หลักการณ์พยากรณ์ตนเองว่าจิตของเราบรรลุขั้นโสดาบันหรือไม่

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย อธิมุตโต, 14 สิงหาคม 2007.

  1. อธิมุตโต

    อธิมุตโต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    4,741
    ค่าพลัง:
    +13,087
    ก่อนอื่นต้องมารู้จักอริยบุคคลก่อนที่จะพยากรณ์จิตของตนเอง

    ๑. อริยบุคคล

    อริยบุคคล หมายถึง บุคคลผู้ประเสริฐ คือคำว่า อริยะ แปลว่า ไกลจากกิเลส คือมีกิเลสน้อย หรือไม่มีกิเลสเลย ซึ่งบุคคลที่ไกลจากกิเลสนี้เองที่จัดเป็นบุคคลที่ประเสริฐ หรือดีเลิศ

    ปุถุชน หมายถึง คนหนา คือหมายถึงมีกิเลสหนาแน่น หรือยังมีความโลภ โกรธ หลงอยู่มาก โดยปุถุชนนั้นจะเป็นผู้ที่ยังไม่มีดวงตาเห็นธรรม ซึ่งปุถุชนนั้นก็มีทั้งปุถุชนดี(คนดี)และปุถุชนเลว(คนเลว) ซึ่งส่วนมากจะมีทั้งดีและเลวปะปนกันอยู่ในคนเดียว เพียงแต่ว่าใครจะมีดีหรือเลวมากน้อยกว่ากันเท่านั้น

    พระอริยบุคคลนั้นเมื่อแยกตามลักษณะของการพ้นทุกข์แล้วจะแยกได้ ๔ ประเภทด้วยกัน อันได้แก่
    ๑. พระโสดาบัน คือผู้ที่เริ่มเข้าสู่กระแสนิพพาน
    ๒. พระสกิทาคามี คือผู้ที่มีทุกข์เพียงเล็กน้อย
    ๓. พระอนาคามี คือผู้ที่เกือบจะไม่มีทุกข์เลย
    ๔. พระอรหันต์ คือผู้ที่บริสุทธิ์ หรือสิ้นกิเลสแล้ว

    พระโสดาบันก็คือผู้ที่มีดวงตาเห็นธรรมแล้วและสามารถทำลายสังโยชน์หยาบๆได้ ๓ ขั้น คือทำลายความเห็นว่ามีตนเองได้แล้ว, สิ้นความลังเลสงสัยในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์แล้ว,และไม่มีความงมงายใดๆอีกต่อไป ซึ่งผู้ที่บรรลุโสดาบันนี้ยังจะครองเรือนเป็นคนดีของสังคมอยู่ได้ และจะมีความทุกข์ลดลงอย่างมากเมื่อเทียบกับปุถุชนทั้งหลาย

    พระสกิทาคามีก็คือพระโสดาบันผู้ที่ฝึกฝนอริยมรรคมากขึ้นจนความทุกข์ลดลงจนเหลือเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งก็จะยังครองเรือนอยู่ก็มี แต่สังโยชน์นั้นยังทำลายได้เท่าพระโสดาบัน

    พระอนาคามีก็คือผู้ที่ฝึกฝนอริยมรรคมากจนเกือบสมบูรณ์แล้ว จนทำลายสังโยชน์ที่ละเอียดได้อีก ๒ ขั้น คือท่านจะไม่ติดอยู่กับความสุขจากกามารมณ์ และท่านจะไม่มีความรู้สึกอึดอัดขัดเคืองใจหรือไม่พอใจในสิ่งใดอีกต่อไป ซึ่งท่านจะยังมีความทุกข์ที่เบาบางอีกเล็กน้อยเท่านั้น และท่านมักออกบวชเป็นภิกษุเพราะไม่ติดอยู่ในกามารมณ์แล้ว

    พระอรหันต์ก็คือผู้ที่ฝึกฝนอริยมรรคจนสมบูรณ์แล้ว จนทำลายสังโยชน์ที่เหลือได้ทั้งหมด คือท่านจะไม่ติดอยู่ในสุขจากรูป, และอรูป, ท่านจะไม่มีความถือตัวใดๆ, ท่านจะไม่มีความรู้สึกตื่นเต้นหรือทึ่งหรือฟุ้งซ่านอีกต่อไป, และท่านจะไม่มีสัญชาตญาณแห่งความมีตัวตนอีกต่อไป ซึ่งพระอรหันต์นี้ก็มีทั้งที่มีความสามารถพิเศษ(มีฤทธิ์) และชนิดที่ไม่มีความสามารถพิเศษอะไรเลย(สุขวิปัสสโก).

    สรุปว่าพระอริยบุคคลก็คือผู้ที่ปฏิบัติอริยมรรคจนบังเกิดผลเป็นความดับลงของทุกข์จริงแล้วและบรรลุนิพพานแล้ว โดยพระอริยบุคคลขั้นต้นๆก็เพียงมีนิพพานเป็นบางครั้งยังไม่ถาวร ยิ่งขั้นสูงขึ้นก็จะมีนิพพานมากขึ้น จนกว่าจะถึงขั้นสูงสุดคือเป็นพระอรหันต์จึงจะบรรลุนิพพานสูงสุดคือถาวรได้.

    ๒. นิพพาน ๓

    นิพพานของพระอริยบุคคลนั้นก็มีอยู่ ๓ ประเภทอันได้แก่

    ๑. เสขะนิพพาน คือนิพพานของพระเสขะ
    ๒. สอุปาทิเสสนิพพาน คือนิพพานที่ยังมีเชื้อเหลือ
    ๓. อนุปาทิเสสนิพพาน คือนิพพานที่ไม่มีเชื้อเหลือ

    พระเสขะหมายถึงพระอริยบุคคลที่ยังต้องศึกษาและปฏิบัติต่อไป อันได้แก่พระโสดาบัน พระสกิทาคามีและพระอนาคามี ส่วนพระอเสขะก็หมายถึงพระอริยบุคคลที่ไม่ต้องศึกษาและปฏิบัติอีกต่อไปแล้ว อันได้แก่พรระอรหันต์นั่นเอง

    เสขนิพพานก็คือนิพพานของพระเสขะทั้งหลาย ซึ่งจะยังไม่เย็นสนิทและไม่ถาวร เพราะสังโยชน์ยังไม่ถูกทำลายหมดสิ้น

    สอุปาทิเสสนิพพานก็คือนิพพานของพระอรหันต์ที่เพิ่งบรรลุใหม่ๆที่ยังไม่เย็นสนิทเพราะเชื้ออนุสัยของขันธ์ ๕ ยังมีอยู่บ้าง คือขันธ์ ๕ ยังทำงานอยู่บ้าง เวทนาของท่านจึงยังไม่เย็นสนิท

    อนุปาทิเสสนิพพานก็คือนิพพานของพระอรหันต์ที่บรรลุนานแล้ว ขันธ์ ๕ ของท่านบริสุทธิ์ถาวรแล้ว นิพพานของท่านจึงเย็นสนิท.

    ๓. ภูมิ ๔

    ภูมิ หมายถึง ระดับหรือพื้นเพของจิต ซึ่งมีอยู่ ๔ ระดับ อันได้แก่

    ๑. กามาวจรภูมิ ระดับที่ติดอยู่ในกามารมณ์
    ๒. รูปาวจรภูมิ ระดับที่ติดอยู่ในรูปารมณ์
    ๓. อรูปาวจรภูมิ ระดับที่ติดอยู่ในอรูปารมณ์
    ๔. โลกุตตรภูมิ ระดับที่อยู่เหนือโลก

    ภพนั้นหมายถึงความมีความเป็นตามความยึดมั่นจึงมีได้เพียง ๓ ภพ คือกามภพ, รูปภพ, และอรูปภพ ซึ่งจิตในแต่ละภพก็จะมีภูมิคือระดับจิตตามภพที่เป็นอยู่ (โลกุตตรภพไม่มีเพราะไม่มีความยึดมั่น) ซึ่งจิตที่ยังติดอยู่ในภพเหล่านี้จะเรียกว่าเป็น
     
  2. ผู้เดินทาง

    ผู้เดินทาง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    203
    ค่าพลัง:
    +407

    ในข้อ 1-5 สำหรับปุถุชนผู้มากด้วยศรััทธา ก็สามารถยังให้เกิดขึ้นในตนได้ จนอาจคิดไปได้ว่าตน "บรรลุธรรม" แล้ว

