ผมเคยได้ยินว่า เทวดา บรรลุพระโสดาปัตติผล แล้วนิพพาน ไม่ได้

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย แจ๊กซ์69, 22 มีนาคม 2012.

  1. แจ๊กซ์69

    แจ๊กซ์69 ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    3,142
    ค่าพลัง:
    +1,960
    ผมเคยได้ยินว่า เทวดา บรรลุพระโสดาปัตติผล แล้วนิพพาน ไม่ได้
    ต้องเป็นมนุษย์เท่านั้น พอผมรู้หรือได้อ่านข้อความพวกนี้แล้วตั้งแต่ผมได้ยินครั้งแรกผมก็ไม่เคยเชื่อเลย ว่าเทวดานิพพานไม่ได้ เรื่องนี้แปลกดีแบบไม่มีเหตุผลแม้ผมมีทักษะความรู้น้อยก็ตามจนกระทั่งผมได้มาอ่านบทความข้างล่างนี่ทำให้ผม....................


    ตัวอย่างท่านสุปติฏฐเทพบุตร ปรากฏว่าในสมัยที่เป็นมนุษย์ ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเป็นอาจิณกรรม ไม่เคยทำบุญ วันดีไม่ละวันพระไม่เว้น ใครเขาบอกบุญบอกทานเห็นแล้วทำเป็นไม่เห็น ได้ยินแล้วแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน ไม่ต้องการ กินเหล้าเมายาตลอดเวลา เมื่อเวลาจะตายขึ้นมาจริงๆ เวลานั้นมองเห็นทรัพย์สิน เห็นลูกเห็นเมีย ข้าทาสหญิงชายนั่งกันสะพรั่งตัวเองมีทุกขเวทนาอย่างหนัก ก็มาคิดในใจว่าคนทั้งหลายนี้เป็นคนของเรา เราสร้างฐานะมาด้วยความลำบาก จนกระทั่งเป็นคหบดี คนทั้งหลายเหล่านี้ไม่มีโอกาสจะช่วยเราได้ เราตายคราวนี้เห็นจะรับโทษคนเดียว เพราะว่าพระพุทธเจ้ากล่าวว่าใครทำบาปแล้วไปตกนรกคนเดียว


    ตอน นี้ เกิดกลัวนรกขึ้นมา จิตใจเลยน้อมนึกไปว่า พระพุทธเจ้าก็ดี พระธรรมก็ดี พระสงฆ์ก็ดี ย่อมช่วยคนในยามมีทุกข์ นี่เป็นยังงั้นนะ บรรดาพระนี่เป็นยังงั้น ถ้าคนไม่เห็นทุกข์ คนก็ไม่ค่อยจะเห็นพระ

    ถ้ามี ทุกข์ ขึ้นมาเมื่อไรก็เห็นพระเมื่อนั้น พระก็ประเภทเดียวกับหมอดู แต่ว่าหมอดูได้เปรียบกว่าพระ เพราะมีโอกาสได้ค่าจ้างรางวัล ดีไม่ดีก็ยุให้สะเดาะเคราะห์ไปเลย เป็นอันว่าคนดูมีเคราะห์เพิ่มขึ้น หมอดูหมดเคราะห์ นี่เป็นเรื่องของท่าน คราวนี้ มาว่ากันไปถึง สุปติฏฐเทพบุตร เมื่อเป็นมนุษย์นึกถึงความชั่วของตัวจะให้ผล ก็นึกถึงความดีขององค์สมเด็จพระทศพล ตอนนี้เอง จิตใจน้อมนึกถึงคุณพระรัตนตรัย มีพระพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ และสังฆรัตนะ นึกในใจว่า พุทโธ ธัมโม สังโฆ น้อมจิตไปด้วยความเลื่อมใส ภาวนาได้ไม่กี่คำก็พอดีตาย ตายแล้วก็ไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เทวโลก

