ผมค้นพบแล้ว! วิชชาพลังจักรวาลขั้นสูงสุดที่พระพุทธเจ้าแอบซ่อนไว้

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย physigmund_foid, 29 สิงหาคม 2007.

  1. physigmund_foid

    physigmund_foid เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    372
    ค่าพลัง:
    +1,421
    ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนนะครับว่ากว่าจะหาได้นี่ต้องศึกษาอย่างมากมาย
    แล้วพอได้ก็กลายเป็นอะไรที่ธรรมดามาก จนดูเหมือนไม่มีอะไรพิเศษเลย
    ผมจึงต้องขออธิบายวิธีการค้นคว้าและทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์และฟิสิกส์
    ที่ผมมักใช้เสมอๆ มาอ้างอิงก่อนเป็นเบื้องต้นครับ


    ค่อยๆ ติดตามชมนะครับ
     
  2. physigmund_foid

    physigmund_foid เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    372
    ค่าพลัง:
    +1,421
    เมื่อพระพุทธเจ้าค้นพบประตูเปิดจักระอนันต์ประตู


    พระพุทธเจ้าทรงเคยบวชพราหมณ์ฤษีและสำเร็จวิชชาขั้นสูงของทุกสำนัก
    เรียกได้ว่าเป็นศิษย์เอกของทุกสำนักมาก่อนครับ ถึงขนาดที่อาจารย์ผู้สอน
    ยอมรับให้ว่าทัดเทียมกับอาจารย์เลย แต่พระพุทธเจ้าก็ยังไม่ยอมหยุดค้นหา
    ธรรมะ ที่พระองค์แสวงหาอยู่


    เมื่อพระพุทธเจ้าเรียนวิชชาโยคะ ในลัทธิชีเปลือย (ทิคัมพร) ท่านก็ทรงสำเร็จ
    ทุกวิชชาของลัทธินี้ รวมถึงทั้งการเปิดจักระทั้งเจ็ดด้วย แต่ทรงไม่ได้มุ่งเน้นให้
    สาวกเริ่มทำอย่างตน ด้วยเพราะเห็นว่าเป็น "ทุกขกริยา" ไม่ได้ใช้ปัญญา และ
    ทรงเห็นว่าใช้ "สติปัญญา" ก็สามารถบรรลุธรรมได้ง่ายกว่า


    จากนั้น พระองค์ก็ยังสำเร็จวิชชา "ฌาน" ขั้นสูงมากมาย ในหลักการของฌาน
    มีการแผ่ฌาน "ทุกรูขุมขน" ทำให้พระองค์ทรงเห็นว่า "ร่างกาย" นี้ ไม่ใช่ระบบ
    ปิด ไม่ใช่ที่จะยึดเป็นของเรา ทรงเห็น "วิญญาณ" หรือปราณนั้น แผ่ออกได้ไร้
    ประมาณ ตามหลักการของวิชชาแผ่ฌานขั้นสูงโดยสมบูรณ์ ดังนี้ จึงทรงล่วงรู้
    ว่าการเปิดจักระทั้งเจ็ดนั้น ก็มิใช่ประตูเดียว แท้แล้วร่างกายมีประตูทุกรูขุมขน
    ออกได้หมด และรับพลังต่างๆ เข้ามาได้หมดเช่นกัน


    แล้วพระองค์ก็ได้ข้อสรุปว่า "ร่างกายมิใช่จะยึดได้ว่าเป็นของเรา"
    และ "ร่างกายมิใช่ระบบปิด แต่เปิดออกได้ทั่ว" ไม่อาจยึดอะไรเป็นของเราได้
    แล้วพระองค์ก็ทรงสำรวจสรรพสิ่งก็ค้นพบว่าอยู่บนหลักการเดียวกันนี้ทั้งสิ้น


    จึงได้ค้นพบ "อนัตตา" ซึ่งไม่มีผู้ใดค้นพบมาก่อน
    (อดีตมีการค้นพบ "อนิจจัง" ของสรรพสิ่งมาก่อนแล้ว)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 สิงหาคม 2007
  3. physigmund_foid

    physigmund_foid เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    372
    ค่าพลัง:
    +1,421
    เมื่อพระพุทธเจ้าค้นพบกฏการกระทบบีบเค้นกันของสรรพสิ่ง


    ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงทรงใช้ "สติปัญญา" ของพระองค์เพื่อศึกษาเรื่อง
    พลังจักรวาลที่ถ่ายเทเข้าออกและหมุนเวียนอยู่ตลอดเวลา โดยที่ร่างกาย
    ของเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงการกระทบจากสิ่งนั้นได้ ไม่ว่าจะเป็นพลังงาน
    หรือสสารธาตุ ไม่ว่าจะมองเห็น หรือมองไม่เห็น ล้วนต้องได้รับผลกระทบ
    นั้นๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้


    ดังนั้น พระองค์ทรงสำรวจไปอีกว่าสรรพสิ่งก็ล้วนเป็นเช่นนี้ ท่านจึงได้ค้นพบ
    "ทุกขัง" ที่แปลว่า "บีบเค้น" อันหมายความกว้างครอบคลุมทั้งแรงกระทบ
    แรงเค้น, แรงบีบเค้น, แรงตึงเครียด, แรงตึงผิว, แรงเสียดทาน ฯลฯ อันเป็น
    แรงทั้งหมดที่วิชาฟิสิกส์ในปัจจุบันศึกษากัน ทว่า พระพุทธเจ้าทรงเรียกพลัง
    เหล่านี้ที่กระทบกระทั่งบีบเค้นกันว่า "ทุกขัง" (ไม่ใช่ทุกขเวทนาในเวทนาห้า
    นะครับ คนละตัวกัน อันนี้เป็นเรื่อง ลักษณะของสรรพสิ่ง ที่แม้นสิ่งไม่มีชีวิต
    ก็มีลักษณะแบบนี้ได้ จึงจัดอยู่ในหมวด "ไตรลักษณ์" ไม่ใช่หมวด "เวทนา")


    และด้วย "ทุกขัง" นี้เอง เป็นเหตุแห่ง "ทุกขเวทนา" ได้ ในสิ่งที่มีชีวิต
    พระองค์จึงแสวงหาทางหลุดพ้นจากแรงบีบเค้นตึงเครียดกระทบกระทั่งกันนี้
    และได้ "วิชชาลับสุดยอดของพลังจักรวาล" ที่เหนือพราหมณ์ตนใดในที่สุด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 สิงหาคม 2007
  4. physigmund_foid

    physigmund_foid เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    372
    ค่าพลัง:
    +1,421
    ตามหลักวิชชา "พลังจักรวาล" สรุปได้ดังนี้


    ๑. เปิดจักระเพื่อเปิดระบบร่างกายให้ถ่ายเทและรับพลังจักรวาลภายนอกได้
    ๒. เลือกรับเฉพาะ "พลังบริสุทธิ์" และหลีกเลี่ยง "พลังปราณไม่บริสุทธิ์"
    ๓. หมุนเวียนพลังปราณในร่างให้สอดคล้องกับจักรวาลเพื่อรักษาร่างกาย


    ดังนั้น โยคี ผู้ฝึกวิชชาพลังจักรวาล จึงอยู่แต่ในป่า และนุ่งลมห่มฟ้า (แก้ผ้า)
    เพื่อฝึกวิชชาและรับเอาพลังปราณบริสุทธิ์เหล่านี้ บางครั้งก็ยืนขาเดียวรับพลัง
    จากพระอาทิตย์กลางแดดตอนกลางวัน บางครั้งก็นั่งสมาธิรับแสงจันทร์ในตอน
    กลางคืน เพื่อเลือกรับเอาพลังจักรวาลที่มีแต่ความบริสุทธิ์


    เมื่อพระพุทธเจ้าค้นพบว่า "สรรพสิ่งเป็นระบบเปิดอยู่ในตัว" (อนัตตา) จึงไม่
    จำเป็นต้องไปเปิดหรือปิดมัน เพราะมันเปิดไหลเข้าออกอยู่แล้ว ไม่สามารถกัก
    ไว้เป็นตัวตนของตนได้ทั้งสิ้น ท่านจึงคิดได้ว่า เรานี้ไม่จำเป็นต้องไป "ทรมาน"
    ตัวเองแบบนั้นเลย แค่อยู่เฉยๆ ใช้สติปัญญา "พลังจักรวาล" เหล่านี้ ก็มาหาเรา
    เองอยู่แล้ว ตามหลัก "ทุกขัง" ที่แรงกระทบกระทั่งบีบเค้นกันมีอยู่ตลอดเวลา


