ขอถามครับถ้าก่อนจะตายนึกนิพพานอย่างเดียวจะนิพพานไหมครับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ballbeamboy2, 11 มีนาคม 2012.

  1. ballbeamboy2

    ballbeamboy2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    1,622
    ค่าพลัง:
    +1,618
    ตัวผมมีความคิดว่า ถ้าผมไม่สามารถเป็นพระอรหันต์ได้ จนผมแก่ใกล้จะตายแล้ว

    ตอนผมจะตาย แล้วนึกถึงนิพพานเป็นอารมณ์ แบบนี้จะตายไปแดนพระนิพพานไหม

    แล้วไม่สนใจ การเกิดเป็นพรหม เทวดา มนุษย์ ไรพวกนี้ จะไปแดนพระนิพพานไหม ถ้าเป็นได้ผมก็ครองเรือนทําบุญดูแลพระพุทธศาสนา ก่อนตายก็เกาะนิพพาน เอาไว้
     
  2. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    อ่านเต็มๆ

    ต้องทำความเข้าใจให้ดี หาก เกาะนิพพาน ก็ได้แค่ โลกียะผล ไม่พ้นนรกอยู่วันยันค่ำ

    แต่ เราต้องเกาะเอาไว้ แต่ไม่ใช่ เกาะเพื่อเกาะ เกาะเพื่ออยู่ เกาะเพื่อเป็น

    เรา เกาะไว้แค่อาศัยระลึก ตามระลึกเห็นอารมณ์เกาะนิพพาน นั้นเกิดอยู่

    ตามระลึกห่าง จนปล่อยอารมณ์เกาะนิพพาน เห็นชัดๆว่าเป็น โลกียะฌาณอันเป็นทุกขสัจจ

    ก็จะเป็นการปล่อย โลกียะผล เหมือนคนอาศัยแพเพื่อข้ามฝั่ง พอถึงฝั่ง
    อย่าเกาะ อย่ากอดแพ เอาขึ้นไปด้วย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มีนาคม 2012
  3. topnank

    topnank เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,899
    ค่าพลัง:
    +874
    นิพพาน เป็นเรื่องของการปฏิบัติ เป็น ลำดับเป็นขั้นเป็นตอน ศีลบริสุทธิ์ สมาธิ วิปัสสนา

    มีแค่ 0.0000001 ประมาณการว่าคือ นอนป่วยอยู่แล้วไปพิจารณาความทุกข์ที่เกิดขึ้นไป

    ตามลำดับของวิปัสสนา ก็สามารถบรรลุได้ แต่ไม่มี อภิญญา 6
     
  4. naroksong

    naroksong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    412
    ค่าพลัง:
    +1,135
    ถ้าไม่ได้สั่งสมอริยมรรคมีองค์ 8 มา จะนึกถึงนิพพานยังไงก็เปล่าประโยชน์

    แต่ถ้าเป็นผู้สั่งสมอริยมรรคมาดีแล้ว ไม่ต้องใกล้ตาย วันนี้/ชั่วโมงนี้/นาทีนี้/วินาทีนี้ เมื่อน้อมใจไปเพื่อนิพพานก็บรรลุได้ทันที

    ขอให้เจริญในธรรมครับ
     
  5. อะคะมะ

    อะคะมะ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +11
    แนะนำให้อ่านหนังสือของหลวงพ่ิอฤษีลิงดำคับ...ท่านพูดไว้เยอะมาก...ตอบคำถามได้ทุกแง่มุม...เกียวกับพระนิพพาน...ทีนี้ก็อยู่กับผู้ศึกษาคับ...ว่าจะเชื่อและปฏิบัติตาม..หรือจะไม่เอามาปฏิบัติตาม...เพราะยังไม่เชื่อ...ท่านไม่ว่ากันคับ
     
  6. Mr.Boy_jakkrit

    Mr.Boy_jakkrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    2,065
    ค่าพลัง:
    +2,682
    แค่ระลึกถึงอารมณ์นิพพานยังคิดไม่ออกเลยใช่ไหม ?

    เอางี้บุคคลที่จะมีสิทธิ์แบบนั้นคือ อย่างน้อยที่สุดคือถือศีลบริสุทธิ์จนตายโดยไม่ด่างพร้อยเลยแม้แต่น้อย ประกอบกับบรรลุพระโสดาปัตติมรรค เหมือนแลเห็นหนทางแต่ประสบการณ์ยังน้อย ก็ถือว่าไม่หลงทางแล้วล่ะ
     
  7. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    31
    ค่าพลัง:
    +4,062
    ต้องสร้างเหตุ ปัจจัย ให้สามารถเกาะอารมณ์นิพพานได้ ธรรมพระพทธองค์ไม่มีอะไรเกิดขึ้นลอยๆ
     
  8. ทศสึ

    ทศสึ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    91
    ค่าพลัง:
    +313
    .....

