รูปหล่อรูปปั้นไม่ใช่พระพุทธรูป

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย อุรุเวลา, 16 กุมภาพันธ์ 2012.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. ตาดำดำ

    ตาดำดำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    420
    ค่าพลัง:
    +732
    - งงมาก ผมนับถือพุทธแต่คุณมาบอกว่าผมนับถือพราหมณ์
    - งงต่อ เรื่องท่านตอบปล.ผม ดิน น้ำ ลม ไฟ อะไรนั่น
    ในปล.ผมหมายถึงที่ท่านยกมาว่าสิ่งที่ควรสักการะมีอะไรบ้าง
    ดูแล้วท่านต้องการจะบอกว่าสิ่งที่ควรสักการะจะต้องเป็นคนที่ควรเคารพ ไม่ใช่สักการะวัตถุ
    แต่ผมอยากให้ท่านพิจารณาหน่อยว่า คนที่เคารพพระพุทธรูป เค้าเคารพก้อนดินก้อนปูน หรือเคารพพระพุทธเจ้า ที่แม้ท่านจะไม่อยู่แต่ก้ยังระลึกนึกถึงคุณงามความดีของพระองค์

    แม้แต่รูปหล่อครูบาอาจารย์ อย่างรูปหล่อหลวงปู่มั่น คนที่กราบไหว้รูปหล่อ เค้าเคารพก้อนปูน โลหะ หรือเคารพหลวงปู่มั่น

    ต่างกับพวกเจอไม้ประหลาด เจอหมู 3 ขา เจอวัว 6 ขา แล้วกราบไหว้ พวกนั้นมีทั้งดินน้ำลมไฟและวิญญาณแต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรเคารพบูชา

    ต่อให้เป็นพระไตรปิฎกผมก็กราบไหว้ ไม่ใช่ผมกราบไหว้กระดาษแต่เพราะเทิดทูนบูชาธรรมะในหนังสือ ทำให้หนังสือนั้นต่างจากหนังสือทั่วไป (ถ้าเป็นหนังสือการ์ตูนจะไปกราบทำไม)

    ถ้าคุณเคารพครูบาอาจารย์ เคารพพระอริยะสงฆ์จริง ทำไมถึงปรามาสครูบาอาจารย์เหล่านั้น ท่านกราบพระพุทธรูปด้วยความเคารพให้ดูเป็นแบบอย่าง ทำไมท่านจึงไม่น้อมนำไปปฏิบัติตาม กลับกล่าวหาว่าครูบาอาจารย์เหล่านั้นไม่ทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้า แล้วกลับบอกว่าเชื่อพระพุทธเจ้ามากกว่า ทั้งที่พระพุทธเจ้าท่านก็บอกว่าธรรมนั้นมีหนึ่งเดียว ผู้ที่เห็นธรรมก็เห็นธรรมแบบเดียวกับพระพุทธเจ้า แสดงว่าพระอรหันต์ท่านก็ไม่ได้คิดต่างกับพระพุทธเจ้า แต่คุณอุรุเวลาเองนั่นแหละที่ตีความพระไตรปิฎกผิดเพี้ยนไปเอง

    ผมถึงได้บอกว่าผมเข้าใจว่าคุณคิดอะไร แต่คุณเข้าใจสิ่งที่หลายคนกำลังเตือนคุณหรือไม่