    ข้อ 6 สุดท้ายนั่นแหละของจริง มีแต่พระอริยเจ้าเท่านั้นที่แทงตลอดปฏิจจสมุปบาทแล้วด้วยการปฏิบัติถึงจริง ปฏิบัติเห็นจริง ปฏิบัติตรงจริง ปฏิบัติชอบจริง ไม่ใช่จากการได้อ่าน ได้ยิน ได้ฟัง หรือจากการคาดคิดเอาเองโดยอาศัยข้อมูลและตรรกะ

    พระอริยเจ้าหากไม่เคยสดับปฏิจจสมุปบาทธรรม ก็ไม่สามารถแสดงปฏิจจสมุปบาทธรรมได้ (เว้นแต่พระสัมมมาสัมพุทธเจ้า) เพราะไม่รู้สมมุติบัญญัติ ที่จะใช้อธิบายธรรมที่ตนเข้าถึงแล้วได้

    พระอริยเจ้าหากได้เคยสดับปฏิจจสมุปบาทธรรมแล้ว
    จะสามารถเข้าใจและรับรองธรรมนั้นได้โดยง่าย และไม่ผิดเพี้ยน เพราะรสแห่งธรรมที่ได้ลิ้มลองแล้ว ย่อมรู้อยู่
     
  3. lomnow

    lomnow เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    89
    ค่าพลัง:
    +353
    ผู้ที่จะไม่สงสัย ในกระแสพระโสดาบัน คือผู้ที่ได้พระโสดาบันแล้ว
     
  4. ยายทองประสา

    ยายทองประสา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    805
    ค่าพลัง:
    +3,069
    ไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก

    ยังมีหลายอย่างให้สังเกต

    ผู้รู้ย่อมรู้ได้เฉพาะตน

    คนที่ปฏิบัติถึงจึงจะทราบเอง

    ทำไปเถอะ เอาแค่ตายไม่ตกนรก
    ไม่เป็นสัตว์ เปรต อสุรกาย ก็เก่งมากแล้ว

    เพราะพระโสดาบันก็พ้นจากทุคติ 4 เหมือนกัน

    ท่านเก่งกว่าคนธรรมดาตรงที่กิเลสเบาบาง

    ไม่ถอยหลังไปทำความชั่วอีกแล้ว!
    เช่น ไม่ละเมิดศีล พระรัตนไตร ละสักกายะทิฏฐิ
    (คิดว่าตัวจะไม่ตาย กายนี้เป็นของเรา ฯ) ฯลฯ

    พอทำเข้าจริงๆ มันไม่ได้มีแค่ 3 ข้อ
    แต่แตกออกจาก 3 ข้อนี้ได้มากมาย
    เช่นต้อง มีอิทธิบาท 4 จึงจะสำเร็จทุกอย่างที่ว่ามา
    ต้องมีพรหมวิหาร 4 ศีลจึงบริสุทธิ์
    ต้องมีกุศลกรรมบท 10, ฯลฯ

    อธิบายมากไม่ได้ ขอโทษด้วย
    เพราะผมไม่ได้เป็นพระโสดาบัน
    อธิบายไปก็อาจผิด เท่าที่ว่ามานี้
    จำอาจารย์ท่านสอนมาครับ ... ;-p
     
  5. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,606
    ค่าพลัง:
    +1,817
    การปฏิบัติธรรมเพื่อการหลุดพ้น ก็เหมือน(ใช้คำว่าเหมือนนะขอรับ)การทำงานทั่วๆไปในชีวิตประจำวันของทุกคน คือเมื่อทำงานหรือประกอบกิจกรรมใด ก็จะเห็นผลได้เมื่อสำเร็จเสร็จสิ้นในการทำงานนั้นๆ ไม่ใช่มานั่งพยากรณ์ว่าทำงานแล้วจะต้องเป็นเช่นใด จริงอยู่การทำงานสามารถมองเห็นได้เลยว่าถ้าทำงานตามแผนงาน และข้อมูลที่มีอยู่หรือที่ได้วางแผนงานไว้ ย่อมได้ผลสำเร็จตามแผนงานที่ได้มีวัตถุประสงค์ หรือจุดมุ่งหมาย แต่ในทาง
    ศาสนาหรือการฝึกตนในศาสนา ไม่ใช่การดูดวงชตาชีวิต ที่จะต้องใช้การพยากรณ์เข้าช่วยในที่นี้หมายความว่า
    ถ้าคุณบรรลุโสดาบัน คุณและผู้อื่น ก็จะรู้ได้ว่าคุณบรรลุโสดาบัน ที่รู้ได้ก็เพราะ ข้าพเจ้าบอกให้ว่า
    "ผู้บรรลุโสดาบัน ขึ้นไป จะปรากฏมีฉัพพรรณรังสี เปล่งออกรอบศรีษะ หากฝึกไปถึงขั้นควบระหว่าง โสดาบัน และสกทาคามี ก็จะปรากฎฉัพพรรณรังสี เปล่งออกทั้งตัว หรือบางส่วนรวมทั้งศรีษะ ซึ่งแสงหรือฉัพพรรณรังสีที่เกิดขึ้นนั้น สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า อาจมีหลายสี เช่น สีขาวนวล สีค่อนข้างดำ,สีขาวออกส้ม ฯ ทั้งนี้ก็เพราะบุคคลผู้บรรลุโสดาบัน จะรู้จักขจัดอาสวะออกจากร่างกาย ด้วยญาณ(ยาน)"

    ส่วน นิพพานนั้น ในตำรากล่าวอย่างนั้นก็จริงอยู่ แต่ในทางที่เป็นจริง ไม่เหมือนกัน แตกต่างกันเยอะมาก ตอนนี้ยังหาข้อยุติไม่ได้ว่า นิพพาน หรือ ปรินิพพานนั้น แท้จริงแล้ว เป็นอย่างไร
    แต่ในขั้นต้นนี้
    "นิพพาน หรือ ปรินิพพาน ไม่ใช่การตาย ไม่ใช่การสิ้นอายุขัยแบบมนุษย์ แต่เป็นปรากฎการทางสรีระร่างกาย เมื่อบุคคลฝึกตนถึงชั้นอรห้นต์แล้ว ก็จะถึงชั้นควบนิพพาน คืออยู่ระหว่างอรหันต์ กับนิพพาน สรีระร่างกาย ก็จะโปร่งแสง บางครั้งก็จะเป็นดวงจิตดวงเดียว หมายความว่า สรีระร่างกายทั้งหมด จะโปร่งแสง และรอบสรีระร่างกายก็จะเป็นสูญญากาศ เป็นวงกลมมีสีใสขาวเหมือนแก้ว นี้เป็นปรากฎการณ์คร่าวๆ เกี่ยวกับ นิพพานในชั้นแรก แต่ยังไม่ใช่ข้อยุติ "
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 สิงหาคม 2007
  6. มพดา

    มพดา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +547
    ท่านทั้งหลายปฏิบัติธรรม เพื่อความเป็นอริยบุคคล พ้นจากปุถุชน เท่านั้นเองหรือ <O:p</O:p
     
  7. มพดา

    มพดา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +547
    มีใครในที่นี้ ได้เข้าสู่กระแสแห่งพระนิพพานบ้าง ขอให้อธิบาย ลำดับการเปลี่ยนสภาวะจิตจาก ปุถุชน เป็น โคตรภูมิ แล้วก้าวล่วงเข้าสู่อริยะ ให้รับรู้บ้าง จักเป็นพระคุณอย่างยิ่ง เข้าสู่กระแสพระนิพพานด้วยอาการเช่นไร มีธรรมอะไรเป็นเหตุ มีธรรมอะไรเป็นปัจจัย พิจารณาธรรมอะไรบ้าง <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ผู้ที่เข้าสู่กระแสนิพพานจริง สามารถตอบคำถามนี้ได้ อยากทราบเพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติ<o:p></o:p>
     
