รูปหล่อรูปปั้นไม่ใช่พระพุทธรูป

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย อุรุเวลา, 16 กุมภาพันธ์ 2012.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑๔ หน้าที่ ๒๘๗/๔๑๓

    [๕๙๒] ดูกรมาณพ บุคคลบางคนในโลกนี้จะเป็นสตรีก็ตาม บุรุษก็ตาม เป็นคนกระด้าง
    เย่อหยิ่ง ย่อมไม่กราบไหว้คนที่ควรกราบไหว้ ไม่ลุกรับคนที่ควรลุกรับ ไม่ให้อาสนะแก่คนที่
    สมควรแก่อาสนะ ไม่ให้ทางแก่คนที่สมควรแก่ทางไม่สักการะคนที่ควรสักการะ ไม่เคารพคน
    ที่ควรเคารพ ไม่นับถือคนที่ควรนับถือไม่บูชาคนที่ควรบูชา เขาตายไป จะเข้าถึงอบาย ทุคติ
    วินิบาต นรก เพราะกรรมนั้น อันเขาให้พรั่งพร้อม สมาทานไว้อย่างนี้ หากตายไป ไม่เข้า
    ถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ถ้ามาเป็นมนุษย์ เกิด ณ ที่ใดๆ ในภายหลัง จะเป็นคนเกิดใน
    สกุลต่ำ ดูกรมาณพ ปฏิปทาเป็นไปเพื่อเกิดในสกุลต่ำนี้ คือ เป็นคนกระด้าง เย่อหยิ่ง ย่อม
    ไม่กราบไหว้คนที่ควรกราบไหว้ ไม่ลุกรับคนที่ควรลุกรับไม่ให้อาสนะแก่คนที่สมควรแก่อาสนะ
    ไม่ให้ทางแก่คนที่สมควรแก่ทาง ไม่สักการะคนที่ควรสักการะ ไม่เคารพคนที่ควรเคารพ ไม่นับ
    ถือคนที่ควรนับถือ ไม่บูชาคนที่ควรบูชา ฯ
    [๕๙๓] ดูกรมาณพ บุคคลบางคนในโลกนี้จะเป็นสตรีก็ตาม บุรุษก็ตามเป็นคนไม่
    กระด้าง ไม่เย่อหยิ่ง ย่อมกราบไหว้คนที่ควรกราบไหว้ ลุกรับคนที่ควรลุกรับ ให้อาสนะแก่คน
    ที่สมควรแก่อาสนะ ให้ทางแก่คนที่สมควรแก่ทาง สักการะคนที่ควรสักการะ เคารพคนที่ควร
    เคารพ นับถือคนที่ควรนับถือ บูชาคน ที่ควรบูชา เขาตายไป จะเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เพราะ
    กรรมนั้น อันเขาให้พรั่งพร้อม สมาทานไว้อย่างนี้ หากตายไป ไม่เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ถ้า
    มาเกิดเป็นมนุษย์ เกิด ณ ที่ใดๆ ในภายหลัง จะเป็นคนเกิดในสกุลสูง ดูกรมาณพ ปฏิปทา
    เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีสกุลสูงนี้ คือ เป็นคนไม่กระด้าง ไม่เย่อหยิ่งย่อมกราบไหว้คนที่ควร
    กราบไหว้ ลุกรับคนที่ควรลุกรับ ให้อาสนะแก่คนที่สมควรแก่อาสนะ ให้ทางแก่คนที่สมควรแก่
    ทาง สักการะคนที่ควรสักการะ เคารพคนที่ควรเคารพ นับถือคนที่ควรนับถือ บูชาคนที่ควรบูชา ฯ

    -----
    พระพุทธเจ้าสอนให้กราบไหว้ สักการะ นับถือ บูชา บุคคล ฯลฯ
     
  2. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑๑ หน้าที่ ๔๓/๒๘๘

    [๓๓] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้
    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ เมืองมาตุลาในแคว้นมคธ ณ ที่ นั้นแล พระผู้มี
    พระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฯ
    ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคจึงตรัสดังนี้ว่า
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงมีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง
    จงมีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งอยู่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุผู้มีตน
    เป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง มีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็น
    ที่พึ่ง เป็นไฉน
    ๑. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีความ
    เพียร มีสัมปชัญญะ มีสติกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ฯ
    ๒. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลาย
    อยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัด อภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ฯ
    ๓. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ มีความ
    เพียร มีสัมปชัญญะ มีสติกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลก เสียได้ ฯ
    ๔. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นธรรมในธรรม ทั้งหลายอยู่
    มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุมีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง มีธรรม
    เป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งอยู่ อย่างนี้แล ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย เธอทั้ง
    หลายจงเที่ยวไปในโคจรซึ่งเป็นวิสัยอันสืบมาจากบิดาของตน ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อเธอทั้ง
    หลายเที่ยวไปในโคจร ซึ่งเป็นวิสัยอันสืบมาจากบิดา ของตน มารจักไม่ได้โอกาส มารจักไม่ได้
    อารมณ์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุญนี้ เจริญขึ้นอย่างนี้ เพราะเหตุถือมั่นธรรมทั้งหลายอันเป็นกุศล ฯ

