อยากทราบว่ามีใครเคยเห็นเหมือนผมไหมครับ ช่วยบอกวิธีแก้ให้ทีครับ

งั้นผมว่า คุณก็ควรจะเข้าใจกับธรรมชาติของคุณครับ เข้าใจกับยอมรับสภาพ ไม่เหมือนกันนะครับ เข้าใจนั้นกรอบของมันคือธรรมชาติทั้งหมด แต่ยอมรับสภาพคือ กรอบเล็กๆที่ตัวคุณเอง ทุกอย่างมันมีเหตุผลที่ต้องเป็นอย่างนี้ ไม่มีอะไรที่เกิดขึ้นโดยไม่มีสาเหตุ ไม่งั้นคุณก็จะทุกข์หรือสุขกับสภาพที่คุณเป็น

เช่น ผมเปิดกล่องiphoneมา ผมรู้สึกว่า ไอ้เครื่องนี้มันวิเศษมากมันทำงานได้ยังไงเนี่ย
ผม ยอมรับ ว่ามันวิเศษ ผมมีความยินดีมีความสุข

แต่ถ้าสมมติว่าผมรู้ว่ามันถูกสร้างขึ้นมายังไง มันทำงานยังไง เข้าใจ ทั้งหมดของมัน ผมก็จะไม่แปลกใจเลยที่มันเป็นรูปร่างนี้ มันทำงานอย่างนี้ ผมจะจำแนกได้ว่าอะไรคือ iphone อะไรไม่ใช่

แล้วอาจจะตั้งคำถามว่า ผมจะเข้าใจธรรมชาติทั้งหมดได้ยังไง
ง่ายมาก
ทุกอย่างที่ผมสัมผัส ต่อเนื่องมาเป็นทุกอย่างที่ผมคิด มันมีที่มาและมันจะถูกส่งต่อไปเรื่อยไม่สิ้นสุด แต่ธรรมชาติไม่ใช่แค่สิ่งต่างๆที่สัมผัสได้ทางประสาทสัมผัสเท่านั้น แต่ธรรมชาติทั้งหมดคือ รวมความคิดความรู้สึกของผมด้วย ที่เกิดขึ้นเพราะมีสิ่งกระทบเลยเกิดขึ้น แล้วผมก็จะเห็นว่า อะไรที่ไม่รวมอยู่ในธรรมชาติ จะแยกได้โดยอัตโนมัติ อะไรที่ไม่สามารถมีผลกระทบจากธรรมชาติ
ผมจะจับอยู่ที่ตรงนั้น ทุกความคิด ความรู้สึก มันเป็นธรรมชาติ นั่นแหละคือการเข้าใจว่าอะไรคือธรรมชาติ และไม่รู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ จะแยกได้ว่าอะไรคือ ธรรมชาติ อะไรไม่ใช่ เพราะธรรมชาติคือการเปลี่ยนแปลงตลอดตามสาเหตุ ซึ่งมีสิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติ ก็คือไม่ใช่ธรรมชาติ มันจะไม่ถูกรวมกับธรรมชาติอีกต่อไป

 

ใช่คนที่เพิ่งโดนแบนไปหรือเปล่าว๊าาาาา... เฮ่อๆ ๆ ๆ เริ่มระแวงไปทั่วแล้วครับเนี่ย เฮ้ออออ...

 

ครับ ทุกอย่างล้วนมีเหตุและผล ขอบคุณมากครับ^^

 

เอ่อผมเพิ่งสมัครใหม่ครับ เผอิญผมจะมาหาคำตอบบางอย่างซึ่งเพื่อนได้แนะนำให้มาเว็บนี้ ก็เลยลองเข้ามาครับ ถ้าหากการกระทำทำให้ท่านใดต้องมีความขุ่นมัว ต้องขอโทษด้วยนะครับ น้องใหม่ครับ ^^

 