  8. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,606
    ค่าพลัง:
    +1,817
    คุณวิสุทธิ คุณอ่านให้ดีนะ และใช้สมองคิดพิจารณาให้ดีนะ ข้าพเจ้าเองก็ไม่กล้าที่จะฟันธงลงไปเลยว่า นิพพานที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะ ข้าพเจ้าไม่รู้ว่า นิพพานที่แท้จริงเป็นอย่างไร ไม่รู้ว่า การปฏิบัติธรรมทางศาสนาหรือการฝึกตนทางศาสนาขั้นสูงสุดเรียกว่านิพพานจริงหรือไม่
    แต่สันนิษฐาน หรืออนุมานเอาจากประสบการณ์ในการฝึกตนหรือปฏิบัติตามหลักการหรือปฏิบัติตามบทเรียนที่ข้าพเจ้าค้นคิดขึ้นมา ว่า "นิพพาน" หรือปรินิพพาน" น่าจะเป็นสภาพสภาวะแห่งสรีระร่างกายที่แปรเปลี่ยนไปจากปกติที่เป็นเนื้อหนัง เปลี่ยนเป็นโปร่งแสง มีฉัพพรรณรังสีรอบกาย สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เป็นสีขาวใสคล้ายดังผลึกแก้ว หรือกระจก สภาพสภาวะจิตใจว่าง จะว่าวางเฉยก็ไม่ใช่ จะว่าไม่วางเฉยก็ไม่ใช่ บอกไม่ถูกเหมือนกัน การแปรเปลี่ยนแห่งสรีระร่างกายที่ข้าพเจ้ากล่าวไปแล้วนี้ เกิดได้ไม่เลือกสถานที่ แต่มันเกิดขึ้นเองโดยที่ข้าพเจ้าเองก็ยังไม่รู้ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร จนข้าพเจ้าต้องหยุดเข้าญาณ(ยาน) ได้แต่ทบทวนวิชชาเท่านั้น
    ก่อนที่สรีระร่างกายจะแปรเปลี่ยนเป็นโปร่งแสงนั้น ก็จะเริ่มจากสรีระร่างกาย เปล่งแสงที่ศรีษะก่อนเป็นอันดับแรก สภาพสภาวะจิตใจนั้น บางครั้งก็ดี บางครั้งก็ร้าย เหตุเพราะเริ่มแรกของการเข้าญาณนั้น เหมือนงมเข็มในมหาสมุทร ไม่รู้ว่าอย่างไหนถูกอย่างไหนผิด ต้องใช้วิธีทดลอง ถ้าผิดสภาพอารมณ์และจิตใจก็จะขุ่นมัว คล้ายคนเป็นโรคจิตประสาท ก็ต้องแก้ไขในทันที เอาแบบที่ถูกที่สุด คือเอาญาณ(ยาน)ที่ถูกต้องที่สุดมาใช้กล่อมเกลาจิตใจก่อน แล้วก็ค้นหาใหม่พิจารณาใหม่เพื่อให้ถูกต้องที่สุด ลองผิดลองถูกอยู่ร่วม 20 ปี จึงพอจะได้หลักการที่ถูกต้องเกือบทั้งหมด แต่ก็ยังมีรายละเอียดปลีกย่อยที่ผิดอยู่จึงมีปัญหาอยู่บ่อยครั้ง เมื่อผ่านชั้น(ข้าพเจ้าเรียกชั้นนี้ว่า โสดาบัน จนถึง โสดาบัน ปฏิมรรค ปฏิผล หรือบรรลุมรรคผล)นี้ก็จะถึงขั้นที่ เริ่มมีแสงเปล่งออกมาเกือบทุกที่ของร่างกาย และเริ่มมีแสงหรือฉัพพรรรณรังสีหลายหลากสี ตามแต่สภาพอารมณ์และสภาพความรู้สึกภายใน และภายนอกที่มากระทบ และคลื่นต่างๆที่มากระทบก็จะตกกระทบและสะท้อนออกไปจากร่างกายได้เองโดยไม่ต้องบังคับในบางครั้ง(ข้าพเจ้าเรียกชั้นนี้ว่า สกทาคามี) เมื่อต่อจากชั้นนี้ไปแล้ว สรีระร่างกาย ก็เริ่มแปรเปลี่ยนมากขึ้น หากมีผู้หญิงหรือผู้ชาย เข้ามาใกล้ และเขาเหล่านั้นมีคลื่นแห่งความคิดหรือคลื่นอื่นใดกระจายออกมา สรีระร่างกายก็จะมีฉัพพรรณรังสีเปล่งออกมารอบกายโดยใช้หลักการกระแม่เหล็ก ป้องกันคลื่นความคิดหรือคลื่นอื่นใด ของเขาเหล่านั้นไหลเขามาสู่ตัวข้าพเจ้า แต่ถ้าหากมีคลื่นใดใดเข้าสู่ร่างกาย มันก็จะขจัดออกไปโดยอัตโนมัติ ขณะขจัดออกไป ก็จะเปล่งแสงตามสภาพแห่งคลื่นต่างๆเหล่านั้น เช่น ขาวออกแดง ออกสีดำ สีขาวนวล สีขาวใส สีใสคล้ายกระจก อย่างนี้เป็นต้น ฉัพพรรณรังสีที่เกิดในชั้นนี้มีมากกว่าในชั้นก่อน และในชั้นนี้บางครั้ง สรีระร่างกายก็จะโปร่งแสง สามารถมองทะลุผ่านได้
    ส่วนหลักการหรือหลักธรรมนั้น ต้องขออภัยที่จะไม่กล่าวถึง เพราะเคยนำมาลงในเวบฯพลังจิตและหลายๆเวบฯในประเทศไทยนี้ แต่เขาไม่ยอมรับกัน ลบไปหมดแล้ว ถึงอย่างไรก็ตาม หลักการหรือหัวข้อหลักธรรมะเหล่านั้น ข้าพเจ้าก็ได้ยื่นจดลิขสิทธิ์ ไว้กับสำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงใหม่เมื่อ หลายปีก่อนแล้ว
    สิ่งที่ข้าพเจ้ากล่าวไปทั้งหมดนี้ สามารถพิสูจน์ได้ เพราะสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 สิงหาคม 2007
  9. มพดา

    มพดา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +547
    บุคคลใดไม่รู้ ทางสู่พระนิพพาน ไม่รู้ว่า นิพพาน เป็นเช่นไร อย่างแท้จริง ไม่ควร สอน หรือ แนะนำคนอื่น เพราะจะพาคนอื่น หลงโลก หลงทาง เวียนว่ายตายเกิดอย่างไม่รู้จบ หาทางออกไม่ได้ ควรแนะนำในภูมิจิตภูมิธรรมที่ตนมีเท่านั้น การคาดคะเนว่า นิพพานเป้นอย่างนั้น อย่างนี้ ก็ไม่ใช่เหมาเอาว่า นี้คือ นิพพานที่พระพุทธเจ้าสอน หรือกระทำให้แจ้ง ศึกษาให้ถ่องแท้ในจิตตน หมดความสงสัย ไม่ขัดแย้งกับพระพุทธพจน์ที่ว่า
    <O:p></O:p>
    นิพพานัง วิราคะ อนาลโย วิมุตติ นิพพานธรรมย่ำยีเสียซึ่งราคะธรรมทั้งปวง <O:p></O:p>
    นิพพานธรรมทำลายซึ่งความกังวลทั้งปวง กังวลในอะไร กังวลในโลก ความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ความกังวลในการบรรลุธรรม ฯลฯ นิพพานธรรมหลุดพ้นแล้วจากอาสวกิเลสทั้งปวง หมดสิ้นการคาดคะเน พ้นการปรุงแต่งซึ่งเป็นอาสวกิเลสอย่างหนึ่ง ละสังโยชน์ได้หมด <O:p></O:p>
    มทนิมฺมโท นิพพานธรรมย่ำยีเสียซึ่งความมัวเมาทั้งปวง<O:p></O:p>
    ปิปาสวินโย นิพพานธรรมบรรเทาเสียซึ่งความกระหายน้ำคือกามคุณทั้ง ๕<O:p></O:p>
    อาลยสมุคฆาโต นิพพานธรรมถอนเสียซึ่งอาลัยในกามคุณทั้ง ๕<O:p></O:p>
    วัฏฏปริจเฉโท นิพพานธรรมตัดเสียซึ่งวนเวียนไปในภพทั้ง ๓ <O:p></O:p>
    ตัณหักขโย วิราโค นิโรโธ นิพพานธรรม ดับสิ้นแห่งตัณหา หน่ายจากตัณหา ดับเสียซึ่งตัณหา<O:p></O:p>
     
