ผีมีจริง...ตอนสร้างเมรุเผาศพเสร็จเพราะมีเว็บพลังจิตใช้งบเกือบล้าน(ป่าช้าโบราณ)

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย พระจิรวัฒน์ ญาณวโร, 7 กรกฎาคม 2011.

  1. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    รูปคุณโยnahpee คุณโยมลองย้อนกลับไปดู 1หน้า
     
  2. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]
     
  3. peerakul

    peerakul เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    9,428
    ค่าพลัง:
    +33,493
    งานผ้าป่าได้แจกพระผงจักรพรรดิ์บ้างหรือเปล่าคะพระอาจารย์
     
  4. nahpee

    nahpee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    554
    ค่าพลัง:
    +690
    ...อุโมงค์ปฏิบัติธรรม ปรับปรุงล่าสุดครับพระอาจารย์
    ...ยอดบนเป็นปูนปั้นดอกบัวมีเลข ๙ ไทยกำกับอันหมายถึงในรัชกาลของในหลวงจะได้เป็นสิริมงคลครับ
    ...มีโอกาสให้ ช่างมาดูที่หน้าจอด้วยก็ดีครับ
    ...อ้อ น้องดวงกมล ที่ถวายโต๊ะหมู่บูชา
    ...เธอแจ้งมาเมื่อเช้าฝากร่วมทำบุญสมทบเพื่อบูรณะอุโมงค์กับน้าพี อีก ๑๐,๐๐๐ บาท ครับ
    ...ฉนั้นค่าประตู และอื่นๆที่อาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมจะรวมอยู่ในปัจจัยนี้ด้วยครับ
    ****
    ที่ผนังอุโมงค์ด้านล่างถ้าช่างสามารถทำเป็นปูนปั้นดอกบัวลอยตัวแปะผนังได้ก็จะดูมีมิติขึ้นครับ

    ***อ้อบอกบุญมายังผู้ที่สนใจร่วมทำบุญบูรณะอุโมงค์กับ น้าพี หลวงปู่ท่านให้ช่างประเมินราคาวัสดุคล่าวๆ 25,000.- บาท ซึ่งน้าพีได้ถวายปัจจัยไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ส่วนใครพร้อมจะมีส่วนร่วมด้วยก็ยินดีนะครับตามแต่กำลังศรัทธาในอัตภาพของตนเองครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 มีนาคม 2012
  5. nahpee

    nahpee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    554
    ค่าพลัง:
    +690
    ...เห็นหลวงปู่ท่านแจกเป็นถุงเลยครับกับหัวหน้าคณะที่มาทำบุญ
    ...อนุโมทนาสาธุด้วยครับ
     
  6. ผีกองกอย

    ผีกองกอย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กันยายน 2011
    โพสต์:
    455
    ค่าพลัง:
    +214
    น่าเสียดายแอบเเวะเข้าไปดูแปปเดียวเองครับ เเล้วก้เข้าวัดบ้านหนองผักแว่นไปดูกำแพงแปปหนึ่ง เเล้วก็ออกไป หนองพอกเลย ขึ้นเขาพระถ้ำอุตละ เเละทีวัด ลืมเเละ วัดทีสร้างบนเขามีเจดีย์หิน รอบๆๆๆปู้ก็ดันลืม อีกและ เเละก้เข้าไปดูเจดีกลางป่าบนเขาทางเดินคนสมัยโบราณ กราบนมัสการพระคุณเจ้าทุกท่านเเละขออนุโมทนาบุญด้วยครับ
     
  7. ณิช

    ณิช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,391
    น้าพี ณิชขอร่วมบุญบูรณะอุโมงค์ 500 บาทค่ะ ไม่ทราบว่าจะโอนเงินทำบุญนี้ที่เลขที่บัญชีใดคะ อนุโมทนาบุญกับน้าพีและภรรยาด้วยค่ะ สาธุ
     
  8. nahpee

    nahpee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    554
    ค่าพลัง:
    +690
    ...คุณณิช โอนมาได้ครับ
    ชื่อบัญชี นายฐานวัฒน์ สุระพิพิธ
    บัญชีออมทรัพย์เลขที่ 313-268114-4
    ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)
    สาขาสนามบินน้ำ นนทบุรี

    ...การจัดสรรเงินบริจาค น้าพี จะใช้วิธี
    ...สมทบเข้าไปในราคาบูรณะอุโมงค์ที่เสร็จสิ้นสมบูรณ์
    ...เช่น ขณะนี้เงินบริจาค น้าพี 25,000.-บาท
    ...เงินบริจาคจากน้อง ดวงกมล 10,000.- บาท
    ...เงินบริจาคคุณ ณิช 500.- บาท
    ...เงินบริจาคพี่รัตน์ 3,000.-บาท
    ...ก็เท่ากับว่า น้าพีถวายปัจจัยบริจาคไปจริงๆ ณ ขณะนี้
    = 25,000-10,000-500-3,000 = 11,500.- บาท
    ...ฉนั้นเงินที่เข้าบัญชี น้าพี จะนำมาใช้จริงก็ต่อเมื่อ วงเงินค่าบูรณะอุโมงค์เกิน 25,000.-บาท
    ...ทุกท่านจึงมีโอกาสร่วมทำบุญเต็มกำลังศรัทธาที่ตั้งใจไว้
    ...เรียกว่าแบ่งปันบุญกันครับ
    ...ส่วนเงินที่กลับมาหาน้าพี คงไว้ทำบุญเรื่องอื่นๆกันต่อไปที่ วัดป่าบ้านหนองผักแว่นแห่งนี้ที่เดียวเท่านั้นครับ

    ***แต่อย่างไรก็คาดว่าน่าจะเกิน 25,000.-บาทแน่นอนอยู่แล้วครับ ราคาประตูยังไม่ได้คิด และอื่นๆอีกจนกว่าจะแล้วเสร็จสมบูรณ์ ถึงจะรู้ยอดเงินที่ชัดเจนตามที่ใช้จ่ายจริงครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 มีนาคม 2012
  9. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,287
    ขอบคุณที่แนะนำครับ สาธุ
     
  10. ณิช

    ณิช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,391
    น้าพี่ วันนี้เที่ยงได้โอนเงินทำบุญเข้าบัญชีแล้วนะคะ แนบslipมาด้วยค่ะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • bank slip.pdf
      ขนาดไฟล์:
      113.3 KB
      เปิดดู:
      87
  11. nahpee

    nahpee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    554
    ค่าพลัง:
    +690
    ...อนุโมทนาสาธุในบุญที่ร่วมกันครับ คุณณิช
    ...ขอให้เจริญในธรรมและพบแสงสว่างแห่งการหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวงครับ
    ...นิพพานัง ปรมังสุขัง
    นิพพานัง ปรมังสุญญัง
    นิพพานะ ปัจจะโยโหตุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 มีนาคม 2012
  12. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    อนุโมทนาสาธุ คุณโยมพ่อpeeเเละคณะบุญทุกท่าน ทุกคนเทอญสาธุๆ
     