    - ถ้าฝึกวิปัสสนาอยู่ก็ดีแล้วครับ หวังว่าจะมีปัญญาโดยเร็วนะครับ
    ปล. ดูท่านอุรุเวลาจะอ่านพระไตรปิฎกมาเยอะ แต่บางคนอ่านจบเป็น 10 รอบก็ใช่จะฉลาดกว่าคนอื่นนะ ถ้าไม่รู้จักใช้สติปัญญาก็คงไม่ต่างกับนกแก้วนกขุนทองที่พูดภาษาคนตามผู้อื่นได้แต่ไม่เข้าใจความหมาย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กุมภาพันธ์ 2012
  2. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๘ สังยุตตนิกาย นิทานวรรค หน้าที่ ๖๘/๒๘๘
    [๑๕๓] อริยสาวกย่อมประกอบด้วยธรรมเป็นองค์แห่งโสดาปัตติ ๔ อย่างเป็นไฉน ดูกร
    คฤหบดี อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ย่อมประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระพุทธ
    เจ้าว่า แม้เพราะเหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นเป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ
    ถึงพร้อมแล้วด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก
    ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระ
    ธรรม ดังนี้ย่อมประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระธรรมว่า พระธรรมอันพระผู้มี
    พระภาคตรัสดีแล้ว อันผู้ได้บรรลุจะพึงเห็นเอง ไม่ประกอบด้วยกาล ควรเรียกให้มาดู ควรน้อม
    เข้ามา อันวิญญูพึงรู้เฉพาะตน ดังนี้ ย่อมประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระสงฆ์
    ว่า พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว เป็นผู้ปฏิบัติตรง เป็นผู้ปฏิบัติเป็นธรรม
    เป็นผู้ปฏิบัติสมควร คือคู่แห่งบุรุษ ๔ บุรุษบุคคล ๘ นี่พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาค เป็น
    ผู้ควรของคำนับ เป็นผู้ควรของต้อนรับ เป็นผู้ควรของทำบุญ เป็นผู้ควรทำอัญชลี เป็นนาบุญ
    ของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า ดังนี้ ย่อมประกอบด้วยศีลที่พระอริยเจ้าปรารถนา อันไม่ขาด
    ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย เป็นไทย อันวิญญูชนสรรเสริญอันตัณหาและทิฐิไม่ครอบงำได้
    เป็นไปเพื่อสมาธิ อริยสาวกย่อมประกอบด้วยธรรมเป็นองค์แห่งโสดาปัตติ ๔ อย่างนี้ ฯ
    [๑๕๔] ก็ญายธรรมอันประเสริฐ อันอริยสาวกเห็นดีแล้ว แทงตลอดดีแล้วด้วยปัญญา
    เป็นไฉน ดูกรคฤหบดี อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ กระทำไว้ในใจโดยแยบคาย ถึงปฏิจจสมุป
    บาทเป็นอย่างดีว่า เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จึงไม่มี
    เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จึงดับ ด้วยประการดังนี้ คือ เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมี
    สังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป เพราะนามรูป
    เป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะเพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมี
    เวทนา เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน เพราะอุปาทาน
    เป็นปัจจัย จึงมีภพ เพราะภพเป็นปัจจัยจึงมีชาติ เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ
    โสกปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาส ความเกิดแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการ
    อย่างนี้ ก็เพราะอวิชชาดับด้วยสำรอกโดยไม่เหลือ สังขารจึงดับ เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ
    เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ เพราะสฬายตนะดับ
    ผัสสะจึงดับ เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ เพราะเวทนาดับ ตัณหาจึงดับเพราะตัณหาดับ
    อุปาทานจึงดับ เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ เพราะภพดับชาติจึงดับ เพราะชาติดับ ชราและ
    มรณะโสกปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาสจึงดับความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วย
    ประการอย่างนี้ ญายธรรมอันประเสริฐนี้ อริยสาวกนั้นเห็นดีแล้ว แทงตลอดดีแล้ว ด้วยปัญญา ฯ
    [๑๕๕] ดูกรคฤหบดี เมื่อใดแล ภัยเวร ๕ ประการนี้ของอริยสาวกสงบแล้ว เมื่อ
    นั้น อริยสาวกย่อมประกอบด้วยธรรมเป็นองค์แห่งโสดาปัตติ ๔ อย่างและญายธรรมอย่าง
    ประเสริฐนี้ อันอริยสาวกนั้นเห็นดีแล้ว แทงตลอดดีแล้วด้วยปัญญา อริยสาวกนั้นหวังอยู่
    พึงพยากรณ์ตนด้วยตนเองได้ว่า เราเป็นผู้มีนรกสิ้นแล้ว มีกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานสิ้นแล้ว มีปิตติ
    วิสัยสิ้นแล้ว มีอบาย ทุคติ วินิบาตสิ้นแล้ว เราเป็นโสดาบันมีอันไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้
    เที่ยงจะตรัสรู้ในภายหน้า ฯ

    ----
    ครูบาอาจารย์ไม่ใช่พระอริยะ ทำไมจะสอนผิดไม่ได้ เมื่อสอนไม่ตรงกับคำสอนของพระพุทธเจ้าก็ควรขอแก้ที่ตัวอาจารย์ พระพุทธเจ้าเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานทรงตรัสรู้ได้ด้วยพระองค์เอง พระธรรมเป็นจริงตลอดกาล ทรงบัญญัติพระธรรมไว้และทรงห้ามแก้ไขเพิ่มเติมตัดพระธรรมของพระองค์

    ผมอ่านเยอะครับ ผมท่องจำและใคร่ครวญธรรมแค่ ๓ พระสูตรนี้ พระสูตรที่เอามาโพสต์เพราะอ่านแล้วเห็นว่าน่าจะมีประโยชน์กับผู้อื่น โพสต์ไปคนก็หาว่าเป็นความคิดของผม จริงๆแล้วเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหมด ผมไม่ได้โพสต์แสดงความคิดเห็นใดๆ เลย ผมขอให้ท่านทั้งหลายอ่านและพิจารณากันเอาเอง ผมไม่ได้แสดงความคิดเห็นอะไรเลย เช่นกระทู้

    http://palungjit.org/threads/สามีเป็นใหญ่-ภรรยาเป็นรอง-ภรรยาสั่งสามีไม่ได้.328009/

    มีคนต่อว่าผม ว่าชอบบิดเบือน เป็นไอ้ปริยัติ ผมน้อมรับคำตำหนิท่าน ยังไงก็ดีกว่าพวกตำหนิพระธรรมคำสอนของพระศาสดา ขอบคุณที่ชมว่าผมเป็นนกแก้วนกขุนทอง นกแก้วนกขุนทองตัวนี้แหละ จะขอเผยแพร่พระสัทธรรมของพระองค์ตลอดชีวิต
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กุมภาพันธ์ 2012
  3. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ต่อจาก #142 ครับ สงสัย Server มีปัญหา แสดงข้อความไม่ครบ

    มีคนต่อว่าผม ว่าชอบบิดเบือน เป็นไอ้ปริยัติ ผมน้อมรับคำตำหนิท่าน ยังไงก็ดีกว่าพวกตำหนิพระธรรมคำสอนของพระศาสดา ขอบคุณที่ชมว่าผมเป็นนกแก้วนกขุนทอง นกแก้วนกขุนทองตัวนี้แหละ จะขอเผยแพร่พระสัทธรรมของพระองค์ตลอดชีวิต
     
  4. ลมสุริยะ

    ลมสุริยะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    365
    ค่าพลัง:
    +215
    ความคิดเห็นของคุณอยู่ในการตั้งชื่อกระทู้ของคุณไงครับ คุณฉลาดแฝง