  10. มพดา

    มพดา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +547
    แท้จริงแล้วการปฏิบัติธรรมไม่ควรที่จะไปพยากรณ์ตนเองว่าได้บรรลุธรรมขั้นไหน เป็นอะไร เพราะยังข้องอยู่กับการเป็น การอยู่ ยังติดอยู่ในภพ เพราะความมีความเป็น ผู้ที่จะพยาการณได้มีบุคคลเดียวคือพระพุทธเจ้า ถ้าท่านทั้งหลายไม่สงสัยในพระธรรมคำสั่งสอนพระพุทธองค์ ก็ไม่จำเป็นต้องพยาการณ์ตนเอง ทำดีแล้วย่อมได้ดี ทำชั่วย่อมได้ชั่ว ถ้าปฏิบัติถูกทางมรรคผลนิพพานจริงๆ แล้ว มรรคผลนิพพานต้องได้บรรลุแน่นอนตามเหตุแห่งความเพียรตนเอง แห่งปัญญาตนเอง <O:p</O:p
     
  11. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,976
    อนุโมทนาด้วยนะครับ
    ผมยังกิเลสหนามากครับ..อยากเป็นพระโสดาบันเหมือนกันแต่ต้องปฏิบัติฝึกตนอีกนานครับ
     
  12. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,606
    ค่าพลัง:
    +1,817
    นั่นเป็นความคิดของคุณ เป็นความรู้เท่าไม่ถึงกาลของคุณ ขออภัยที่จะกล่าวว่าคุณรู้แต่ในตำราแต่ไม่รู้จักการปฏิบัติ ถ้าจะกล่าวในหลักการทางศาสนาแล้ว เขาเรียกว่า "อวดอุตริฯ" เพราะนำเอาธรรมที่ตัวเองไม่มี นำเอาสิ่งที่ตัวเองทำไม่ได้มาสอน ผู้อื่น จริงอยู่คุณเอามาจากตำรา แต่คุณทำไม่ได้ คุณเองก็ไม่รู้ว่า นิพพานแท้จริงเป็นอย่างไร แล้วคุณจะมานั่งเขียนให้คนอื่นเขาอ่านทำไมกัน เขาไปอ่านในตำราเอาเองก็ได้นะคุณ จริงไหมละลองใช้สมองของคุณคิดพิจารณาดูซิว่า จริงหรือไม่จริงแล้วก็ควรจะเลิกประพฤติเยี่ยงคุณซะ เพราะอย่างคุณถ้าเป็นในหลักการศาสนาที่แท้จริงเขาเรียกว่า "อวดอุตริฯ"
    และให้คุณอ่านข้อความของข้าพเจ้าอีกครั้งแล้วพิจารณาดูให้ดี อ่านแล้วทำความเข้าใจในภาษา ข้าพเจ้าเขียนภาษาไทยนะขอรับ ขนาดภาษาไทย คุณยังอ่านแล้วไม่เข้าใจความหมาย แล้วภาษาอื่นที่ไม่ใช่ภาษาไทยคุณก็อย่านำมันมาแสดงอีกเลยขอรับ

    คุณวิสุทธิ คุณอ่านให้ดีนะ และใช้สมองคิดพิจารณาให้ดีนะ ข้าพเจ้าเองก็ไม่กล้าที่จะฟันธงลงไปเลยว่า นิพพานที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะ ข้าพเจ้าไม่รู้ว่า นิพพานที่แท้จริงเป็นอย่างไร ไม่รู้ว่า การปฏิบัติธรรมทางศาสนาหรือการฝึกตนทางศาสนาขั้นสูงสุดเรียกว่านิพพานจริงหรือไม่
    แต่สันนิษฐาน หรืออนุมานเอาจากประสบการณ์ในการฝึกตนหรือปฏิบัติตามหลักการหรือปฏิบัติตามบทเรียนที่ข้าพเจ้าค้นคิดขึ้นมา ว่า "นิพพาน" หรือปรินิพพาน" น่าจะเป็นสภาพสภาวะแห่งสรีระร่างกายที่แปรเปลี่ยนไปจากปกติที่เป็นเนื้อหนัง เปลี่ยนเป็นโปร่งแสง มีฉัพพรรณรังสีรอบกาย สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เป็นสีขาวใสคล้ายดังผลึกแก้ว หรือกระจก สภาพสภาวะจิตใจว่าง จะว่าวางเฉยก็ไม่ใช่ จะว่าไม่วางเฉยก็ไม่ใช่ บอกไม่ถูกเหมือนกัน การแปรเปลี่ยนแห่งสรีระร่างกายที่ข้าพเจ้ากล่าวไปแล้วนี้ เกิดได้ไม่เลือกสถานที่ แต่มันเกิดขึ้นเองโดยที่ข้าพเจ้าเองก็ยังไม่รู้ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร จนข้าพเจ้าต้องหยุดเข้าญาณ(ยาน) ได้แต่ทบทวนวิชชาเท่านั้น
    ก่อนที่สรีระร่างกายจะแปรเปลี่ยนเป็นโปร่งแสงนั้น ก็จะเริ่มจากสรีระร่างกาย เปล่งแสงที่ศรีษะก่อนเป็นอันดับแรก สภาพสภาวะจิตใจนั้น บางครั้งก็ดี บางครั้งก็ร้าย เหตุเพราะเริ่มแรกของการเข้าญาณนั้น เหมือนงมเข็มในมหาสมุทร ไม่รู้ว่าอย่างไหนถูกอย่างไหนผิด ต้องใช้วิธีทดลอง ถ้าผิดสภาพอารมณ์และจิตใจก็จะขุ่นมัว คล้ายคนเป็นโรคจิตประสาท ก็ต้องแก้ไขในทันที เอาแบบที่ถูกที่สุด คือเอาญาณ(ยาน)ที่ถูกต้องที่สุดมาใช้กล่อมเกลาจิตใจก่อน แล้วก็ค้นหาใหม่พิจารณาใหม่เพื่อให้ถูกต้องที่สุด ลองผิดลองถูกอยู่ร่วม 20 ปี จึงพอจะได้หลักการที่ถูกต้องเกือบทั้งหมด แต่ก็ยังมีรายละเอียดปลีกย่อยที่ผิดอยู่จึงมีปัญหาอยู่บ่อยครั้ง เมื่อผ่านชั้น(ข้าพเจ้าเรียกชั้นนี้ว่า โสดาบัน จนถึง โสดาบัน ปฏิมรรค ปฏิผล หรือบรรลุมรรคผล)นี้ก็จะถึงขั้นที่ เริ่มมีแสงเปล่งออกมาเกือบทุกที่ของร่างกาย และเริ่มมีแสงหรือฉัพพรรรณรังสีหลายหลากสี ตามแต่สภาพอารมณ์และสภาพความรู้สึกภายใน และภายนอกที่มากระทบ และคลื่นต่างๆที่มากระทบก็จะตกกระทบและสะท้อนออกไปจากร่างกายได้เองโดยไม่ต้องบังคับในบางครั้ง(ข้าพเจ้าเรียกชั้นนี้ว่า สกทาคามี) เมื่อต่อจากชั้นนี้ไปแล้ว สรีระร่างกาย ก็เริ่มแปรเปลี่ยนมากขึ้น หากมีผู้หญิงหรือผู้ชาย เข้ามาใกล้ และเขาเหล่านั้นมีคลื่นแห่งความคิดหรือคลื่นอื่นใดกระจายออกมา สรีระร่างกายก็จะมีฉัพพรรณรังสีเปล่งออกมารอบกายโดยใช้หลักการกระแม่เหล็ก ป้องกันคลื่นความคิดหรือคลื่นอื่นใด ของเขาเหล่านั้นไหลเขามาสู่ตัวข้าพเจ้า แต่ถ้าหากมีคลื่นใดใดเข้าสู่ร่างกาย มันก็จะขจัดออกไปโดยอัตโนมัติ ขณะขจัดออกไป ก็จะเปล่งแสงตามสภาพแห่งคลื่นต่างๆเหล่านั้น เช่น ขาวออกแดง ออกสีดำ สีขาวนวล สีขาวใส สีใสคล้ายกระจก อย่างนี้เป็นต้น(ในชั้นนี้ข้าพเจ้าเรียกว่า อนาคามี) ต่อจากชั้นนี้ ฉัพพรรณรังสีที่เกิดในชั้นนี้มีมากกว่าในชั้นก่อน และในชั้นนี้บางครั้ง สรีระร่างกายก็จะโปร่งแสง สามารถมองทะลุผ่านได้ อีกทั้งยังมีฉัพพรรณรังสีอีกรูปแบบหนึ่งคือเป็นแสงคลื่นเป็นวงออกรอบกาย มีหลายชั้น หมายความว่า ในชั้นก่อนๆนั้น แสงหรือฉัพพรรณรังสี จะเปล่งออกมาเป็นสีในครั้งเดียว แต่ในชั้นนี้ ฉัพพรรณรังสีจะเปล่งออกมา เป็นชั้นๆ เช่นพอเปล่งสีดำแล้วก็จะเปล่งสีขาวนวลบ้าง แล้วเปล่งสีขาวใสตามมาบ้าง หรือเปล่งสีแดงบ้าง สลับกันไป ตามสภาพอารมณ์หรือสภาพคลื่นที่ได้รับจากภายนอก ผสมกับคลื่นที่ต่อต้านอยู่ภายในร่างกาย และในชั้นนี้ สรีระร่างกาย จะเริ่มโปร่งแสงบ่อยครั้งขึ้น บางครั้งร่างกายจะโปร่งแสง เป็นสีใส บางครั้งโปร่งแสงมีสีออกดำ บางครั้งโปร่งแสงเป็นสีออกแดง ในชั้นนี้ข้าพเจ้าเรียกว่า ชั้นอรหันต์ ควบ นิพพาน

