ดินแดนของเปรต ๑๒ จำพวก

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย เทพออระฤทธิ์, 25 มิถุนายน 2009.

  1. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,047
    ดินแดนของเปรต ๑๒ จำพวก
    จาก หนังสือ ไตรภูมิ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี


    ท่านสาธุชนและบรรดาพระคุณเจ้าที่เคารพ วันนี้มีโอกาสมาพบกับบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทและพระคุณเจ้าตามเคย สำหรับวันนี้ถ้าได้ยินเสียงกระแอมมากก็โปรดทราบ หลังจากวันพุธก่อนๆ ที่เคยบอกว่าไม่สบาย ในวันนี้ที่มาพูด กลับหนักขึ้นมา แต่ก็ทนพูดทั้งนี้เพราะอะไร เพราะต้องการให้บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ทราบเรื่องราวของไตรภูมิตามตำรา แล้วก็ตามที่บรรดา พระคณาจารย์ต่างๆ ได้พบมา เอามารวบรวมเข้าไว้ แล้วก็พูดให้ท่านฟัง
    สำหรับวันนี้ ก็คงจะยังไม่เลยไปจากนรก เพราะว่าเรื่องราวของนรกต่างๆ ได้จบลงมาแล้ว แต่ถ้าหากจะเลยนรกไปเสียเลยทีเดียว เรื่องความละเอียดบางตอนจะไม่ปรากฏแก่บรรดาท่านพุทธบริษัท เพราะว่าเรื่องการลงนรกที่พูดมาแล้ว ดูเหมือนจะไม่มีการพูดที่ตัวบุคคลเท่าใดนัก แล้วการลงนรกตามระเบียบ เมื่อผ่านจากนรกขุมใหญ่ไปไหนต่อไปไหน จนกระทั่งไปเป็นเปรต อสุรกาย สัตว์เดียรัจฉาน แล้วมาเป็นคน ยังไม่มีบุคคลตัวอย่างเล่าให้ทราบ


    [​IMG]


    สำหรับวันนี้ จะเอาบุคคลตัวอย่างมาพูดให้บรรดาท่านพุทธบริษัทฟัง วันนี้ไม่ใช่นำเที่ยวเสียแล้ว เรามายืนอยู่ขอบยมโลกียนรก คุยกันไปด้วยมองดูยมโลกียนรกด้วย แล้วมองขึ้นไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ จะเห็นดินแดนของเปรต ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันนัก ความจริงก็อยู่ใกล้ๆ ขอบยมโลกียนรกนั้นเอง ดินแดนของเปรตนี้ ท่านกล่าวว่าเปรตในดินแดนนี้ มี ๑๑ จำพวก คือว่า ๑๑ ชั้น



    ที่พ้นจากนรกไปแล้วเข้าเปรตชั้นที่ ๑ มีกรรมหนักมาก ชั้นที่ ๒ เบามาหน่อย ชั้นที่ ๓ เบามาหน่อย จนกระทั่งชั้นที่ ๑๑ เบามาก แต่ก็ไม่มากถึงที่สุด รวมความว่าเปรต ๑๑ ชั้นนี้ ไม่มีโอกาสจะได้รับโมทนาส่วนกุศล แม้แต่สัตว์นรกทั้งหมดก็เหมือนกัน ไม่มีโอกาสจะโมทนาส่วนกุศลที่บรรดาญาติหรือบรรดาท่านพุทธบริษัทที่บำเพ็ญกุศลแล้วอุทิศให้ ท่านที่จะมีโอกาสได้รับโมทนาส่วนกุศลที่บำเพ็ญแล้วจากญาติหรือจากคนอื่นก็มีพวกเดียว คือเปรตพวกที่ ๑๒ ที่เรียกว่าปรทัตตูปชีวิกเปรต แต่ก็เป็นที่น่าเสียดาย บรรดาเปรต ๑๒ จำพวกนี้ เคยพบในฎีกามาลยสูตร เขาบอกชื่อบอกชั้น บอกอาการของการลงโทษไว้ แต่ว่าเวลาที่มาพูดนี่ค้นไม่พบ ไม่ทราบว่าหนังสือเล่มนั้นหายไปไหน คงจะหายไปนานแล้ว ตั้งแต่ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ ก็เป็นอันว่าฟังกันคร่าวๆ ก็แล้วกัน จะฟังตามลำดับชั้นมันไม่มีตำรา ในเมื่อไม่มีตำราจะพูด ขืนพูดไป ดีไม่ดีคนพูดก็จะดันเป็นเปรตไปเสียด้วย จะไม่เป็นเรื่อง เอายังงี้ก็แล้วกัน เรื่องเปรตเอาไว้ไปพูดกันทีหลัง วันนี้เหลือเวลา เรามาคุยกันถึงบุคคลตัวอย่างที่ทำกรรมแล้วต้องลงอเวจี แล้วก็ผ่านนรกบริวารแล้วก็ยมโลกียนรก แล้วก็ตลอดจนเป็นเปรตทุกประเภทถึงปรทัตตูปชีวิกเปรต เป็นอสุรกาย แล้วก็เป็นสัตว์เดียรัจฉาน แล้วก็เป็นคนที่ไม่สมบูรณ์ จนกว่าจะเป็นคนสมบูรณ์ มาฟังกันว่าเขาทำกรรมอะไร แต่ทว่าเป็นที่น่าเสียดายท่านผู้นี้ทำกรรมหนักมากแต่ไม่มีโอกาสลงนรก แต่ที่พูดมานั้นก็หมายความว่า หากท่านพลาดนิดเดียวท่านจะต้องเป็นไปตามกฎของกรรมที่เป็นอกุศล แต่ทว่าบังเอิญจริงๆ ตอนที่ใกล้จะตาย ท่านนึกถึงความชั่วของท่านมาได้ ท่านมีความทุกข์หนัก จิตเลี้ยวเข้าไปหาพระรัตนตรัยมีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน คิดว่าเขาเล่าลือกันว่า องค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า พระสมณโคดม เอ๊ะ ไม่ใช่ ทรงพระนามว่าอะไรก็ไม่ทราบ ว่าพระพุทธเจ้าย่อมช่วยคนที่มีความทุกข์ให้มีความสุขได้ มานึกถึงความดีของพระพุทธเจ้าก็เลยนึกถึงคำว่า พุทโธ ธัมโม สังโฆ ว่าขอบารมีพระพุทธ ขอบารมีพระธรรม ขอบารมีพระสงฆ์


    จงช่วยข้าพเจ้าด้วยเถอะ จับจิตอยู่ในไตรสรณาคมน์ แล้วจิตออกจากร่าง ตายแล้วกลายเป็นเทวดา เลยไม่ได้รับผลความชั่ว ตอนที่เป็นเทวดานี่พระพุทธเจ้าไปเทศน์พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ เวลานั้นปรากฏว่าท่านจะต้องจุติพอดี มีอากาสจารีเทพบุตรเข้าไปเตือน ท่านมองดูตัวของท่านว่าท่านตายจากเทวดาแล้วท่านจะไปไหน ความจริงเทวดาก็รู้สถานที่ไปเพราะมีอารมณ์เป็นทิพย์ ก็ทราบชัดว่าเมื่อจุติจากเทวดาแล้วต้องไปเกิดในเอวจีมหานรก สิ้นระยะเวลา ๑ กัปตามอายุของอเวจีมหานรก แล้วหลังจากนั้น ออกจากอเวจีมหานรกแล้วก็ผ่านบริวาร ๔ ขุม เมื่อพ้นบริวาร ๔ ขุมแล้วต้องมาตกยมโลกียนรกอีก ๑๐ ขุม เพราะท่านทำกรรมหนัก เรียกว่ากรรมในยมโลกียนรกนี่มีกี่อย่างท่านทำหมดตั้งแต่ปาณาติบาตขึ้นมาเลย ถึงจิตโหดร้าย การประทุษร้ายต่อคู่ครอง นี่เรียกว่าหนักมาก เมื่อพ้นจากยมโลกียนรก ๑๐ ขุมแล้ว ต้องมาเป็นเปรตตามลำดับ ๑๒ จำพวก พ้นจากเปรต ๑๒ จำพวก แล้วก็มาเป็นอสุรกาย เมื่อพ้นจากความเป็นอสุรกายแล้ว