  13. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    [​IMG]
     
  14. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    [​IMG]

    ชื่อบัญชี นายฐานวัฒน์ สุระพิพิธ
    บัญชีออมทรัพย์เลขที่ 313-268114-4
    ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)
    สาขาสนามบินน้ำ นนทบุรี
     
  15. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    [​IMG]
    พิธีบายศรีสู่ขวัญตามเเบบโบราณ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มีนาคม 2012
  16. nahpee

    nahpee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    554
    ค่าพลัง:
    +690
    ...ไปเจอบทความที่เขียนเกี่ยวกับนิพพาน เข้าใจง่ายดี
    ...คนเขียนเป็นฆราวาสที่เลื่อมใสหลวงพ่อโพธิ์ศรีสุริยะ เขมรโต แห่งวัดร่มโพธิธรรม
    ...ลองอ่านและพิจารณาดูครับ

    นิพพานคืออะไร?

    ช่างเป็นคำถามที่ตรงเปรี้ยงและตอบยากจริงๆ(สำหรับคนอื่นนะ..ฮา) เพราะนิพพานนั้นพ้นไปจากสมมติบัญญัติที่ใช้ๆกันอยู่ในโลกนี้ แต่เราสามารถเลียบๆเคียงๆเอากับกฏไตรลักษณ์ได้ว่านิพพานคืออะไร ซึ่งกฏไตรลักษณ์นี้เองที่บ่งบอกเป็นนัย หรือเป็นรหัสนัยแห่งพระนิพพาน

    กฏไตรลักษณ์ คือกฏแห่งธรรมชาติที่เป็นจริงอยู่ตลอดไม่มีว่างเว้น เป็นสัจจะที่เป็นจริงนิรันดรไม่ว่าจะเวลาไหน ซึ่งมีอยู่ 3 ข้อคือ

    อนิจจัง คือ ความไม่เที่ยง เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
    ทุกขัง คือ ความเสื่อมไปโดยตัวมันเอง
    อนัตตา คือ ความที่ไม่มีอะไรเป็นตัวตนจริง

    ด้วยกฏอันเป็นสัจจนิรันดรทั้ง 3 ข้อนี้เอง บ่งบอกให้เรารู้ว่า นิพพานไม่ใช่อะไรสักอย่างเดียว และถ้าหากนำสัจธรรมที่พระพุทธเจ้าประกาศมาแปลให้เข้าใจง่ายๆจะได้ว่า เราท่านทั้งหลายนั้นไม่มีตัวตนจริง เป็นเพียงภาพมายาล้วนๆ ดังนั้นก็จงปลงกายปลงใจทิ้งเสีย แล้วเดี๋ยวจะตื่นออกจากความเป็นมายานั้นจนเนื้อหาเดิมแท้ที่นิพพานอยู่แล้วปรากฏขึ้นเอง

    ถามต่อว่าสภาวะนิพพานเป็นอย่างไร?

    ต้องบอกก่อนว่านิพพานนั้นไม่ใช่แม้แต่สภาวะใดสักอย่างเดียว พ้นไปจากคำว่าใช่หรือไม่ใช่ เป็นหรือไม่เป็น ถ้าอธิบายว่านิพพานเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แบบนั้นมั่วแล้วครับ อุปาทานเอาเอง

    ผมจะอธิบายเรื่องนิพพานผ่านสถานะของความเป็นน้ำก็แล้วกัน

    น้ำนั้นมีหลายสถานะ เป็นของเหลวก็ได้ เป็นไอก็ได้ เป็นน้ำแข็งก็ได้ จะปนเปื้อนหรือบริสุทธิ์ก็ได้ ถามว่าในสถานะต่างๆนั้น น้ำมันอึดอัดขัดเคืองที่ต้องเป็นอะไรๆตามอุณหภูมิและสภาพแวดล้อมหรือไม่?

    น้ำไม่มีตัวตนที่จะอึดอัดกับสถานะใด เพราะมันไม่มีตัวตนซ้อนลงไปในธาตุน้ำนั้นๆ และทุกสภาวะที่น้ำเป็นนั้นก็เป็นเพียงชั่วคราวตามแต่สภาพแวดล้อมจะนำพาไป ไม่ว่าจะใส่ EM ball ลงไปกี่ลูกน้องน้ำก็ไม่สะท้านอยู่แล้ว 555

    สภาวะต่างๆที่น้ำเป็นไม่ว่าของเหลว ของแข็ง ไอน้ำมันก็เสื่อมลงไปเองโดยสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป จากน้ำแข็งที่ละลายกลายเป็นน้ำ จากน้ำที่ระเหยกลายเป็นไอ จากไอน้ำกลั่นตัวกลับมาเป็นน้ำ จากน้ำกลายเป็นน้ำแข็งอีก การเปลี่ยนสถานะเหล่านี้ไม่มีใครหรืออะไรเข้าไปยึดธาตุน้ำว่าเป็นตัวเอง น้ำไม่ได้ยึดว่ามันคือน้ำ และบัญญัติที่เราเรียกมันว่าน้ำ มันก็ไม่ได้รับรูอะไรด้วย มันจึงไม่มีความเป็นอะไร มันจึงไม่ขัดแย้งกับอะไร มันจึงไม่อึดอัดขัดเคืองกับอะไร แบบนี้เรียกว่าธาตุนิพพานครับ มันนิพพานอยู่แล้วตลอด

    ทีนี้พอมาดูที่มนุษย์บ้าง มนุษย์นั้นมีแต่ความอึดอัดขัดเคืองในสภาพแวดล้อมต่างๆที่บีบคั้นตลอดเวลา จริงๆแล้วทุกอย่างในกายในใจมนุษย์แม้กระทั่งสภาวะอารมณ์มันก็เหมือนน้ำนั่นแหละครับ มันเปลี่ยนแปลงตลอด เสื่อมไปตลอด และไม่เป็นตัวตนจริงๆอยู่แล้วตลอด แต่เมื่อมีคำว่า "เรา" ขึ้นมา มีชื่อมีนามสกุลขึ้นมา กายนี้ใจนี้มันเลยมี "เรา" มีนายนั่น นางสาวนี่ คุณหมอนั่น ด็อกเตอร์นี่ ไปหลงยึดมันเป็นเจ้าของ พอมันเปลี่ยนแปลงไปตามธรรมชาติของมันตามปกติก็ไม่พอใจ พอมันเสื่อมลงก็ทุกข์