    ที่กล่าวไปทั้งหมดนี้ เป็นประสบการณ์ที่เกิดจากฝึกปฏิบัติตามหลักการหรือหลักธรรมะของข้าพเจ้า
    สามารถพิสูจน์ได้ เพราะสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
     
  13. ทรมาน

    ทรมาน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +51
    คิดได้ไงนี่? ไม่ขอวิจารณ์คนข้างบนเพราะทุกคนคงคิดเหมือนกันหมด

    ป.ล.สถิติ ไม่เคยอนุโมทนาใครเลย ... เยี่ยม
     
  14. มพดา

    มพดา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +547
    นั่นนะสิ...คุณ telwada... ทำอย่างไรดี...กับคนที่ไม่รู้อะไรในธรรมอันจริงแท้...
    <O:p
    คติธรรมคำสอนของสมเด็จโต พรหมรังสี<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ปราชญ์แท้ ไม่เคยฟุ้งอวดตน <O:p</O:p
    คนดี ไม่เที่ยวยกสอพลอ<O:p</O:p
    คนเก่ง ย่อมทะนงอย่างเงียบ<O:p</O:p
    คนชั่ว อวดรู้ดีทั่วภพ<O:p</O:p
    คนโง่ อวดฉลาดมากมาย<O:p</O:p
    สิ่งทั้งหลาย ท่านเห็นมีทุกที่เอย<O:p</O:p
     
  15. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,606
    ค่าพลัง:
    +1,817
    สิ่งที่คุณเขียนมาด้านบนนั้นคุณควรจะใช้เตือนตัวคุณเอง เพราะถ้าข้าพเจ้าเป็นจิตแพทย์ข้าพเจ้าก็รู้แล้วว่า คุณมีสภาพจิตใจและความคิดเป็นอย่างไร ระดับสมองสติปัญญาหรือไอคิวของคุณอยู่ในระดับไหน
    ในเมื่อคุณอ่านภาษาไทยที่ข้าพเจ้าเขียนเพื่อให้คุณพิจารณาแล้วยังไม่เข้าใจ ยังไม่รู้ ข้าพเจ้าจึงเห็นควรว่า คุณ และผู้ใช้ชื่อว่า "ทรมาน" น่าจะได้อ่านและคิดพิจารณา อีกทั้งทำความเข้าใจ ในวัตถุประสงค์และจุดุมุ่งหมาย และหรือ ทำความเข้าใจ ในเนื้อหาหรือบริบทของภาษาที่ข้าพเจ้าได้เขียน ว่าข้าพเจ้าเขียนเพื่อโอ้อวด หรือว่ามีจุดประสงค์หรือจุดมุ่งหมายอะไร ทั้งทั้งที่คุณเป็นผู้ที่ได้ถามเองดังนี้"ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ วิสุทธิเทพ
    มีใครในที่นี้ ได้เข้าสู่กระแสแห่งพระนิพพานบ้าง ขอให้อธิบาย ลำดับการเปลี่ยนสภาวะจิตจาก ปุถุชน เป็น โคตรภูมิ แล้วก้าวล่วงเข้าสู่อริยะ ให้รับรู้บ้าง จักเป็นพระคุณอย่างยิ่ง เข้าสู่กระแสพระนิพพานด้วยอาการเช่นไร มีธรรมอะไรเป็นเหตุ มีธรรมอะไรเป็นปัจจัย พิจารณาธรรมอะไรบ้าง fficeffice" />>>
    > >
    ผู้ที่เข้าสู่กระแสนิพพานจริง สามารถตอบคำถามนี้ได้ อยากทราบเพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติ>>"

    นั่นเป็นความคิดของคุณ เป็นความรู้เท่าไม่ถึงกาลของคุณ ขออภัยที่จะกล่าวว่าคุณรู้แต่ในตำราแต่ไม่รู้จักการปฏิบัติ ถ้าจะกล่าวในหลักการทางศาสนาแล้ว เขาเรียกว่า "อวดอุตริฯ" เพราะนำเอาธรรมที่ตัวเองไม่มี นำเอาสิ่งที่ตัวเองทำไม่ได้มาสอน ผู้อื่น จริงอยู่คุณเอามาจากตำรา แต่คุณทำไม่ได้ คุณเองก็ไม่รู้ว่า นิพพานแท้จริงเป็นอย่างไร แล้วคุณจะมานั่งเขียนให้คนอื่นเขาอ่านทำไมกัน เขาไปอ่านในตำราเอาเองก็ได้นะคุณ จริงไหมละลองใช้สมองของคุณคิดพิจารณาดูซิว่า จริงหรือไม่จริงแล้วก็ควรจะเลิกประพฤติเยี่ยงคุณซะ เพราะอย่างคุณถ้าเป็นในหลักการศาสนาที่แท้จริงเขาเรียกว่า "อวดอุตริฯ"
    และให้คุณอ่านข้อความของข้าพเจ้าอีกครั้งแล้วพิจารณาดูให้ดี อ่านแล้วทำความเข้าใจในภาษา ข้าพเจ้าเขียนภาษาไทยนะขอรับ ขนาดภาษาไทย คุณยังอ่านแล้วไม่เข้าใจความหมาย แล้วภาษาอื่นที่ไม่ใช่ภาษาไทยคุณก็อย่านำมันมาแสดงอีกเลยขอรับ