    ----
    พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนให้ พึ่งตนเอง อย่าพึ่งสิ่งอื่น ให้มีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง อย่าพึ่งสิ่งอื่น
     
  3. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๒๕ หน้าที่ ๒๗/๔๑๘

    มนุษย์เป็นอันมากแล ถูกภัยคุกคามแล้ว ย่อมถึงภูเขา ป่าอาราม
    และรุกขเจดีย์ว่า เป็นที่พึ่ง ที่พึ่งนั้นแลไม่เกษม ที่พึ่งนั้นไม่อุดม เพราะ
    บุคคลอาศัยที่พึ่งนั้น ย่อมไม่พ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้ ส่วนผู้ใดถึงพระ
    พุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ว่าเป็นที่พึ่ง ย่อมเห็นอริยสัจ ๔ คือ
    ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ความก้าวล่วงทุกข์ และอริยมรรคประกอบด้วย
    องค์ ๘ อันให้ถึงความสงบระงับทุกข์ ด้วยปัญญาอันชอบ ที่พึ่งนั้นแล
    เป็นที่พึ่งอันเกษม ที่พึ่งนั้นอุดม เพราะบุคคลอาศัยที่พึ่งนั้นย่อมพ้น
    จากทุกข์ทั้งปวงได้

    ----
    พระพุทธเจ้าตรัสสอนให้พึ่งพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เห็นอริยสัจ ๔ และอริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ อันเป็นหนทางพ้นทุกข์
     
  4. ตาดำดำ

    ตาดำดำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    420
    ค่าพลัง:
    +732
    - ผมเชื่อละว่าท่านมีปัญหาในการอ่านและการตีความ
    ผมอธิบายว่าถ้ายึดหลักการแบบคุณอุรุเวลา ก็แปลว่ากราบพระพุทธเจ้าก็ผิดด้วยเพราะพระพุทธเจ้าไม่ให้มาหลงตัวท่านแต่ให้คนสนใจธรรมะมากกว่า
    แต่ ผมบอกแล้วว่าผมไม่ได้ตีความแบบท่านครับ ดังนั้นผมจึงเห็นว่าการกราบพระพุทธรูปหรือพระพุทธเจ้าเป็นสิ่งที่ไม่ผิด

    ผมเชื่อว่าถ้าพราหมณ์นั้นขอสร้างพระพุทธรูปเพื่อเป็นสิ่งเตือนใจให้ระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้าเพราะเป็นสิ่งที่ควรแก่การสักการะบูชา พระพุทธเจ้าก็ย่อมอนุญาต แต่เพราะเขาไปขอสร้างเพราะชอบพุทธลักษณะ อยากสร้างให้คนอื่นเห็นว่าพระพุทธเจ้างดงามแค่ไหน พระพุทธเจ้าจึงเตือนว่าอย่ามาหลงว่ารูปกายเป็นสิ่งสวยงาม

    - ยินดีด้วยครับที่ท่านมีศีลบริสุทธิ์ และจะยินดีกว่านั้นถ้าท่านรู้จักเจริญสมาธิและเจริญปัญญาร่วมด้วย

    - ศาสนาพุทธไม่ได้อยู่ได้แค่พระไตรปิฎกอย่างเดียว เพราะการตีความตามตัวหนังสือของแต่ละคนย่อมผิดเพี้ยนไปตามอคติของตนได้ ศาสนาจะดำรงอยู่ได้จึงต้องอาศัยพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบด้วย เพื่อจะได้สั่งสอนสิ่งที่ถูกที่ควรต่อไป
    ผมไม่เคยกล่าวว่าพระอริยะเจ้าสั่งสอนไม่ตรงตามพระไตรปิฎก เพราะพระไตรปิฎกก็เกิดมาจากพระอริยะเจ้าช่วยกันสังฆายนา แต่คนที่ชอบอ่านตีความผิดๆก็คือชาวพุทธที่ยังไม่มีปัญญาทางธรรมนี่แหละ ดังนั้น อะไรไม่แน่ใจหรือไม่รู้ก็ดูตัวอย่างจากพระอริยะเจ้า แล้วอย่าไปโทษว่าการที่ท่านกราบไหว้พระพุทธรูปนั้นไม่เคารพคำสอนพระพุทธเจ้า แต่ให้มาดูตัวเราว่าเราเองรึเปล่าที่เข้าใจพระไตรปิฎกผิดไป