    คนว่ายน้ำยังข้ามไม่ถึงฝั่ง จะมาสอนมาบอกคนอื่นได้อย่างไร

    เจตนาคืออะไร????
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กุมภาพันธ์ 2012
  5. ตาดำดำ

    ตาดำดำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    420
    ค่าพลัง:
    +732
    - คำว่าครูบาอาจารย์ผมหมายถึงพระอริยะเจ้าซึ่งผมเคารพเปรียบเหมือนพ่อแม่ครูบาอาจารย์
    - พระอริยะเจ้า พระอรหันต์ก็กราบไหว้พระพุทธรูป แล้วทำไมคุณมาบอกว่าห้ามกราบ
    - กระทู้อื่นขี้เกียจตามไป ผมไม่ได้ว่างเอาพระไตรปิฏกมาก็อปใส่คอมเหมือนท่าน ผมแค่มาเตือนสติท่าน ที่เหลือก็ไปพิจารณาตัวเองว่าความเห็นอื่นของท่านสมควรหรือไม่ ไม่ใช่หน้าที่ผมที่จะต้องตามไปบอกไปเตือน
     
  6. ถิ่นธรรม

    ถิ่นธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,824
    ค่าพลัง:
    +5,398
    คำว่าพระพุทธรูปที่ปรากฎในพระสูตรนี้ หาใช่ความหมายเดียวกันกับพระพุทธรูปที่เราคุ้นเคยกันอยู่ แต่พระพุทธรูปในพระสูตรนี้มีความหมายว่า รูปกายของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือกายเนื้อที่ทรงบอกว่าเปื่อยเน่า เป็นรังแห่งโรค ซึ่งเป็นเรื่องเบญจขันธ์ หาใช่รูปหล่อแทนองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า(ซึ่งไม่มีเบญจขันธ์) ถ้าพิจารณถ้อยความดีๆจะเข้าใจความหมายนี้ได้อย่างถ่องแท้ ซึ่งเป็นมติของพระเถรานุเถระทั้งหลาย
    อีกประการถ้อยคำที่ท่านนำมาต่อเติมเองเองเพื่อโจมตีพระพุทธรูปนั้นไม่ตรงกับพระไตรปิฎก ซึ่งถ้อยคำที่แท้จริงก็คือ
    ครั้งนั้น พระพิชิตมารทรงทราบว่า เรายินดีในพระพุทธรูป จึงได้ตรัสสอนเราว่า
    อย่าเลยวักกลิ ประโยชน์อะไรในรูปที่น่าเกลียดซึ่งชนพาลชอบเล่าก็บัณฑิตใดเห็นสัทธรรม บัณฑิตนั้นชื่อว่าเห็นเรา ผู้ไม่เห็นสัทธรรมถึงจะเห็นเราก็ชื่อว่าไม่เห็น กายมีโทษไม่สิ้นสุด เปรียบเสมอด้วยต้นไม้มีพิษ เป็นที่อยู่ของโรคทุกอย่าง ล้วนเป็นที่ประชุมของทุกข์ เพราะฉะนั้น ท่านจงเบื่อหน่ายในรูป พิจารณาเห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปแห่งขันธ์ทั้งหลาย จักถึงที่สุดแห่งสรรพกิเลสได้โดยง่าย (วักกลิเถราปทาน พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๓ บรรทัดที่ ๒๗๖๘ - ๒๘๔๑. หน้าที่ ๑๒๒ - ๑๒๕.)


    ในอรรถกถาก็ยืนยันว่าพระพุทธรูปหมายถึงเบญจขันธ์ของพระพุทธเจ้าไม่ใช่พระพุทธรูปแบบปัจจุบัน ดังหลักฐานนี้
    พระวักกลิพอได้รับพระโอวาทจากพระศาสดา โดยนัยเป็นต้นว่า กึ เต วกฺกลิ อิมินา ปูติกาเยน ทิฏฺเฐน ดูก่อนวักกลิ จะมีประโยชน์อะไร ด้วยการที่เธอต้องมาดูร่างกายอันเปื่อยเน่านี้ (อรรถกถา ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ ๕๔. กัจจายวรรค ๒. วักกลิเถราปทาน)

    ร่างกายอันเปื่อยเน่าก็คือกายเนื้อแบบมนุษย์ซึ่งเปื่อยเน่าได้ซึ่งพระพุทธรูปในปัจุบันไม่ได้เปื่อยเน่ามีแต่ผุพัง

    ท่านเล่นตัดต่อพุทธพจน์เพื่อสนับสนุนความเห็นของตน มันไม่น่าจะถูกต้อง มันผิดทั้งเนื้อหา การตีความและการอ้างอิง เป็นความคลาดเคลื่อนอย่างมากของท่าน การโจมตีพระพุทธรูปของท่านจึงเป็นแค่ความเห็นผิด ดังนั้นรีบแก้ไขอย่าเอาทิฐิตนเองเป็นที่ตั้ง
     
  7. พิทย

    พิทย Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    87
    ค่าพลัง:
    +32
    กล่าวได้ชอบแล้ว ไอ้พวกนี้มันก็แค่พวกกดขี่ กีดกันทางเพศนั้นแล แต่ไม่เคยตรวจสอบที่มาที่ไปของความเชื่อ และ อันที่จริงไอ้ความเชื่อตีความกดขี่ทางเพศ(คนอินเดียในยุคนั้นก็เป็นแบบนี้ แหละทั้งๆๆที่พระพุทธเจ้าไม่เคยคิดเช่นนี้เลย จริงอยู่พระองค์เคยลังเลที่จักให้มีการบวชภิกษุณีแต่ก็ด้วยเหตุผลมากมายกว่า นี้)นี้นี่แหละที่ทำให้เกิดการแตกแยกนิกาย(เป็นหนึ่งในปัจจัย) และเป็นเหตุให้ไม่มีการสืบต่อการบวชภิกษุณีในนิกายเถรวาท อีกแล้วในปัจจุบัน