    เรื่อง นี้บรรดาท่านพุทธบริษัทหลายท่านเคยค้านท่านฤๅษีลิงดำว่า คนทำความชั่วมามาก ทำไมหนอจะมีโอกาสไปสวรรค์ได้แม้ว่าตัวเองจะทำบุญนิดเดียว อันนี้บรรดาท่านพุทธบริษัทต้องคิดดูสักนิด จะเปรียบเทียบให้ฟัง

    สมมติ ว่าเราเองนี่นะ เป็นหนี้เขาอยู่มาก เป็นหนี้เขาอยู่หลายแสนบาท เจ้าหนี้เขาทวงซึ่งอีกไม่กี่วันเขาจะฟ้องล้มละลาย จะยึดทรัพย์ยึดสินจนหมด แต่ก่อนหน้าที่เจ้าหนี้จะฟ้องล้มละลาย บังเอิญทีเดียว เขาไปถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่ ๑ เข้า เวลานี้ได้ล้านบาทเศษ พอได้เงินล้านบาทเศษทำยังไง?


    เขา ไม่ ใช้หนี้ โน่น เดินทางไปต่างประเทศที่ไม่มีความสัมพันธ์กัน ไปนั่งเป็นเศรษฐีมหาเศรษฐีที่นั่นตามสบาย แต่ทว่า ถ้าหมดเงินเมื่อไร กลับมาเมื่อไร เมื่อนั้นแหละ เจ้าหนี้เขาก็ฟ้องตามหน้าที่ที่เขาจะต้องทำ เวลานั้นเขาหนีไปได้เงินทองที่มีอยู่ก็ไม่ต้องเสียไป ไม่ต้องใช้หนี้เขา ข้อนี้มีอุปมาฉันใด แม้คนเราก็เหมือนกัน ทำความชั่วไว้มาก แต่เวลาจะตายถ้าทำใจผ่องใสนึกถึงสิ่งที่เป็นกุศล อันนี้

    สมเด็จ องค์พระทศพลทรงตรัสเป็นพุทธภาษิตไว้ว่า จิตเต สังกิลิฏเฐ ทุคติปาฏิกังขา เมื่อเราจะตายถ้าจิตเศร้าหมอง ทำบุญไว้มากมายเท่าไรก็ตาม ไปรับผลของกรรมชั่วก่อน จิตเต ปริสุทเธ สุคติปาฏิกังขา เมื่อเวลาจะตายถ้าจิตใจผ่องใส จะทำบาปไว้เท่าไรก็ตาม เราไปรับผลของบุญก่อน ตัวท่านสุปติฏฐเทพบุตรทำบาปไว้มาก เมื่อเวลาจะตายจิตใจน้อมนึกถึงคุณพระรัตนตรัย อารมณ์เกิดผ่องใส คิดว่าพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ต้องช่วยเราได้ ภาวนาด้วยความเลื่อมใสและความมั่นใจอันนี้

    ท่านกล่าว ว่าเป็นพุทธานุสสติ คือระลึกนึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ ธรรมานุสสตินึกถึงคุณพระธรรมเป็นอารมณ์ สังฆานุสสตินึกถึงคุณพระสงฆ์เป็นอารมณ์ ฉะนั้น เมื่อท่านตายไปแล้ว แทนที่จะไปเกิดในนรก ก็เกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เทวโลก