    ทำให้มากไว้ (อารมณ์นิพพิทาญาณ-เบื่อกาย เบื่อเกิด) ก็ตอนตื่นใหม่ๆกับตอนก่อนที่จะหลับ คิดให้มันมากเข้าไว้ 2 เวลานี้อย่าทิ้งนะ ครูบาอาจารย์(หลวงพ่อฤๅษี)ท่านสอนมาอย่างนี้ ฉันก็เห็นด้วยอย่างเต็มหัวใจเลยว่า นั่นคือ สิ่งที่ควรทำ
    แล้วเป็นความจริงที่สุดว่า บุคคลใดก็ตาม พึงตั้งใจกระทำใจของตน
    ยามตื่นมาใหม่ๆ กับก่อนที่จะหลับ ได้อย่างที่ท่านพูด นิพพานได้แน่นอนชาตินี้ เธอไม่ต้องให้ใครมาพยากรณ์ ว่านี่คือสิ่งที่เธอสะสมมาทุกวัน ๆ แล้วเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของเธอที่เป็น
    เอกายยะโน อะยังภิกขะเว มรรคโค สัตตานัง วิสุทธิยา - เป็นทางของคน ๆ เดียว เป็นทางเอกที่จะสามารถถึงมรรคผลได้ดีที่สุด เพราะยามที่เธอตื่นใหม่ ๆ เธอเป็นบุคคลคนเดียว ยามที่เธอจะหลับเธอก็เป็นบุคคลคนเดียว ถูกไหม คน ๆ เดียว ไม่มีภารกิจอะไร ไม่วุ่นวายอะไร ตอนนั้นไม่มีความปรารถนาในรูปเสียงกลิ่นรสสัมผัสอะไร

    2 เวลานี้ให้ถือเอาเป็นข้อปฏิบัติ อย่าให้เสื่อมคลาย เวลาอื่นไม่เป็นไร ถือว่าเป็นกำไรชีวิต สะสมได้มาก ก็ทำให้เธออยู่มันได้อย่างมีความสุขมากขึ้น เธอสะสมมันน้อย เธอก็ต้องผจญกับสิ่งที่กระทบมาก ทำใจได้ยาก แต่เธอก็จะไม่พลาดนิพพานเหมือนกัน "

    ท่านจิตโต 19 มิ.ย.2550

    รับฟังเพิ่มเติมจาก ลิ้งเว็ปข้างล่างครับ ทำไปทุกวัน เด๊่ยวผลจะปรากฎตอนใกล้ตายเองครับ
    รวมเสียงธรรม#วิธีคิดก่อนนอนและตื่นนอนใหม่ๆ (ทำ2เวลานี้ให้มากเพื่อสิ้นทุกข์ชาตินี้) - Buddhism Au
     
  9. แจ๊กซ์69

    แจ๊กซ์69 ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    3,142
    ค่าพลัง:
    +1,960
    ไม่รู้ไม่เคยนิพพานมาก่อน ถ้านิพแล้วคงไม่อยู่คุยด้วยหรอก

    ไงก็ลองเอามีดแทงตัวเองแล้วนึกถึงนิพพานดูแล้วกันครับ อิอิอิอิอิ:cool:
     
  10. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,480
    ค่าพลัง:
    +1,880
    ..............เจ่ก มาแบบ หล่อหล่อ เลยนะครับ วันนี้:cool:
     
  11. BossTH

    BossTH Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    145
    ค่าพลัง:
    +89
    ถ้าเจ็บป่วยอย่างรุนแรงและทรมาน จิตที่ไม่ได้ฝึก คงน้อมเข้าหาอารมณ์พระนิพพาน ยากครับ มีแต่ทาน แต่ไม่มีปัญญา(ทางธรรม) ก็คงต้้องไปลุ้นเองแล้วละครับ ว่าจะได้หรือเปล่า
     
  12. misu

    misu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,502
    ค่าพลัง:
    +3,172

    ขอตอบนะครับ...ไม่ได้ครับ เพราะนิพพานไ่ม่สามารถไปถึงได้ด้วยด้วยความนึกคิด...แต่นิพพานสามารถไปถึงได้ด้วยการปฏิบัติ..จนหมดจดปราสจากกิเลสเครืองเศร้าหมองทั้งหลาย....