    การแบกคัมภีร์โดยไม่เข้าใจนัยของคำสอนนั้น ไม่มีประโยชน์อะไรหรอกครับมันก็ดีแต่เป็นปลวกคอยกินตำราเล่นไปวันๆๆนั้นแหละ <hr style="color:#FFFFFF; background-color:#FFFFFF" size="1"> แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย โฮดี้โจนส์ : เมื่อวานนี้ เมื่อ 02:54 PM
    ..........................................

    ผมเห็นด้วยกับกระทู้ของคุณ โฮดี้โจนส์และหลายๆท่านที่พยามช่วยส่องทางสว่างให้คุณ อุรุเวลา แต่คุณก็ดื้อด้านพยามพลักดันตัวเองให้ต้องอยู่เหนือคนอื่น หาทางข่มคนอื่นเห็นคนอื่นว่ารู้น้อยกว่าด้อยกว่าเถียงไปเรื่อยเหมือนเด็กอยากเอาชนะ คำก็อ้างพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ผมว่าสิ่งที่คุณอ้างหนะ อยู่สูงเกินไปที่คุณจะดึงพระรัตนไตรลงมากรวกกลิ้งกับมูตรความคิดของคุณ ถ้าอยากให้ตัวเองดูดีได้รับการยอมรับ อย่าเอาของสูงมาดันให้อัตตาตัวเองบวมหนาอีกเลย มันไม่เข้าท่า คุณหาเหตุผลเข้าข้างตัวเองแบบไถจนเกล็ดถลอกก็ยังไถอยู่งั้นเอาพระไตรปิฏกมาเป็นพวกเดียวกับกิเลสคุณด้วย จะโชว์ความโกรธ ความหลง อย่าดึงเบื้องสูงลงมา เอาง่ายๆถ้าปฏิบัติวิปัสนาได้จริง ความคิดความเห็นของคุณต้อง เกิดแต่การ ลดถอย ปล่อยวาง ไม่อวดอ้างว่าตนนับถือได้ดีกว่าคนอื่น อย่าโกหกตัวเองข้างๆคูๆว่าเป็นคนดีเด่น เข้าใจ อยู่เหนือคนอื่นหมด พฤติกรรมการตอบโต้แบบคุณ ก็คือคนที่ยังมีความโกรธเป็นแรงพลักดัน อยากเอาชนะ ต้องการการยอมรับ อวดอ้างพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ให้มาเป็นพวกเดียวกับตน เวลาใครไม่เห็นด้วยจะได้ ดึงเอาสิ่งสูงสุดมาพูดอ้างกล่าวว่าให้คนอื่นผิด ตัวเองตีความเข้าใจได้อยู่คนเดียว หลงตัวหลงตน คนแบบคุณในศาสนามีเยอะนะ ถึงมีคนปฏิบัติได้แต่กระพี้ไม่เจอแก่นสักที
    รูปหล่อพระหนะเป็นของโลกที่ต้องผุพังย่อยสล่ายไปจริง แต่สาระของการกราบไหว้ ไม่ได้อยู่ที่อิฐปูนจริง อยู่ที่ใจ แค่ก้มกราบพื้นดินกลางป่าแล้วนึกถึงพระพุทธเจ้าก็ได้แล้ว อะไรก็ได้ที่ทำให้ใจมีที่ระลึกมีเครื่องช่วยเตือนให้นึกถึงพระ ก็ใช้ได้แล้ว ฉะนั้นอย่าเอามาเป็นประเด็นถกเถียงว่า พระพุทธรูปไม่ดีไม่ควรกราบไหว้ ต้องทำลายทิ้ง หรือดูถูกเหยียดค่าคนที่กราบไหว้ว่าไม่รู้หลักศาสนา คนเราเปรียบได้เป็นบัว4เหล่า มีตั้งแต่คนที่ยังอาศัยรูปเป็นเครื่องช่วยระลึก จนไปถึงระลึกได้เองอัตโนมัติจากใจ แต่ที่แย่ไปกว่านั้นคือ พวกที่หลงว่าตัวเองเข้าใจแล้วแท้จริงไม่เข้าใจอะไรเลย ปิดหูปิดตาจมปรักกับการตีความด้วยกิเลสตัณหาตัวเอง แล้วอ้างของสูงมาเป็นพวกให้เห็นว่าตนไม่ผิด ดักดานมากครับวิธีนี้ สร้างหายนะให้แก่คนรอบข้างและสัจจะธรรมที่แท้จริง และผมก็เจาะจงคุณหนะ ไม่ต้องหาว่าผมไปรวมเหมาว่าพระสงฆ์ท่านอื่นที่รู้จริงกว่าคุณมาเป็นพวกคุณอีกด้วยละ อย่าดึงคนสูงของสูงลงที่ต่ำอีก บาปนัก ผมไม่กลับมาอ่านนะ ผมว่ากระทู้คุณไร้สาระแค่นี้ผมก็เสียเวลามาพอละ
     
  8. ta_e55

    ta_e55 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    134
    ค่าพลัง:
    +2,302
    ถึงท่านเจ้าของกระทู้