    หลังจากนั้นก็มาสู่ความเป็นสัตว์เดียรัจฉาน คือเป็นแร้ง ๕๐๐ ชาติ เป็นกา ๕๐๐ ชาติ เป็นสุนัขบ้า ๕๐๐ ชาติ เมื่อพ้นจากภาวะสัตว์เดียรัจฉานแล้วก็เกิดเป็นคน เป็นคนหูหนวก ๕๐๐ ชาติ เป็นคนตาบอด ๕๐๐ ชาติ เป็นคนบ้า ๕๐๐ ชาติ เป็นคนง่อยเปลี้ยเสียขา ๕๐๐ ชาติ จึงจะมาเป็นคนที่มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ นี่ท่านรู้กฎของกรรมของท่าน เมื่อท่านรู้แล้วท่านก็ตกใจ บอกให้อากาสจารีเทพบุตรช่วย ท่านอากาสจารีบอกว่า เราก็เป็นเทวดาเหมือนกัน จะช่วยท่านยังไง คนที่จะช่วยได้ก็เห็นจะมีพระอินทร์องค์เดียว ก็เลยพากันไปหาพระอินทร์ พระอินทร์ก็บอกว่าฉันเป็นเทวดาเหมือนท่านช่วยไม่ได้ ท่านที่จะช่วยได้ก็คือพระพุทธเจ้า เวลานี้กำลังมาแสดงพระธรรมเทศนาอยู่ที่บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ไปด้วยกัน ไปฟังเทศน์พระพุทธเจ้า ไปเฝ้าพระพุทธเจ้าด้วยกัน พระพุทธเจ้าอาจช่วยได้ต่างก็พากันไปเฝ้าพระพุทธเจ้า พระอินทร์ก็กราบทูลเรื่องราวของสุปติฏฐิตเทพบุตรให้ทรงทราบ พระพุทธเจ้า ท่านทราบแล้วก็ทรงดำริ ด้วยอำนาจพระพุทธญาณ คือว่าญาณพิเศษของพระพุทธเจ้าไม่เหมือนพวกเรา พวกเรามีความคิดอะไรก็ตาม อย่าเข้าไปวัดกับความดีของพระพุทธเจ้า



    อันนี้เคยได้ยินพระ ได้ยินฆราวาสหลายท่านมักจะเอาอารมณ์ของตัวเข้าไปวัดกับพระพุทธเจ้า ตัวมีความรู้ยังไงคิดว่าพระพุทธเจ้ามีความรู้เท่านั้น ถ้าอย่างนั้นละก้อ พระพุทธเจ้าก็มีด้วยกันเยอะ ความจริงไม่ได้ พระพุทธเจ้าจะเกิดซ้อนกัน ๒ องค์ไม่ได้ ฉะนั้น พระพุทธเจ้าย่อมมีบุญญาพิเศษ ยิ่งกว่าคนธรรมดาหรือพระอรหันต์อัครสาวก เรื่องนี้ยกไว้ เพราะมัวมานั่งอธิบายกัน ตอนนี้มันก็ไม่ได้เรื่อง เป็นอันว่าเล่าเรื่องราวของท่านสุปติฏฐิตเทพบุตรต่อไป เมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรทรงทราบ ด้วยอำนาจพระพุทธญาณว่าเทวดาองค์นี้มีกรรมหนัก เพราะว่าอาศัยอะไร อาศัยที่ว่าเมื่อเป็นมนุษย์ เป็นมิจฉาทิฐิอย่างหนัก แต่ก็มาเป็นสัมมาทิฐิชั่วเวลาไม่กี่นาที คือเวลาใกล้จะตาย น้อมจิตเข้ามาเคารพในคุณพระรัตนตรัย เรื่องนี้มีคนถามมาหลายคน


    ว่าทำบาปมาตั้งเยอะแต่ทำบุญนิดเดียวแล้วจะไปสวรรค์ได้ยังไง อันนี้ไม่น่าเชื่อเขาว่ายังงั้น เรื่องนี้ก็ขอเอาถ้อยคำของพระนาคเสน ที่กล่าวตอบพระยามิลินท์มาให้ทราบ พระนาคเสนท่านเปรียบเทียบว่าบาปมีอุปมาเหมือนก้อนหิน ก้อนหินจะเล็กหรือใหญ่ก็ตาม ถ้าเราโยนมันลงในน้ำมันก็จม แต่บุญนี้มีอุปมาเหมือนเรือ ถ้ามีเรือลอยอยู่ ถ้าเป็นเรือลำใหญ่ ไอ้เรือนี่ลำเล็ก มันก็ไม่มีเรือที่ใช้ได้ พายได้ขี่ได้ ลำเล็กมันก็ไม่มี มันใหญ่ทั้งนั้น แต่ว่าจะใหญ่มากใหญ่น้อย ก็เป็นเรื่องความใหญ่ บุญมีอุปมาเหมือนเรือ เอาเรือมาจอดลอยไว้ เอาหินโยนลงไปในเรื่อ หินเมื่อตกลงไปในเรือแล้วหินจะจมน้ำไม่ได้ เพราะเรือขวางไว้ ข้อนี้มีอุปมาฉันใดจิตใจของคนก็เหมือนกัน ที่พระพุทธเจ้าท่านกล่าวว่า จิตเต สังกิลิฏเฐ ทุคติปาฏิกังขา ถ้าจิตจะออกจากร่างมีอารมณ์เศร้าหมอง ก็ไปสู่ทุคติมีอบายภูมิ ๔ มีนรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดียรัจฉาน จิตเต ปาริสุทเธ สุคติ ปาฏิกังขา ถ้าเวลาจิตจะออกจากร่างที่มีความบริสุทธิ์ นึกถึงส่วนที่เป็นกุศลก็ไปสู่สุคติโลกสวรรค์ก่อน ถ้าหมดอำนาจของความดีคือบุญ ก็จะกลับมารับโทษตามเดิม เว้นไว้แต่บำเพ็ญบารมีต่อข้อนี้จะมีอุปมาได้เหมือนกับคนเรา ถ้าเป็นหนี้เขามากๆ เจ้าหนี้เขาทวง ดีไม่ดีใช้หนี้เขาไม่หมดจะต้องติดตะรางแทนหนี้ แต่ในขณะที่เจ้าหนี้ทวงหนี้อยู่นั้น บังเอิญทีเดียว เราถูกล็อตเตอรี่เข้า รางวัลที่ ๑ สัก ๒-๓ ใบ มีทุนใหญ่ แล้วก็ใช้ทุนนั่นแหละ ไม่ใช่ชำระหนี้ หนีเจ้าหนี้ไปอยู่เสียต่างประเทศ เจ้าหนี้ก็ไม่มีโอกาสจะทวงได้ เราก็เป็นสุขสบายเพราะทรัพย์สินที่เรามีอยู่ แต่ถ้าหากว่าเราไม่ไปก่อร่างสร้างตัวให้เป็นผู้มีอันจะกินต่อไป กินทุนเก่า ถ้าหมดทุนกลับมาที่เก่าเมื่อไร เจ้าหนี้ทวงใหม่เมื่อนั้นแล้วก็จะมีโทษตามที่เราเป็นหนี้เขา ข้อนี้มีอุปมาฉันใด เรื่องบุญกับบาปก็เหมือนกันท่านพุทธบริษัท



    [​IMG]



    ตอนนี้มาเล่าเรื่องนี้คั่น ก็เพราะว่าจะได้เข้าใจ บรรดาท่านพุทธบริษัทเข้าใจหรือไม่เข้าใจนี่ อาตมาก็ไม่ทราบเหมือนกัน เป็นอันว่าคุยให้ฟังตามความคิดความเห็นของคนธรรมดาๆ แต่เอามาเปรียบเทียบกับบุญญาธิการหรือพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้า
    ในเมื่อพระพุทธเจ้าทรงพิจารณาทราบว่า สุปติฏฐิตเทพบุตรคนนี้ สมัยที่เป็นมนุษย์เป็นมิจฉาทิฐิอย่างหนัก คือแกเกิดมาพอแกทำงานได้ตั้งแต่เล็ก แกก็มีปาณาติบาตเป็นเครื่องอาศัย ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตตลอดเวลา วันดีไม่ละวันพระไม่เว้น ทำบาปเป็นอาจิณกรรม เรียกว่าฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเป็นอาจิณกรรม แล้วนอกจากนั้น กรรมอะไรล่ะที่เขาว่ามันไม่ดี อทินนาทานลักขโมยเขา ถ้ามีโอกาสก็เอาเหมือนกัน เอาไม่น้อย เอาพอกำลังที่จะเอาไปได้ เรียกว่ามาก กาเมสุมิฉาจาร ชอบจริงๆ ผู้หญิงสาวๆ เด็กๆ เท่าไหร่ท่านสุปติฏฐิตชอบมาก ปรนเปรอด้วยเงินด้วยทอง มุสาวาทรึ? เป็นปกติ การดื่มสุราเมรัยเป็นเกมกีฬา ตานี้มาว่ากัน ถ้าว่าใครเขามาบอกบุญบอกทาน ใครเขามาบอกว่าวัดโน้นเขาจะสร้างนั่น วัดนี้เขาจะสร้างนี่ ไปทำบุญตรุษ ไปทำบุญสงกรานต์ แกเห็นแล้วแกล้งทำไม่เห็น ได้ยินแล้วแกล้งทำไม่ได้ยิน ดีไม่ดีพระเจ้าเทศน์ ส่งเสียงกลบ ทำลายพระธรรมเสียอีก นี่เจตนาของสุปติฏฐิตเทพบุตรเป็นมิจฉาทิฐิอย่างหนัก แล้วก็ทำลายคุณความดีที่บุคคลอื่นจะพึงได้จะพึงถึง



