
    มันจึงต้องทนทุกข์อยู่อย่างนี้..

    ลองฝึกฝืนใจดูบ้าง..
    มันไม่ได้ยาก..อย่างที่คิด..
    ขอเพียงลองลงมือทำก่อน..แล้วเรื่องยาก ๆ มันจะง่าย..
    ไม่เชื่อลองดู..

     
  4. nahpee

    nahpee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    554
    ค่าพลัง:
    +690
    ...อนุโมทนาสาธุครับ ท่านพระอาจารย์
    ...ทุกข์ สุข เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
    ...สักแต่ว่าเห็น สักแต่ว่ารู้สึก สักแต่ว่าได้สัมผัส
    ...ซึ่งจริงๆอาจเป็นเพียงสิ่งสมมุติที่สอนให้เราได้เรียนรู้ถึงธรรมชาติของชีวิตที่ต้องเกิดมา
    ...ไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอนจริงๆ เกิด ดับ เกิด ดับ เกิด ดับ ตลอดเวลาจนกว่าจะหมดสิ้นลมหายใจ
    ...บางครั้งความสุขที่เกิดขึ้น อาจจะมาจากผลของการเปรียบเทียบของความทุกข์ที่มีอยู่เฉพาะตัวเราเองก็เป็นได้
    ...เพราะบางครั้งความสุขของตัวเรา คนอื่นอาจจะมองว่านี่คือความทุกข์ของตัวเขา
    ...หรือบางครั้งความทุกข์ของตัวเรา คนอื่นอาจมองว่าไม่เห็นจะมีทุกข์อะไรเลย
    ...ฉนั้นจิตภายในตนเองจึงสำคัญที่สุด สักแต่ว่าทุกข์ สักแต่ว่าสุข มองให้เห็นเป็นสัจธรรม
    ...ก็จะทำให้ชีวิตเราเดินไปบนความปกติของชีวิตที่เกิดมาและต้องเป็นไปของเขาอยู่เช่นนี้เอง
    ...เมื่อเข้าใจเช่นนี้แล้วจะสุข หรือจะทุกข์ อาจไม่มีความหมายอะไรเลยก็เป็นได้
    ...เกิดเมื่อไร ก็ย่อมเจอเมื่อนั้นสำหรับ สุข ทุกข์ แต่ถ้าไม่อยากเกิดอีกแล้วก็คงจะไม่เจอแน่ๆ
    ...หากพิจารณาว่าการเวียนว่าย ตาย เกิด เป็นสิ่งไม่เที่ยงแท้แน่นอน เกิดเมื่อไรทุกข์เมื่อนั้น
    ...บางทีความเบื่อหน่ายแห่งวัฏสงสารตรงนี้อาจมีแสงสว่างที่ปลายเส้นทางแห่งชีวิตที่เป็นคำตอบชัดเจนขึ้น
    ...แต่อย่างไรก็ตามเกิดมาแล้วก็ต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุดเท่าที่สามารถจะพึงกระทำได้
    ...อย่าหนีชีวิตเพราะความเบื่อหน่าย หรือเพราะความทุกข์แต่จงใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาทด้วยสติและปัญญาแบบชาวพุทธ
    ...ฝึกฝนจิตภายในให้สงบนิ่ง ลด ละ เลิก กิเลส ตัณหา อุปาทาน อวิชชา อกุศลกรรม ที่สะสมมาทั้งชีวิตออกไปทีละเล็ก ทีละน้อยให้เบาบางที่สุด
    ...เมื่อเกิดอาการความเบื่อหน่ายของ วัฏสงสาร อย่างรู้แจ้งเห็นจริง
    ...คำตอบของความสุขที่แท้จริงเป็นอมตะนิรันดร ทางเดียวเท่านั้น "นิพพาน" ครับ
     
  5. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    <CENTER>ผู้ใหญ่บ้านหญิง มะลิวัลย์ มาโยธา หมู่10 บ้านสันติสุข กำลังรับมอบเสื้อกันหนาว

    </CENTER>
    <HR style="BACKGROUND-COLOR: #ffffff; COLOR: #ffffff" SIZE=1>[​IMG]<!-- google_ad_section_end -->
    __________________
     