    ดังนี้ พระองค์จึงคิดวิชชาสุดยอด "พลังจักรวาล" ได้ในที่สุด
    คือการไม่แสวงหา ไม่ต้องเปิดจักระ ไม่ต้องไปยืนรับพลัง
    แต่ "เลือกรับพลังจักรวาล" นั้นด้วย "สติปัญญา"
    ดังที่ผมจะนำเสนอต่อไปนี้
     
  5. physigmund_foid

    physigmund_foid เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    372
    ค่าพลัง:
    +1,421
    เคล็ดลับ ๓๘ ประการ สุดยอดของการเลือกรับพลังจักรวาลที่บริสุทธิ์เท่านั้น



    <TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="90%" bgColor=lightyellow><TBODY><TR><TD>๑. การไม่คบคนพาล</TD><TD>๑๔.ทำงานไม่ให้คั่งค้าง</TD><TD>๒๗.มีความอดทน</TD></TR><TR><TD>๒. การคบบัญฑิต</TD><TD>๑๕.การให้ทาน</TD><TD>๒๘.เป็นผู้ว่าง่าย</TD></TR><TR><TD>๓. การบูชาบุคคลที่ควรบูชา</TD><TD>๑๖.การประพฤติธรรม</TD><TD>๒๙.การได้เห็นสมณะ</TD></TR><TR><TD>๔. การอยู่ในถิ่นอันสมควร</TD><TD>๑๗.การสงเคราะห์ญาติ</TD><TD>๓๐.การสนทนาธรรมตามกาล</TD></TR><TR><TD>๕. เคยทำบุญมาก่อน</TD><TD>๑๘.ทำงานที่ไม่มีโทษ</TD><TD>๓๑.การบำเพ็ญตบะ</TD></TR><TR><TD>๖. การตั้งตนชอบ</TD><TD>๑๙.ละเว้นจากบาป</TD><TD>๓๒.การประพฤติพรหมจรรย์</TD></TR><TR><TD>๗. ความเป็นพหูสูต</TD><TD>๒๐.สำรวมจากการดื่มน้ำเมา</TD><TD>๓๓.การเห็นอริยสัจ</TD></TR><TR><TD>๘. การรอบรู้ในศิลปะ</TD><TD>๒๑.ไม่ประมาทในธรรมทั้งหลาย</TD><TD>๓๔.การทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน</TD></TR><TR><TD>๙. มีวินัยที่ดี</TD><TD>๒๒.มีความเคารพ</TD><TD>๓๕.มีจิตไม่หวั่นไหวในโลกธรรม</TD></TR><TR><TD>๑๐.กล่าววาจาอันเป็นสุภาษิต</TD><TD>๒๓.มีความถ่อมตน</TD><TD>๓๖.มีจิตไม่เศร้าโศก</TD></TR><TR><TD>๑๑.การบำรุงบิดามารดา</TD><TD>๒๔.มีความสันโดษ</TD><TD>๓๗.มีจิตปราศจากกิเลส</TD></TR><TR><TD>๑๒.การสงเคราะห์บุตร</TD><TD>๒๕.มีความกตัญญู</TD><TD>๓๘.มีจิตเกษม</TD></TR><TR><TD>๑๓.การสงเคราะห์ภรรยา</TD><TD>๒๖.การฟังธรรมตามกาล</TD><TD></TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
  6. physigmund_foid

    physigmund_foid เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    372
    ค่าพลัง:
    +1,421
    ๑. การไม่คบคนพาล