    ซึ่งไอ้ความเป็น "เรา" นี้เองที่มันขัดแย้งกับธรรมชาติที่มัน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาอยู่แล้วตลอด เพราะ "เรา" มันชอบที่จะสุขสบายอยู่ยืนยงแบบนิรันดร โดยไม่รู้ความจริง 3 ข้อดังกล่าว หรือรู้ก็เพิกเฉย ดิ้นรนสู้เพื่อดำรง "ตัวเอง" ต่อไป

    ด้วยเหตุนี้ความเป็น "ตัวเรา" มันก็คือส่วนเกินของธรรมชาติ ส่วนเกินของความธรรมดา และอะไรก็ตามที่ฝืนธรรมชาติ ธรรมดา มันก็ไม่เคยพอดีโดยตัวมันเองอยู่แล้ว มันก็เลยทุกข์ไง

    ก็สรุปได้เลยว่า ไม่ต้องไปแสวงหาความสุขที่ไหนหรอก เพราะมันไม่มีจริงไม่ว่าความสุขทางโลกหรือทางธรรม ไม่ว่าจะยากดีมีจน เป็นเหมือนกันหมด ความสุข ความทุกข์เป็นเพียงภาพมายาที่ผ่านมาผ่านไปยึดเอาไม่ได้ทั้งนั้น แต่เราก็ยังวิ่งไล่ยึดหรือวิ่งหนีมันอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่นั่นเอง

    ไม่เชื่อลองไปดูในประวัติศาสตร์โลกได้เลย มีใครสักคนไหม ที่เป็นสุขอมตะยั่งยืนชั่วนิรันดร์ ไม่มีแม้แต่คนเดียว

    นิพพานถ้าจะอธิบายให้ง่ายก็คือความไม่หลงไปขัดแย้ง ไม่ขัดขืนฝืนใจกับสิ่งใดที่มัน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาอยู่แล้วตลอด เมื่อไม่ขัดแย้งมันก็กลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวไปกับทุกๆสิ่ง ไม่มีตัวตนของ"เรา" ขึ้นมาแบ่งแยกอะไรจากอะไร และเมื่อกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับทุกสรรพสิ่ง เมื่อนั้นก็หมดทุกข์ หมดความอึดอัดขัดเคืองในทุกๆสิ่ง

    สัจธรรมแห่งองค์พุทธะนั้น เรียกง่ายๆว่าเป็นวิชาล่องหนหายตัว ไม่ใช่เอาตัวเราไปหายจากอะไรนะ แต่เป็นการสลายตัวตนไปเลย คือปลงกายปลงจิตเสีย ให้หมดตัวตนในอะไรๆ ในสภาวะใดๆ และนั่นก็คือนิพพานโดยตัวมันเองอยู่แล้ว ไม่มีใครไปขัดแย้งกับอะไรอีกต่อไป แม้กายใจจะยังดำรงอยู่ มันก็จะไม่หลงไปขัดแย้งกับสภาวะไหนแม้แต่อย่างเดียว หรือปัญหาอย่างถาวรไปเลย

    ตรงข้ามกับอัตตาตัวตน อัตตาตัวตนนั้นเปรียบเสมือนน้ำแข็งที่พยายามจะเป็นน้ำแข็งอยู่ตลอดแม้อยู่ในทะเลทรายหรือหม้อต้มน้ำ ดังนั้นการที่จะคงสภาพเป็นน้ำแข็งอยู่ได้ในทุกๆที่ก็ต้องใช้พลังงานในการคงสภาพมันเอาไว้ สิ่งนี้เองที่ทำให้อัตตาตัวตนไม่ยืดหยุ่น แยกตัวออกจากสิ่งต่างๆ และหลงขัดแย้งกับสิ่งต่างๆ มีเขามีเรา มีเหลืองมีแดง เพราะความคับแคบที่เลือกเอาสภาวะใดสภาวะหนึ่งเป็นตัวตนของตัวเอง ความพยายามที่จะดำรงตัวตนที่เป็นน้ำแข็งเอาไว้นี้เองที่ทำให้เกิดทุกข์ขึ้น ทุกข์เพราะสิ่งที่ตัวเองยึดถือว่าเป็นตัวตนนั้นมันเปลี่ยนแปลงและเสื่อมไปตลอดเวลา

    กายและใจเรานั้นก็อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาอยู่แล้ว พอมันเปลี่ยนไป เสื่อมไป ถ้าไปยึดเอามันก็ทุกข์ ก็มันเสื่อมของมันอยู่แล้ว ไม่มีใครที่ไม่เสื่อมเลยแม้แต่คนเดียว ทัดเทียมกันหมด และก็ไม่มีใครชนะธรรมชาติได้แม้แต่คนเดียวเหมือนกัน ใครไปดึงหนังหน้ามาเดี๋ยวก็เหี่ยวได้อีก ใจเราอารมณ์ต่างๆก็ไม่ใช่อะไร ไม่ใช่ของเรา แล้วเราดิ้นรนพยายามทำอะไรกันอยู่? ในเมื่ออัตราความสำเร็จในการดำรงตัวตนตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติเท่ากับศูนย์ แม้แต่กายขันธ์ของพระพุทธเจ้าท่านก็ยังแสดงให้ดูเลยว่าอยู่ใต้กฏไตรลักษณ์เหมือนกัน ไม่ได้มีสิทธิพิเศษต่างจากคนอื่นๆเลย เพราะถ้าพระองค์ท่านเอาแต่แสดงธรรมอันนำให้ผู้คนรู้สึกวิเศษ เดี๋ยวก็ไปอุปาทานกันเอาอีก ท่านจึงแสดงให้เห็นความเสือมกันจะๆไปเลยว่า แม้แต่ธาตุขันธ์ขององค์ท่านก็อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาเหมือนกัน

    สัจธรรมน่ะ ถ้าอธิบายให้ยากมันก็ยาก อธิบายให้ง่ายมันก็ง่าย แต่ก็อธิบายได้ทุกรูปแบบแหละ ขอให้ตรงเนื้อหาแห่งความว่างจากตัวตนเอาไว้มันก็จะอธิบายได้ทุกรูปแบบโดยที่เนื้อหาไม่ผิดเพี้ยนแม้แต่นิดเดียว ขึ้นอยู่กับว่าใครติดยาก ใครติดง่าย ก็พูดกันไปตามเนื้อผ้า
     