  6. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    [​IMG]
    เป็นภาพที่น่าประทับใจมากคุณโยม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กุมภาพันธ์ 2012
  7. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    [​IMG]
    เณรก็คือเด็ก..กำลังทักเพื่อน อาตมาเห็นด้วยอย่างยิ่งที่จะนำกุลบุตรลูกหลานให้ได้เข้ามาบวช ช่วงปิดเทอมเเม้ระยะสั้นๆ 15วันก็ยังดี
    รับรองว่าอย่างน้อยที่สุด ลูกหลานคุณโยม จะได้เข้าวัด ไหว้พระสวดมนต์ เป้น นั้งสมาธิเป็น ดครงการดีๆ อย่างนี้ที่อ่อนนุชมีจัดที่วัดปากบ่อทุกปี คุณโยมคุณโยม ท่านใดจะส่งลูกหลานมาบวชสามเณร ภาคฤดูร้อน กรุณาติดต่อ วัดปากบ่อ อ่อนนุช35 ได้โดยตรง อนุโมทนา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กุมภาพันธ์ 2012
  8. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    [​IMG]
    คิดตาม..ไตร่ตรอง..สติมาปัญญาเกิด อนุโมทนาสาธุ
     
  9. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,287
    เป็นคำสอนที่ฉลาดและเป็นจริงมากๆ สาธุ
     
  10. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    [​IMG]
    เราหยุดเเล้ว..เเต่ท่านยังไม่หยุด พระตถาคตกล่าวไว้ดังนี้เเล
     
  11. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    กรุณาส่งไปให้เด็ก โรงเรียนบ้านหนองผักเเว่น หรือโรงเรียนบ้านโพนสิม ได้เลยนะคุณโยม จะเป็นบุญกุศลอย่างยิ่ง ที่อยุ่ตามนี้
    โรงเรียนบ้านโพนสิม(เสมาพิทยาคาร) หมู่5 ตำบลยางขี้นก อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี
    โทร 045370488 คุณครูปัญญา สีหาคุณ
    "Phonsimsch@thaimail.com
    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร โทร 0860152130
     
  12. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    [​IMG]<!-- google_ad_section_end -->
     
  13. chocolate kiss

    chocolate kiss Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2011
    โพสต์:
    60
    ค่าพลัง:
    +95
    กราบนมัสการพระอาจารย์และเพื่อนกัลยาณมิตรทุกท่านค่ะ

    ดิฉันอ่านเจอธรรมะดีๆ เลยเอามาฝากค่ะ

    ♥ คำสอนสมเด็จองค์ปฐม

    บารมี ๑๐ ห้ามทิ้งเป็นอันขาด ตรวจตราเข้าไว้

    -ทานบารมีเต็ม ก็ตัดความโลภได้
    -ศีลบารมีเต็ม ก็ตัดความโกรธได้
    -เนกขัมมะบารมีเต็ม ก็ตัดกามารมณ์ได้
    -ปัญญาบารมีเต็ม ก็ตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหานได้
    -วิริยะบารมีเต็ม ก็ตัดความเกียจคร้านย่อหย่อนในธ<wbr>รรมปฏิบัติก็ไม่มี
    -ขันติบารมีเต็ม ก็อดทนต่อความชั่วที่เข้ามากระท<wbr>บอารมณ์ได้
    -สัจจะบารมีเต็ม ก็ตัดความโลเลไม่เอาจริงในผลการ<wbr>ปฏิบัติได้
    -อธิษฐานบารมีเต็ม ก็มีกำลังคือมีสติกำหนดรู้ในการ<wbr>กระทำ ไม่ว่าทางด้านกาย-วาจา-ใจ ว่าเราจักทำเพื่อพระนิพพานอยู่เ<wbr>สมอ ไม่คลอนแคลน
    -เมตตาบารมีเต็ม ก็ตัดอารมณ์ที่เข้ามาเป็นไฟเผาผ<wbr>ลาญ จิต รัก สงสารจิตของตนเองเต็มที่แล้ว ทางโลกไม่มีใครที่รักบ้านตน แล้วจุดไฟเผาบ้านตนเองได้ ฉันใดก็ฉันนั้น เมื่อจิตเรา-เมตตาจิตตนเองได้แล<wbr>้ว ก็จักไม่จุดไฟโมหะ-โทสะ-ราคะให้<wbr>เผาใจตนเองอีก
    -อุเบกขาบารมีเต็ม ก็จักตัดความทุกข์ อันเกิดแก่กายและจิตของตนเองและ<wbr>ผู้อื่นลงได้ สำหรับทางร่างกายก็จักเป็นสังขา<wbr>รุเบกขาญาณ วางเฉยในทุกข์ของร่างกายลงได้ สำหรับทางจิตก็จักพ้นทุกข์ คือ ปลอดจากบ่วงกิเลส ตัณหาลงได้อย่างสิ้นเชิง


    ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
    ♥ วิธีกราบพระได้อานิสงส์มาก ๆ

    ผู้ถาม :- กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสู<wbr>ง คือว่าลูกจะขอทราบเกี่ยวกับเรื่องอาน<wbr>ิสงส์สักเรื่องหนึ่งว่า วิธีที่จะกราบพระให้ถูกต้องตามแ<wbr>บบฉบับ เพื่อจะมีผลานิสงส์มาก ๆ นั้น จะต้องกราบแบบไหน ขอแบบฉบับวัดท่าซุงเป็นตัวอย่าง<wbr>ด้วยเจ้าค่ะ?

    หลวงพ่อ :- ให้กราบด้วยความเคารพอย่างเดียว<wbr>พอ ให้จิตเคารพนะ
    ก่อนที่จะกราบพระพุทธเจ้า นึกถึงพระพุทธเจ้า นึกถึงพระพุทธรูปก่อน

    กราบครั้งที่ ๒ กราบพระธรรม นึกถึงดอกมะลิแก้ว ให้ไหลจากพระโอษฐ์พระพุทธเจ้าลง<wbr>หัวเรา

    กราบครั้งที่ ๓ นึกถึงพระสงฆ์องค์ใดองค์หนึ่งที<wbr>่เราเคารพ...
    พอ เอาใจสำคัญกราบด้วยเบญจางคประดิ<wbr>ษฐ์ ถ้าใจไม่เคารพ ไม่มีความหมาย


    ※หลวงพ่อตอบปัญหาธรรมฉบับพิเศษ เล่ม ๑๐
    พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมย<wbr>าน(หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)
     
  14. chocolate kiss

    chocolate kiss Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2011
    โพสต์:
    60
    ค่าพลัง:
    +95
    ธรรมปกิณกะ หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง

    ทำบุญอย่างไรได้อานิสงส์มาก

    การทำบุญจะให้ได้อานสงส์มากไม่ใช่วัตถุมากเสมอไป มันอยู่ที่กำลังใจดีคือ
    ๑. ผู้ให้บริสุทธิ์ ๒. ผู้รับบริสุทธิ์ ๓. วัตถุทานบริสุทธิ์
    และอีกประการหนึ่ง..
    ก่อนจะให้ตั้งใจให้ ขณะให้ก็เต็มใจให้ ให้แล้วมีความปลื้มใจ
    ถ้าอย่างนี้พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ลูขังวา ปะณีตังวา"
    "ของเลวก็ตาม ของดีก็ตาม ของมากก็ตาม ของน้อยก็ตามย่อมมีอานิสงส์เลิศ<wbr>"
     
  15. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,287
    อนุโมทนาบุญครับ จะลองนำไปใช้ดู
     