    ฉะนั้น สุปติฏฐิตเทพบุตรคนนี้ ถ้าเราไม่ช่วยเธอจุติจากความเป็นเทวดาแล้ว เธอจะต้องไปตกอเวจีมหานรก สิ้นเวลาระยะ ๑ กัป พ้นจากอเวจีมหานรกแล้วต้องผ่านนรกบริวาร ๔ ขุม นอกจากนั้นยมโลกียนรก ๑๐ ขุม เธอต้องผ่านทั้งหมด เป็นกฎของกรรมอย่างหนัก จะต้องเป็นเปรต ๑๒ ระดับ เป็นอสุรกาย ต่อมาเป็นแร้ง ๕๐๐ ชาติ เป็นกา ๕๐๐ ชาติ เป็นสุนัข (แล้วเป็นสุนัขบ้าไม่ใช่สุนัขธรรมดา) ๕๐๐ ชาติ ทีนี้พอมาเป็นคน เป็นคนหูหนวก ๕๐๐ ชาติ นี่เพราะกฎของกรรม ที่คนเขาบอกบุญแกได้ยินแล้วแกล้งทำไม่ได้ยิน เวลาพระเทศน์เวลาพระสวดแกล้งส่งเสียงกลบให้คนอื่นฟังไม่ชัดอย่างนี้ติดตามแกมา ต้องเป็นคนหูหนวก ๕๐๐ ชาติ ต่อมาจากนั้นแกก็ต้องตาบอด ๕๐๐ ชาติ ท่านกล่าวว่าในตอนนี้ใครเขามาบอกบุญบอกทาน แกเห็นแล้วแกแกล้งทำเป็นไม่เห็นเลยกลายเป็นคนตาบอด ๕๐๐ ชาติ แล้วก็มาเป็นคนบ้า ๕๐๐ ชาติ



    [​IMG]


    ก็เพราะดื่มสุราเมรัยหลังจากนั้นมาเป็นคนง่อยเปลี้ยเสียขา ๕๐๐ ชาติ เพราะโทษของปาณาติบาตที่ทำไว้มาสนับสนุนเป็นเศษของกรรมจึงจะหมด องค์สมเด็จพระสามิสรพระสุคต ได้ทรงทราบก็มีความสงสาร ก็พิจารณาด้วยอำนาจพระพุทธญาณ ว่าถ้าตถาคตจะเทศน์พระอภิธรรมทั้ง ๗ คัมภีร์ เทวดาองค์นี้จะมีผลเป็นประการใดบ้าง เมื่อทรงดำริดังนี้แล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ทรงทราบด้วยอำนาจพระพุทธญาณว่า ถ้าเราเทศน์พระอภิธรรมเจ็ดคัมภีร์นี้ไม่มีประโยชน์แก่เทวดาองค์นี้เลย ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่ากรรมหนัก จริตไม่พอกับพระอภิธรรม คือมีอารมณ์หยาบมาก ถ้าเทศน์จบเธอไม่ได้อะไร ไม่ได้พระโสดาบัน เธอจะต้องไปจุติในอเวจีมหานรก เป็นบุคคลผู้น่าสงสาร นี่น้ำใจของพระพิชิตมารเป็นอย่างนี้ แล้วต่อไปองค์พระธรรมสามิสรก็คิดต่อไปว่า จะเทศน์อะไรดี ก็ทราบด้วยอำนาจพระพุทธญาณว่า ถ้าเราเทศน์อุณหิสวิชัยสูตร เมื่อเธอฟังแล้วจะตรงกับอัธยาศัย พอเทศน์จบเธอจะได้พระโสดาบัน แล้วหลังจากนั้นอบายภูมิตามที่กล่าวมา ความทุกข์ทั้งหมด โทษทัณฑ์ทั้งหมดจะถูกปิด คือไม่มีโอกาสจะลงโทษเธอได้เพราะว่าพระโสดาบันนั้นเกิดเป็นเทวดาแล้วก็เกิดแค่มนุษย์ ถ้ายังไม่ไปนิพพานจุติลงมาเป็นมนุษย์แล้วก็เกิดเป็นเทวดาหรือพรหม พระโสดาบันมีอารมณ์หยาบเกิดเป็นมนุษย์ ๗ ชาติ พระโสดาบันมีอารมณ์อย่างกลางเกิดเป็นมนุษย์ ๓ ชาติ พระโสดาบันมีอารมณ์อย่างละเอียดเกิดเป็นมนุษย์ ๑ ชาติไปนิพพาน ฉะนั้น โทษทัณฑ์ทั้งหลายที่จะต้องตกนรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดียรัจฉานไม่มี แต่ทว่าที่มีขันธ์ ๕ เป็นคน ต้องพบกับเศษของอกุศลในฐานะที่มีร่างกายเป็นเครื่องรับ คือมีขันธ์ ๕ เป็นเครื่องรับก็ยังดี เมื่อองค์สมเด็จพระชินสีห์ทรงทราบด้วยอำนาจพระพุทธญาณ องค์สมเด็จพระพิชิตมารจึงทรงแสดงอุณหิสวิชัยสูตร เทศน์อุณหิสวิชัยสูตรพอจบ ท่านสุปติฏฐิตเทพบุตรก็เป็นพระโสดาบัน เป็นเทวดาต่อไปจนกระทั่งปัจจุบันนี้ท่านยังไม่ได้จุติ



    [​IMG]



    นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัทและพระคุณเจ้าที่เคารพ ตัวอย่างของบุคคลผู้ทำความชั่ว แต่ว่ามีความดีนิดหนึ่ง แล้วแถมเป็นเทวดาก็ประมาทในความดี หลงระเริงจนกระทั่งตัวเองจะต้องมารับผลของความชั่ว แต่ทว่าได้ดี ดีที่อากาสจารีเทพบุตรไปเห็นเสียก่อน ไปเห็นวิมานเศร้าหมอง เครื่องทิพย์เศร้าหมอง เหงื่อไหลจากรักแร้ ตามธรรมดาเทวดานี่ เครื่องทิพย์จะผ่องใสอยู่เสมอไม่ต้องซักฟอก วิมานจะผ่องใส เหงื่อไม่มี ถ้ามีเหงื่อเมื่อใด เครื่องทิพย์เศร้าหมองเมื่อใด ก็แสดงว่าเทวดาองค์นั้นจะต้องตาย นี่เป็นกฎของเทวดา นั่นยังมีบุญอยู่ นี่อาศัยสมเด์จพระบรมครูทรงช่วย จึงพ้นจากนรกไป เมื่อเป็นพระโสดาบันได้แล้วก็ชื่อว่ามีความสุข


    นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท การที่นำเรื่องนี้มาเล่าให้ฟัง ยังไม่เลยนรกไป ทั้งนี้เพราะอะไร? เพราะว่าบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายอาจจะสงสัย ว่าคนทำกรรมประเภทใดบ้าง จึงจะต้องมานรกขุมใหญ่ ในคัมภีร์ท่านบอกไว้ว่าคนที่ละเมิดกรรมบถทั้ง ๑๐ ประการมานรกขุมใหญ่ มากันยังไง แล้วก็กรรมบถ ๑๐ ประการนั้น เฉพาะข้อหรือว่าทั้งหมด บางคนจะพูดว่า นี่ก็ฉันทำบางอย่างเท่านั้นนี่ ละเมิดบางอย่างเท่านั้น ทำไมจะต้องลงนรกขุมใหญ่ด้วยรึ? แล้วก็ทำกรรมไม่หนักนัก เพียงฆ่าสัตว์ตัดชีวิต นี่เขาก็มีโทษไว้สำหรับโลหะกุมภี แต่ทว่าในบาลีท่านไม่ได้ว่าอย่างนั้น และท่านก็ไม่ได้แจงไว้ชัดว่ามีโทษกี่ข้อจึงมานรกขุมใหญ่




    จึงได้นำเอาเรื่องราวของท่านสุปติฏฐิตเทพบุตรมาเล่าให้ฟัง ว่าท่านทำปาณาติบาตเป็นอาจิณกรรม ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ขาดเมตตาปรานี ขาดพรหมวิหาร ๔ แล้วยิ่งไปกว่านั้น ก็กกลายเป็นคนที่นิยมการลักการขโมย เมื่อจิตมันชั่วเสียจุดเดียวมันก็ชั่วหมด ฆ่าสัตว์ได้ ลักขโมยก็ทำได้ มาเรื่องกาเมสุมิจฉาจาร นี่มันเรื่องสำคัญ คนทุกประเภทชอบ ผู้ชายก็ชอบ ผู้หญิงก็ชอบ ชอบเหมือนกัน เรียกว่าต่างคนต่างมีความปรารถนาเสมอกัน ความจริงก็ไม่น่าจะมีโทษ แต่ท่านกล่าวว่าคนที่เกิดมาแล้วนี่น่ะต้องมีบุคคลให้เกิด ที่เรียกกันว่าเจ้าของ คือพ่อแม่ ถ้าไม่มีพ่อแม่ก็มีผู้ปกครอง ถ้าไม่ได้รับอนุญาตก่อนถือว่าเป็นโทษ