    คุณวิสุทธิ คุณอ่านให้ดีนะ และใช้สมองคิดพิจารณาให้ดีนะ ข้าพเจ้าเองก็ไม่กล้าที่จะฟันธงลงไปเลยว่า นิพพานที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะ ข้าพเจ้าไม่รู้ว่า นิพพานที่แท้จริงเป็นอย่างไร ไม่รู้ว่า การปฏิบัติธรรมทางศาสนาหรือการฝึกตนทางศาสนาขั้นสูงสุดเรียกว่านิพพานจริงหรือไม่
    แต่สันนิษฐาน หรืออนุมานเอาจากประสบการณ์ในการฝึกตนหรือปฏิบัติตามหลักการหรือปฏิบัติตามบทเรียนที่ข้าพเจ้าค้นคิดขึ้นมา ว่า "นิพพาน" หรือปรินิพพาน" น่าจะเป็นสภาพสภาวะแห่งสรีระร่างกายที่แปรเปลี่ยนไปจากปกติที่เป็นเนื้อหนัง เปลี่ยนเป็นโปร่งแสง มีฉัพพรรณรังสีรอบกาย สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เป็นสีขาวใสคล้ายดังผลึกแก้ว หรือกระจก สภาพสภาวะจิตใจว่าง จะว่าวางเฉยก็ไม่ใช่ จะว่าไม่วางเฉยก็ไม่ใช่ บอกไม่ถูกเหมือนกัน การแปรเปลี่ยนแห่งสรีระร่างกายที่ข้าพเจ้ากล่าวไปแล้วนี้ เกิดได้ไม่เลือกสถานที่ แต่มันเกิดขึ้นเองโดยที่ข้าพเจ้าเองก็ยังไม่รู้ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร จนข้าพเจ้าต้องหยุดเข้าญาณ(ยาน) ได้แต่ทบทวนวิชชาเท่านั้น
    ก่อนที่สรีระร่างกายจะแปรเปลี่ยนเป็นโปร่งแสงนั้น ก็จะเริ่มจากสรีระร่างกาย เปล่งแสงที่ศรีษะก่อนเป็นอันดับแรก สภาพสภาวะจิตใจนั้น บางครั้งก็ดี บางครั้งก็ร้าย เหตุเพราะเริ่มแรกของการเข้าญาณนั้น เหมือนงมเข็มในมหาสมุทร ไม่รู้ว่าอย่างไหนถูกอย่างไหนผิด ต้องใช้วิธีทดลอง ถ้าผิดสภาพอารมณ์และจิตใจก็จะขุ่นมัว คล้ายคนเป็นโรคจิตประสาท ก็ต้องแก้ไขในทันที เอาแบบที่ถูกที่สุด คือเอาญาณ(ยาน)ที่ถูกต้องที่สุดมาใช้กล่อมเกลาจิตใจก่อน แล้วก็ค้นหาใหม่พิจารณาใหม่เพื่อให้ถูกต้องที่สุด ลองผิดลองถูกอยู่ร่วม 20 ปี จึงพอจะได้หลักการที่ถูกต้องเกือบทั้งหมด แต่ก็ยังมีรายละเอียดปลีกย่อยที่ผิดอยู่จึงมีปัญหาอยู่บ่อยครั้ง เมื่อผ่านชั้น(ข้าพเจ้าเรียกชั้นนี้ว่า โสดาบัน จนถึง โสดาบัน ปฏิมรรค ปฏิผล หรือบรรลุมรรคผล)นี้ก็จะถึงขั้นที่ เริ่มมีแสงเปล่งออกมาเกือบทุกที่ของร่างกาย และเริ่มมีแสงหรือฉัพพรรรณรังสีหลายหลากสี ตามแต่สภาพอารมณ์และสภาพความรู้สึกภายใน และภายนอกที่มากระทบ และคลื่นต่างๆที่มากระทบก็จะตกกระทบและสะท้อนออกไปจากร่างกายได้เองโดยไม่ต้องบังคับในบางครั้ง(ข้าพเจ้าเรียกชั้นนี้ว่า สกทาคามี) เมื่อต่อจากชั้นนี้ไปแล้ว สรีระร่างกาย ก็เริ่มแปรเปลี่ยนมากขึ้น หากมีผู้หญิงหรือผู้ชาย เข้ามาใกล้ และเขาเหล่านั้นมีคลื่นแห่งความคิดหรือคลื่นอื่นใดกระจายออกมา สรีระร่างกายก็จะมีฉัพพรรณรังสีเปล่งออกมารอบกายโดยใช้หลักการกระแม่เหล็ก ป้องกันคลื่นความคิดหรือคลื่นอื่นใด ของเขาเหล่านั้นไหลเขามาสู่ตัวข้าพเจ้า แต่ถ้าหากมีคลื่นใดใดเข้าสู่ร่างกาย มันก็จะขจัดออกไปโดยอัตโนมัติ ขณะขจัดออกไป ก็จะเปล่งแสงตามสภาพแห่งคลื่นต่างๆเหล่านั้น เช่น ขาวออกแดง ออกสีดำ สีขาวนวล สีขาวใส สีใสคล้ายกระจก อย่างนี้เป็นต้น(ในชั้นนี้ข้าพเจ้าเรียกว่า อนาคามี) ต่อจากชั้นนี้ ฉัพพรรณรังสีที่เกิดในชั้นนี้มีมากกว่าในชั้นก่อน และในชั้นนี้บางครั้ง สรีระร่างกายก็จะโปร่งแสง สามารถมองทะลุผ่านได้ อีกทั้งยังมีฉัพพรรณรังสีอีกรูปแบบหนึ่งคือเป็นแสงคลื่นเป็นวงออกรอบกาย มีหลายชั้น หมายความว่า ในชั้นก่อนๆนั้น แสงหรือฉัพพรรณรังสี จะเปล่งออกมาเป็นสีในครั้งเดียว แต่ในชั้นนี้ ฉัพพรรณรังสีจะเปล่งออกมา เป็นชั้นๆ เช่นพอเปล่งสีดำแล้วก็จะเปล่งสีขาวนวลบ้าง แล้วเปล่งสีขาวใสตามมาบ้าง หรือเปล่งสีแดงบ้าง สลับกันไป ตามสภาพอารมณ์หรือสภาพคลื่นที่ได้รับจากภายนอก ผสมกับคลื่นที่ต่อต้านอยู่ภายในร่างกาย และในชั้นนี้ สรีระร่างกาย จะเริ่มโปร่งแสงบ่อยครั้งขึ้น บางครั้งร่างกายจะโปร่งแสง เป็นสีใส บางครั้งโปร่งแสงมีสีออกดำ บางครั้งโปร่งแสงเป็นสีออกแดง ในชั้นนี้ข้าพเจ้าเรียกว่า ชั้นอรหันต์ ควบ นิพพาน

    ที่กล่าวไปทั้งหมดนี้ เป็นประสบการณ์ที่เกิดจากฝึกปฏิบัติตามหลักการหรือหลักธรรมะของข้าพเจ้า
    สามารถพิสูจน์ได้ เพราะสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
     
  16. มพดา

    มพดา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +547
    : "ผู้ปฏิบัติที่แท้จริงนั้น ไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงชาติหน้า-ชาติหลัง หรือนรก-สวรรค์อะไรก็ได้ ขอให้ตั้งใจปฏิบัติให้ตรง ศีล สมาธิ ปัญญา อย่างแน่วแน่ก็พอ ถ้าสวรรค์มีจริงถึง 16 ชั้นตามตำรา ผู้ปฏิบัติดีแล้ว ก็ย่อมได้เลื่อนฐานะของตนเองตามลำดับ หรือถ้าสวรรค์-นิพพานไม่มีเลย ผู้ปฏิบัติดีในขณะนี้ย่อมไม่ไร้ประโยชน์ ย่อมอยู่เป็นสุขเป็นมนุษย์ชั้นเลิศ"
     
  17. มพดา

    มพดา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +547
    หลวงปู่หล้า เขมปตฺโต
    " สูญในพระนิพพานมีขอบเขต สูญจากกิเลสเท่านั้น รสของพระนิพพานมีอยู่ พระนิพพาน ไม่เกิดไม่ดับไปไหน เป็นอนัตตาธรรม เราจะเอาพระนิพพานมาเป็นอนัตตา เหมือนขันธ์ ๕ และกิเลสทั้งหลายมันก็ไม่ถูก เรียกว่าแยกอนัตตาธรรมไม่ถูก"

    พระนาคเสน มหาเถระ
    ผู้ตอบปัญหาพระเจ้ามิลินทราชา
    " ผู้ที่ยังไม่ได้นิพพานก็รู้ว่านิพพานเป็นสุข เพราะได้ยินเสียงพวกได้นิพพาน.....พระพุทธเจ้ามีจริง แต่พระพุทธเจ้าปรินิพพานดับขันธ์แล้ว ไม่อาจชี้ได้ว่าอยู่ที่ไหน เหมือนเปลวไฟที่ดับแล้วก็ไม่อาจชี้ได้ว่าอยู่ที่ไหน อาจชี้ได้เพียงพระธรรมกาย ของพระพุทธเจ้าเท่านั้น.........นิพพานเป็นของต้องรู้ด้วยใจ พระอริยสาวกผู้ปฏิบัติชอบแล้วย่อมได้เห็นนิพพาน ด้วยใจอันบริสุทธิ์ อันสงบประณีต อันเที่ยงตรง ไม่มีเครื่องกั้นกาง อันไม่มีอามิส"

    พระราชวุฒาจารย์ (หลวงปู่ดูลย์ อตโล)
    วัดบูรพาราม จ.สุรินทร์

    .... การปฏิบัติ ให้มุ่งเน้นปฏิบัติเพื่อสำรวม เพื่อความละ เพื่อความคลายกำหนัดยินดี เพื่อความดับทุกข์ ไม่ใช่เพื่อเห็นสวรรค์วิมาน หรือแม้พระนิพพานก็ไม่ต้องตั้งเป้าหมายเพื่อจะเห็นทั้งนั้น ให้ปฏิบัติไปเรื่อยๆ ไม่ต้องอยากเห็นอะไร เพราะนิพพานเป็นของว่าง ไม่มีตัวมีตน หาที่ตั้งไม่มี หาที่เปรียบไม่ได้ ปฏิบัติไปจึงจะรู้เอง......