    ตามที่กล่าวเลยครัับ..ครูบาอาจารย์ผมสอนมาแบบนี้ครับเลยนำมาแบ่งปันครับ
     
  13. GhostHead

    GhostHead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    1,010
    ค่าพลัง:
    +1,878
    การไปนิพพาน เค้าตัดกันตัวเดียว คือ สักกายทิฏฐิ หรือ ร่างกาย ถ้าตัดได้ก็ไปนิพพานได้

    ดูอย่างท่านพาหิยะ ท่านพาหิยะฟังองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเทศน์เพียงจบเดียว ก็สามารถตัดสักกายทิฏฐิได้ แล้วก็โดนแม่โคลูกอ่อนขวิดตาย แล้วท่านก็ไปนิพพาน



    ๑๐. พาหิยสูตร

    [๔๗] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวันอารามของท่าน
    อนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล กุลบุตรชื่อพาหิยทารุจีริยะ
    อาศัยอยู่ที่ท่าสุปปารกะ ใกล้ฝั่งสมุทร เป็นผู้อันมหาชนสักการะ เคารพ นับถือ
    บูชา ยำเกรง ได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะและคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร ครั้ง
    นั้นแล พาหิยทารุจีริยะหลีกเร้นอยู่ในที่ลับ เกิดความปริวิตกแห่งใจอย่างนี้ว่า
    เราเป็นคนหนึ่ง ในจำนวนพระอรหันต์หรือผู้ถึงอรหัตตมรรคในโลก ลำดับนั้นแล
    เทวดาผู้เป็นสายโลหิตในกาลก่อนของพาหิยทารุจีริยะ เป็นผู้อนุเคราะห์ หวัง
    ประโยชน์ ได้ทราบความปริวิตกแห่งใจของพาหิยทารุจีริยะด้วยใจ แล้วเข้าไปหา
    พาหิยทารุจีริยะ ครั้นแล้วได้กล่าวว่า ดูกรพาหิยะ ท่านไม่เป็นพระอรหันต์หรือไม่
    เป็นผู้ถึงอรหัตตมรรคอย่างแน่นอน ท่านไม่มีปฏิปทาเครื่องให้เป็นพระอรหันต์หรือ
    เครื่องเป็นผู้ถึงอรหัตตมรรค พาหิยทารุจีริยะถามว่า เมื่อเป็นอย่างนั้น บัดนี้
    ใครเล่าเป็นพระอรหันต์ หรือเป็นผู้ถึงอรหัตตมรรคในโลกกับเทวโลก เทวดาตอบ
    ว่า ดูกรพาหิยะ ในชนบททางเหนือ มีพระนครชื่อว่าสาวัตถี บัดนี้ พระผู้มี
    พระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ประทับอยู่ในพระนครนั้น ดูกร-
    *พาหิยะ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นแลเป็นพระอรหันต์อย่างแน่นอน ทั้งทรง
    แสดงธรรมเพื่อความเป็นพระอรหันต์ด้วย ลำดับนั้นแล พาหิยทารุจีริยะผู้อันเทวดา
    นั้นให้สลดใจแล้ว หลีกไปจากท่าสุปปารกะในทันใดนั้นเอง ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มี
    พระภาคผู้ประทับอยู่ในพระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีใกล้
    พระนครสาวัตถี โดยการพักแรมสิ้นราตรีหนึ่งในที่ทั้งปวง ฯ

    [๔๘] ก็สมัยนั้นแล ภิกษุมากรูปด้วยกันจงกรมอยู่ในที่แจ้ง พาหิยทารุจีริยะ
    เข้าไปหาภิกษุทั้งหลายถึงที่อยู่ ครั้นแล้วได้ถามภิกษุเหล่านั้นว่า ข้าแต่ท่านทั้งหลาย
    ผู้เจริญ บัดนี้ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ ที่ไหนหนอ
    ข้าพเจ้าประสงค์จะเฝ้าพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ภิกษุ
    เหล่านั้นตอบว่า ดูกรพาหิยะ พระผู้มีพระภาคเสด็จเข้าไปสู่ละแวกบ้านเพื่อ
    บิณฑบาต ลำดับนั้นแล พาหิยทารุจีริยะรีบด่วนออกจากพระวิหารเชตวัน เข้าไป
    ยังพระนครสาวัตถี ได้เห็นพระผู้มีพระภาคกำลังเสด็จเที่ยวบิณฑบาตในพระนคร
    สาวัตถี น่าเลื่อมใส ควรเลื่อมใส มีอินทรีย์สงบ มีพระทัยสงบ ถึงความฝึก
    และความสงบอันสูงสุด มีตนอันฝึกแล้ว คุ้มครองแล้ว มีอินทรีย์สำรวมแล้ว
    ผู้ประเสริฐ แล้วได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค หมอบลงแทบพระบาทของพระผู้มี-
    *พระภาคด้วยเศียรเกล้าแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
    ขอพระผู้มีพระภาคโปรดทรงแสดงธรรมแก่ข้าพระองค์ ขอพระสุคตโปรดทรงแสดง
    ธรรมที่จะพึงเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข แก่ข้าพระองค์สิ้นกาล
    นานเถิด ฯ