    นี่จัดว่าเป็นโทษในกรรมบถ ๑๐ ส่วนกายกรรม ตานี้เมื่อกายกรรมมันหยาบก็ต้องทำหนัก สำหรับวจีกรรมมันเบากว่า ทำไมจะทำไม่ได้ วจีกรรมเรื่องการโกหก คนถ้าลงลักลงขโมยได้ จะทำกาเมสุมิจฉาจารได้ ไม่โกหกไม่มีหรอก ต้องโกหกกันแน่ เพราะว่าคนที่ลักที่ขโมยเขาต้องแสดงลีลาดี โจรนี่ ต้องทำท่าเรียบร้อยเมื่อเห็นคน พบคนเข้าต้องทำดีทำเป็นคนเรียบร้อย ทำว่าตนเป็นคนดี เขาจะได้ไม่สงสัย ถ้าคนเจ้าชู้ด้วยแล้วถ้าไม่โกหก ผลได้มันจะไม่มีเลย ต้องโกหก ทีนี้สำหรับวาจาส่อเสียดยุยงส่งเสริมให้เขาเข้าใจผิดแตกร้าวกัน คนประเภทนี้ถ้าลงโกหกได้แล้ว ก็ต้องยุยงส่งเสริมชาวบ้านได้ เพราะเป็นคนใจร้ายอยู่แล้ว แล้วเรื่องคำหยาบก็เหมือนกัน ไม่ต้องห่วงขนาดที่แกแกล้งพระเทศน์ได้ แกล้งคนฟังเทศน์ได้ เรื่องคำหยาบทำไม่ได้ไม่มี แล้ววาจาที่ไร้ประโยชน์ก็ทำได้เหมือนกัน มันเป็นของเบา พูดส่งเดช ไม่หาเหตุหาผล นี่เป็นวจีกรรม สำหรับมโนกรรมการเพ่ง เพ่งเล็งทรัพย์สินของคนอื่น แล้วก็เพ่งโทษ อันนี้เป็นของง่าย คนจะขโมยเขามันต้องคิดก่อน ว่าบ้านไหนมีอะไรดีวางอยู่ที่ตรงไหน คนที่เพ่งโทษประทุษร้าย คนที่ทำปาณาติบาตได้มันคิดอยู่แล้ว ว่าปลาตัวนี้ หมูตัวนี้ฉันจะฆ่ามันเป็นประโยชน์มากสำหรับฉัน ตานี้ ข้อสุดท้ายเรียกว่ามิจฉาทิฐิ สิ่งที่ทำมาแล้ว ๙ ข้อนั่นแหละ มันเป็นอาการของมิจฉาทิฐิ ความเห็นผิด จะต้องไปหาตัวมิจฉาทิฐิที่ไหนอีก เป็นอันว่ากรรมบถ ๑๐ ใช้ได้หมด ที่องค์สมเด็จพระสุคตบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวว่า คนที่จะลงนรกขุมใหญ่ได้ก็ต้องอาศัยละเมิดกรรมบถ ๑๐ นี่ไม่ว่าฆราวาส ไม่ว่าพระ ไม่ว่าเณร ก็มีโอกาสลงอเวจีมหานรกได้


    [​IMG]


    เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัท ที่พูดมาไว้ในตอนนี้ เพื่อให้บรรดาท่านพุทธบริษัทเข้าใจว่าการเกิดในนรกเขาเกิดกันยังไง เพราะเล่าเรื่องนรกมานี่รู้สึกว่าจะไม่ละเอียด ไม่ได้กล่าวถึงตัวบุคคลว่า คนที่จะเข้าถึงนรกขุมใหญ่แล้วไปนรกบริวารไปยมโลกียนรก เขาทำกันยังไง เล่าแต่เพียงปัจจัย คือเหตุที่จะต้องตกนรกตามแบบฉบับที่ท่านเขียนไว้ ฉะนั้นวันพุธนี้จึงได้เรื่องราวต่างๆ ที่จะเข้าไปสู่แดนเปรต นำเรื่องของท่านสุปติฏฐเทพบุตรมาสรุปให้ฟัง หวังว่าพระคุณเจ้าและบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทผู้รับฟังทุกท่านพอจะเข้าใจได้บ้าง
    สำหรับวันนี้ ก็หมดเวลาแล้ว จะขอชวน บรรดาพุทธบริษัท และพระคุณเจ้าที่เคารพไปสู่แดนเปรตก็ไปไม่ทัน เพราะเวลามันหมดก็ต้องลาท่านไปก่อน
    ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผลจงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนและพระคุณเจ้าที่รับฟังทุกท่าน สวัสดี.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 สิงหาคม 2012
  2. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,047
    [​IMG]


    เปรตญาติของพระเจ้าพิมพิสาร


    ญาติโยมพุทธบริษัท ทั้งหลาย วันพุธนี้ มีโอกาสมาพบกับ บรรดาท่านพุทธบริษัทตามปกติ แต่ทว่าสำหรับเสียง อันนี้เอาแน่ไม่ได้นะ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ทั้งหลายเรื่องเสียงนี่ก็ต้องขออภัย ถ้าหากมันดีบ้างไม่ดีบ้างกระแอมกระไอ ขอได้โปรดทราบ ว่าคนพูดอยู่ในลักษณะที่เรียกว่า ท่าทางไม่ดี คำว่าท่าทางไม่ดีในที่นี้ ก็หมายถึงว่าร่างกายมันไม่ดีหลังจากป่วยใหญ่มาแล้ว จนกระทั่งเวลานี้ ร่างกายยังไม่ปกติ จนกระทั่งปีนี้งานก่อสร้างต่างๆ ต้องเพลามือลง เพราะว่า ถ้าขืนทำตามความประสงค์ที่ทำไป ร่างกายทนไม่ไหว การควบคุมงานเป็นไปไม่ได้ตามปกติ


    เอาละเรื่องส่วนตัวขอระงับ จะเป็นที่รำคาญของท่านพุทธบริษัท สำหรับวันนี้ก็จะพูดเรื่องเปรต จะนำบรรดาท่านพุทธบริษัทไปชมเปรตสักนิด ชมกันสัก ๒๐ นาทีเศษๆ อย่าชมมากเลยนะ บรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้าขืนชมกันมากก็แค่นั้นแหละ คือ เป็นเปรต แล้วอาตมาเองก็ไม่ทราบชัดนัก สภาวะของเปรตเป็นยังไง จะเล่าให้ฟังโดยละเดียดมันไม่ได้ เพราะตำราหาย ได้บอกมาตั้งแต่วันพุธก่อนแล้วนี่ว่า ตำราเปรตเรียงลำดับ ๑๒ จำพวกมันหายไป ก็เลยมาคุยกันอย่างคร่าวๆ ก็แล้วกัน


    วันนี้จะเล่าเรื่องราวของเปรตญาติของพระเจ้าพิมพิสาร รู้สึกว่ามีเรื่องราวน่าฟัง ที่ว่าน่าฟังก็เรียกว่ามีต้นเหตุ แล้วก็ไล่เบี้ยจากนรกขึ้นมาจนกระทั่งถึงเป็นเปรต สำหรับเปรตพวกอื่นก็เหมือนกัน ถ้าบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทอยากจะทราบก็ถือว่ามีอาการคล้ายคลึงกัน จะเล่าให้ฟังละเอียดนักก็ไม่ได้


    [​IMG]

    ลองมองไปทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือของยมโลกียนรก นั่นเป็นแดนของเปรต ถ้าจะดูสภาพของเปรตแล้วก็จะเห็น เห็นว่าเปรตสะพรั่งไปหมด มีดินแดนสุดลูกหูลูกตา แต่ทว่า จะอธิบายให้ฟังได้ยังไง ทั้งนี้เพราะว่าไม่เข้าใจเรื่องราวของเปรต เอากันยังงี้ดีกว่า มาคุยกันถึงเรื่องเปรตญาติของพระเจ้าพิมพิสาร เพราะมีลำดับดีที่พระพุทธเจ้าตรัส ความจริงเรื่องเปรตญาติของพระเจ้าพิมพิสารนี่เล่ามาหลายครั้ง แต่ไม่มีการบันทึกไว้แน่นอน วันนี้เรามาพูดกันให้ละเอียดสักหน่อยว่า




    ในสมัยหนึ่ง จำชื่อพระพุทธเจ้าไม่ได้ ความจริงพระพุทธเจ้าท่านทรงตรัสไว้ว่า มีพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งมีพระนามว่าอะไรท่านบอกไว้ชัด แต่อาตมาจำไม่ได้ ขอยกไปก็แล้วกัน ขืนมานั่งพรรณนากันอยู่ก็เป็นที่น่ารำคาญ พระพุทธเจ้าองค์หนึ่งมีพระราชโอรส ๔ พระองค์ พระราชามีความเลื่อมใสในองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า และลูกชายก็เลื่อมใสด้วย เวลาที่พระพุทธเจ้าพร้อมไปด้วยพระพุทธสาวกมาพักในพระราชนิเวศน์เขตพระราชฐาน พระราชโอรสทั้ง ๔ ท่านก็เลี้ยงดูพระด้วยความเลื่อมใส แต่ว่างานเลี้ยงพระเป็นงานใหญ่ ด้วยพระที่ติดตามพระพุทธเจ้ามีจำนวนหมื่นจำนวนแสน การเลี้ยงพระต้องมีงานหนัก