  17. nahpee

    nahpee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    554
    ค่าพลัง:
    +690
    นี่ก็เป็นการถาม-ตอบ น่าสนใจดีครับ ลองอ่านดู(คนเดียวกันกับกระทู้ด้านบน)

    ผู้ถาม:
    ขอกราบเรียนถามคำถามที่สืบเนื่องจากบทความนี้ (ถ้าไม่มีตัวดู ตัวรู้ เราจะปลง จะตัดได้อย่างไร?) นะครับว่า ถ้าเราปล่อยแม้แต่การฝึกจิตที่เป็นตัวเรานี้ จุดแตกต่างระหว่างคนฝึก กับคนไม่ฝึกอยู่ตรงไหนหรือครับ? แบบนี้แปลว่าเราไม่ทำอะไร หรือไม่ปฏิบัติก็ได้ เพราะนั่นเท่ากับเป็นการ "ปล่อยวาง" ตั้งแต่แรกแล้ว? บทความนี้เข้ามาโดนตรงใจผมพอดีเลยครับ แต่ต้องรบกวนถามอีกครั้่งเพื่อความเข้าใจมากขึ้น ขอบพระคุณครับ

    PM:
    เมื่อมีสัมมาทิฏฐิ(เห็นตรง)แล้วว่าไดๆล้วนไม่ยึดกันอยู่แล้ว(อนิจจัง) เสื่อมในตัวมันเอง(ทุกขัง) และว่างอุปทานในการหลงยึดว่ามีตัวตนจริงๆ(อนัตตา) ทุกอย่างก็ตรงเอง สติ สมาธิ ปัญญา ฯลฯ ก็จะสัมมา แบบอัตโนมัติ และบริสุทธิ์เพราะปราศจากตันหา(เจตนาในการเข้าไปฝึกแบบมีเป้าหมายให้ตัวเองบรรลุ) ก็วางใจเอง ไม่ต้องดิ้นรนในการต้องมี ต้องเป็นแบบใหนอีก ก็จะดับเย็น(นิโรธ) สอดคล้องกับนิพพานอยู่แล้วไปเอง


    Admin:
    คนที่ปฏิบัตินั้นก็เพราะหลงไปปฏิบัติ หลงในธรรม มันก็เป็นอัตตาในธรรม คนธรรมดาทั่วไปที่หลงโลก เขาก็ยึดก็หลงแบบโลกๆ ทั้งสองประเภทถือว่าก็ยังหลงไปยึดในความที่ไม่มีอะไรเลย ก็เพราะทุกอย่างนั้นล้วน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หรือเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เสื่อมไปโดยตัวมันเอง และไม่มีอะไรเป็นตัวเป็นตนอยู่แล้ว แม้กระทั่งความที่เราหลงคิดว่าเป็นตัวเรานั่นแหละ

    เมื่อรู้และเข้าใจสัจธรรมแล้วก็วางใจ จะจิตแบบไหนใจอย่างไรก็ช่างมัน ไม่เข้าไปแทรกแซง ไม่เข้าไปทรง ไม่เข้าไปปรับแต่ง ไม่ต้องดิ้นหนีดิ้นสู้ ไม่ไหลตามมัน แล้วมันจะคลายออกจากความเป็นอัตตาไปเองเมื่อเราไม่ใส่เจตนาในการบังคับจิตเข้าไป ถึงจุดหนึ่งมันก็จะละสักกายทิฏฐิไปเอง ทุกกระบวนการที่เกิดขึ้นจึงไม่มีผู้เข้าไปกระทำเอา และไปเร่งมันก็ไม่ได้ มันจะคลายออกตามวาระของมันเอง เพียงแต่ไม่ต้องไม่ตั้งเอากับอะไรเอาไว้เท่านั้น นี่คือเนื้อหาของสติปัฏฐานสี่ที่แท้จริง ไม่ใช่ไปตั้งดูตั้งรู้อย่างที่นิยมฝึกปฏิบัติกันครับ

    ผู้ถาม:
    แบบนี้มันเป็นผลจากการฝึกมาช่วงนึงหรือเปล่าครับ จนจิตมีปัญญา สามารถรู้แบบไม่ปรุงแต่ง ไม่แทรกแซง ไม่ดิ้นหนึ แต่สำหรับช่วงแรกๆ ของการฝึก (แม้ช่วงกลางๆ ก็ด้วย) ถ้าไม่ "ตั้ง" อะไรไว้เลย แล้วเราจะ "ฝึก" อะไรล่ะครับ

    ผู้ถาม:
    ขอกราบเรียนอีกครับ ด้วยความเคารพ ว่าทุกคำถาม ถามเพื่อนำไปใช้จริงๆ มิได้ตั้งแง่ถกเถียง ต้องขออภัยล่วงหน้าอีกครั้ง

    ผู้ถาม:
    เพราะสำหรับปุถุชน แบบผม จิตไม่ตั้งมั่นเอาซะเลย ส่วนใหญ่ของการปฏิบัติจะเป็นการเหม่อลอยซะส่วนใหญ่ วันๆ นึงมันก็ไม่ได้มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันมากซักเท่าไหร่เลยครับ

    Admin:
    การแจ้งในสัจธรรมนั้นไม่ขึ้นกับการฝึกใดๆ ที่คิดแบบนั้นก็เป็นทิฏฐิที่บังสัจธรรมอยู่ คือคิดว่าตัวเองยังดีไม่พอที่จะบรรลุ ตัวเองยังเป็นบัวในน้ำอยู่ ยังไม่พ้นน้ำ ตัวเองเลว ตัวเองชั่ว ศีลยังไม่ครบ สมาธิยังไม่ดี สติยังรั่ว ฯลฯ สารพัดจะนึกขึ้นมาบังตัวเอง ทั้งๆที่สัจธรรมนั้นส่งตรงสู่จิตอยู่แล้ว

    ขณะที่องคุลิมาลบรรลุธรรมนั้น ท่านเหนื่อยที่วิ่งตามพระพุทธเจ้าจนปลงหมดแล้ว คือท่านยอมแล้ว จึงเปิดใจที่จะฟังพระพุทธเจ้าอย่างเต็มที่ พระพุทธเจ้าท่านจึงให้สัจธรรมประโยคเดียว องคุลิมาลจึงบรรลุเป็นพระอรหันต์ทันที

    ก็ช่วงที่องคุลิมาลวิ่งไล่พระพุทธเจ้าอย่างเอาเป็นเอาตายนั่นแหละคือพระองค์ท่านให้องคุลิมาลใช้กรรมในส่วนสุดท้ายที่จะบังสัจธรรมจนหมด แล้วจึงให้สัจธรรม ท่านจึงบรรลุฉับพลัน

    ถามว่าศีลท่านครบไหม?...ก็ไม่
    ถามว่าท่านทำกรรมฐานมาก่อนไหม?..ถ้าจะนับการวิ่งไล่พระพุทธเจ้าเป็นกรรมฐานก็พอจะได้นะ

    มนุษย์เรามันหลงกันมาอยู่แล้ว ทำกรรมฐานกันมาอยู่แล้ว อย่างเช่นตอนมีสติ สมาธิจดจ่อในการทำงานนั่นแหละ คือกรรมฐาน แล้วจะต้องทำอะไรอีก?