    ปล. ผมเห็นข้อความที่ท่านยกมาแล้ว แล้วท่านล่ะครับเห็นหรือยัง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กุมภาพันธ์ 2012
  5. changnoy

    changnoy สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2012
    โพสต์:
    171
    ค่าพลัง:
    +3
    ถามแปลกๆก็แบกอยู่ที่หลังจะเห็นได้งัยไง?<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
     
  6. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ผมปฏิบัติสมถวิปัสสนาทุกวันครับ ท่านตาดำดำเชื่อพราหมณ์นับถือพราหมณ์ ผมเชื่อพระพุทธเจ้า นับถือพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า คนผู้มีศรัทธาไม่เหมือนกัน มีศีลไม่เสมอกัน คุยกันได้แต่อยากที่จะเข้าใจตรงกันครับ
     
  7. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ท่านตาดำดำ เดี๋ยวจะหาว่าผมไม่เห็น ปล. แล้วมาทวงคำตอบอีก ผมตอบไปแล้วในโพสต์ #118 ข้อ ๑

    รูปหล่อรูปปั้นประกอบขึ้นมาจากธาตุ ๔ (ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม) ช่างปั้นทำเป็นรูปขึ้นมา ไม่มีวิญญาณตั้งอาศัย ทำพิธีโดยพระสงฆ์ทุศีล(พระพุทธเจ้าห้ามพระสงฆ์ทำพิธีเสกเป่า รดน้ำมนต์ พ่นน้ำมนต์ เป็นหมอทรงเจ้า บวงสรวงพระอาทิตย์ บวงสรวงท้าวมหาพรหม ทำพิธีบวงสรวงพื้นที่)

    พระพุทธรูปเป็นรูปกายประกอบขึ้นมาจากธาตุ ๔ (ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม) เกิดแต่ครรภ์มารดา มีวิญญาณเข้าไปตั้งอาศัย เจริญเติบโตในครรภ์ ๘ เดือนบ้าง ๙ เดือนบ้าง ๑๐ เดือนบ้าง รูปเกิดขึ้นเพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะเพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ เพราะภพเป็นปัจจัยจึงมีชาติ เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะโสกปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาส ความเกิดแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้

    ภิกษุสมัยพุทธกาลกราบพระพุทธเจ้าเท่ากับกราบพระพุทธรูป(รูปกายของพระพุทธเจ้า) แต่ไม่ได้กราบรูปหล่อ รูปปั้น
     
  8. ta_e55

    ta_e55 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    134
    ค่าพลัง:
    +2,302
    คนเราก็แปลก อ้างว่าแปลความหมายของพระไตรปิฎกถูก ถ้าคุณเจ้าของกระทู้ไม่นับถือพระพุทธรูป กล่าวว่าเป็นเพียงรูปปั้น ขอบอกคุณเจ้าของกระทู้ว่าให้เลิกปฎิบัติธรรมจะดีกว่า เพราะปฎิบัติยังไงก็คงไม่ถึง พระโสดาบันก้ยังเป็นไม่ได้ เพราะผู้ที่จะเข้าถึงพระโสดาบันได้ ต้องเคารพพระพุทธเจ้าสูงสุด

    เลิกกระทำตัวเช่นนี้เสีย เพราะบาปปปปปป มาก
     
  9. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    รูปหล่อรูปปั้นประกอบขึ้นมาจากธาตุ ๔ (ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม) ช่างปั้นทำเป็นรูปขึ้นมา ไม่มีวิญญาณตั้งอาศัย ทำพิธีโดยพระสงฆ์ทุศีล(พระพุทธเจ้าห้ามพระสงฆ์ทำพิธีเสกเป่า รดน้ำมนต์ พ่นน้ำมนต์ เป็นหมอทรงเจ้า บวงสรวงพระอาทิตย์ บวงสรวงท้าวมหาพรหม ทำพิธีบวงสรวงพื้นที่)