    ฉะนั้นพระราชโอรสทั้ง ๔ พระองค์จึงได้มอบงานเลี้ยงพระให้แก่นายเสมียน สมัยนั้นพระเจ้าพิมพิสารพระเจ้าแผ่นดินมคธในสมัยที่พระพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นนี้ ก็เคยเป็นพระสหาย เป็นนายเสมียน นายเสมียนสมัยนั้น สมัยนี้ควรเรียกว่าเลขานุการ เป็นผู้แทนจัดงานเลี้ยง จัดเงินในคลังออกมาจับจ่ายใช้สอยเลี้ยงพระเลี้ยงคนของพระตามเท่าที่จะมี เรียกว่าเลี้ยงกัน ก็เลี้ยงอย่างดี เมื่อนายเสมียนใช้คนอื่นเขามาทำงานเขาก็ช่วยด้วยดี ทีนี้ต่อไปก็เห็นว่าถ้าเราได้ญาติของเรามาช่วยในการนี้จะดีมาก ความจริงนายเสมียนนั้นเป็นคนซื่อสัตย์บริสุทธิ์ ไม่คิดคดไม่คิดโกง หมายความว่า ไม่กินข้าวพระ ไม่กินสบงพระ ไม่กินจีวรพระ ไม่กินบาตรพระ ไม่กินรองเท้าของพระ แล้วก็ไม่กินกุฏิวิหารการเปรียญของพระ ไม่กินโบสถ์ของพระ ไม่เหมือนพระบางประเภท พระบางประเภทกินกัน บางวัดกินหอสวดมนต์เข้าไปตั้ง ๑๐ ปี บางวัดกินโบสถ์ กินศาลาการเปรียญ กินอะไรต่อมิอะไร อันนี้รู้สึกว่าขากรรไกรดีมาก ฟันดี กินอิฐ กินปูน กินทราย กินไม้ท่อน กินไม้เลื่อย กินกันได้ทุกอย่าง แต่ว่านายเสมียนคนนั้น ฟันไม่ดี ขากรรไกรไม่ดีกินไม่ไหว เลยไม่อยาก แต่ต่อมาเอาญาติเข้ามา บรรดาญาติทั้งหลายเหล่านี้ซิ เป็นคนฟันดี ขากรรไกรดี


    [​IMG]


    ในตอนต้นก็ช่วยงานด้วยดี ด้วยความซื่อสัตย์บริสุทธิ์ พอชักนานๆ เข้า ความเชื่องมันเกิด ความชินมันมี ก็คิดถึงว่าได้เรื่องบาปบุญคุณโทษ ประโยชน์มิใช่ประโยชน์ที่พระพุทธเจ้าเทศน์ ไม่มีความหมาย นรกอยู่ที่ไหน สวรรค์อยู่ที่ไหนฉันมองไม่เห็น คนตายแล้วก็แล้วกันไป แต่เวลาที่เรามีชีวิตอยู่นี้ให้มันมีความสบายก็แล้วกัน นี่ ตัวมิจฉาทิฐิแปลว่าเห็นผิด มองกันแต่ปัจจุบัน เมื่ออารมณ์ของแกเป็นยังงี้แกก็เริ่มจัดการตามระเบียบ เงินที่เขาให้มาเลี้ยงพระ ก็กันเข้ากระเป๋าเสียบ้าง ของราคา ๑ บาท ก็มาแจ้งว่าราคา ๖ สลึง หรือ ๒ บาท ของซื้อมา ๑๐ ชิ้น ก็แจ้งว่าซื้อมา ๕ ชิ้น เวลาเขาทำของให้พระ กลิ่นมันดี หอมดีรสอร่อย ก็กินเสียก่อนบ้าง ให้ลูกหลานกินก่อนบ้าง กีดกันเอาของพระไปไว้บ้านบ้าง เวลาพระฉันแล้วก็ดี หรือยังไม่ได้ฉันก็ดี เอาแอบใส่หม้อใส่ไห เอาข้าวใส่กระบุง ใส่หม้อใหญ่ เอาแกงใส่หม้อย่อม เอาไปกินที่บ้าน เอาไปเลี้ยงกันเป็นส่วนตัว ที่ทำมาแบบนี้ปกติไม่ต้องบรรยายมากนัก เป็นอันรู้กันว่าทุจริตก็แล้วกัน คดโกงของสงฆ์ เมื่อบรรดาบุคคลทั้งหลายเหล่านี้ตาย ตายแล้วนะ นายเสมียนไปเป็นเทวดา แล้วต่อมานายเสมียนก็มาเกิดเป็นพระเจ้าพิมพิสาร นี่คนที่เอาเข้ามานะเขาไม่รู้ไม่เห็นด้วย ไม่เหมือนสมภารบางวัดกับทายก มีความเห็นร่วมกัน กีดกันเงินที่เขาเรี่ยไรมาได้ เอามาเป็นสมบัติส่วนตัว มาแบ่งกันเสียบ้าง แล้วก็เอาไปทำบ้าง บางทีก็ไม่ทำเลย มีงานบอกว่าขาดทุน ขาดทุนก็เล่นเงินกรรมการเข้าไปอีก เรียกว่าเอา ๒ ชั้น เงินที่ได้มาก็โกง เงินที่เขาสำรองทุนมาก็โกง นี่แบบเดียวกัน จะเล่าตัวอย่างให้ฟัง


    เมื่อนายเสมียนไปเป็นเทวดา บรรดาญาติทั้งหลายเหล่านั้นไปไหน? โน่น ย่องไปนรก ไปสู่อเวจีมหานรกสิ้นระยะกัปหนึ่ง นี่ลงไปจริงๆ ไม่ได้ทำท่าจะลงอย่างท่านสุปติฎฐ ทีนี้เมื่อพ้นจากอเวจีมหานรกแล้ว ผ่านนรกบริวาร ๔ ขุมก็แล้ว เมื่อพ้นนรกบริวาร ๔ ขุมแล้ว ก็มายมโลกียนรกอีก ๑๐ ขุม ไล่ตามลำดับ แกเอาหมด คนประเภทนี้แล้วมีจิตอย่างนี้ไม่เหลือ นรกมีกี่ขุมลงหมด พ้นจากนรก ๑๐ ขุมนั่นแล้วก็มาเป็นเป็นคนอีก ๑๒ จำพวก เป็นเปรตระดับมีบาปหนักโทษหนัก พ้นแล้วก็มีโทษเบาขึ้นมาทีละน้อยๆ ในที่สุดในสมัยที่พระพุทธเจ้ามีพระนามว่าพระปทุมุตตระ อันนี้แน่หรือไม่แน่ก็ไม่ทราบ ถ้าไม่ใช่พระปทุมุตตระ ก็วิปัสสี ๒ องค์ จำไม่ได้ถนัด อันไหนที่จำได้ก็บอก ที่จำไม่ค่อยได้ก็ไม่บอก รับกันตรงๆ เพราะอาตมาเองก็ไม่ญาณพิเศษ ไม่ใช่พระพุทธเจ้า หรือไม่ใช่พระสาวกองค์สำคัญ จึงจะได้รู้ว่าอะไรผิดอะไรถูกเสมอไป บางทีแน่ใจเหมือนกันแต่ไม่กล้าพูด เกรงว่าจะผิดตำรา เพราะเวลาพูดนี่ไม่ได้เขียนหนังสือมา ไม่ได้เอาตำรามาอ่าน ดูไว้หลายปีแล้วจำได้ ก็เลยนำมาพูดเท่าที่จำได้ ถ้ามันขาดตกบกพร่องไปบ้างก็ขออภัยท่านผู้รับฟังด้วย

    [​IMG]

    ในเมื่อเป็นเปรต ๑๑ จำพวกแล้ว ก็มาเป็นเปรตจำพวกสุดท้ายเรียกว่า ปรทัตตูปชีวีเปรต เข้าใจว่าสมัยนั้นเป็นสมัยพระปทุมุตตระทศพลพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง เข้าใจว่านะ ถ้าผิดไปก็ขออภัยด้วย บรรดาปรทัตตูปชีวีเปรตพวกนั้นความจริงเป็นเปรตมีกรรมเบาแล้ว เปรต ๑๑ จำพวกได้บอกมาแล้วว่าไม่มีโอกาสจะโมทนาส่วนกุศล หรือสัตว์นรกก็เหมือนกัน คนที่ตายแล้ว ถ้าเลยลงไปนรก หรือเป็นเปรต ๑๑ จำพวก บรรดาญาติโยมที่อยู่ในชาตินี้หรือคนที่มีความหวังดีคิดจะสงเคราะห์ทำบุญส่วนกุศลอุทิศไปให้ อันนี้ไม่มีโอกาส ไม่มีทางที่จะได้โมทนา โปรดจำไว้ด้วย เรียกว่าโมทนาไม่ไหว เพราะว่าไม่มีโอกาส มันทุกข์ทรมานมากเหลือเกิน ทั้งเจ็บทั้งปวดทั้งร้อน ไม่มีเวลายินดีกับอะไรทั้งหมด ตานี้พอมาถึงปรทัตตูปชีวีเปรต พวกนี้มีกรรมไม่มาก ไม่มีหนอนกิน ไม่มีไฟไหม้ ไม่มีหอกเสียบแทง แต่ทว่าต้องเดินหิว ไปทางไหนๆ หาอะไรกินไม่ได้ รออย่างเดียว คือใครเขาจะมาทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้บ้าง