    ในเมื่อไม่มีใครจริงๆ(อนัตตาอยู่แล้ว) แล้วเราจะเอา "เรา" ไปฝึกใครได้เล่า

    เนื้อหาสติปัฏฐานจริงๆก็คือให้ปลง ให้ละเจตนาในการใช้ธาตุขันธ์ไปเลย ปล่อยให้มันเป็นธรรมชาติ ไม่บังตับ ไม่ปรุงแต่งกรรมซ้อนลงไป แล้วนั่นแหละมันก็จะเป็นธรรมที่โดยธรรมอยู่เองแล้วทันที พอไม่ทำกรรมซ้อนลงไป กรรมเก่ามันก็จะคลายตัวมันเองออกมา ไอ้ที่หลงว่าเป็นอัตตาก็จะคลายตัวมันเองออกมาจนเนื้อหาเดิมแท้ที่ประภัสสรอยู่แล้ว แจ้งออกจากเมฆหมอกของโมหะมาเอง

    ก็ฟังสัจธรรมให้เข้าใจ ขอขมากรรมบ่อยๆ และหยาดน้ำเรื่อยๆ เดี๋ยวมันก็จะคลายออกจากอุปาทานในธาตุขันธ์ไปเอง

    Admin:
    ที่พูดกันว่าต้องนับหนึ่งปฏิบัติธรรมเนี่ย ถามจริงๆว่าตอนนี้เราอยู่ที่ศูนย์หรือที่สิบ?

    มันไม่ต้องไปนับหนึ่งอะไรหรอกครับ มันหลงไปเริ่มไปจบ เพราะโดยความเป็นจริงแล้วมันจบอยู่แล้วแม้จะเริ่มหรือไม่เริ่มก็ตาม

    ที่ให้ปลงนั้นก็เพราะว่าเรามันเลยหนึ่งมานานแล้ว การที่จะแจ้งตรงต่อนิพพานซึ่งเป็นสุญญตาธรรม คือว่างจากตัวตน "ศูนย์" ตัวตนนั้น คุณคิดว่าจะต้องทำอะไรเป็นพิเศษอีกเล่า?

    ถ้าไปลงมือทำอีกมันก็เลยแล้ว

    Admin:
    คุณสมบัติของมโนธาตุโดยเนื้อหาเดิมแท้นั้นคือ รู้เปล่าๆ ไม่ปรุงแต่ง ไม่จำ รู้แล้วดับลงเฉยๆ ไม่ต่อเนื่องเป็นสันตติ

    แต่พอหลงไปปรุงแต่งเท่านั้น มันก็เป็นจิตขึ้นมาทันที จิตนี้เองคือทั้งหมดของอัตตาตัวตน จิตที่รู้ไปตามลักษณะแง่มุมต่างๆของการรู้นั้น รวมเรียกว่า วิญญาณขันธ์ คือรู้และปรุงแต่งไปบนโมหะอวิชชา ดังนั้นจะไปฝึกจิตไม่ได้ เพราะเมื่อใดที่หลงไปทำจิต ทำสติในเชิงอัตตวิสัยซ้อนลงไปบนมโนธาตุ มันก็จะเป็นกรรม มันก็จะเป็นอ้ตตาซ้อนบนมโนธาตุ และกลายเป็นอุปาทานยึดลงในจิตว่าเป็นตัวตน

    ทีนี้จะละสักกายทิฏฐิไ้ด้อย่างไรในเมื่อหลงอุปาทานในจิตเสียแล้ว...ก็ให้ปลง

    Admin:
    การที่สอนว่าให้รู้อย่างเป็นกลางด้วยจิตตั้งมั่นนั้น คนสอนก็ยังไม่เขัาใจเนื้อหาที่แท้จริงว่า เป็นกลางจากอะไร เป็นกลางยังไง จิตตั้งมั่นนั้นมันคืออะไร

    รู้ด้วยจิตเป็นกลางนั้นก้คือเป็นกลางจากอัตตาตัวตนในการรู้ ถามว่าถ้าไปบังคับให้จิตมันรู้ มันจะเป็นกลางจากตัวตนไหม?...ก็ไม่ เพราะมันมีตัวตนไปบังคับให้มันรู้ มันจึงเป็นอัตตา ทีนี้ส่งการบ้านทีไรมันก็มึดทุกที ตกลงว่าอาจารย์สอนผิดหรือศิษย์โง่?

    โดยสติดั้งเดิมแท้อันเป็นคุณสมบัติของมโนธาตุเดิมนั้นมัน "รู้อย่างเป็นกลาง" เองอยุ่แล้ว ถ้าไปบังคับให้มันรู้ มันก็จะมีแต่สภาวะเป็นเพ่งกับเผลอ แต่ถ้าปลงรู้เสีย ช่วงแรกแม้มันจะซัดส่ายไปบ้างก็ไม่เป็นไรเพราะมันเป็นแรงกรรมเก่าที่เ้ข้ามากระทบ ก็ช่างมัน จะจิตแบบไหน ใจอย่างไรก็ช่างมัน จะโล่งจะอึดอัดขัดเคืองก็ช่างมัน แล้วอัตตาที่ซ้อนลงบนจิตจะคลายออกเอง สว่างเอง แจ้งตรงต่อนิพพานไปเอง

    ส่วนที่ชอบไปฝึกให้จิตมันตั้งมั่นนั้นก็ผิดอีกนั่นแหละ จิตมันอยู่ภายใต้กฏไตรลักษณ์ ขืนไปฝึกให้มันตั้งมั่นในอารมณ์เดียว มันก็เป็นอัตตาเท่านั้นเอง