    แต่ ในฐานะที่ตนเองเป็นคนประมาทมาก่อน เป็นเทวดาก็เป็นเทวดาประมาทไม่สร้างความดีต่อ สมัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปแสดงธรรมโปรดพุทธมารดา ปรากฏว่า ท่านสุปติฏฐเทพบุตรจะหมดอายุจากความเป็นเทวดา เมื่อหมดแล้วต้องต้องหาใช้หนี้กรรมเก่ารู้ตัวว่าจะต้องตกอเวจีมหานรกสิ้น ๑ กัป เพราะบาปที่ทำปาณาติบาตเป็นอาจิณกรรม ออกจากนั้นแล้วก็ไปเสวยผลในนรกบริวารอีก ๔ ขุม แล้วก็มานั่งไล่เบี้ยในยมโลกียนรกอีก ๑๐ ขุม เพราะทำบาปครบถ้วน จากนั้นก็มาเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดียรัจฉานแล้วก็เป็นแร้ง ๕๐๐ ชาติ เป็นกา ๕๐๐ ชาติ เป็นสุนัขบ้า ๕๐๐ ชาติ พ้นจากนั้นแล้ว ก็มาเป็นคนหูหนวด ๕๐๐ ชาติ เพราะเขาบอกบุญรู้แล้วได้ยินแล้วแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน ตาบอด ๕๐๐ ชาติเห็นแล้วแกล้งทำเป็นไม่เห็น มาเป็นคนบ้า ๕๐๐ ชาติเพราะการดื่มสุราเมรัยเป็นคนง่อยเปลี้ยเสียขาเดินไม่ได้ ๕๐๐ ชาติ เพราะเศษกรรมของปาณาติบาตทรมานสัตว์ ทำสัตว์ให้ตาย เมื่อแกรู้เข้าแบบนี้ก็ตกใจ วิ่งโร่เข้าไปหาพระอินทร์ขอให้พระอินทร์ช่วย พระอินทร์ก็บอกว่าช่วยไม่ได้

    ฉัน ก็เป็น เทวดาเหมือนกัน พระอินทร์พาไปหาพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าพิจารณาว่า เทวดาองค์นี้ ถ้าเราเทศน์อภิธรรม ๗ คัมภีร์ไม่มีผล เพราะบารมีไม่ถึง เทศน์อะไรจึงจะดี องค์สมเด็จพระชินสีห์ ก็ทราบด้วยอำนาจพระพุทธญาณ ว่าเราเทศน์อุณหิสวิชัยสูตร เทวดาองค์นี้เมื่อฟังจบ ก็จะได้บรรลุพระโสดาปัตติผล

    บาป กรรมที่ตน ทำไว้ไม่มีโอกาสจะให้ผล เป็นอันว่าสมเด็จพระทศพลจึงได้เทศน์อุณหิสวิชัยสูตร พอเทศน์จบท่านสุปติฏฐเทพบุตรก็เป็นพระโสดาบัน เป็นอันว่าอบายภูมิทั้ง ๔ คือ นรก เปรต อสุรกาย เดียรัจฉานฉานไม่มีโอกาสจะให้ผล

    นี่ แหละบรรดาท่านพุทธศาสนิกชน คนที่เป็นบาปนะเขาทำกันแบบนี้ เรียกว่าเขาทำกันแบบนี้ เวลาจะตายหาความดีเข้าไว้ ฉะนั้นองค์สมเด็จพระจอมไตรจึงได้สอนพุทธบริษัทให้เจริญพระกรรมฐานเข้าไว้ ข้อใดข้อหนึ่งให้จิตชิน เมื่อมีอารมณ์ชินแล้ว เวลาจะตายจิตก็จับอารมณ์นั้นเข้าไว้ อารมณ์จะผ่องใส บาปกรรมทั้งหลายจะตามไม่ทัน นี่เป็นเทวดาตัวอย่างพูดให้ฟัง เชื่อก็เชื่อ ไม่เชื่อก็ตามใจ นี่ หนึ่งละนะ


    ตัดท่อนมาจากหนังสืิอ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ หนังสือไตรภูมิ



    ปล.ถ้าไม่เชื่อ
    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ก็ลองไปค้นๆดูเผื่อจะเจอเรื่องนี้
     
  2. ไมยราพ

    ไมยราพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2009
    โพสต์:
    495
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +201
    คงจะเข้าใจผิดในเรื่องมรรคผล ก็ลองศึกษาใน "นวโลกุตรธรรม" สูงสุด คือ นิพพาน1

    โสดาปัตติผล ก็เหมือนย่างก้าวข้ามธรณี ประตูอุโบสถ

    แต่ยังไปไม่ถึง หน้าพระประธาน ประจำพระอุโบสถ แต่มองเห็นพระประธาน แล้วล่ะ

    เปรียบเทียบอย่างนี้ กระมัง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มีนาคม 2012
  3. ไมยราพ

    ไมยราพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2009
    โพสต์:
    495
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +201
    คราวนี้ลองมาดูในสูตรที่ตรัสสอน เปรียบเทียบระหว่างนายโคบาล ทั้ง 2

    ในตอนท้ายได้ตรัสไว้ว่า


    บางส่วนจาก : http://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=12&A=7247&Z=7322
     
  4. ไมยราพ

    ไมยราพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2009
    โพสต์:
    495
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +201
    แต่ที่ จขกท. ยกมา สาระสำคัญที่หลวงพ่อฤาษีได้สอน

    มุ่งไปที่ คือ เรื่องจิตก่อนตาย เป็นหลัก

    เพื่อความไม่ประมาท จึงต้องฝึกฝนอบรมจิต ให้เป็นอนุสติ

    หากจะหารายละเอียด เรื่องราวระหว่าง สุปติฏฐเทพบุตร กับ อากาสจารินี ผู้เป็นกัลยาณมิตร ก็พอมีอยู่

    หรือ อุณหิสสวิชัยคาถา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มีนาคม 2012
  5. แจ๊กซ์69

    แจ๊กซ์69 ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    3,142
    ค่าพลัง:
    +1,960
    ผมก็แค่ยกตัวอย่าง มาว่า เทวดา ก็สามารถ นิพพานได้นะ จบ แค่นี้ ใครมีอย่างอื่น นั่นไม่ใช่ของผมนั่นมันของเขาเอง อิอิอิิอิอิ:cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มีนาคม 2012
  6. starcom1

    starcom1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    183
    ค่าพลัง:
    +726
    เป็นได้ยากกว่าเพราะไม่มีขันห้าให้พิจารณา มีโอกาสเห็นทุกข์ได้ยาก จึงยากจะหลุดพ้น แต่ถ้าได้ฟังธรรมพระพุทธเจ้ามาโปรด ก็สำเร็จเร็วกว่ามนุษย์ครับ อีก 2500 ปีพระธาตุจะแสดงธรรม โปรดเวไนยสัตว์ เฉพาะเทวดา พรหมเท่านั้น วันนั้นจะมีผู้บรรลุธรรมกันนับแสนนับโกฏิ ไปรอได้ครับ โอกาสเปิดให้เฉพาะผู้ที่รู้ครับ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 22 มีนาคม 2012
  7. ไมยราพ

    ไมยราพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2009
    โพสต์:
    495
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +201
    เพื่อความเกี่ยวเนื่องในเรื่องนี้ ไม่ใช่ประเด็นอะไรหรอก

    แต่เพื่อประดับความรู้ ในความเข้าใจ ตามการพิจารณา วันนี้วันพระ :cool:

    http://www.84000.org/anisong/01.html
     
  8. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,903
    ค่าพลัง:
    +7,316
    ความเห็นส่วนตัว ถ้าเป็นพระโสดาบันยังต้องมาเกิดในภพมนุษย์อีก
    แต่ถ้าพระอนาคามี ไม่กลับมาเกิดแล้ว นิพพานในชั้นของพรหมสุทธาวาส