ท่านโดนจิตมันหลอกครับคือท่านเคยได้ยินได้อ่านมาแล้วชอบหรือปรารถนาโดยไม่รู้ตัว จิตมันเลยสร้างภาพตามที่ท่านปรารถนาโดยไม่รู้ตัว(อาจเกิดจากความอยากของจิตใต้สำนึก)ที่นี้ที่ท่านไปหาหมอแล้วหมอบอกว่าปรกติท่านก็ถูกจิตมันหลอกคือจิตมันรู้อยู่แล้วว่าปรกติแต่ไปหาหมอยืนยันเพื่อให้ได้คำตอบที่จิตต้องการว่าท่านมีความสามารถพิเศษ(จิตมันชอบ)เช่นเดียวกันท่านมาถามคนในเวบนี้ก็เพื่อให้ทุกคนบอกว่าท่านมีความสามารถพิเศษ(จิตมันชอบมันเลยหลอกท่านอีกชั้นหนึง)
ผมคิดว่าท่านสนใจในศาสนาพุทธแต่ท่านเริ่มต้นผิดไปเลือกอ่านและศึกษาในเรื่องอภิญาปราฏิหารย์ ถ้าท่านเพิ่งสนใจศาสนาพุทธแนะนำให้ท่านเริ่มด้วยอ่านคู่มือมนุษย์ของอาจารย์พุทธทาสแล้วจิตของท่านเองจะหลอกตัวท่านได้ยากขึ้น
ปล.ที่ท่านเห็นนะเห็นจริงแต่ที่ท่านเห็นนะไม่จริง มันเป็นเพียงจิตที่ท่านสร้างขึ้นมาหลอกตัวเองเท่านั้น

 

ครับผมก็ขอให้มันเป็นไปอย่างนั้น ปล.อย่างที่บอกครับ ผมสนใจในหลักธรรมของพระศาสดาและไม่ศรัทธาในเรื่องอิทธิฤทธิ์ครับเพราะ การที่จะบรรลุธรรมที่แท้จริงต้องอาศัย ศีล สมาธิและ ปัญญาเป็นที่พึ่งครับ ขอบคุณมากครับ

 

"ผมสนใจในหลักธรรมของพระศาสดาและไม่ศรัทธาในเรื่องอิทธิฤทธิ์ครับเพราะ การที่จะบรรลุธรรมที่แท้จริงต้องอาศัย ศีล สมาธิและ ปัญญาเป็นที่พึ่งครับ"

เข้าใจอะไรผิด หรือสับสันอะไรรึเปล่า !! การจะมี หรือไม่มีอิทธิฤทธิ์ ไม่ได้เป็นเงื่อนไขในการบรรลุธรรมน่ะครับ

คุณกำลังคิดว่า พระอรหันต์ พระอริยเจ้า หากท่านมีอิทธิฤทธิ์ ก็ไม่มีสิทธิ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะบรรลุธรรมใช่มั้ย

คุณกำลังคิดว่า เฉพาะแต่พระอรหันต์-พระอริยเจ้า ที่ไม่มีอิทธิฤทธิ์เท่านั้น ถึงจะมีสิทธิบรรลุธรรมใช่หรือเปล่า

 

อ่อ ผมหมายถึงว่ามีได้ครับแต่ไม่ควรไปยึดติดเพราะพระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ได้ไปสรรเสริญเรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์นะครับ
อ้างอิง

ตามหลักการของพระพุทธศาสนา พระพุทธองค์ไม่ทรงสรรเสริญอิทธิปาฏิหาริย์
เพราะมีโทษถึง 4 ประการ คือ
1. ทำให้มนุษย์ไม่หวังผลจากการกระทำ
2. ไม่พัฒนาตัวเอง
3. ตกอยู่ในความประมาท
4. หมดอิสระภาพ
ขณะเดียวกัน หลักการของพระพุทธศาสนาที่ถูกต้อง คือสอนให้ใช้ความเพียร
ให้หวังผลจากการกระทำ ให้เรียนรู้พัฒนาตนเองและไม่ประมาท รวมทั้งให้พึ่งตนเอง
พระธรรมปิฏก กล่าวว่า ปาฏิหาริย์นั้นมี 3 อย่าง คือ
อิทธิปาฏิหาริย์ คือ ปาฏิหาริย์แสดงฤทธิ์ได้
อาเทสนาปาฏิหาริย์ ปาฏิหาริย์ทายใจคนได้ และ
อนุสาสนีปาฏิหาริย์ คือ สอนให้รู้เข้าใจ ความจริง ให้เกิดปัญญา เป็นอิสระ
ทั้งสามอย่างนี้ พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญ อนุสาสนีปาฏิหาริย์
แต่ทรงตำหนิอิทธิปาฏิหาริย์และอาเทสนาปาฏิหาริย์
พร้อมกันนี้ก็ทรงบัญญัติสิกขาบท ไม่ให้พระสาวกแสดงฤทธิ์ หากแสดงฤทธิ์
ก็จะเป็นอาบัติมีความผิด
Cr.
ปล.อาจจะเป็นไปได้ที่จะไม่บรรลุธรรมครับถ้าแสดงฤทธิ์ อิทธิปาฏิหาริย์ และอาเทสนาปาฏิหาริย์ เพราะพระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ให้เป็นอาบัติครับ^^