    เราสงสารท่านเหลือเกิน โทษของการปรามาสพระรัตนตรัยมันสาหัสยิ่งนัก
    เราว่าท่านเอาตัวเองให้รอดจาก...เสียก่อนเถิด อยู่เฉยๆ จะดีกว่ามาก


    มนุษย์เราเปรียบได้ดั่งบัว 4 เหล่า เราคิดว่าท่านน่าจะเป็นเหล่าสุดท้ายที่เข้าใจอะไรได้ยากที่สุด แต่กลับหลงตัวเองคิว่าตัวเองฉลาด

    ดังนั้นแม้จะอ่านธรรมะ หรืออ่านพระไตรปิฏก จนจำได้ขึ้นใจเช่นไร ก็ยังไม่สามารถเข้าใจถึงธรรมนั้นได้โดยแท้จริง

    เพราะคนเรามีบารมีต่างกัน บางคนสามารถเข้าถึงธรรมได้ง่าย เข้าใจธรรมได้ง่าย เพราะปฎิบัติและมีบารมีมาดี จึงไม่เป็นมิจฉาทิฐิ เช่นท่านซึ่งกำลังปรามาสพระรัตนตรัย


    หยุดการกระทำนี้เสียเถิด ถ้าท่านไม่หยุด เราก็จะปลงว่า กรรมใครกรรมมัน
    ไม่มีใครช่วยท่านได้เพราะท่านทำตัวท่านเอง ดื้อรั้น ไม่ยอมรับฟังคำตักเตือนของคนอื่นด้วยความหวังดี

    ขออภัยด้วยหากทำให้ขุ่นเคือง เพราะเราไม่ต้องการต่อกรรมกับผู้ใด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กุมภาพันธ์ 2012
  9. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    - พระอริยะสงฆ์สาวก พ่อแม่ครูบาอาจารย์ต้องแยกนะครับ พ่อแม่สูงกว่าคูรบาอาจารย์มากนัก เทียบกันไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าบอกว่าแม้เธอจะหาทรัพย์ทั้งแผ่นดินมาให้มารดาบิดา แบกมารดาบิดาด้วยบ่าทั้งสองข้าง ป้อนข้าวป้อนน้ำตลอดร้อยปี ก็ไม่ได้ชื่อว่าตอบแทนบิดามารดา จะตอบแทนบิดามารดาอย่างไรถึงได้ชื่อว่าตอบแทน ไปหาเอาเองครับ

    - มีโพสต์ไหนที่ผมบอกว่าห้ามกราบพระพุทธรูป

    - ขอบคุณครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กุมภาพันธ์ 2012
  10. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ก่อนจะโพสต์แสดงความคิดเห็นในกระทู้ อย่างน้อยควรอ่านโพสต์ #1 ก่อนครับ
     
  11. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    มีโพสต์ไหนที่ผมบอกว่าห้ามกราบพระพุทธรูปครับ
     
  12. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๓๓ หน้าที่ ๑๒๔/๔๐๘
    ครั้งนั้น พระพิชิตมารทรงทราบว่า เรายินดีในพระพุทธรูป จึงได้ตรัสสอนเราว่า
    อย่าเลยวักกลิ ประโยชน์อะไรในรูปที่น่าเกลียดซึ่งชนพาลชอบเล่า
    ก็บัณฑิตใดเห็นสัทธรรม บัณฑิตนั้นชื่อว่าเห็นเรา ผู้ไม่เห็นสัทธรรม
    ถึงจะเห็นเราก็ชื่อว่าไม่เห็น
    กายมีโทษไม่สิ้นสุด เปรียบเสมอด้วย
    ต้นไม้มีพิษ เป็นที่อยู่ของโรคทุกอย่าง ล้วนเป็นที่ประชุมของทุกข์
    เพราะฉะนั้น ท่านจงเบื่อหน่ายในรูป พิจารณาเห็นความเกิดขึ้น
    และความเสื่อมไปแห่งขันธ์ทั้งหลาย จักถึงที่สุดแห่งสรรพกิเลสได้
    โดยง่าย

    ----
    ท่าน ta_e55 ครับ พระสูตรนี้เป็นคำสอนของพระศาสดา มีข้อความไหนที่ผมปรามาสพระรัตนตรัยครับ

    พระพุทธเจ้าเปรียบมนุษย์ด้วยดอกบัว ๓ เหล่าครับ หาอ่านในพระไตรปิฏกครับ
     
  13. ta_e55

    ta_e55 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    134
    ค่าพลัง:
    +2,302
    เจ้าของกระทู้ กลับไปอ่านข้างบนเสียเถิด
     
  14. ta_e55

    ta_e55 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    134
    ค่าพลัง:
    +2,302
    ขออภัย ข้าพเจ้าพิมพ์ตัวเลขผิดครับ อิอิ
     
  15. ta_e55

    ta_e55 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    134
    ค่าพลัง:
    +2,302

    ก็ตรงนี้ไงคร้บท่าน ที่ท่านบอก เมื่อผมมีทุกข์รูปหล่อรูปปั้นช่วยผมไม่ได้

    เพราะท่านพูดเหมือนกับพระพุทธรูปเป็นแค่รูปปั้น จึงช่วยอะไรท่านไม่ได้ ท่านคงลืมไปแล้วกระมังว่า พระพุทธรูปไม่ได้มีไว้เพื่อช่วยท่าน แต่มีไว้ให้ผู้ที่ศรัทธาได้กราบไหว้ และเป็นการแสดงความเคารพสูงสุดด้วย เป็นอีกสาเหตุหนึ่งว่าทำไมต้องมีพระพุทธรูป