    โสดาบัน

    โสดาบัน แปลว่า ผู้เข้าถึงกระแสธรรม ผู้แรกถึงกระแสธรรม (คืออริยมรรค) เป็นชื่อเรียกพระอริยบุคคลประเภทแรกใน ๔ ประเภท คือ โสดาบัน สกทาคามี อนาคามี อรหันต์ ผู้ได้บรรลุโสดาปัตติผลแล้วด้วยการละ สังโยชน์ เบื้องต่ำ ๓ ประการได้คือ
    1. สักกายทิฏฐิ คือ ความเห็นเป็นเหตุถือตัวตน เช่นเห็นว่ากายนี้ใจนี้ไม่เป็นตัวตนของเรา
    2. วิจิกิจฉา คือ ความลังเลสงสัย เช่นสังสัยในข้อปฏิบัติของตนว่าถูกต้องหรือไม่ สงสัยในพระรัตนตรัยหรือในอริยสัจ ๔ ว่ามีจริงหรือไม่
    3. สีลัพพตปรามาส คือ ความเชื่อถือยึดมั่นว่าความศักดิ์สิทธิ์มีได้ด้วยศีลและพรตอย่างนั้นอย่างนี้ ข้อนี้ขยายความได้ว่ารักษาศีลแต่เพียงทางกาย ทางวาจา แต่ใจยังไม่เป็นศีล หรืออย่างน้อยก็ยังไม่เป็นศีลตลอดเวลา
    ความเป็นพระโสดาบันนี้ก็เช่นเดียวกับความเป็นพระอริยบุคคลประเภทอื่นๆ ที่มิได้จำกัดอยู่เฉพาะเพศบรรพชิต(นักบวช) เท่านั้น แม้ คฤหัสถ์ คือชายหรือหญิงผู้ครองเรือน ก็สามารถเป็นพระโสดาบันได้ เช่น ในสมัยพุทธกาลคฤหัสถ์ที่เป็นพระโสดาบันที่มีชื่อเสียงก็มีจำนวนมากได้แก่ นางวิสาขามหาอุบาสิกา อนาถบิณฑิกเศรษฐี พระเจ้าพิมพิสาร เป็นต้น
    การเข้าถึงกระแสธรรมของพระโสดาบันนั้น เป็นการยกระดับจิตใจของท่านอย่างถาวร ทำให้ท่านไม่สามารถกลับมาเป็นปุถุชนได้อีก เป็นผู้ที่จะไม่ไปเกิดในอบายภูมิ (เช่น นรก หรือ เดียรฉาน) ทั้งยังเป็นผู้ที่จะบรรลุพระนิพพานในเบื้องหน้าอย่างแน่นอน

    โสดาบันอาจจำแนกได้เป็น
    • จูฬโสดาบัน​ คือ ​กัลยาณปุถุชน​ผู้​แทงตลอดลำดับแห่งนามรูปปริเฉทญาณที่ ๑ ถึง ​ลำดับโคตรภูญาณที่​ ๑๓ ​ตามสมควร
    • มหา​โสดาบัน​ คือ ​อริยบุคคล​ผู้​แทงตลอดในลำดับแห่งญาณ ๑๖ โดย​สมบูรณ์​
    สกทาคามี


    สกทาคามี หรือ สกิทาคามี แปลว่า ผู้กลับมาเพียงครั้งเดียว เป็นชื่อเรียกพระอริยบุคคลลำดับที่ ๒ ใน ๔ ประเภท ที่เรียกว่า "ผู้กลับมาเพียงครั้งเดียว" หมายถึง พระสกิทาคามีจะเกิดในกามาวจรภพอีกเพียงครั้งเดียวเท่านั้นก็จะถึงพระนิพพาน ผู้ได้บรรลุสกทาคามิผลคือผู้ที่ละสังโยชน์เบื้องต่ำ ๓ ประการแรกได้เช่นเดียวกับพระโสดาบัน อีกทั้งทำสังโยชน์เบื้องต่ำอีกสองประการที่เหลือให้เบาบางลงด้วยคือ
    • กามราคะ หมายถึง ความพอใจในกาม คือ การความเพลินในการได้เสพ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมารมณ์ ที่น่าพอใจ
    • ปฏิฆะ หมายถึง ความกระทบกระทั่งในใจ คล้ายความพยาบาทอย่างละเอียด
    หากสังโยชน์เบื้องต่ำทั้งสองประการนี้หมดไปก็จะเป็นพระอนาคามี
    อนาคามี