  16. chocolate kiss

    chocolate kiss Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2011
    โพสต์:
    60
    ค่าพลัง:
    +95
    [​IMG]
    <center>กฎของธรรมดา
    หลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง</center> ๑.อารมณ์ของ ธรรมดาจริง ๆ นี่ฉันจะบอกให้ คนที่ยอมรับนับถือการเกิดขึ้น การเสื่อมไปของร่างกาย การดับไปของร่างกายจริง ๆ โดยมีอารมณ์ไม่หวั่นไหวมาก มีการกระทบจิตบ้าง แต่ถือกฎของธรรมดา อารมณ์นี้มันจะรักพระนิพพาน เพราะอะไร เพราะมันเกลียดตัวเกิด เกิดนี่มันธรรมดา จริง ๆ แล้วมันเบื่อ
    เกิดขึ้นมาแล้ว ไอ้ตัวทุกข์มันตามมา ตอนนี้จะไม่พูดถึง ตัวทุกข์อริยสัจ พระพุทธเจ้าสอนตอนท้าย
    หาตัว ธรรมดาเข้ามา แล้วมันก็แก่ บางทียังไม่ทันจะแก่เลย ความปรารถนาไม่สมหวังมันก็เกิด มันอิ่มแล้วมันก็หิว อยู่สบาย ๆ เดี๋ยวก็ร้อนหนัก ดีไม่ดีมันก็หนาวอีกแล้ว ดีไม่ดีอาการป่วยไข้ไม่สบายมันก็เกิด ตั้งแต่ตอนนี้มาเรายอมรับนับถือว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา แล้วเราไม่หนักใจในเมื่อมันหิวเราก็กิน ไม่มีก็ทนหิวกันไป เพราะอยากเกิดมาทำไม
    ทีนี้เราเห็นว่าการเกิดมันไม่ดีอย่างนี้ หาความเที่ยงไม่ได้ เต็มไปด้วยความทุกข์ด้วยประการทั้งปวง ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราไม่ต้องการให้มันเป็นอย่างนั้น แต่กฎของธรรมดา มันบังคับว่าต้องเป็น ก็เลยสบายใจว่ามันต้องเป็นอย่างนี้
    ถ้าอาการเป็นอย่างนี้ปรากฏเราไม่หนักใจ เมื่อความแก่เกิดขึ้น ความป่วยไข้ไม่สบายเกิดขึ้น ความพลัดพรากจากของรักของชอบใจเกิดขึ้น ความตายมีมาถึงไม่หนักใจ ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา
    พอถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาก็เลยนึกว่า เอ ไอ้เกิดนี่มันไม่ดีนะ มันเป็นอย่างนี้ ทางที่ไม่เกิดมีอยู่ก็คือพระนิพพาน ถ้าเราปลดขันธ์ ๕ เสียได้เมื่อไร ถือว่า คำว่า เตสัง วูปสโม สุโข การเข้าไปสงบกายนั้น ขึ้นชื่อว่าเป็นสุข.
    ๒.ถ้าหากเราไม่สนใจทุกอย่างในโลก ไม่สนใจกายของเราด้วย ไม่สนใจกายของบุคคลอื่นด้วย ไม่สนใจวัตถุธาตุใด ๆ ด้วย คำว่าไม่สนใจในที่นี้ จงอย่าไปคิดว่าเราไม่สนใจในร่างกาย เราไม่กินข้าว หิวก็ไม่กิน ร้อนก็ไม่อาบน้ำ หนาวก็ไม่ห่มผ้า อันนี้ไม่ถูก
    คำว่าไม่สนใจ คือ ไม่ติดใจในมัน ให้มีความเข้าใจตามความเป็นจริง ว่าร่างกายมีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น แล้วก็มีความแปรปรวนเสื่อมไปในท่ามกลาง แล้วก็แตกสลายไปในที่สุด ให้ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา แล้วก็มีอารมณ์คิดต่อไปว่าร่างกายนี้พัง เราไม่ต้องการร่างกายอย่างนี้อีก ร่างกายแห่งความเป็นคนก็ดี เทวดาก็ดี เป็นพรหมก็ดี ไม่มีความสุขจริง เราไม่ต้องการ เราต้องการจริง ๆ คือ พระนิพพาน
    ถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัททำอารมณ์ใจของท่านก่อนหลับก็ดี หรือว่าตื่นใหม่ ๆ ก็ตาม ไม่ต้องลุกขึ้นมานั่ง นอนแบบนั้น ตื่นใหม่ ๆ ใจกำลังสบาย สร้างความรู้สึกว่าร่างกายมันเสื่อม ร่างกายเป็นของน่าเบื่อ ร่างกายต้องตายในที่สุด เราไม่ต้องการร่างกายแบบนี้อีก เราต้องการจุดเดียวคือ นิพพาน จิตหวังจริง ๆ
    ถ้าบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทชายหญิงทำได้อย่างนี้ก่อนหลับหรือตื่นใหม่ ๆ ไม่ต้องนั่งนอนคิดใช้ปัญญา เวลานี้เกิดอารมณ์เบื่อ ชั่วขณะจิตเดียว ไม่หวังร่างกายเพียงแค่ขณะจิตเดียว จิตก็กลับฟื้นคืนสภาพคงที่ตามเดิม เพียงเท่านี้บรรดาท่านพุทธบริษัท ขอยืนยันว่าชาตินี้ก่อนท่านจะตาย ท่านจะเป็นพระอรหันต์ไปนิพพานแน่.
    ๓.ร่างกายเราก็ดี ร่างกายเขาก็ดี วัตถุธาตุทั้งหมด ก็ดี ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น มีความแปรปรวนไปในท่านกลาง มีการสลายตัวไปในที่สุด และร่างกายของแต่ละร่างกาย ก็เต็มไปด้วยความสกปรกโสโครก มันไม่มีอะไรเป็นจริงเป็นของเราเสียจริง ๆ.
    ๔.ธรรมะของพระพุทธเจ้า ไม่มีอะไรเกินธรรมดา ท่านสอนให้ยอมรับนับถือกฎของธรรมดา วางทุกข์เสีย ให้รู้ว่าสิ่งนี้เป็นธรรมดา อะไรก็ตามเถอะ ถ้ามันเกิดขึ้นกับเรา มันเป็นธรรมดาของโลกทั้งนั้น ในเมื่อร่างกายเรามีอยู่ในโลกเท่านี้เอง.
    ๕.ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกมันเป็นอนิจจัง หาความเที่ยงไม่ได้ ถ้ามันไม่เที่ยง เราจะเข้าไปยุ่งกับความไม่เที่ยงให้มันเที่ยงมันก็เป็นทุกข์ อารมณ์ของคนที่เป็นทุกข์มันก็เพราะไม่ยอมรับนับถือกฎของความเป็นจริง.
    ๖.จำไว้ว่าโลกนี้ไม่มีอะไรเที่ยง ถ้าเราเกาะความไม่เที่ยงมันก็ทุกข์ แต่ทว่าจะสุขหรือทุกข์ก็ตาม อนัตตามันก็เข้ามาถึง อย่ายึดอย่าถือว่ามันเป็นเรา เป็นของเรา คิดไว้เสมอว่า ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายที่เราจะอยู่กับมัน.
    ๗.ร่างกายของเราก็ดี ร่างกายของบุคคลอื่นก็ดี นอกจากมันจะสกปรกแล้ว มันก็ไม่มีสภาวะเป็นเรา เป็นของเรา ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะร่างกายเป็นกฎธรรมดาอย่างหนึ่ง ที่มันมีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น มีความแปรปรวนไปในท่ามกลาง มีการแตกสลายในที่สุด ที่เรียกกันว่า เมื่อมีเกิดขึ้นแล้ว ก็ต้องมีความแก่เป็นธรรมดา ไม่สามารถจะล่วงพ้นความแก่ไปได้ ต้องมีความป่วยไข้เป็นธรรมดา ไม่สามารถจะล่วงพ้นความป่วยไข้ไปได้ ต้องมีความตายเป็นธรรมดา ไม่สามารถจะล่วงพ้นความตายไปได้ ทรัพย์สินทั้งหลายที่เรามีอยู่ สิ่งที่รักอยู่ก็ต้องพลัดพรากจากกันไป.
    ๘.ให้พยายามพิจารณาใคร่ครวญเสมอ ๆ ว่า สังขารนี้มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้นแล้ว ต่อไปก็แตกสลายทำลายไปหมด ไม่มีสังขารประเภทใดเหลืออยู่ พยายามหาเหตุผลในคำสอนนี้ให้เห็นชัด ดูตัวอย่างคนที่เกิดแล้วตาย ของที่มีขึ้นแล้วแตกทำลาย ดูแล้วคิดทบทวนมาหาตน และคนที่รักและไม่รัก ของที่มีชีวิตและไม่มี คิดว่านี่ไม่ช้าก็ต้องตาย ต้องทำลายอย่างนั้น.