    เนื้อหาของการตั้งมั่นก็เกิดจากการปลงตัวรู้อันเดียวกันนั่นแหละ จิตที่ตั้งมั่นของมันเอง นั้นก็คือสัมมาสมาธิ คือสมาธิที่เกิดเองเป็นเองโดยพ้นจากอัตตวิสัยในการทำเอา จะเป็นสมาธิตั้งมั่นได้ก็ต้องปลง พอปลงแล้ว สติเดิมแท้จะเป็นสติไปเอง เรียกว่ามหาสติ จะเป็นมหาสัมปชัญญะไปเอง คือรู้แบบกว้างออก ไม่จดจ่อที่ใดที่หนึ่ง เป็นสมาธิไปเอง เพราะหมดเชื้อในการยึดกับธาตุและสภาวะอันเป็นอนิจจัง ซึ่งยังให้เกิดการกระเพื่อมจากการเกิดดับตลอดเวลาของสภาวะธรรมนั่นเอง

    ก็จะเอาอะไรได้จากสิ่งที่เป็นอนัตตาอีกเล่าพอได้แล้ว

    Admin:
    ท่านใดที่มีอธิวาสนาได้มาเจอกับสัจธรรม ก็ไม่ต้องสงสัยในบารมีตัวเองอีกแล้ว เพราะมันก็เป็นแต่กรรมบังทั้งนั้น ให้เปิดใจฟังตรงๆ แล้วอัตตา ความหลง อุปาทานทั้งหลายจะคลายออกไปเองครับ

    ผู้ถาม:
    ขอบคุณมากครับ ฟังแล้วรู้สึกว่ามัน Make sense มากๆ แต่ก็ขออนุญาติยอมรับตรงๆ เลยว่า มันแทบจะเป็นการล้างทิษฐิเก่าทิ้งไปเกือบหมดเลย จากทัศนคติที่เห็นการปฏิบัติเป็นเรื่องของการ "สะสม" กลายเป็นว่า "จะสะสมทำไม เรามีพร้อมอยู่แล้ว", จากที่ต้อง "ทำอะไรซักอย่าง" กลายเป็น "ไม่ต้องทำอะไรเลย" ฯลฯ ยอมรับครับว่า Shock เล็กๆ แต่ก็รู้สึกว่ามันตรงใจหลายเรื่อง ขอบคุณมากครับ ขอบคุณอีกครั้ง

    ผู้ถาม:
    ขออนุญาตถามอีกนะครับ แสดงว่า สติอริยะ หรือการรู้แบบซื่อๆ นั้น เกิดขึ้นจากการเข้าใจ ไม่ใช่เกิดจากการฝึกฝน ใช่มั๊ยครับ?

    Admin:
    สติอริยะนั้นไม่ได้เกิดจากการเข้าใจครับ สติอริยะนั้นคือคุณสมบัติของมโนธาตุดั้งเดิมแท้อยู่แล้ว มันรู้ซื่อๆ ไม่หลงไปปรุงแต่งของมันเองอยู่แล้ว

    ความเป็นปุถุชนนั้นเกิดจาก "หลง" เอาว่าเป็นตัวตน ต้องใช้คำว่าหลงนะครับ เพราะทุกอณูธาตุและสภาวะทั้งหลายก็ล้วนแล้วแต่อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาอยู่แล้ว

    ถ้ามันอนัตตาอยู่แล้ว..จะมีใครที่ไหนอีกไหมที่ไม่นิพพาน นอกจากหลงไปเอง

    อัตตาจริงๆนั้นก็ไม่มีเพราะอัตตาก็เป็นอนัตตาเหมือนกัน คือเป็นอัตตาได้มันก็เสื่อมได้ คลายได้ ก็ล้วนอนัตตาทั้งนั้น

    เข้าใจให้ตรงนะครับว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นั้นไม่ใช่ธรรมคู่ แต่ทุกอย่างล้วนอยู่ภายใต้กฏไตรลักษณ์อยู่แล้ว ไม่เ้ว้นแม้กระทั่งสัจธรรมคำสอนเเองก็เป็นเพียงสมมติอย่างหนึ่งที่ถูกอุปโลกน์ขึ้นมาล้างความหลง ซึ่งในที่สุดแล้วเมื่อแจ้งตรงต่อสัจธรรม สัจธรรมก็ไม่มีค่ามีความหมายอะไร

    และการที่จะแจ้งตรงต่อสัจธรรมนั้นก็ต้องปลงในส่วนที่เป็นเจตนาลงทั้งหมด สติอริยะก็จะแจ้งแสดงตัวออกมาเอง พูดง่ายๆคือทุกสรพพดวงจิตนั้นอริยะอยุ่แล้วแต่ถูกโมหะอวิชชาครอบงำเอาไว้ คงเคยได้ยินว่า "จิตคือพุทธะ" หรือ "พุทธะมีอยู่ในทุกคนอยู่แล้ว" ก็ตรงนี้แหละครับ

    Admin:
    แล้วรู้หรือไม่ว่าอริยสัจสี่นั้น ทำไมนิโรธถึงขึ้นก่อนมรรค? แล้วทำไมมรรคจึงเป็น "อริยมรรค"?

    ทุกข์คือ สภาวะที่อึดอัดขัดเคือง ทนได้ยาก (เพราะมีอัตตาตัวตนซ้อนในสภาวะที่หลงเข้าใจว่าเป็นตัวเอง)

    สมุทัยคือ เหตุแห่งทุกข์ ก็คือหลงไปว่าสรรพสิ่งที่รับรู้นั้นมีจริง ก็ให้ปลงเสียซึ่งสมุทัย คือทุกสิ่งทุกอย่างก็ช่างมัน ไม่ต้องเอาอะไรมาใส่ใจ ไม่ต้องเอาใจไปผูกกับอะไร สติปัฏฐานสี่จริงๆแล้วก็คือปลง ที่สอนกันว่า "สักแต่ว่าไป" ก็คือปลง ไม่เอาอะไรกับสภาวะใดๆ ไม่ใส่เจตนาลงไปในรู้ในเห็น มันก็จะไม่ไหลไปปรุง แล้วมันจะคลายออกจากความหลงไปเอง เมื่อความหลงคลายออกก็จะแจ้งตรงต่อนิโรธก่อน จากนั้นมรรคจึงจะเดินเอง

    นิโรธ หรือนิพพานคือ ความ "ว่าง" จากตัวตน หรือ "ว่าง" จากตัวตนซ้อนลงในทุกๆธาตุ ทุกๆสภาวะ