    อนาคามี แปลว่า ผู้ไม่มาเกิดอีก หมายความว่าจะไม่กลับมาเกิดในกามาวจรภพอีก แต่จะเกิดใน พรหมโลก อีกเพียงครั้งเดียว แล้วจะนิพพานจากพรหมโลกนั้นเลย เป็นชื่อเรียกพระอริยบุคคลประเภทที่ ๓ ใน ๔ ประเภท คือ โสดาบัน สกทาคามี อนาคามี อรหันต์ เป็นผู้ละสังโยชน์เบื้องต่ำ (โอรัมภาคิยสังโยชน์) ทั้ง ๕ ประการได้แล้ว ยังเหลือสังโยชน์เบื้องสูง (อุทธัมภาคิยสังโยชน์) อีก ๕ ประการ คือ
    1. รูปราคะ หมายถึง ความพอใจในรูปฌาน หรือ รูปธรรมอันประณีต หรือ ความพอใจในรูปภพ
    2. อรูปราคะ หมายถึง ความพอใจในอรูปฌาน หรือ พอใจในอรูปธรรม เช่น ความรู้ เป็นต้น หรือ ความพอใจในอรูปภพ
    3. มานะ หมายถึง ความสำคัญตนว่าเป็นนั่นเป็นนี่ เช่น เป็นพระอนาคามี (แม้ว่าจะเป็นจริงๆ) เป็นต้น
    4. อุทธัจจะ คือ ความฟุ้งของจิต
    5. อวิชชา คือ ความไม่รู้แจ้ง
    อนึ่งพึงเข้าใจว่า แม้สังโยชน์เบื้องสูงบางข้อจะมีชื่อเหมือนกิเลสอย่างหยาบที่ยังมีในปถุชน (ผู้ยังไม่เป็นบรรลุเป็นพระอริยบุคคล) เช่น มานะ อุทธัจจะ หรือ อวิชชา แต่สังโยชน์เบื้องสูงอันเป็นกิเลสที่ยังหลงเหลืออยู่ในจิตใจของพระอนาคามีนั้น เป็นกิเลสที่ละเอียดกว่าของปถุชนอย่างมาก
    อริยบุคคล - วิกิพีเดีย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มีนาคม 2012
  9. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,646
  10. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,903
    ค่าพลัง:
    +7,316
    ลองอะไรคะ

    ลอง จูฬโสดาบัน​ มหาโสดาบัน หรือ พระอนาคามี

    ^.^
     
  11. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,646
    ลองอะไรก็ได้ ที่ไม่ลงอบายภูมิครับผม...เสร็จแล้วก็ไปดู ตกลงนี่เทวดาเขาไปนิพพานกันได้เลยไม...ไม่ต้องลงมาเกิดก็ได้หรือ อย่างนี้หละครับ...
     
  12. Norlnorrakuln

    Norlnorrakuln เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    3,814
    ค่าพลัง:
    +15,099
    เรื่องนี้มีในหนังสือ มิลินท์ปัญหา (ถ้าจำไม่ผิด)

    เราเคยสดับมาอย่างนี้ว่า เทวดาที่ฟังธรรมจากองค์พระศาสดาแล้ว บรรลุธรรมเป็น พระโสดาบันบ้าง เป็นพระสกิทาคามีบ้าง เป็นพระอนาคามีบ้าง เป็นพระอรหันต์บ้าง เพราะเหตุไร?

    พระนาคเสนเถรเจ้า วิสัชชนาว่า เพราะเทวดาเหล่านั้นอดีตชาติกาลก่อน เคยบวชเป็นพระภิษุสงฆ์ แล้วเคยได้บำเพ็ญ ธุดงควัตร ๑๓ ข้อใดข้อหนึ่ง หรือ หลายๆข้อรวมกัน....แต่ท่านหมดอายุไขก่อน จึงไปบังเกิดเป็นเทวดา บนสวรรค์ชั้นต่างๆ...เรียกว่าวาสนาเดิมเคยได้สั่งสมอบรมมา จากสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์ใดพระองค์หนึ่ง ในปางก่อน

    พอถึงยุคสมัยของพระพุทธเจ้าพระสมณโคดม แสดงธรรม เทวดาเหล่านั้นจึงได้บรรลุธรรม เพราะได้สดับธรรมตามที่ตนได้ศึกษามา หรือถูกจริตของตนนั้นเอง