    แล้วท่านก้บอกว่า
    ผมไม่ได้เป็นศิษย์วัดสามแยก ผมเชื่อหลักฐานจากพระไตรปิฏก พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นจริงตลอดกาล ใครมีหลักฐานบอกว่ารูปหล่อรูปปั้นเป็นพระพุทธรูปเอามายืนยัน รูปหล่อรูปปั้นที่พวกท่านกราบไหว้ผมก็ไม่เห็นคนปั้นจะสลักชื่อว่าพระพุทธรูปสักรูปหนึ่ง เห็นมีแต่หลวงพ่อนั้น หลวงพ่อนี้ ไม่เห็นมีพระพุทธรูปสักองค์

    อ่านกระทู้ทั้งหมดของท่านแล้วเหมือนจะดูดี แต่อย่างไรก็ดูไม่ดี เพราะใช้คำพูดที่ไม่ดี เปรียบเช่นผมกราบไหว้พ่อแม่ ซึ่งพ่อแม่ผมก็ไม่ได้มีคำว่า พ่อกับแม่ติดอยู่กับตัวสักหน่อย แต่ข้าพเจ้าไหว้พ่อแม่เพราะเเสดงความเคารพ แต่ขณะเดียวกันก็เขื่อคำสั่งสอนของพ่อแม่ด้วย
    มันจะมีประโยชน์อะไรถ้าเชื่อฟังคำสั่งสอนพ่อแม่ แต่ไม่กราบไหว้พ่อแม่ เพราะคิดว่าไม่อยากยึดติด ยึดเอาเพียงคำสั่งสอนก็พอแล้ว
    <!-- google_ad_section_end -->


    จริงๆ แล้วถ้าท่านอยากเตือนสติผู้อื่นที่ยกพระไตรปิฎกมาอ้างนี้ ท่านผิดตรงที่ใช้คำพูดไม่ดี ทั้งที่ควรใช้คำพูดให้ดูดีกว่านี้สักนิด เช่นว่า ให้ยึดและปฎิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าจะดีกว่า ไม่ใช่เพียงแค่ยึดติดยินดีในพระพุทธรูป แต่กลับไม่สนใจปฎิบัติให้ดี ไม่สนใจในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า

    คนเรามีศรัทธาที่ต่างกัน ภูมิธรรม ความรู้ ความคิด ปัญญาก็ต่างกัน ทำให้บางคนจึงไม่รู้ตัวว่าสิ่งที่เขาคิดว่าไม่ได้ปรามาสพระรัตนตรัย ทั้งที่จริงๆ แล้วกำลังปรามาสอยู่

    ข้าพเจ้าไม่ได้มีความรู้เรื่องพระไตรปิฎกมากมายดังเช่นท่าน แต่ก็ระวังตัวเสมอเรื่องบาปของการปรามาสพระรัตนตรัย ซึ่งเป็นเรื่องพื้นฐานเบสิคง่ายๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กุมภาพันธ์ 2012
  16. ballbeamboy2

    ballbeamboy2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    1,622
    ค่าพลัง:
    +1,618
    ผมกราบความดีของท่านนะ รูปขันธ์ห้า ไม่ค่อยสน (แต่สนอยู่นิดๆ)
     
  17. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑๑ หน้าที่ ๔๓/๒๘๘

    [๓๓] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้
    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ เมืองมาตุลาในแคว้นมคธ ณ ที่ นั้นแล พระผู้มี
    พระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฯ
    ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคจึงตรัสดังนี้ว่า
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงมีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง
    จงมีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งอยู่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุผู้มีตน
    เป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง มีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็น
    ที่พึ่ง เป็นไฉน
    ๑. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีความ
    เพียร มีสัมปชัญญะ มีสติกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ฯ
    ๒. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลาย
    อยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัด อภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ฯ
    ๓. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ มีความ
    เพียร มีสัมปชัญญะ มีสติกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลก เสียได้ ฯ
    ๔. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นธรรมในธรรม ทั้งหลายอยู่
    มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุมีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง มีธรรม
    เป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งอยู่ อย่างนี้แล ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย เธอทั้ง
    หลายจงเที่ยวไปในโคจรซึ่งเป็นวิสัยอันสืบมาจากบิดาของตน ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อเธอทั้ง
    หลายเที่ยวไปในโคจร ซึ่งเป็นวิสัยอันสืบมาจากบิดา ของตน มารจักไม่ได้โอกาส มารจักไม่ได้
    อารมณ์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุญนี้ เจริญขึ้นอย่างนี้ เพราะเหตุถือมั่นธรรมทั้งหลายอันเป็นกุศล ฯ

    ----
    พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนให้ พึ่งตนเอง อย่าพึ่งสิ่งอื่น ให้มีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง อย่าพึ่งสิ่งอื่น
     