    ....พระพุทธเจ้า พระองค์ไม่ได้เข้าสู่นิพพานในฌานสมาบัติอะไรที่ไหนหรอก เมื่อพระองค์ออกจากจตุตถฌานแล้ว จิตขันธ์หรือนามขันธ์ ก็ดับพร้อม ไม่มีอะไรเหลือ นั่งคือพระองค์ดับเวทนาขันธ์ ในภาวะจิตตื่น หรือวิถีจิตอันปกติของมนุษย์ ครอบพร้อมทั้งสติ และสัมปชัญญะ ไม่ถูกภาวะอื่นใดมาครอบงำอำพรางให้หลงใหลใดๆ ทั้งสิ้น เป้นภาวะแห่งตนเองอย่างสมบูรณ์ ภาวะนันเรียกว่า มหาสุญญตา หรือจักรวาลเดิม หรือเรียกกว่า นิพพาน อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ ......

    หลวงปู่หล้า เขมปตฺโต

    .... พระนิพพานมิใช่ผู้รู้ เหนือผู้รู้ไปจนไม่มีที่หมาย พระนิพพานเหนือผู้รู้ไป จนไม่มีที่หมาย ถ้าหมายอยู่ก็พอเหมือนๆ นี่เอง ก็พอหมุนๆ นี่เอง มีปัญหาว่าถ้าอย่างนั้นก็สูญสิ แต่สูญในพระนิพพานมีขอบเขต สูญจากกิเลสเท่านั้น รสของพระนิพพานมีอยู่ ใครเป็นผู้ดื่มรสพระนิพพาน ก็พระนิพพานเท่านั้น จะได้รับรสพระนิพพาน ไม่เป็นหน้าที่ของสังขารจะไปก้าวก่าย พระนิพพานเป็นอนัตตาหรือไม่ พระนิพพานไม่ได้อยู่ในวงแขนของท่านผู้ใดโดยถ่ายเดียว เป็นของกลางอยู่อย่างนั้น ไม่เกิดไม่ดับไปไหน เป็นอนัตตาธรรม ที่ไม่เกิดไม่ดับไปไหน ไม่มีใครใส่ชื่อล้อนามให้ก็ตาม ก็เป็นจริงทางไม่เกิด ไม่ดับอยู่อย่างนั้น เราจะเอาพระนิพพานมาเป็นอนัตตา เหมือนขันธ์ ๕ และกิเลสทั้งหลายมันก็ไม่ถูก เรียกว่าแยกอนัตตาธรรมไม่ถูก เช่นผู้รู้ดังนี้ จะเอาผู้รู้พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาเทียบกับพระปัจเจกๆ มาเที่ยบกับสาวก สาวิกา อรหันต์ก็เรียนกว่ายกตนเทียมท่าน สิ่งเหล่านี้เป็นหน้าที่ ชาวพุทธจะรู้เท่านั้น ......


     
  18. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,606
    ค่าพลัง:
    +1,817
    อ่าฮ้า เขานั่นแหละ ข้าพเจ้าเห็นแล้ว ข้าพเจ้าเห็นแล้ว ไม่ใช่ใครที่ไหน เปลียนชื่อมาแล้ว อย่างน้อย 3 ชื่อ เขานั่นแหละ ที่อยากให้ข้าพเจ้าไปเข้าฝันเขา เขานั่นแหละที่ถามข้าพเจ้าเรื่อง "ความคิดสูง จิตว่าง"

    แสดงว่า อ่านแล้วยังไม่เข้าใจละซิ สอนยาก จริงๆนะ เอ้าเอาอีกครั้งหนึ่งนะ อ่านใหม่ อ่านช้าๆ และพิจารณาให้ละเอียด คุณจะได้หายจากอาการทางจิตของคุณซะที่ เพราะสมาธิ จะทำให้คุณมีสติสัมปชัญญะ

    สิ่งที่คุณเขียนมาด้านบนนั้นคุณควรจะใช้เตือนตัวคุณเอง เพราะถ้าข้าพเจ้าเป็นจิตแพทย์ข้าพเจ้าก็รู้แล้วว่า คุณมีสภาพจิตใจและความคิดเป็นอย่างไร ระดับสมองสติปัญญาหรือไอคิวของคุณอยู่ในระดับไหน
    ในเมื่อคุณอ่านภาษาไทยที่ข้าพเจ้าเขียนเพื่อให้คุณพิจารณาแล้วยังไม่เข้าใจ ยังไม่รู้ ข้าพเจ้าจึงเห็นควรว่า คุณ น่าจะได้อ่านและคิดพิจารณา อีกทั้งทำความเข้าใจ ในวัตถุประสงค์และจุดุมุ่งหมาย และหรือ ทำความเข้าใจ ในเนื้อหาหรือบริบทของภาษาที่ข้าพเจ้าได้เขียน ว่าข้าพเจ้าเขียนเพื่อโอ้อวด หรือว่ามีจุดประสงค์หรือจุดมุ่งหมายอะไร ทั้งทั้งที่คุณเป็นผู้ที่ได้ถามเองดังนี้
    "ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ วิสุทธิเทพ
    มีใครในที่นี้ ได้เข้าสู่กระแสแห่งพระนิพพานบ้าง ขอให้อธิบาย ลำดับการเปลี่ยนสภาวะจิตจาก ปุถุชน เป็น โคตรภูมิ แล้วก้าวล่วงเข้าสู่อริยะ ให้รับรู้บ้าง จักเป็นพระคุณอย่างยิ่ง เข้าสู่กระแสพระนิพพานด้วยอาการเช่นไร มีธรรมอะไรเป็นเหตุ มีธรรมอะไรเป็นปัจจัย พิจารณาธรรมอะไรบ้าง fficeffice" />>>
    > >
    ผู้ที่เข้าสู่กระแสนิพพานจริง สามารถตอบคำถามนี้ได้ อยากทราบเพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติ>>"

    คำตอบ
    นั่นเป็นความคิดของคุณ เป็นความรู้เท่าไม่ถึงกาลของคุณ ขออภัยที่จะกล่าวว่าคุณรู้แต่ในตำราแต่ไม่รู้จักการปฏิบัติ ถ้าจะกล่าวในหลักการทางศาสนาแล้ว เขาเรียกว่า "อวดอุตริฯ" เพราะนำเอาธรรมที่ตัวเองไม่มี นำเอาสิ่งที่ตัวเองทำไม่ได้มาสอน ผู้อื่น จริงอยู่คุณเอามาจากตำรา แต่คุณทำไม่ได้ คุณเองก็ไม่รู้ว่า นิพพานแท้จริงเป็นอย่างไร แล้วคุณจะมานั่งเขียนให้คนอื่นเขาอ่านทำไมกัน เขาไปอ่านในตำราเอาเองก็ได้นะคุณ จริงไหมละลองใช้สมองของคุณคิดพิจารณาดูซิว่า จริงหรือไม่จริงแล้วก็ควรจะเลิกประพฤติเยี่ยงคุณซะ เพราะอย่างคุณถ้าเป็นในหลักการศาสนาที่แท้จริงเขาเรียกว่า "อวดอุตริฯ"
    และให้คุณอ่านข้อความของข้าพเจ้าอีกครั้งแล้วพิจารณาดูให้ดี อ่านแล้วทำความเข้าใจในภาษา ข้าพเจ้าเขียนภาษาไทยนะขอรับ ขนาดภาษาไทย คุณยังอ่านแล้วไม่เข้าใจความหมาย แล้วภาษาอื่นที่ไม่ใช่ภาษาไทยคุณก็อย่านำมันมาแสดงอีกเลยขอรับ