    อริยมรรค คือ กระบวนการถอดถอนจากความหลง อริยมรรคนั้นพ้นไปจากอัตตวิสัย พูดง่ายๆก็คือทำเอาไม่ได้นั่นเอง ก็ต้องปลงทั้งสี่ฐาน เพราะพระพุทธเจ้าทรงบอกเอาไว้แล้วว่าขันธ์ห้าไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวเรา จะแจ้งตรงต่อนิพพานได้ไม่ใช่ไปฝึกดู ฝึกรู้ เพราะไอ้ตัวที่ไปตั้งดู ตั้งรู้นั้นคือตัวเรานั่นเอง ถ้าสังเกตดีๆ พอดูจิตขึ้นมาเมื่อไหร่ ก็จะเห็น"ตัวเรา" ซ้อนขึ้่นมาดูสภาวะทันที ซึ่งสิ่งนี้ยืนยันได้ว่า การดูจิตที่สอนๆกันอยู่ทั่วบ้านทั่วเมืองนั้น เป็นโลกียวิสัย แล้วมันจะนำสู่โลกุตรธรรมอย่างนิพพานได้ยังไง ก็ปลงตัวรู้(ตัวเรา)เสียเองเลย เมื่อหมดหลงว่าเป็นตัวตน มันก็จะแจ้งไปเอง

    ไม่มีใครแจ้งตอนเป็นปุถุชนนะครับ แจ้งตรงต่อนิพพานแล้ว มันจะเข้าใจเนื้อหาเองทั้งหมด แต่ที่ฝึกๆกัน ศึกษากันอยู่เนี่ย มันคือความพยายามที่จะ"แจ้ง"ก่อนแล้วค่อยนิพพาน...ถามจริงๆว่ามันเป็นไปได้เหรอ?

    ถ้าไปดูกันจริงๆ ในพระสูตรสำคัญอันเป็นหัวใจหลักของพระพุทธศาสนาไม่เคยพูดเรื่องอัตตาเลย เพราะอะไรครับ?

    ก็เพราะอัตตาจริงๆนั้นไม่มีไงเล่า!!!

    สังโยชน์ 10 ขึ้นด้วยอะไรครับ?

    สักกายทิฏฐิใช่หรือไม่?

    แล้วสักกายทิฏฐิแปลว่าอะไรครับ แปลว่า ความเห็นว่าเป็นตัวเป็นตน หรืออธิบายอย่างละเอียดก็คือ มันไม่มีอัตตาอยู่แล้ว ทุกอย่างล้วนอนัตตาหมด มีแต่หลงกันไปว่าเป็นตัวเป็นตนเท่านั้นเองครับ

    ก็ละสักกายทิฏฐิได้ มันจะแจ้งไปเองว่า อ๋อ...ุทุกอย่างมันนิพพานอยุ่แล้วนี่เอง มันไม่เคยมีอะไรเป็นอัตตาเลยแม้แต่วินาทีเดียว

    Admin:
    ก็ไปขอขมากรรมก่อนเพื่อเปิดกรรมที่มันปิดบังอยู่ แล้วก็ฟังสัจธรรมบ่อยๆ มันจะเข้าใจและคลายออกจากความหลง ความยึดติดไปเองครับ

    ผู้ถาม:
    ขอบพระคุณมากครับ

    ธนน รัตนบรรณกิจ(ปริ๊นซ์)
    1023/56 ซ.ปรีดีพนมยงค์ 41 ถ.สุขุมวิท 71 คลองตันเหนือ วัฒนา กทม.10110
    Email: prince.dhanon@gmail.com
    MSN(Chat อย่างเดียว): prince.dhanon@hotmail.com
    Twitter: @rombodhidharma
    Facebook: Rombodhidharma/ Dhanon Rattanabunnakij
    Mobile
    (DTAC): 081-552-9856 (เวลาสนทนาธรรม จันทร์-ศุกร์ เวลา 14.00-16.00น.)
    AIS 1-2-Call: 089-050-4205 (เวลาสนทนาธรรม ทุกวัน เวลา 23.00-01.00น.)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มีนาคม 2012
  18. nahpee

    nahpee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    554
    ค่าพลัง:
    +690
  19. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    วันนี้ ทางวัดป่าเตรียมต้อนรับคณะผู้ใจบุญ จากกรุงเทพมหานคร
    พรุ่งนี้จะนำภาพมาให้ร่วมอนุโมทนาบุญด้วยกันคุณโยมผู้ติดตามข่าวบุญจากทางวัดป่าบ้านหนองผักเเว่น จ.ร้อยเอ็ด
     
  20. ตาคำหมาน

    ตาคำหมาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +1,666
    วัดป่าผีดุ...ตอนท้าพิสูจน์คนที่ไม่เชื่อเรื่องผี