  18. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑๔ หน้าที่ ๒๘๗/๔๑๓

    [๕๙๒] ดูกรมาณพ บุคคลบางคนในโลกนี้จะเป็นสตรีก็ตาม บุรุษก็ตาม เป็นคนกระด้าง
    เย่อหยิ่ง ย่อมไม่กราบไหว้คนที่ควรกราบไหว้ ไม่ลุกรับคนที่ควรลุกรับ ไม่ให้อาสนะแก่คนที่
    สมควรแก่อาสนะ ไม่ให้ทางแก่คนที่สมควรแก่ทางไม่สักการะคนที่ควรสักการะ ไม่เคารพคน
    ที่ควรเคารพ ไม่นับถือคนที่ควรนับถือไม่บูชาคนที่ควรบูชา เขาตายไป จะเข้าถึงอบาย ทุคติ
    วินิบาต นรก เพราะกรรมนั้น อันเขาให้พรั่งพร้อม สมาทานไว้อย่างนี้ หากตายไป ไม่เข้า
    ถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ถ้ามาเป็นมนุษย์ เกิด ณ ที่ใดๆ ในภายหลัง จะเป็นคนเกิดใน
    สกุลต่ำ ดูกรมาณพ ปฏิปทาเป็นไปเพื่อเกิดในสกุลต่ำนี้ คือ เป็นคนกระด้าง เย่อหยิ่ง ย่อม
    ไม่กราบไหว้คนที่ควรกราบไหว้ ไม่ลุกรับคนที่ควรลุกรับไม่ให้อาสนะแก่คนที่สมควรแก่อาสนะ
    ไม่ให้ทางแก่คนที่สมควรแก่ทาง ไม่สักการะคนที่ควรสักการะ ไม่เคารพคนที่ควรเคารพ ไม่นับ
    ถือคนที่ควรนับถือ ไม่บูชาคนที่ควรบูชา ฯ
    [๕๙๓] ดูกรมาณพ บุคคลบางคนในโลกนี้จะเป็นสตรีก็ตาม บุรุษก็ตามเป็นคนไม่
    กระด้าง ไม่เย่อหยิ่ง ย่อมกราบไหว้คนที่ควรกราบไหว้ ลุกรับคนที่ควรลุกรับ ให้อาสนะแก่คน
    ที่สมควรแก่อาสนะ ให้ทางแก่คนที่สมควรแก่ทาง สักการะคนที่ควรสักการะ เคารพคนที่ควร
    เคารพ นับถือคนที่ควรนับถือ บูชาคน ที่ควรบูชา เขาตายไป จะเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เพราะ
    กรรมนั้น อันเขาให้พรั่งพร้อม สมาทานไว้อย่างนี้ หากตายไป ไม่เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ถ้า
    มาเกิดเป็นมนุษย์ เกิด ณ ที่ใดๆ ในภายหลัง จะเป็นคนเกิดในสกุลสูง ดูกรมาณพ ปฏิปทา
    เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีสกุลสูงนี้ คือ เป็นคนไม่กระด้าง ไม่เย่อหยิ่งย่อมกราบไหว้คนที่ควร
    กราบไหว้ ลุกรับคนที่ควรลุกรับ ให้อาสนะแก่คนที่สมควรแก่อาสนะ ให้ทางแก่คนที่สมควรแก่
    ทาง สักการะคนที่ควรสักการะ เคารพคนที่ควรเคารพ นับถือคนที่ควรนับถือ บูชาคนที่ควรบูชา ฯ

    -----
    พระพุทธเจ้าสอนให้กราบไหว้ สักการะ นับถือ บูชา บุคคล ฯลฯ
     
  19. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๒๕ หน้าที่ ๒๗/๔๑๘

    มนุษย์เป็นอันมากแล ถูกภัยคุกคามแล้ว ย่อมถึงภูเขา ป่าอาราม
    และรุกขเจดีย์ว่า เป็นที่พึ่ง ที่พึ่งนั้นแลไม่เกษม ที่พึ่งนั้นไม่อุดม เพราะ
    บุคคลอาศัยที่พึ่งนั้น ย่อมไม่พ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้ ส่วนผู้ใดถึงพระ
    พุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ว่าเป็นที่พึ่ง ย่อมเห็นอริยสัจ ๔ คือ
    ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ความก้าวล่วงทุกข์ และอริยมรรคประกอบด้วย
    องค์ ๘ อันให้ถึงความสงบระงับทุกข์ ด้วยปัญญาอันชอบ ที่พึ่งนั้นแล
    เป็นที่พึ่งอันเกษม ที่พึ่งนั้นอุดม เพราะบุคคลอาศัยที่พึ่งนั้นย่อมพ้น
    จากทุกข์ทั้งปวงได้

    ----
    พระพุทธเจ้าตรัสสอนให้พึ่งพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เห็นอริยสัจ ๔ และอริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ อันเป็นหนทางพ้นทุกข์
     
  20. วันเบาๆ

    วันเบาๆ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มกราคม 2012
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +2
    อ้างอิง:
    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ อุรุเวลา
    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๓๓ หน้าที่ ๑๒๔/๔๐๘
    ครั้งนั้น พระพิชิตมารทรงทราบว่า เรายินดีในพระพุทธรูป จึงได้ตรัสสอนเราว่า
    อย่าเลยวักกลิ ประโยชน์อะไรในรูปที่น่าเกลียดซึ่งชนพาลชอบเล่า
    ก็บัณฑิตใดเห็นสัทธรรม บัณฑิตนั้นชื่อว่าเห็นเรา ผู้ไม่เห็นสัทธรรม
    ถึงจะเห็นเราก็ชื่อว่าไม่เห็น กายมีโทษไม่สิ้นสุด เปรียบเสมอด้วย
    ต้นไม้มีพิษ เป็นที่อยู่ของโรคทุกอย่าง ล้วนเป็นที่ประชุมของทุกข์
    เพราะฉะนั้น ท่านจงเบื่อหน่ายในรูป พิจารณาเห็นความเกิดขึ้น
    และความเสื่อมไปแห่งขันธ์ทั้งหลาย จักถึงที่สุดแห่งสรรพกิเลสได้
    โดยง่าย