    ทำให้เราเลี่ยงรังสีออร่าจากคนพาลซึ่งเป็นรังสีด้านลบที่แผ่ออกมาโดยที่ตาเรา
    มองไม่เห็น เป็นการปกป้องตนเองจากพลังด้านลบ สังเกตุเวลาอยู่ใกล้คนไม่ดี
    เราจะรู้สึกอึดอัด เวลาคนมาโมโหโวยวายจะรู้สึกร้อนรุ่ม สังเกตุดังนี้
    ท่านว่าลักษณะของคนพาลมี ๓ ประการคือ
    ๑.คิดชั่ว คือการมีจิตคิดอยากได้ในทางทุจริต มีความพยาบาท และมิจฉาทิฏฐิ คือเห็นผิดเป็นชอบ
    ๒.พูดชั่ว คือคำพูดที่ประกอบไปด้วยวจีทุจริตเช่น พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ และพูดเพ้อเจ้อ
    ๓.ทำชั่ว คือทำอะไรที่ประกอบด้วยกายทุจริตเช่น การฆ่าสัตว์ ลักขโมย ฉ้อโกง ฉุดคร่าอนาจาร ประพฤติผิดในกาม​
    รูปแบบของคนพาล มีข้อควรสังเกตุคือ
    ๑. ชอบแนะนำไปในทางที่ผิด หรือที่ไม่ควรแนะนำ อาทิเช่น แนะนำให้ไปเล่นการพนัน ให้ไปลักขโมย ให้กินยาบ้า ให้เสพยา ชวนไปฉุดคร่าอนาจารเป็นต้น เหล่านี้ถือว่าเป็นพาล
    ๒. ชอบทำในสิ่งที่ไม่ใช่ธุระ อาทิเช่น ไม่ทำงานตามหน้าที่ของตนให้เรียบร้อย แต่กลับชอบจะไปก้าวก่ายยุ่งกับหน้าที่การงานของผู้อื่น หรือไปจับผิดเพื่อนร่วมงาน แกล้ง ยุยง นินทาว่าร้ายกันและกันเป็นต้น
    ๓. ชอบทำผิดโดยเห็นสิ่งผิดเป็นของดี อาทิเช่น การสูบยาได้เป็นฮีโร่ เห็นคนที่ซื่อสัตย์เป็นคนโง่ไม่กินตามน้ำ ชอบรับสินบน ทุจริตในหน้าที่ หรือช่วยพวกพ้องให้พ้นจากความผิดเป็นต้น
    ๔. จะโกรธเคืองเมื่อพูดเตือน อาทิเช่น การเตือนเรื่องการเที่ยวเตร่ เตือนเรื่องการดื่มเหล้า กลับบ้านดึก เตือนเรื่องการคบเพื่อนเป้นต้น คนพวกนี้จะโกรธเมื่อได้รับการตักเตือน และไม่รับฟัง
    ๕. ไม่มีระเบียบวินัย อาทิเช่น ไม่เข้าคิวตามลำดับก่อนหลัง แต่ชอบแซงคิวอย่างหน้าด้านๆ ทิ้งขยะลงคลอง หรือข้างทาง ไม่เคารพกฏหมายของบ้านเมือง หรือของท้องถิ่นเป็นต้น​
    [​IMG]
     
  7. physigmund_foid

    physigmund_foid เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    372
    ค่าพลัง:
    +1,421
    ๒. การคบบัญฑิต