    เจริญในรสธรรม
     
  13. แปะแปะ

    แปะแปะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    780
    ค่าพลัง:
    +128
    พระพุทธองค์ไปแสดงธรรมโปรดพุทธมารดาที่ชั้นดาวดึงส์
    มีเทวดา และพรหม บรรลุธรรม ๑๘ โกฏิ เทวดาและพรหมเหล่านั้น
    ไม่ต้องกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกก็ได้ นิพพานในที่นั้น หรือจะไปนิพพานในชั้นที่สูงกว่านั้นก็ได้
    ที่จะกลับมาเกิดในมนุษย์ได้อีก ก็มีพระโสดาบัน และพระสกิทาคามี
    โดยเฉพาะพระสกิทาคามีจะมาเกิดในมนุษย์ได้เพียงครั้งเดียว

    จะมีพวกอรูปพรหม ๔ ที่เป็นปุถุชนอยู่ไม่สามารถบรรลุธรรมเป็นโสดาปัตติมรรค และโสดาปัตติผลได้
    เพราะพรหมพวกนีไม่มีหูที่จะฟังธรรมได้ แต่สำหรับผู้ที่เป็นโสดาปัตติผลอยู่แล้วในอรูปภูมิ ๔
    สามารถสำเร็จเป็นพระอรหันต์และนิพพานในที่นั้นเลย จะไม่ต้องมาเกิดเป็นมนุษย์อีกต่อไป
    ส่วนอสัญญสัตตาพรหม ๑ ก็เช่นกัน พรหมเหล่านี้มีแต่รูปซึ่งไม่มีจิตจึงไม่สามารถฟังธรรมได้จึงบรรลุธรรมไม่ได้
    ยังจะต้องกลับมาเกิดเป็นเทวดาและมนุษย์อีกต่อไปแน่นอน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มีนาคม 2012
  14. หม้อหุงข้าว..!

    หม้อหุงข้าว..! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,103
    ค่าพลัง:
    +1,072
    แป๊ะแปะ นักอภิธรรม :cool:

    สรุป นั่นหมายถึง หากเป็นตั้งแต่พระโสดาปัตติมรรค ขึ้นไป ไปบังเกิดในภูมิใดภูมิหนึ่ง
    ก็สามารถเจริญวิปัสสนา เพื่อบรรลุคุณธรรมเบื้องสูง ขึ้นไปได้อีก ต่อไป
    รวมเรียกว่า อริยะบุคคล 6 ประเภท ตั้งแต่ สกทาคามรรค ถึง อรหันตผล

    เช่น หากผู้นั้นได้อรูปฌานใด อรูปฌานหนึ่ง แล้วไปบังเกิดใน ภูมิอรูปพรหมใด อรูปพรหมหนึ่ง ใน 4 ภูมินั้น
    และต้องพร้อมด้วย "โลกุตระธรรม" ก็สามารถเจริญวิปัสสนาต่อไปได้เลย ในภพอรูปภูมินั้นๆ ดังกล่าว
    หาแต่เป็นปุถุชน ไปบังเกิดในอรูปพรหม เดี้ยง..!

    นั่นคงจะหมายเอาเพียง "โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล" เจริญต่อเป็น "สกทาคามรรค สกทาคาผล"

    หรือ "สกทาคามรรค สกทาคาผล" เจริญต่อเป็น "อนาคามิมรรค อนาคามิผล"

    แต่ "อนาคามิมรรค อนาคามิผล" ไม่บังเกิดใน อรูปพรหม
    เพราะต้องไปบังเกิด ในภูมิใดภูมิหนึ่ง ตามกำลังแห่งอินทรีย์ทั้ง5 แห่งสุทธาวาสพรหมทั้ง5 เท่านั้น อย่างนั้นกระมัง

    จากมูลนิธิอภิธรรม ตำราว่าไว้ <IMG src='http://www.udon108.com/board/Smileys/Lots_O_Smileys/toon04.gif' width=35>
    http://www.abhidhamonline.org/aphi/p5/025.htm
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มีนาคม 2012
  15. แปะแปะ

    แปะแปะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    780
    ค่าพลัง:
    +128
    ว่ากันทีละบุคคลนะครับ
    ปุถุชน เกิดได้ มนุษย์ ๑ เทวดา ๖ รูปภูมิ ๑๑ (เว้น สุทธาวาสภูมิ ๕ ) อรูปภูมิ ๔ อบายภูมิ ๔