    ถ้าใครเขาทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ ได้รับการโมทนาก็มีความสบาย ฉะนั้น เวลาทำบุญ หากว่าท่านทั้งหลายที่ทำบุญแล้วเปล่งวาจาเฉพาะญาติใครเขาทำบุญที่ไหนก็ตาม ต้องเป็นคนที่ทำบุญแล้วได้บุญนะ ถ้าทำบุญแล้วไม่ได้บุญ เปรตพวกนี้ก็ไม่ไปล้อมอยู่สะพรั่งรอบๆ บริเวณนั้น คอยโอกาสที่ได้รับโมทนา ตอนนี้ท่านพุทธบริษัทอาจจะสงสัยว่าทำบุญประเภทใดได้บุญ ทำบุญประเภทใดไม่ได้บุญ บางคนทุนเป็นหมื่นเป็นแสน ทำแล้วไม่ได้บุญ แล้วบรรดาเปรตไม่โมทนา เพราะอะไร เพราะในงานนั้นมีการล้มวัวล้มควายล้มหมูเลี้ยงเหล้า ถ้าแบบนี้ไม่มีบุญ เพราะบาปมันเข้าไปขวาง เจตนาที่เป็นกุศลมันก็ไม่มี ถ้าอกุศลมันเข้าไป เวลาจะทำบุญให้ได้บุญจริงๆ ต้องมีอารมณ์สงบ เว้นจากสิ่งที่เป็นบาปทั้งหมด แม้แต่ไข่ที่มีชีวิตเราก็ไม่ทุบ เว้นแต่ไข่ฟางที่ไข่แล้วไม่มีตัวผู้ทับอันนี้เขากล่าวว่าไม่เป็นตัว อาตมาก็ไม่ทราบแน่นักนะ ถ้านักวิจัยฝ่ายวิทยาศาสตร์เขารับรองก็ใช้ได้ ถ้าฟักแล้วไม่เป็นตัว ไอ้ยังงี้ไม่บาป ถ้าลงเป็นตัวละก็บาป อย่างนี้ ไม่ยอมให้มีระหว่างจะทำบุญ แล้วก็เวลาทำ ทำจิตใจให้สบายไม่ห่วงใยอย่างอื่น เวลาพระให้ศีลตั้งใจรับศีลด้วยความเคารพแล้วก็ประพฤติตามศีล เวลาถวายทาน ถวายทานด้วยความเคารพ เวลาพระเทศน์ตั้งใจสดับพระธรรมเทศนาด้วยความเคารพ ทีนี้ เมื่อเคารพจริงๆ จิตสบายอารมณ์จึงจะมีบุญ

    [​IMG]


    เปรตทั้งหลายจึงยอมโมทนาส่วนกุศลเพราะคนนั้นมีบุญ ถ้าหากพอเริ่มงานเลี้ยงเหล้า ฆ่าวัวฆ่าควายฆ่าไก่ฆ่าปลา ตอนนี้อกุศลเข้ามาทับหัวใจเสียแล้วกรรมที่เป็นกุศลเข้าไม่ได้ การทำบุญคราวนั้นทั้งคราวหาบุญไม่ได้ อย่างนี้ เปรตไม่โมทนาเคยพบ


    คำว่าเคยพบในที่นี้ หมายความว่าเคยพบเรื่องราวของเปรตที่รับโมทนาจากญาติไม่ได้


    ตานี้ปรทัตตูปชีวีเปรตพวกนี้ก็เหมือนกัน เมื่อท่องเที่ยวมาตั้งนาน ไม่ทราบว่าสมัยนั้นพระพุทธเจ้าทางพระนามว่าพระปทุมุตตระ ทรงอุบัติขึ้นในโลก ถ้าชื่อผิดละขออภัยนะ บรรดาเปรตพวกนี้ที่เข้าไปหาพระพุทธเจ้า ไปกราบทูลว่าข้าพระพุทธเจ้าข้าอดข้าวนับเวลาเป็นร้อยๆกัป หรือเป็นแสนกัปเชียวนะพ้นจากนรกมาแล้วน่ะ มันนานเหลือเกิน เวลานี้ ข้าพระพุทธเจ้าเห็นข้าวเข้า ข้าวเขากองไว้ จะกินเข้าไปมันก็เป็นแกลบแล้วก็มีไฟลุก เห็นน้ำอยากน้ำ เป็นแม่น้ำวิ่งเข้าไปจะกินน้ำเพราะกระหายน้ำ เข้าไปน้ำแห้ง น้ำเป็นแกลบ แล้วเป็นไฟลุกกินไม่ได้เป็นอันว่าไม่ได้กินมานานแล้ว จึงกราลทูลถามองค์สมเด็จพระประทีปแก้วว่า เมื่อไรข้าพระพุทธเจ้าจะมีข้าวมีน้ำกินกับเขาสักที องค์สมเด็จพระชินสีห์ท่านเป็นพระพุทธเจ้า ความจริงถ้าจะช่วยบุญของท่านก็เหลือหลายเหลือโมทนาส่วนกุศล





    นี่องค์สมเด็จพระทศพบท่านทรงทราบไม่ใช่อย่างพวกเรา เดาดะไม่เลือกอะไรๆ ก็เรียกว่าใช้ได้มันไม่ถูก พระพุทธเจ้าท่านทรงทราบกฎของกรรมดีว่าเปรตพวกนี้ยังช่วยไม่ได้ ก็ต้องทรงอุเบกขาเข้า คือว่างเฉย แต่ก็มีเมตตา เมื่อเปรตทั้งหลายเหล่านั้นมาทูลถามสมเด็จพระบรมศาสดา พระองค์ก็ทรงทราบด้วยอำนาจพระพุทธญาณว่าหลังจากนี้ไป ๙๑ กัป จะมีพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งนามพระสมณโคดม ทรงอุบัติขึ้นในโลก และญาติเปรตทั้งหลายเหล่านี้ที่เป็นนายเสมียนกำลังเป็นเทวดาอยู่ จะมีพระราชานามว่าพระเจ้าพิมพิสารในประเทศมคร แล้วก็ปรากฏว่าจะเป็นผู้อุปถัมภ์ของพระพุทธเจ้าเป็นพระสหายกันมาก่อน เมื่อทำบุญแล้ว พระเจ้าพิมพิสาร อุทิศส่วนกุศลให้กับเปรตทั้งหลายเหล่านี้ เปรตผู้นี้ได้รับการโมทนาก็จะมีสภาพพ้นจากความเป็นเปรตจะเป็นเทวดาเพราะอำนาจกุศลที่พระเจ้าพิมพิสารให้ เมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรทรงทราบ จึงได้มีพระพุทธฎีกาตรัสกับเปรตทั้งหลายเหล่านั้นตามที่กล่าวมาแล้ว เมื่อเปรตทราบจากองค์สมเด็จพระประทีปแก้วว่าอีก ๙๑ กัป จะได้กินข้าวกินน้ำมีความสุขก็ดีใจ มีความรู้สึกคล้ายๆ กับว่าเวลา ๙๑ กัปเป็นวันพรุ่งนี้เห็นไหมล่ะ นี่ไม่รู้ว่าอดมาเมื่อไหร่นะ แต่ถอยหลังไปลงนรกเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ มาเป็นเปรตอันดับ ๑ ถึง ๑๑ เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ และเป็นเปรตอันดับ ๑๐ ผ่านมาแล้วกี่กัปก็ไม่ทราบ มาพบพระพุทธเจ้าตอนนี้ เหลืออีก ๙๑ กัป จะได้กินข้าวกินน้ำ กัปหนึ่งมีระยะเท่าไรก็พูดมาแล้วในสมัยอเวจีนรก ตอนนั้นพูดมาแล้วตั้ง ๙๑ กัปลองคิดดู ว่ามันต้องทรมานสักเท่าใด แต่เขาอดกันมานานก็ดีใจว่าจะได้มีโอกาสกินข้าวกินน้ำ หลังจากนั้นมาเปรตพวกนั้นก็ท่องเที่ยวทนความลำบากมาถึง ๙๑ กัป มาต้นกัปนี้พระพุทธเจ้ามีนามว่า กุกุธสันโธ องค์ที่ ๒ มีนามว่าพระโกนาคม องค์ที่ ๓ มีนามว่า พระพุทธกัสสป เปรตพวกนี้ก็เข้าไปถามทุกท่าน พระพุทธเจ้าแต่ละองค์ก็ทรงพยากรณ์ว่า ว่าพระสมณโคดมอุบัติขึ้นในโลก




    [​IMG]