    พิจารณาทบทวนอย่างนี้จนอารมณ์เห็นเป็นปกติ ได้อะไรมา เห็นอะไรก็ตาม แม้แต่เห็นเด็กเกิดใหม่ อารมณ์ใจก็คิดว่า นี่ไม่ช้ามันก็พัง ไม่ช้ามันก็ทำลาย แม้แต่ร่างกายเรา ไม่ช้ามันก็สิ้นลมปราณ อะไรที่ไหน ที่เราคิดว่ามันจะยั่งยืนถาวรตลอดกาลไม่มี รักษาอารมณ์ให้เป็นอย่างนี้.
    ๙.ถ้ารู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรมดาเสียแล้ว ความอาลัยในชีวิตมันก็ไม่มี เราศึกษาพระธรรมวินัยกัน ปฏิบัติสมถวิปัสสนาธุระกันก็เพื่อความดับไม่มีเชื้อ คือการตัดอาลัยในชีวิตเท่านั้น อารมณ์ที่จะตัดอาลัยในชีวิตได้ ก็มีอารมณ์รักธรรมดา คือ ยอมรับนับถือกฎของธรรมดา อย่าไปสนใจกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้มากนัก ไอ้ เรื่องที่จะทำให้ถูกใจเราทุกอย่างมันไม่มีถ้าใจเราเลว แต่ว่าถ้าใจเราดีเสียอย่างเดียว ทุกอย่างในโลกมันไม่มีอะไรผิดใจเรา เพราะว่าเราทราบว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา.
    ๑๐.พิจารณาจนกว่าจะเกิดอารมณ์เป็น เอกัคคตารมณ์ คือ จิตมีอารมณ์ยอมรับนับถือกฎธรรมดา เห็นเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเนื่องด้วยตน หรือคนอื่นเป็นของธรรมดาไปหมด สิ่งกระทบเคยทุกข์เดือดร้อน ก็ไม่มีความทุกข์ความเร่าร้อน ไม่ว่าอารมณ์ใด ๆ ทั้งที่เป็นเหตุของความรัก ความโลภ ความโกรธ ความผูกพัน ยอมรับนับถือกฎธรรมดา ว่ามันต้องเป็นอย่างนี้ อาการอย่างนี้เป็นเรื่องธรรมดาแท้ ท่านว่า ครอบงำความเกิด ความดับ ความตายได้ เป็นต้น
    คำว่า ครอบงำ หมายถึง ความไม่สะทกสะท้านหวั่นไหว ใครจะตายหรือเราจะตาย ไม่หนักใจ เพราะรู้อยู่แล้วว่าจะต้องตาย ใครทำให้โกรธ ในระยะแรกอาจหวั่นไหวนิดหนึ่ง นอกจากระงับความหวั่นไหวที่เคยเกิด เคยหวั่นไหวได้แล้ว จิตยังมีความรักในพระนิพพานยิ่งกว่าสิ่งใด สามารถจะสละวัตถุภายนอกทุกอย่างเพื่อพระนิพพานได้ทุกขณะ มีความนึกคิดถึงพระนิพพานเป็นปกติ.
    ๑๑.การที่เราจะได้ดีหรือไม่ได้ดี มันอยู่ที่ความจริงใจของเราเท่านั้น การเจริญพระกรรมฐานที่บอกว่าทำแล้วไม่ได้ดี ก็เพราะคนเราหาความจริงไม่ได้นั่นเอง ไม่ใช่มีอะไรยากลำบากอะไรที่ไหน เป็นของธรรมดา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ทรงหาอะไรมาสอนเรา นอกจากนำกฎธรรมดาที่เรามีอยู่ ให้เรามาใช้ปฏิบัติให้ถูกทางเท่านั้น
    โดยเฉพาะ อย่างยิ่งสมาธิจิต เราก็ใช้กันอยู่เป็นปกติ แต่ว่าองค์สมเด็จพระชินสีห์เห็นว่า สมาธิแบบนั้นเป็นโลกียสมาธิ ไม่เป็นทางหมดทุกข์ องค์ สมเด็จพระบรมครูต้องการให้เรามีความสุข จึงให้ใช้สมาธิด้านกุศลจิต คิดหากุศลเข้าใส่ใจไว้เป็นประจำ ให้จิตมันจำไว้เฉพาะด้านกุศลอย่างเดียวจนเป็นเอกัคคตารมณ์ เมื่อจิตทรงสมาธิได้ดีแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็สอนวิปัสสนาญาณ มีอริยสัจ เป็นต้น ให้พิจารณาเห็นทุกข์ เหตุแห่งความทุกข์ ที่มันจะพึงมีขึ้นมาได้ ก็เพราะอาศัยตัณหา มีความผูกพันในร่างกาย ซึ่งมันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราก็วางร่างกายเสีย เพื่อพระนิพพาน.
     