    โสดาปัตติมรรค เกิดได้ มนุษย์ ๑ เทวดา ๖ รูปภูมิ ๑๐ ( เว้นสุทธาวาสภูมิ ๕ อสัญญสัตตาภูมิ ๑ อรูปภูมิ ๔ อบายภูมิ ๔ )

    โสดาปัตติผล เกิดได้ มนุษย์ ๑ เทวดา ๖ รูปภูมิ ๑๐ ( เว้นสุทธาวาสภูมิ ๕ อสัญญสัตตาภูมิ ๑อบายภูมิ ๔ ) อรูปภูมิ ๔

    สกทาคามิมรรค + สกทาคามิผล+อนาคามิมรรค เกิดได้ มนุษย์ ๑ เทวดา ๖ รูปภูมิ ๑๐ ( เว้นสุทธาวาสภูมิ ๕ อสัญญสัตตาภูมิ ๑ อบายภูมิ ๔) อรูปภูมิ ๔

    อนาคามิผล + อรหันตมรรค+อรหันตผล เกิดได้ มนุษย์ ๑ เทวดา ๖ รูปภูมิ ๑๕ ( เว้นอสัญญสัตตาภูมิ ๑ อบายภูมิ ๔) อรูปภูมิ ๔
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มีนาคม 2012
  16. พยัคฆ์ร้าย

    พยัคฆ์ร้าย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    1,411
    ค่าพลัง:
    +161
    ถึงฟังดู คนที่ทำบาปจะได้กำไรก็เหอะ แต่การที่จะได้รับฟังพระธรรมจากพระพุุทธเจ้านั้นเป็นเรื่องยากน่าดู คนที่ทำบาปคนนั้นคงจะมีบุญเก่าเยอะ อ่าครับ
     
  17. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846


    สูตรไหนอ่ะครับ พระอรหันต์ยังเกิดได้อีก

    เอ... หรือจะบอกว่า ผู้ได้อรูปพรหม 4 ก็สามารถบรรลุอรหันต์ได้
     
  18. แปะแปะ

    แปะแปะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    780
    ค่าพลัง:
    +128
    พระอรหันต์เกิดขึ้นในภูมินั้นได้
    ในอรูปพรหมนั้นก็สามารถบรรลุเป็นพระอรหันต์ได้
     
  19. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    เอ.. อรูปพรหม สามารถเจริญ วิปัสนาได้ด้วยวิธีไหนอ่าครับ
     
  20. แปะแปะ

    แปะแปะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    780
    ค่าพลัง:
    +128
    ในอรูปภูมิ ๔ มีปุถุชนเกิดร่วมอยู่ด้วยครับ แต่พวกนี้ไม่สามารถบรรลุธรรมได้เพราะเขาไม่มีรูปหรือหูที่จะฟังธรรมนั่นเอง
    จะสังเกตุได้ว่า โสดาปัตติมรรคก็เกิดขึ้นไม่ได้เช่นกัน จะมีได้ก็แต่โสดาปัตติผลที่เกิดได้ในภูมินี้ คือเพราะตายมาจากภูมิอื่นแล้วมาเกิดในภูมินี้
    ส่วนที่ถามว่า อรูปพรหมสามารถเจริญวิปัสสนาได้โดยวิธีไหน?
    ตอบว่า ก็เอารูปนามที่เคยได้มาแล้วนั่นเองที่โสดาปัตติผลได้มา มาเจริญวิปัสสนาต่ออีกจนกระทั้งบรรลุเป็นพระอรหันต์ได้ แล้วปรินิพพานในที่นั้นเลย

    กรุณาดูโพสท์ที่ ๑๗ ด้วย ที่อ้างอิงไว้ เพราะผมแก้ไขไปแล้ว ซึ่งมันไม่ตรงตามความเป็นจริง และได้แก้ไขไว้สมบูรณ์แล้วครับ ให้เอาตามโพสต์ที่ ๑๕
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มีนาคม 2012

แชร์หน้านี้

Loading...