    ญาติของเธอมีนามว่าพระเจ้าพิมพิสารบรมกษัตริย์พระบาทท้าวเธอมีความเลื่อมใสในสมเด็จพระจอมไตรทรงพระนามว่าพระสมณโคดมเมื่อบำเพ็ญกุศล แล้วอุทิศส่วนกุศลให้แก่เธอ พวกเธอได้รับโมทนาแล้วจะพ้นทุกข์ เขาก็มีความสุขใจ ว่านี่เรารอมาได้จากพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าพระปทุมุตตระถึง ๙๑ กัป แล้วก่อนนั้นอีก เพียงระยะกัปนี้เท่านั้นเองเรามีโอกาสจะได้รับความสุข เขาดีใจมากลิงโลดใจมาก แล้วต่อมาเมื่อสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ามีนามว่าพระสมณโคดม คือพระพุทธเจ้าองค์นี้ทรงอุบัติขึ้นในโลก แล้วพระเจ้าพิมพิสารก็มีความเลื่อมใส นิมนต์พระพุทธเจ้ามาอยู่ที่พระเวฬุวันมหาวิหารสร้างวัดถวายเป็นวัดแรกในพระพุทธศาสนา แล้วก็เลี้ยงดูพระตลอดเวลาแต่ก็ไม่เคยอุทิศกุศลไม่เคยกรวดน้ำ บรรดาเปรตทั้งหลายเหล่านี้ไปยืนคอย นั่งคอยนอนคอยในบริเวณเขตพระราชฐานของพระเจ้าพิมพิสารทุกวัน ไม่เห็นให้สักที หนักเข้าๆ มันทนอยากไม่ไหว ตั้งใจมาแล้วตั้ง ๙๑ กัป ไม่ใช่ ๙๑ ปีนะ ๙๑ กัป ทีนี้เมื่อตั้งท่าค่อยมาแบบนี้ตอนนี้ก็มาคอยอยู่ข้างๆ ไม่เห็นให้ เลยทนไม่ไหว คืนหนึ่งที่พระเจ้าพิมพิสารเข้าไปจะนอนในห้องบรรทมอันเป็นศิริ





    บรรดาเปรตทั้งหลายเหล่านี้ก็ส่งเสียงร้องให้ปรากฏ เป็นเสียงร้องว่ายังไงก็ไม่ทราบ จะบอกว่าการร้องอย่างงั้นอย่างงี้ ดีไม่ดีอาตมาก็จะเป็นเปรตปลอมไป เรียกว่าร้องไม่ถูกจักหวะเปรต ไม่ได้ยินนี่ว่าเขาร้องกันยังไง เป็นอันว่าร้องไม่เหมือนเสียงธรรมดาที่เคยได้ยินก็แล้วกัน พระเจ้าพิมพิสารแปลกใจ ในตอนเช้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าแต่เช้า ไปกราบทูลให้ทรงทราบว่า เมื่อคืนไม่ทราบว่าเสียงอะไร แปลกประหลาด ข้าพระพุทธเจ้าหวาดใจ องค์สมเด็จพระจอมไตรก็ทรงแจ้งให้ทราบ มีพระพุทธฎีกาว่า มหาราชะ ขอถวายพระพรมหาบพิตรพระราชสมภาร เสียงนั้นไม่ใช่เสียงอะไร เป็นเสียงเปรตญาติของพระองค์ แล้วก็เล่าเรื่องต่างๆ ตามที่กล่าวมาแล้วให้ฟังโดยละเอียด พระเจ้าพิมพิสารก็มีความสงสาร จึงนิมนต์องค์สมเด็จพระพิชิตมารพร้องไปด้วยพระสาวกทั้งหลาย ที่อยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร ตอนนั้นพระยังรวมกันประมาณ ๕๐๐ รูป เข้าไปฉันในพระราชนิเวศน์ พอพระฉันเสร็จพระเจ้าพิมพิสารก็กรวดน้ำตามพิธีของพราหมณ์ติดมาถึงสมัยนี้ แต่ว่าตามแบบฉบับของพุทธศาสนา การกรวดน้ำท่านเรียกอุทิศ คือมีเจตนาแผ่เมตตาส่งไปให้เจาะจง อุทิศนี้แปลว่าเจาะจงเฉพาะ คือเรียกว่าบุญนี้เราขอให้คนนั้น ขอให้คนนี้ ไม่ต้องใช้น้ำก็ได้ แต่เวลานั้นเป็นพิธีพราหมณ์ ยังติดอยู่มาก พระพุทธศาสนายังเกิดขึ้นใหม่ๆ พระเจ้าพิมพิสารก็นำพระเต้าทองที่มีน้ำ ราดลงไปบนมือของพระพุทธเจ้า กล่าวคำอุทิศว่า อิทังโน ญาตีนัง โหตุ ซึ่งแปลเป็นใจความว่า ขอผลบุญนี้ จงมีแก่ญาติของข้าพเจ้าเพียงเท่านี้ บรรดาเปรตทั้งหลายก็ได้รับโมทนา และอัตภาพแห่งความเป็นเปรตซีดเซียวก็หมดไป มีอาการผ่องใส มีอาการอิ่มเอิบ มีความสุข มีความสบาย มีร่างกายสวยเหมือนเทวดา



    [​IMG]



    ทีนี้เวลาให้น่ะเขาไม่ได้ให้วัตถุหรอกนะ จะเข้าใจว่าให้ข้าวไปกิน กรวดน้ำให้ข้าวเป็นก้อนๆ ไปกินแกงเป็นถ้วยๆ ขนมเป็นชิ้นๆ ไม่ใช่ยังงั้น เป็นอำนาจของความดี เมื่อได้รับโมทนาแล้ว มีความอิ่มขึ้นมา ไม่ต้องเปิบ อิ่มมีกำลังมีความสุข มีความเยือกเย็นมีความสวยสดงดงาม แต่ทว่าเปรตทั้งหลายเหล่านี้ ในชาติก่อนไม่เคยถวายไตรจีวรไว้ในพระพุทธศาสนา เมื่อได้รับโมทนาแล้วร่างกายเป็นเทวดา ไม่มีผ้านุ่ง ไม่มีเสื้อใส เป็นเทวดาชีเปลือย ก็มีความลำบากใจ ตอนกลางคืนเข้าไปหาพระเจ้าพิมพิสาร คราวนี้ไม่ร้อง ไปยืนให้เห็นยืนสะพรั่ง ร่างกายสวยสดงดงาม แต่ว่าไม่มีผ้านุ่ง ไม่มีเสื้อ ไม่มีอะไรปิดป้องกาย ตอนนี้สงสัยว่าบรรดาพวกเปรตทั้งหลายไปยืนให้พระเจ้าพิมพิสารเห็น น่ากลัวจะหันหลังให้ ถ้าหันหน้าให้คงทุเรศใจมาก ตอนเข้า พระเจ้าพิมพิสารมาทูลถามพระผู้มีพระภาคถึงภาพนั้น พระพุทธเจ้า ก็บอกว่าไม่ใช่ใคร เปรตพวกเดิม ได้รับโมทนาแล้วมีความสุขมีกายเป็นเทวดา แต่ขาดเครื่องประดับ เพราะว่าชาติก่อนไม่เคยบำเพ็ญกุศลเรื่องผ้าผ่อนท่อนสไบไว้ในพระพุทธศาสนา พระเจ้าพิมพิสารว่าทำยังไงเขาจึงจะได้ ท่านมีเมตตา พระพุทธเจ้าก็บอกว่าให้พระองค์ถวายผ้าแก่พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ท่านไม่ให้จำกัด แต่พระเจ้าพิมพิสารท่านเป็นกษัตริย์ ท่านรวย เลยถวายผ้าหมดทั้งวัด ถวายอาหารใหม่แล้วถวายผ้าหมดวัด แล้วอุทิศส่วนกุศลให้ บรรดาเทวดาที่มีกำเนิดจากเปรตทั้งหลาย เมื่อได้รับโมทนา มีเครื่องประดับอันเป็นทิพย์แล้ว ก็ไปอยู่ในสถานที่อันจะพึงควรอยู่ เป็นอันว่านับแต่วันนั้นเป็นต้นมา บรรดาเปรตทั้งหลายเหล่านั้นก็ไม่มารบกวนพระเจ้าพิมพิสารอีก


    นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท ที่นำเรื่องราวนี้มาคุยให้ฟังก็เพื่อจะได้ทราบว่าการทำบาปแล้วไปลงนรก แล้วก็ผ่านนรกมาเป็นเปรตกี่จำพวก มาเป็นปรทัตตูปชีวีเปรต มีความลำบากเท่าไร จะเล่าให้ละเอียดนักก็ไม่ได้เพราะตำราละเอียดไม่มี


    เอาละสำหรับวันนี้ หวังว่าบรรดาท่านพุทธบริษัทที่รับฟัง และบรรดาพระคุณเจ้าที่รับฟังคงจะเข้าใจ เข้าใจหรือไม่ก็ตามขอยุติไว้เพียงเท่านี้ ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชน และบรรดาพระคุณเจ้าผู้รับฟังทุกท่าน สวัสดี. .