    [๔๙] เมื่อพาหิยทารุจีริยะกราบทูลอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า
    ดูกรพาหิยะ เวลานี้ยังไม่สมควรก่อน เพราะเรายังเข้าไปสู่ละแวกบ้านเพื่อ
    บิณฑบาตอยู่ แม้ครั้งที่ ๒ พาหิยทารุจีริยะก็ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่
    พระองค์ผู้เจริญ ก็ความเป็นไปแห่งอันตรายแก่ชีวิตของพระผู้มีพระภาคก็ดี ความ
    เป็นไปแห่งอันตรายแก่ชีวิตของข้าพระองค์ก็ดี รู้ได้ยากแล ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
    ขอพระผู้มีพระภาคโปรดทรงแสดงธรรมแก่ข้าพระองค์ ขอพระสุคตโปรดทรงแสดง
    ธรรมที่จะพึงเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข แก่ข้าพระองค์ตลอด
    กาลนานเถิด ฯ

    แม้ครั้งที่ ๒...แม้ครั้งที่ ๓ พาหิยทารุจีริยะก็ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า
    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ความเป็นไปแห่งอันตรายแก่ชีวิตของพระผู้มีพระภาคก็ดี
    ความเป็นไปแห่งอันตรายแก่ชีวิตของข้าพระองค์ก็ดี รู้ได้ยากแล ข้าแต่พระองค์
    ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคโปรดทรงแสดงธรรมแก่ข้าพระองค์ ขอพระสุคตโปรด
    ทรงแสดงธรรมเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข แก่ข้าพระองค์สิ้นกาล
    นานเถิด ฯ

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรพาหิยะ เพราะเหตุนั้นแล ท่านพึงศึกษา
    อย่างนี้ว่า เมื่อเห็น จักเป็นสักว่าเห็น เมื่อฟังจักเป็นสักว่าฟัง เมื่อทราบจักเป็น
    สักว่าทราบ เมื่อรู้แจ้งจักเป็นสักว่ารู้แจ้ง ดูกรพาหิยะ ท่านพึงศึกษาอย่างนี้แล ดูกร
    พาหิยะ ในกาลใดแล เมื่อท่านเห็นจักเป็นสักว่าเห็น เมื่อฟังจักเป็นสักว่าฟัง เมื่อ
    ทราบจักเป็นสักว่าทราบ เมื่อรู้แจ้งจักเป็นสักว่ารู้แจ้ง ในกาลนั้น ท่านย่อมไม่มี
    ในกาลใด ท่านไม่มี ในกาลนั้น ท่านย่อมไม่มีในโลกนี้ ย่อมไม่มีในโลกหน้า
    ย่อมไม่มีในระหว่างโลกทั้งสอง นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์ ฯ

    ลำดับนั้นแล จิตของพาหิยทารุจีริยะ กุลบุตรหลุดพ้นแล้วจากอาสวะ
    ทั้งหลายเพราะไม่ถือมั่นในขณะนั้นเอง ด้วยพระธรรมเทศนาโดยย่อนี้ของพระผู้มี-
    *พระภาค ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสสอนพาหิยทารุจีริยะกุลบุตรด้วย
    พระโอวาทโดยย่อนี้แล้ว เสด็จหลีกไป ฯ

    [๕๐] ครั้งนั้นแล เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จหลีกไปแล้วไม่นาน แม่โค
    ลูกอ่อนขวิดพาหิยทารุจีริยะให้ล้มลงปลงเสียจากชีวิต ครั้นพระผู้มีพระภาคเสด็จ
    เที่ยวบิณฑบาตในพระนครสาวัตถีเสด็จกลับจากบิณฑบาตในเวลาปัจฉาภัต เสด็จ
    ออกจากพระนครพร้อมกับภิกษุเป็นอันมาก ได้ทอดพระเนตรเห็นพาหิยทารุจีริยะ
    ทำกาละแล้ว จึงตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจง
    ช่วยกันจับสรีระของพาหิยทารุจีริยะยกขึ้นสู่เตียงแล้ว จงนำไปเผาเสีย แล้วจงทำ
    สถูปไว้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย พาหิยทารุจีริยะประพฤติธรรมอันประเสริฐเสมอ
    กับท่านทั้งหลาย ทำกาละแล้ว ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว ช่วยกัน
    ยกสรีระของพระพาหิยทารุจีริยะขึ้นสู่เตียง แล้วนำไปเผา และทำสถูปไว้แล้ว
    เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ได้นั่งอยู่ ณ ที่ควรข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้
    ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สรีระของพาหิยทารุจีริยะข้าพระองค์
    ทั้งหลายเผาแล้ว และสถูปของพาหิยทารุจีริยะนั้น ข้าพระองค์ทั้งหลายทำไว้แล้ว
    คติของพาหิยทารุจีริยะนั้นเป็นอย่างไร ภพเบื้องหน้าของเขาเป็นอย่างไร ฯ