    ----
    พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า "พระพุทธรูปเป็นรูปที่น่าเกลียดซึ่งชนพาลชอบเล่า ก็บัณฑิตใดเห็นสัทธรรม บัณฑิตนั้นชื่อว่าเห็นเรา ผู้ไม่เห็นสัทธรรม ถึงจะเห็นเราก็ชื่อว่าไม่เห็น" ชาวพุทธกราบไหว้ยึดถือในรูปที่พระพุทธเจ้าบอกว่าเป็นรูปที่น่าเกลียด มีโทษไม่สิ้นสุด เป็นที่อยู่ของโรค เป็นที่ประชุมของทุกข์ ท่านบอกว่านับถือศาสนาพุทธ ท่านเป็นสาวกประเภทไหนกันละทิ้งคำสอนของพระพุทธเจ้า

    ผมไม่ได้เป็นศิษย์วัดสามแยก ผมเชื่อหลักฐานจากพระไตรปิฏก พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นจริงตลอดกาล ใครมีหลักฐานบอกว่ารูปหล่อรูปปั้นเป็นพระพุทธรูปเอามายืนยัน รูปหล่อรูปปั้นที่พวกท่านกราบไหว้ผมก็ไม่เห็นคนปั้นจะสลักชื่อว่าพระพุทธรูปสักรูปหนึ่ง เห็นมีแต่หลวงพ่อนั้น หลวงพ่อนี้ ไม่เห็นมีพระพุทธรูปสักองค์
    คำว่าพระพุทธรูปที่ปรากฎในพระสูตรนี้ หาใช่ความหมายเดียวกันกับพระพุทธรูปที่เราคุ้นเคยกันอยู่ แต่พระพุทธรูปในพระสูตรนี้มีความหมายว่า รูปกายของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือกายเนื้อที่ทรงบอกว่าเปื่อยเน่า เป็นรังแห่งโรค ซึ่งเป็นเรื่องเบญจขันธ์ หาใช่รูปหล่อแทนองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า(ซึ่งไม่มีเบญจขันธ์) ถ้าพิจารณถ้อยความดีๆจะเข้าใจความหมายนี้ได้อย่างถ่องแท้ ซึ่งเป็นมติของพระเถรานุเถระทั้งหลาย
    อีกประการถ้อยคำที่ท่านนำมาต่อเติมเองเองเพื่อโจมตีพระพุทธรูปนั้นไม่ตรงกับพระไตรปิฎก ซึ่งถ้อยคำที่แท้จริงก็คือ
    ครั้งนั้น พระพิชิตมารทรงทราบว่า เรายินดีในพระพุทธรูป จึงได้ตรัสสอนเราว่า
    อย่าเลยวักกลิ ประโยชน์อะไรในรูปที่น่าเกลียดซึ่งชนพาลชอบเล่าก็บัณฑิตใดเห็นสัทธรรม บัณฑิตนั้นชื่อว่าเห็นเรา ผู้ไม่เห็นสัทธรรมถึงจะเห็นเราก็ชื่อว่าไม่เห็น กายมีโทษไม่สิ้นสุด เปรียบเสมอด้วยต้นไม้มีพิษ เป็นที่อยู่ของโรคทุกอย่าง ล้วนเป็นที่ประชุมของทุกข์ เพราะฉะนั้น ท่านจงเบื่อหน่ายในรูป พิจารณาเห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปแห่งขันธ์ทั้งหลาย จักถึงที่สุดแห่งสรรพกิเลสได้โดยง่าย (วักกลิเถราปทาน พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๓ บรรทัดที่ ๒๗๖๘ - ๒๘๔๑. หน้าที่ ๑๒๒ - ๑๒๕.)

    ในอรรถกถาก็ยืนยันว่าพระพุทธรูปหมายถึงเบญจขันธ์ของพระพุทธเจ้าไม่ใช่พระพุทธรูปแบบปัจจุบัน ดังหลักฐานนี้
    พระวักกลิพอได้รับพระโอวาทจากพระศาสดา โดยนัยเป็นต้นว่า กึ เต วกฺกลิ อิมินา ปูติกาเยน ทิฏฺเฐน ดูก่อนวักกลิ จะมีประโยชน์อะไร ด้วยการที่เธอต้องมาดูร่างกายอันเปื่อยเน่านี้ (อรรถกถา ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ ๕๔. กัจจายวรรค ๒. วักกลิเถราปทาน)

    ร่างกายอันเปื่อยเน่าก็คือกายเนื้อแบบมนุษย์ซึ่งเปื่อยเน่าได้ซึ่งพระพุทธรูปในปัจุบันไม่ได้เปื่อยเน่ามีแต่ผุพัง

    ท่านเล่นตัดต่อพุทธพจน์เพื่อสนับสนุนความเห็นของตน มันไม่น่าจะถูกต้อง มันผิดทั้งเนื้อหา การตีความและการอ้างอิง เป็นความคลาดเคลื่อนอย่างมากของท่าน การโจมตีพระพุทธรูปของท่านจึงเป็นแค่ความเห็นผิด ดังนั้นรีบแก้ไขอย่าเอาทิฐิตนเองเป็นที่ตั้ง

    แบบนี้ละ ไม่บิดเบือนพระไตรปิฏก
    อนุโมทนาสาธุ กับท่านถิ่นธรรมครับ
    (พวกที่ชอบบิดเบือน มีนรกเป็นที่ไป)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...