  17. nahpee

    nahpee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    554
    ค่าพลัง:
    +690
     
  18. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    เราเกิดมา เป็นมนุษย์ สุดดีเลิศ
    ได้พบปะ สิ่งประเสริฐ กว่าภพไหน
    นั่นก็คือ องค์ประกอบ พระรัตนตรัย
    ที่สอนให้ มนุษย์เรา เฝ้าทำดี

    จงทำดี ไว้เถิด ประเสริฐนัก
    ความดีจัก ส่งผลให้ ไม่หมองศรี
    ประสบแต่ ความสุข ความมั่งมี
    ตลอดทั่ว ทั้งชีวี ที่เป็นไป

    หยุดเถิดนะ หยุดเถิด ใจเจ้าเอ๋ย
    อย่าละเลย สร้างกุศล ผลบุญใหม่
    เพื่อจะเป็น ต้นทุน หนุนนำไป
    สู่สวรรค์ ชั้นเทพไท เมืองธานี
    หยุดเถิดนะ หยุดเถิด ใจเจ้าเอ๋ย
    อย่าคิดเลย การเบียดเบียน ในชาตินี้
    ขอจงร่วม สมัครสมาน สามัคคี
    มิฉะนั้น กายเรานี้ จะรับกรรม

    อย่าได้ทำ บาปมาก ในชาตินี้
    มิฉะนั้น ชั่วชีวี จะชอกช้ำ
    เพราะบาปกรรม ที่เราทำ จะหนุนนำ
    ให้ระกำ ไปจนกว่า จะสิ้นลม

    ทำเถิดนะ ทำเถิด กายเจ้าเอ๋ย
    ทำไปเลย บุญกุศล ให้เหมาะสม
    แล้วผลบุญ จะช่วย หนุนนำส่ง
    สมประสงค์ ทุกสิ่ง ดั่งตั้งใจ

    กายและใจ จงช่วย กันทำเถิด
    แล้วจะเกิด ผลบุญ ที่ยิ่งใหญ่
    บุญกุศล จะชักนำ ให้ได้ไป
    สู่สวรรค์ ชั้นไตรภพ จบแดนดิน ฯ
     
  19. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    เจริญพร ญาติโยมผู้ใจบุญทั้งหลาย อาตมา ขอเชิญร่วมฟังธรรมะ
    กัลยาณมิตรสามารถคลิกฟังเ<WBR>สียงอ่านคำตรัสพระพุทธเจ้าท<WBR>ี่ทรงแสดงธรรมแก่ภิกษุผู้ป่<WBR>วยอาพาธเพื่ออนุปาทาปรินิพพ<WBR>านได้จากลิงค์
    (เลือก คิลานวรรค รอฟังได้ในพระสูตรที่ ๒ นะครับ) สาธุในธรรม
    http://www.bodhiyalai.org/<WBR>Bodhiyalai/<WBR>index.php?option=com_conten<WBR>t&view=article&id=62%3A200<WBR>9-09-14-23-02-53&catid=95%<WBR>3A2009-03-26-07-22-02&Item<WBR>id=139&limitstart=9
     
  20. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    [​IMG]
     

แชร์หน้านี้

Loading...