    ผมเดินทางพร้อมครอบครัวมาทำบุญที่วัดป่าบ้านหนองผักเเว่น ตำบลโพธิ์ทอง อำเภอเสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด ตามคำเชิญของพระอาจารย์จิรวัฒน์ หรือชาวบ้านเรียกติดปากว่าอาจารย์ศรี พระหนุ่มที่เป็นพระนักพัฒนา เเละท่านมีเมตตาต่อคณะของผมเป็นอย่างดี ผมประทับใจชาวบ้านที่นี่มาก มีน้ำใจทุกคน มาครั้งเเรกประทับใจต้นไม้ ในวัดครับร่มรื่นเย็น สบายๆ เหนื่อยจากการเดินทางไกล เมื่อมาถึงวัด พักเหนื่อยเเล้ว ท่านพระอาจารย์ พาคณะของเราเดินชมป่าช้า ซึ้งเป็นครั้งเเรกที่ได้เดินในป่าช้า เริ่มจากเมรุเผาศพที่พระอาจาร์จิรวัฒน์ เเละหลวงปู่ดี ท่านร่วมกับชาวบ้านสร้างไว้เพื่อเป็นที่เผาศพ ตรงนี้ผมเห็นประโยชน์มากจริงๆ ท่านอาจารย์ พาเดินเข้าไปดูที่ฝังศพที่มองด้วยสายตา หลายสิบศพหากว่านับจำนวนเสาที่ฝังไว้ เเต่มีอยู่ศพหนึ่ง เดินผ่านฝังไว้ในช่องปูนสี่เหลี่ยม ผมขนลุก ขนหัวตั้งเเต่ไม่พูดอะไร เกรงใจคนอื่นจะกลัวไปด้วย เก็บอาการไว้ อาจารย์ศรี อธิบายที่มาของศพชื่อคุณเขียว ตายด้วยอุบัติเหตุ รถชนราวสะพาน ก่อนตายไม่เชื่อเรื่องบาปบุญว่ามีจริง...เเถมยังพูดเย้ยหยันคนที่มาวัดป่าว่า ไอ้ตัวบุญมันเป็นตัวอย่างไร..เอามาให้ดูหน่อยชิ...ไม่เกิน1ปีหลังจากนั้นก็ตายด้วยวัยเพียง40ต้นๆ เมื่อเดินผ่านเข้าไปในป่าช้า ผมมีความรู้สึกเหมือนว่ามีคนเดินตาม บางที่ก็เหมือน
    มีคนจ้องมองตลอดจนถามพระอาจารย์ว่า อาจาย์..ผีเคยหลอกคนที่นี่ไหม..พระอาจารย์ บอกว่าอย่าว่าเเต่คนเลยคุณโยม พระบวชเข้ามา
    ขี้เกียจ ไหว้พระสวดมนต์ยังอยู่ไม่ได้ ผมก็ฟังๆยังไม่เชื่อตามที่ท่านเล่า สักพักเหมือนมีอะไรมาดึงขา คิดในใจเราอุปาทานเเน่เลย หันซ้ายหันขวา พระอาจารย์เดินไปจะถึง
    อุโมงค์ ผมก้าวขาจะไม่ออก เหมือนจะหมดเเรงข้าวต้นไปอย่างนั้น ใจบอกเเล้วว่าที่นี่ต้องมีอะไรดีๆเเน่เลย เมื่อเดินมาหยุดที่หน้าอุโมงค์ มาทราบภายหลังว่า กำลังจะบูรณะใหม่ทั้งหมด โดยผู้ผุ้ใจบุญจากจ.นนทบุรี ชื่อคุณnahpee ท่านพระอาจารย์เเละหลวงปู่ เมตตาเล่าให้ฟังให้คณะพวกเราฟัง...อนุโมทนาสาธุครับ กราบหลวงปู่เเล้ว คณะเราทั้งหมดกลับ
    ที่พัก เมื่อทานอาหารเย็น มีไข่เจียว ผัดถั่ว ผัดผักบุ้ง เป็นอาหารเมื้อที่อร่อยมาก คงเป็นเพราะความหิว เหนื่อยนั้นเอง เมื่อทานข้าวเสร็จผมขอตัวลุกไปอาบน้ำก่อนคนอื่นๆ ห้องน้ำวัดป่าที่นี่สวยงามมาก ทันสมัยกว่าที่บ้านผมซะอีก ผมเดินดูห้องน้ำสองรอบ เเต่ละห้องสวยงามจริงๆมีป้ายบอกชัดเจน หน้าห้องน้ำมี่ชาวบ้านมาปลูกดอกไม้ประดับอีก อาบน้ำเสร็จเข้าห้องนอนก่อนคนอื่นๆเลย ว่าจะไหว้พระก็นึกในใจ ว่าคงไม่เป็นไร เหนื่อยกำลังจะหลับเคลิ้มๆเสียงเปิดประตูเข้ามาเดินมาในห้องนึกว่าคุณพี่ต๋อย เสียงเข้าห้องน้ำในใจคิดถึงป่าช้าหลุมฝังศพ นอนง่วงมากเเต่ไม่หลับ ใครเข้าห้องน้ำนานจังใจนึกรอสักพัก เงียบไฟในห้องก็เปิดอยู่ ผ่านไปเกือบ20นาที ยังไม่ออกมาจากห้องน้ำ ผมตัดสินใจลุกนั้งตั้งสติ เราไม่ได้ฝันไป เราได้ยินคนเปิดประตูเข้ามาเเล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำจริงๆ ตัดสินใจ ลุกเดินสามสี่ก้าว ห้องน้ำไม่มีใคร...เเล้วเสียงใครเดินเข้ามา รีบเดินไปถามว่าคุณอรวรรณ คุณต๋อย คุณนี เมื่อประมาณ20นาที่มีใครเข้าไปห้องบ้าง ทุกคนถามว่าเกิดอะไรขึ้นเหรอรีบตอบเปล่าๆไม่มีอะไร ผมมาขอธูป7ดอกเทียน2เล่มไปไหว้พระครับ คราวนี้เปิดหนังสือสวดมนต์ สวดทุกบท จนถึงเเผร่เมตตาพร้อม จุดธูปขอขมาเจ้าที่เจ้าทาง นึกใจเจอดีเข้าเเล้วเรา เรื่องนี้เราจะไม่พูดให้ใครฟังจนกว่าจะถึงตอนเช้า...หลับสะบายสดุ้งตื่นอีกทีตีสาม หมาหอน...ตอนเเรกเสียงอยู่ไกลๆโน้น...สักพักหอนเข้ามาใกล้กุฏิทุกคนตื่นสวดมนต์พร้อมกันโดยไม่ต้องปลุก....ได้เเต่มองหน้ากัน ต่างคนต่างสวดมนต์ครับ ประทับใจมากครับที่วัดว่าบ้านหนองผักเเว่น คราวหน้าผมจะกลับมาทำบุญที่นี่อีกครับ
    ตอนเช้ามาเดินดูอีกที ชอบที่นี่เสียเเล้วครับ
    สุรศักดิ์ สถิตเลิศสกุลวงค์ เเละครอบครัว
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC03490.JPG
      DSC03490.JPG
      ขนาดไฟล์:
      140.7 KB
      เปิดดู:
      207
    • DSC03475.JPG
      DSC03475.JPG
      ขนาดไฟล์:
      144.2 KB
      เปิดดู:
      32
    • DSC03455.JPG
      DSC03455.JPG
      ขนาดไฟล์:
      148.1 KB
      เปิดดู:
      34
    • DSC03452.JPG
      DSC03452.JPG
      ขนาดไฟล์:
      150.4 KB
      เปิดดู:
      34
    • DSC03454.JPG
      DSC03454.JPG
      ขนาดไฟล์:
      149.6 KB
      เปิดดู:
      60
    • DSC03465.JPG
      DSC03465.JPG
      ขนาดไฟล์:
      146.5 KB
      เปิดดู:
      322
    • DSC03464.JPG
      DSC03464.JPG
      ขนาดไฟล์:
      149.1 KB
      เปิดดู:
      37
    • DSC03467.JPG
      DSC03467.JPG
      ขนาดไฟล์:
      142.9 KB
      เปิดดู:
      29
    • DSC03476.JPG
      DSC03476.JPG
      ขนาดไฟล์:
      154.1 KB
      เปิดดู:
      30
    • DSC03489.JPG
      DSC03489.JPG
      ขนาดไฟล์:
      143.8 KB
      เปิดดู:
      41

แชร์หน้านี้

Loading...