 

จะกล่าวว่าพระพุทธองค์ไม่สรรเสริญซ่ะทีเดียวก็ไม่ถูกต้องนัก
ถ้าไม่อย่างงั้น จะทรงสรรเสริญความเป็นเอตะทัคคะ ของพระสาวกหลายๆ รูป ในด้านอิทธิฤทธิ์ อภิญญาต่างๆ เอาไว้ทำไมหล่ะครับ

อีกทั้งยังให้แนวการปฏิบัติพระกรรมฐานไว้ถึง 40 วิธี ตามแต่จริตของแต่ละคน ซึ่งมีหมวด
หมู่ไว้่คร่าวๆ คือ สุขวิปัสโก เตวิชโช ฉฬภิญโญ และ ปฏิสัมภิทัปปัตโต

ซึ่งถ้าหากพระพุทธองค์เกรงว่า จะทำให้เกิดการยึดติด อย่างที่ชอบเข้าใจกันอย่างคลาดเคลื่อน ก็แล้วทำไมพระพุทธองค์ ไม่สอนให้ประพฤติ ปฏิบัติ ไว้แต่เฉพาะในหมวด สุขวิปัสโก ซ่ะหมวดเดียวหล่ะครับ

ฉะนั้น ผู้ที่มีจริตชอบมาทางสายฤทธิ์ ก็ไม่ได้หมายความว่าคนพวกนี้ยึีดติดใช้ไม่ได้เสมอไปอย่างที่เข้่าใจน่ะครับ เพราะหลายๆ ท่าน ที่ชอบในแนวนี้ ก็บรรลุธรรมกันมานับไม่ถ้วน และหลายๆ ท่านก็ไม่เคยตั้งใจที่อยากจะมีฤทธิ์เดชอะไรเลย แต่สิ่งเหล่านี้ก็เป็นของแถม เป็นผลพลอยได้ และสิ่งเหล่านี้ก็ไม่ได้ไปบั่นทอนการเข้าถึงธรรมแต่อย่างใด

 

ปัญหาที่คุณถามมา คือ คุณมองเห็นในสิ่งที่คนธรรมดามองไม่เห็น แล้วมีอาการหูอื้อตามมา
ผมลองค้นข้อมูลดูแล้ว ขอเสนอความเห็นดังนี้
๑ สิ่งที่คุณเห็นสีดำรอบๆ ตัวคุณ อาจเป็นสิ่งที่เรียกว่าเจ้ากรรมนายเวร หรือพลังชั่วร้าย ที่พยายามจะเข้าตัวคุณ แต่เข้าไม่ได้ ซึ่งเชื่อกันว่า ถ้าได้ตั้งจิตขอขมา และอุทิศส่วนกุศลที่เคยทำไปให้ ก็จะหายไปได้
๒. สิ่งที่คุณเป็น อาจเรียกได้ว่าเป็น ความสามารถพิเศษ (ตาทิพย์) อย่างหนึ่ง ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นผลจากบุญเก่าที่เคยทำไว้แต่ปางก่อน ทำให้เห็น สิ่งบางสิ่ง ที่คนธรรมดามองไม่เห็น แต่ความสามารถพิเศษชนิดนี้ คงใช้พลังงานจากระบบประสาทเป็นอย่างมาก จึงมีผลกระทบทำให้หูอื้อได้ วิธีแก้ไข คือ การเรียนรู้ ฝึกฝน ที่จะควบคุมการเห็นของคุณ ให้เห็นได้ในเวลาจำเป็น และไม่เห็นในเวลาไม่จำเป็น <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-comfficeffice" /><o></o>
หวังว่าคงเป็นประโยชน์บ้างครับ

 

รู้แล้วนี่ไม่ต้องหาคำตอบแล้วละ

 

ครับเข้าใจแล้วครับควรทำทุกอย่างให้เป็นไปอย่างธรรมชาติ ขอบคุณครับ^^

 

เป็นประโยชน์มากเลยครับ ขอบคุณครับ^^

 

ครับขอบคุณสำหรับคำแนะนำครับ ต่อไปนี้ผมจะไม่ยึดติดกับมันละ ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ เรียนรู้ที่อยู่กับสิ่งนี้ให้ดีที่สุด ขอบคุณครับ^^