    คุณวิสุทธิ คุณอ่านให้ดีนะ และใช้สมองคิดพิจารณาให้ดีนะ ข้าพเจ้าเองก็ไม่กล้าที่จะฟันธงลงไปเลยว่า นิพพานที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะ ข้าพเจ้าไม่รู้ว่า นิพพานที่แท้จริงเป็นอย่างไร ไม่รู้ว่า การปฏิบัติธรรมทางศาสนาหรือการฝึกตนทางศาสนาขั้นสูงสุดเรียกว่านิพพานจริงหรือไม่
    แต่สันนิษฐาน หรืออนุมานเอาจากประสบการณ์ในการฝึกตนหรือปฏิบัติตามหลักการหรือปฏิบัติตามบทเรียนที่ข้าพเจ้าค้นคิดขึ้นมา ว่า "นิพพาน" หรือปรินิพพาน" น่าจะเป็นสภาพสภาวะแห่งสรีระร่างกายที่แปรเปลี่ยนไปจากปกติที่เป็นเนื้อหนัง เปลี่ยนเป็นโปร่งแสง มีฉัพพรรณรังสีรอบกาย สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เป็นสีขาวใสคล้ายดังผลึกแก้ว หรือกระจก สภาพสภาวะจิตใจว่าง จะว่าวางเฉยก็ไม่ใช่ จะว่าไม่วางเฉยก็ไม่ใช่ บอกไม่ถูกเหมือนกัน การแปรเปลี่ยนแห่งสรีระร่างกายที่ข้าพเจ้ากล่าวไปแล้วนี้ เกิดได้ไม่เลือกสถานที่ แต่มันเกิดขึ้นเองโดยที่ข้าพเจ้าเองก็ยังไม่รู้ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร จนข้าพเจ้าต้องหยุดเข้าญาณ(ยาน) ได้แต่ทบทวนวิชชาเท่านั้น
    ก่อนที่สรีระร่างกายจะแปรเปลี่ยนเป็นโปร่งแสงนั้น ก็จะเริ่มจากสรีระร่างกาย เปล่งแสงที่ศรีษะก่อนเป็นอันดับแรก สภาพสภาวะจิตใจนั้น บางครั้งก็ดี บางครั้งก็ร้าย เหตุเพราะเริ่มแรกของการเข้าญาณนั้น เหมือนงมเข็มในมหาสมุทร ไม่รู้ว่าอย่างไหนถูกอย่างไหนผิด ต้องใช้วิธีทดลอง ถ้าผิดสภาพอารมณ์และจิตใจก็จะขุ่นมัว คล้ายคนเป็นโรคจิตประสาท ก็ต้องแก้ไขในทันที เอาแบบที่ถูกที่สุด คือเอาญาณ(ยาน)ที่ถูกต้องที่สุดมาใช้กล่อมเกลาจิตใจก่อน แล้วก็ค้นหาใหม่พิจารณาใหม่เพื่อให้ถูกต้องที่สุด ลองผิดลองถูกอยู่ร่วม 20 ปี จึงพอจะได้หลักการที่ถูกต้องเกือบทั้งหมด แต่ก็ยังมีรายละเอียดปลีกย่อยที่ผิดอยู่จึงมีปัญหาอยู่บ่อยครั้ง เมื่อผ่านชั้น(ข้าพเจ้าเรียกชั้นนี้ว่า โสดาบัน จนถึง โสดาบัน ปฏิมรรค ปฏิผล หรือบรรลุมรรคผล)นี้ก็จะถึงขั้นที่ เริ่มมีแสงเปล่งออกมาเกือบทุกที่ของร่างกาย และเริ่มมีแสงหรือฉัพพรรรณรังสีหลายหลากสี ตามแต่สภาพอารมณ์และสภาพความรู้สึกภายใน และภายนอกที่มากระทบ และคลื่นต่างๆที่มากระทบก็จะตกกระทบและสะท้อนออกไปจากร่างกายได้เองโดยไม่ต้องบังคับในบางครั้ง(ข้าพเจ้าเรียกชั้นนี้ว่า สกทาคามี) เมื่อต่อจากชั้นนี้ไปแล้ว สรีระร่างกาย ก็เริ่มแปรเปลี่ยนมากขึ้น หากมีผู้หญิงหรือผู้ชาย เข้ามาใกล้ และเขาเหล่านั้นมีคลื่นแห่งความคิดหรือคลื่นอื่นใดกระจายออกมา สรีระร่างกายก็จะมีฉัพพรรณรังสีเปล่งออกมารอบกายโดยใช้หลักการกระแม่เหล็ก ป้องกันคลื่นความคิดหรือคลื่นอื่นใด ของเขาเหล่านั้นไหลเขามาสู่ตัวข้าพเจ้า แต่ถ้าหากมีคลื่นใดใดเข้าสู่ร่างกาย มันก็จะขจัดออกไปโดยอัตโนมัติ ขณะขจัดออกไป ก็จะเปล่งแสงตามสภาพแห่งคลื่นต่างๆเหล่านั้น เช่น ขาวออกแดง ออกสีดำ สีขาวนวล สีขาวใส สีใสคล้ายกระจก อย่างนี้เป็นต้น(ในชั้นนี้ข้าพเจ้าเรียกว่า อนาคามี) ต่อจากชั้นนี้ ฉัพพรรณรังสีที่เกิดในชั้นนี้มีมากกว่าในชั้นก่อน และในชั้นนี้บางครั้ง สรีระร่างกายก็จะโปร่งแสง สามารถมองทะลุผ่านได้ อีกทั้งยังมีฉัพพรรณรังสีอีกรูปแบบหนึ่งคือเป็นแสงคลื่นเป็นวงออกรอบกาย มีหลายชั้น หมายความว่า ในชั้นก่อนๆนั้น แสงหรือฉัพพรรณรังสี จะเปล่งออกมาเป็นสีในครั้งเดียว แต่ในชั้นนี้ ฉัพพรรณรังสีจะเปล่งออกมา เป็นชั้นๆ เช่นพอเปล่งสีดำแล้วก็จะเปล่งสีขาวนวลบ้าง แล้วเปล่งสีขาวใสตามมาบ้าง หรือเปล่งสีแดงบ้าง สลับกันไป ตามสภาพอารมณ์หรือสภาพคลื่นที่ได้รับจากภายนอก ผสมกับคลื่นที่ต่อต้านอยู่ภายในร่างกาย และในชั้นนี้ สรีระร่างกาย จะเริ่มโปร่งแสงบ่อยครั้งขึ้น บางครั้งร่างกายจะโปร่งแสง เป็นสีใส บางครั้งโปร่งแสงมีสีออกดำ บางครั้งโปร่งแสงเป็นสีออกแดง ในชั้นนี้ข้าพเจ้าเรียกว่า ชั้นอรหันต์ ควบ นิพพาน

    ที่กล่าวไปทั้งหมดนี้ เป็นประสบการณ์ที่เกิดจากฝึกปฏิบัติตามหลักการหรือหลักธรรมะของข้าพเจ้า
    สามารถพิสูจน์ได้ เพราะสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
     
  19. sittichai

    sittichai สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +21
    ในสมัยพุทธกาลมีภิกษุ 2 รูป ไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าทูลถามข้อข้องใจว่า พระโสดาบันหน้าตาเป็นอย่างไร พระพุทธองค์รับสั่งให้ภิกษุทั้ง 2 รูป ไปที่ฐานของเจดีย์แล้วหันหลังเข้าหากันแล้วต่างคนต่างเดินไปตามฐานของเจดีย์ ถ้าพบใคร คนนั้นคือพระโสดาบัน ภิกษุทั้ง 2 ปฏิบัติตามรับสั่งสุดท้ายก็เดินมาเจอหน้ากันเอง ผมคิดว่าเรื่องการสงสัยในเรื่องการบรรลุคุณธรรม เป็นปัญหามาตั้งแต่ครั้งพุทธกาล จากกรณีตัวอย่าง ขนาดพระโสดาบันเองท่านยังสงสัย ทั้งที่ตัวเองก็บรรลุคุณธรรมแล้ว ในปัจจุบันเราก็อาศัยครูบาอาจารย์เป็นผู้แนะบอกกันเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ก็มักไม่ค่อยบอกกล่าวกันตรง ๆ คงจะเป็นเพราะผู้อื่นบอกก็ยังข้องใจอยู่นั่นเอง สู้ปฏิบัติแล้วรู้เองเข้าใจเองเป็นประโยชน์กว่า เรื่องการบรรลุธรรมเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและเข้าใจยากสำหรับผู้ที่ไม่รู้เห็น นี่น่าจะเป็นเหตุผลที่พระอริยบุคคลทั้งหลายจึงมักวางเฉยต่อความข้องใจในกรณีนี้ สมมติว่ามีใครสักคนโพสต์บอกว่า ข้าพเจ้าคือพระสกิทาคามี จิตในขณะบรรลุธรรมเป็นดังนี้.................. ถ้าสิ่งที่พระอริยบุคคลท่านนี้แจกแจงไม่เป็นอย่างที่เราเข้าใจ รับรองมีการโพสต์ด่ากันอีก เป็นเวรเป็นกรรมกันเข้าไปอีก ก็ขอแสดงความคิดเห็นด้วยคน ถ้าไม่เห็นด้วยก็ขออโหสิกรรมนะครับ อย่าต่อว่ากันเลย แต่ก็ขออนุโมทนากับท่านทั้งหลายในความตั้งใจต่อการปฏิบัติ
     

แชร์หน้านี้

Loading...