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พาหิยทารุจีริยะเป็นบัณฑิต
    ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ทั้งไม่ทำเราให้ลำบาก เพราะเหตุแห่งการแสดงธรรม
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย พาหิยทารุจีริยะปรินิพพานแล้ว ฯ

    ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ได้ทรงเปล่งอุทาน
    นี้ในเวลานั้นว่า

    ดิน น้ำ ไฟ และลม ย่อมไม่หยั่งลงในนิพพานธาตุใด
    ในนิพพานธาตุนั้น ดาวทั้งหลายย่อมไม่สว่าง พระอาทิตย์
    ย่อมไม่ปรากฏ พระจันทร์ย่อมไม่สว่าง ความมืดย่อมไม่มี
    ก็เมื่อใดพราหมณ์ชื่อว่าเป็นมุนีเพราะรู้ (สัจจะ ๔) รู้แล้ว
    ด้วยตน เมื่อนั้น พราหมณ์ย่อมหลุดพ้นจากรูปและอรูป
    จากสุขและทุกข์ ฯ
    จบสูตรที่ ๑๐
    จบโพธิวรรคที่ ๑
    -----------------------------------------------------



    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๗
    ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต
    เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕ บรรทัดที่ ๑๖๐๗ - ๑๖๙๘. หน้าที่ ๖๙ - ๗๓.
     
  14. misu

    misu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,502
    ค่าพลัง:
    +3,172

    คือผมว่าท่านทำความเห็นไหม่ดีกว่านะครับ..... พูดกันตามเหตุผลไม่ต้องตามที่ท่นยกอ้างตามพระไตรปิฏก คนสมัยก่อนเขามีบุญเก่าแค่ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าไม่กีคำก้อบรรลุได้ อันนั้นจริง
    แต่จะมาตีความว่า แค่ การไปนิพพาน เค้าตัดกันตัวเดียว คือ สักกายทิฏฐิ หรือ ร่างกาย ถ้าตัดได้ก็ไปนิพพานได้ อันนี้ผิดถนัดเลยครับ เป็นความเห็นผิด สักยทิฏฐิ คือหนึ่งในสังโยชน์ 3 เท่านั้น จะไปพระนิพพานได้ต้องละ สังโยชน์ 10 ครับ
    ถ้าบอกตัดสักกายทิฏฐิ แล้ว ไปนิพพาน ได้ แสดงว่าคุณหอบเอาราคะโทสะโมหะ ไปด้วยหรอครับ มันไม่ใช่ครับ...ตัญหาสามยังละไม่ได้เลย....จะไปนิพพานได้ยังงัย ....ที่แสดงความเห็นไม่ได้ตำหนินะครับ ที่ที่ ลงสีแดงไว้นะผิดครับ หากเริมต้นผิด ปลายมันจะถูกได้อย่างไร....
     
  15. ผู้พันจุ่น

    ผู้พันจุ่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +2,983
    สัตว์มีอวิชาเป็นเครื่องกั้น ตัณหาเป็นเครื่องผูก
    ใกล้ตายต่อให้รู้ว่าคิดถึงสิ่งใดจะได้สิ่งนั้น....
    ต่อให้คิดถึง นิพพาน ๆ ๆ ๆ อรหัง ๆๆๆๆ

    กรรมที่ทำไว้มันบันทึกไว้ในจิตของท่านมาชั่วชีวิต
    จะมาคิดลบล้างแค่ก่อนตาย ...คิดหรือว่าจะทำได้
    ลองดูก็ได้ เมื่อใดที่นอนป่วยหนัก ๆ .........

    มีโอกาสดีมากเลย ลองพิจารณาดูตอนนั้นนะ ว่าทำได้สักเท่าไร????
    ท่านจะรู้ได้ด้วยตัวท่านเองเลยครับ ไม่กลัวตายหรอก แต่ยังไม่อยากตายตอนนี้...
     

แชร์หน้านี้

Loading...