    พระพุทธรูปเป็นรูปกายประกอบขึ้นมาจากธาตุ ๔ (ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม) เกิดแต่ครรภ์มารดา มีวิญญาณเข้าไปตั้งอาศัย เจริญเติบโตในครรภ์ ๘ เดือนบ้าง ๙ เดือนบ้าง ๑๐ เดือนบ้าง รูปเกิดขึ้นเพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะเพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ เพราะภพเป็นปัจจัยจึงมีชาติ เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะโสกปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาส ความเกิดแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้

    ----
    ผมนับถือพระพุทธรูป กราบไหว้พระพุทธรูปครับ แต่ผมไม่กราบไหว้รูปหล่อ รูปปั้น
     
  10. ta_e55

    ta_e55 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    134
    ค่าพลัง:
    +2,302

    เมื่อคุณมีทุกข์ ก็แสวงหาทางพ้นทุกข์ ด้วยการใช้ปัญญาพิจารณาธรรมของพระพุทธเจ้า เพราะท่านสอนเอาไว้หมดทุกอย่าง แล้วก็ปฎิบัติตามคำสอน ก็จะช่วยให้คุณพ้นทุกข์ได้

    แต่คุณจะมาบอกว่ารูปหล่อรูปปั้นช่วยคุณไม่ได้ มันไม่ถูกต้อง เพราะในเมื่อแค่การปฎิบัติธรรม และการเข้าใจในธรรมะของคุณอยู่ในระดับที่ต่ำมากกกกก จะไปพ้นทุกข์ได้อย่างไร

    เอาเป็นว่าก่อนอื่น คุณช่วยใช้ปัญญาพิจารณาธรรมให้มากๆ จะดีกว่ามาทำตัวแบบนี้ในเว็บนี้
     
  11. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ผมแนะนำไปอ่านกระทู้นี้ก่อนครับ

    http://palungjit.org/threads/ใครกราบไหว้พระพุทธรูปเรียนเชิญ-ครับ.318221/
     
  12. changnoy

    changnoy สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2012
    โพสต์:
    171
    ค่าพลัง:
    +3
    แทงไปที่ปัญญาเท่านั้น แล้วจะเห็นว่าที่ถกกันมามีแต่ความว่าง
     
  13. ta_e55

    ta_e55 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    134
    ค่าพลัง:
    +2,302
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กุมภาพันธ์ 2012
  14. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ความว่างไม่มี เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะเพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ เพราะภพเป็นปัจจัยจึงมีชาติ เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะโสกปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาส ความเกิดแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้
     
  15. changnoy

    changnoy สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2012
    โพสต์:
    171
    ค่าพลัง:
    +3
    สายปกิจจสมุปปบาทเขาให้รู้แล้วทำลายมันซะก็เจอแล้วความว่างก็แค่นั้น
     
  16. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    สายปฏิจจสมุปบาท

    พระพุทธเจ้าไม่ได้ให้ทำลาย ไม่มีใครทำลายธรรมอันเป็นธรรมชาติ
    ทุกสิ่งดับไป เพราะอวิชชาดับด้วยสำรอกโดยไม่เหลือ สังขารจึงดับ เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ
    เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ เพราะสฬายตนะดับ
    ผัสสะจึงดับ เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ เพราะเวทนาดับ ตัณหาจึงดับเพราะตัณหาดับ
    อุปาทานจึงดับ เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ เพราะภพดับชาติจึงดับ เพราะชาติดับ ชราและ
    มรณะโสกปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาสจึงดับความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้
     
  17. changnoy

    changnoy สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2012
    โพสต์:
    171
    ค่าพลัง:
    +3
    ผมเห็นท่านใช้รูปของอาจารย์พุทธทาสนึกว่าจะศึกษาแตกฉาน อาจารย์พุทธทาสอธิบายเรื่องปกิจจสมุปปบาทไว้โดยละเอียดไปหาอ่านซะแล้วค่อยมาถกกันต่อถึงจะสนุก
     
  18. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    เขาคุยกันตั้งแต่ 20-12-2011, 05:01 PM แล้วครับ เชิญท่านไปศึกษาเอาเถิดครับ

    http://palungjit.org/threads/ปฏิจจสมุปบาท-ฉบับแปล.319025/
     
  19. changnoy

    changnoy สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2012
    โพสต์:
    171
    ค่าพลัง:
    +3
    ถ้าท่านไม่เข้าใจตรงไหนก็ถามได้นะขี้เกียจพิมพ์
     
  20. changnoy

    changnoy สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2012
    โพสต์:
    171
    ค่าพลัง:
    +3
    ดับที่ผัสสะเป็นอรหันต์ดับที่เวทนาเป็นอุเบกขาสั้นๆ
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...