    ที่มา หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี
    䵃?? - ?̓촍?҅Ԣ?<!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 กรกฎาคม 2012
  3. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,047
    [​IMG]
     
  4. kipkea_wa

    kipkea_wa Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 เมษายน 2011
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +27
    อยากทราบว่าพอจะมีวิธีไหนที่จะทำบุญให้ถึงญาติที่ตกนรกได้บ้าง หรือไม่มีเลยนอกจากต้องใช้กรรมให้หมดก่อน พอดีไปถามพี่คนนึงซึ่งมีญาณ ให้ดูญาติที่เสียไปว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน พี่บอกว่าตกนรกเนื่องจากผิดศีลข้อ 4 ซึ่งสงสารมาก ๆ เสียด้วยโรคมะเร็ง
     
  5. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,275
    ค่าพลัง:
    +82,733
    กระทู้มีมีประโยชน์มาก แถมอ่านแล้วได้รับความเบิกบานใจจากดอกไม้ด้วยค่ะ
     
  6. baimaingam

    baimaingam เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    634
    ค่าพลัง:
    +880
    ขออนุโมทนาสาธุครับ...
    ...หันหลังคืนฝั่ง พ้นจากทะเลทุกข์...
     
  7. EakChutidet

    EakChutidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    199
    ค่าพลัง:
    +856
    <!--[if gte mso 9]><xml> <w:WordDocument> <w:View>Normal</w:View> <w:Zoom>0</w:Zoom> <w:TrackMoves/> <w:TrackFormatting/> <w:punctuationKerning/> <w:ValidateAgainstSchemas/> <w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid> <w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent> <w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText> <w:DoNotPromoteQF/> <w:LidThemeOther>EN-US</w:LidThemeOther> <w:LidThemeAsian>X-NONE</w:LidThemeAsian> <w:LidThemeComplexScript>TH</w:LidThemeComplexScript> <w:Compatibility> <w:BreakWrappedTables/> <w:SnapToGridInCell/> <w:ApplyBreakingRules/> <w:WrapTextWithPunct/> <w:UseAsianBreakRules/> <w:DontGrowAutofit/> <w:SplitPgBreakAndParaMark/> <w:EnableOpenTypeKerning/> <w:DontFlipMirrorIndents/> <w:OverrideTableStyleHps/> </w:Compatibility> <m:mathPr> <m:mathFont m:val="Cambria Math"/> <m:brkBin m:val="before"/> <m:brkBinSub m:val="--"/> <m:smallFrac m:val="off"/> <m:dispDef/> <m:lMargin m:val="0"/> <m:rMargin m:val="0"/> <m:defJc m:val="centerGroup"/> <m:wrapIndent m:val="1440"/> <m:intLim m:val="subSup"/> <m:naryLim m:val="undOvr"/> </m:mathPr></w:WordDocument> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 9]><xml> <w:LatentStyles DefLockedState="false" DefUnhideWhenUsed="true" DefSemiHidden="true" DefQFormat="false" DefPriority="99" LatentStyleCount="267"> <w:LsdException Locked="false" Priority="0" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="Normal"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="9" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="heading 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="9" QFormat="true" Name="heading 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="9" QFormat="true" Name="heading 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="9" QFormat="true" Name="heading 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="9" QFormat="true" Name="heading 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="9" QFormat="true" Name="heading 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="9" QFormat="true" Name="heading 7"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="9" QFormat="true" Name="heading 8"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="9" QFormat="true" Name="heading 9"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="39" Name="toc 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="39" Name="toc 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="39" Name="toc 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="39" Name="toc 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="39" Name="toc 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="39" Name="toc 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="39" Name="toc 7"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="39" Name="toc 8"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="39" Name="toc 9"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="35" QFormat="true" Name="caption"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="10" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="Title"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="1" Name="Default Paragraph Font"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="11" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="Subtitle"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="22" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="Strong"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="20" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="Emphasis"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="59" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Table Grid"/> <w:LsdException Locked="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Placeholder Text"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="1" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="No Spacing"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="60" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Shading"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="61" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light List"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="62" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Grid"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="63" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="64" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="65" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="66" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="67" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="68" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="69" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="70" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Dark List"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="71" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Shading"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="72" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful List"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="73" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Grid"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="60" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Shading Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="61" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light List Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="62" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Grid Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="63" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 1 Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="64" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 2 Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="65" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 1 Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Revision"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="34" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="List Paragraph"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="29" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="Quote"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="30" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="Intense Quote"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="66" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 2 Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="67" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 1 Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="68" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 2 Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="69" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 3 Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="70" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Dark List Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="71" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Shading Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="72" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful List Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="73" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Grid Accent 1"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="60" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Shading Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="61" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light List Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="62" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Grid Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="63" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 1 Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="64" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 2 Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="65" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 1 Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="66" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 2 Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="67" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 1 Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="68" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 2 Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="69" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 3 Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="70" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Dark List Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="71" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Shading Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="72" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful List Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="73" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Grid Accent 2"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="60" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Shading Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="61" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light List Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="62" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Grid Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="63" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 1 Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="64" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 2 Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="65" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 1 Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="66" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 2 Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="67" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 1 Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="68" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 2 Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="69" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 3 Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="70" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Dark List Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="71" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Shading Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="72" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful List Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="73" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Grid Accent 3"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="60" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Shading Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="61" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light List Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="62" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Grid Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="63" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 1 Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="64" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 2 Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="65" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 1 Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="66" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 2 Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="67" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 1 Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="68" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 2 Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="69" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 3 Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="70" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Dark List Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="71" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Shading Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="72" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful List Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="73" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Grid Accent 4"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="60" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Shading Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="61" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light List Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="62" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Grid Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="63" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 1 Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="64" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 2 Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="65" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 1 Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="66" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 2 Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="67" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 1 Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="68" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 2 Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="69" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 3 Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="70" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Dark List Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="71" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Shading Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="72" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful List Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="73" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Grid Accent 5"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="60" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Shading Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="61" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light List Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="62" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Light Grid Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="63" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 1 Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="64" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Shading 2 Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="65" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 1 Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="66" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium List 2 Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="67" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 1 Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="68" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 2 Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="69" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Medium Grid 3 Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="70" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Dark List Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="71" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Shading Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="72" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful List Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="73" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" Name="Colorful Grid Accent 6"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="19" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="Subtle Emphasis"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="21" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="Intense Emphasis"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="31" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="Subtle Reference"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="32" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="Intense Reference"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="33" SemiHidden="false" UnhideWhenUsed="false" QFormat="true" Name="Book Title"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="37" Name="Bibliography"/> <w:LsdException Locked="false" Priority="39" QFormat="true" Name="TOC Heading"/> </w:LatentStyles> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 10]> <style> /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:ตารางปกติ; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-priority:99; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt; mso-para-margin-top:0cm; mso-para-margin-right:0cm; mso-para-margin-bottom:10.0pt; mso-para-margin-left:0cm; line-height:115%; mso-pagination:widow-orphan; font-size:11.0pt; mso-bidi-font-size:14.0pt; font-family:"Calibri","sans-serif"; mso-ascii-font-family:Calibri; mso-ascii-theme-font:minor-latin; mso-hansi-font-family:Calibri; mso-hansi-theme-font:minor-latin; mso-bidi-font-family:"Cordia New"; mso-bidi-theme-font:minor-bidi;} </style> <![endif]-->[FONT=&quot]ขออนุโมทนา ขอความเจริญในธรรมจงบังเกิดแก่ทุกท่านทุกรูปทุกนาม หากการกระทำใดๆ[/FONT][FONT=&quot]
    ของข้าพเจ้าล่วงเกินท่านทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นวจีกรรม,มโนกรรม ข้าพเจ้าขออโหสิกรรมมา ณ ที่นี้

    ขอปฎิญาณตนเป็นคนดี ละเว้นการกระทำชั่ว ถือศิล มีธรรมะประจำใจ มีพระนิพพานเป็นอารมณ์
    จะขอมีสติทุกลมหายใจเข้า-ออก ระลึกถึงความตายไว้เสมอทุกลมหายใจเข้า-ออก ละลึกเสมอว่า
    ตัวเรามิใช้ของเรา กายเราก็มิใช่ของเรา เคารพในครูบาอาจารย์ หมั่นปฎิบัติมิให้ขาด ตั่งจิตตั้งใจ
    จะไม่เกิดใหม่อีก ขอให้ถึงพระนิพพานในชาตินี้

    ข้าพเจ้าขออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลนี้ไปให้ทุกรูปทุกนามทั้ง 20 ชั้นพรหมโลก 6 ชั้น
    เทวะโลก มนุษย์โลก มารโลก ยมโลก อบายภูมิทั้ง 4 มี นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน
    และในหมื่นโลกธาตุกับอีกแสนจักรวาลพิภพ ทั้งที่เป็นมนุษย์ อมนุษย์ รูปวิญญาณ อรูปวิญญาณ
    และสรรพสัตว์ทั้งหลาย ทั้งที่เป็นมิตรและศัตรู ตลอดจนเจ้ากรรมนายเวรของข้าพเจ้า
    .........ขอให้ทุกรูปทุกนาม จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรซึ่งกันและกันเลย
    อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย ขอให้ทุกรูปทุกนาม จงโมทนาในส่วนกุศลนี้
    พึงได้รับประโยชน์ความสุขเช่นเดียวกัน ข้าพเจ้าจะพึงได้รับ ณ กาลบัดนี้ด้วยเทอญ .........

    พร้อมกันนี้ ขออนุโมทนา บุญกุศลกับทุกท่านด้วยครับ
    นายชุติเดช วรรณสุวงค์
    _/l\_ สาธุ สาธุ สาธุ _/l\_

    [/FONT]
     

แชร์หน้านี้

Loading...