    คนดีจะมีรังสีออร่าที่ดีงามออกมา สามารถถ่ายภาพได้ สังเกตุว่าเวลาเราไปอยู่
    ใกล้ๆ คนใจดี ใจเย็น เราจะรู้สึกดีไปด้วย ดังนั้น การเลือกคบบัญฑิต จึงทำให้
    เได้รับพลังจักรวาลด้านดี เพราะในชีวิตเราจำเป็นต้องเจอคน มีหลักการดูดังนี้
    บัณฑิต หมายถึงผู้ทรงความรู้ มีปัญญา มีจิตใจที่งาม และมีการดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง รู้ดีรู้ชั่ว (ไม่ใช่คนที่จบปริญญาโดยนัย) มีลักษณะดังนี้คือ​
    ๑. เป็นคนคิดดี คือการไม่คิดละโมบ ไม่พยาบาทปองร้ายใคร รู้จักให้อภัย เชื่อเรื่องบาปบุญคุณโทษ ความกตัญญูรู้คุณเป็นต้น
    ๒. เป็นคนพูดดี คือวจีสุจริต พูดจริง ทำจริงไม่โกหก ไม่พูดหยาบ ถากถาง นินทาว่าร้าย
    ๓. เป็นคนทำดี คือทำอาชีพสุจริต มีเมตตา ทำทานเป็นปกตินิสัย อยู่ในศีลธรรม ทำสมาธิภาวนา รูปแบบของบัณฑิต มีข้อควรสังเกตุคือ
    ๑. ชอบชักนำในทางที่ถูกที่ควร อาทิเช่นการชักนำให้เลิกทำในสิ่งที่ผิด ตักเตือนให้ทำความดีอย่างเช่น ให้เลิกเล่นการพนันเป็นต้น
    ๒. ชอบทำในสิ่งที่เป็นธุระ อาทิเช่นการทำหน้าที่ของตนให้ลุล่วง และใช้เวลาที่มีอยู่ให้เป็นประโยชน์ ไม่ก้าวก่ายเรื่องของผู้อื่นเว้นแต่จะได้รับการร้องขอ
    ๓. ชอบทำและแนะนำสิ่งที่ถูกที่ควร อาทิเช่นการพูดและทำอย่างตรงไปตรงมา แนะนำการทำทานที่ถูกต้อง ทำตนให้เป็นประโยชน์ต่อคนอื่น
    ๔. รับฟังดี ไม่โกรธ อาทิเช่นเมื่อมีคนมาว่ากล่าวก็ไม่ถือโทษ หรือโกรธ หรือทำอวดดี แต่จะรับฟังแล้วนำไปพิจารณาโดยยุติธรรม แล้วนำมาแก้ไขปรับปรุง
    ๕. รู้ระเบียบ กฏกติกามรรยาทที่ดี อาทิเช่นการรักษาระเบียบวินัยขององค์กร เพื่อให้หมู่คณะมีความเป็นระเบียบ และการดำเนินงานไม่สับสน หรือการรักษาความสะอาด ปฏิบัติ และเคารพกฏของสถานที่ ไม่ทำตามอำเภอใจ
    [​IMG]
     
  8. physigmund_foid

    physigmund_foid เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    372
    ค่าพลัง:
    +1,421
    ๓. การบูชาบุคคลที่ควรบูชา

    เมื่อเรามีจิตอ่อนแอ และต้องการที่พึ่งทางใจ เรามักเข้าหาสิ่งลี้ลับที่ศักดิ์สิทธิ์
    แต่บางครั้งเราแยกแยะไม่ออกว่าอะไรดีอะไรไม่ดี บางท่านนับถือผี กราบไหว้
    ผี โดยไม่รู้ว่าผีตนนั้นดีหรือไม่ดี ก็ได้รับพลังจักรวาลของสิ่งที่ไหว้ไปด้วย พระ
    พุทธเจ้าทรงให้สูตรสำหรับการไหว้พลังจักรวาลที่ดี ไว้ดังนี้
    การบูชา คือการแสดงความเคารพบุคคลที่เรานับถือ ยกย่อง เลื่อมใสในบุคคลคนนั้น ซึ่งการบูชาแบ่งออกเป็น ๒ อย่างคือ​
    ๑. อามิสบูชา คือการบูชาด้วยสิ่งของเช่น การนำเงินให้พ่อแม่ไว้ใช้จ่าย หรือมอบทรัพย์สินให้พ่อแม่ หรือการนำดอกไม้ ธูปเทียนไปบูชาพระก็ถือเป็นอามิสบูชาเป้นต้น
    ๒.ปฏิบัติบูชา คือการบูชาด้วยการเจริญสมาธิภาวนา การฝึกจิตให้ไม่ฟุ้งซ่าน เห็นความจริงในความเป็นไปของโลกเป็นต้น บุคคลที่ควรบูชา มีดังนี้คือ
    ๑.พระพุทธเจ้า (คงไม่ต้องอธิบาย)
    ๒.พระปัจเจกพระพุทธเจ้า หมายถึงพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา
    ๓.พระมหากษัตริย์ผู้ตั้งอยู่ในทศพิศราชธรรม
    ๔.บิดามารดา
    ๕.ครูอาจารย์ ที่มีความรู้ดี มีความสามารถ และประพฤติดี
    ๖.อุปัชฌาย์ หรือผู้บังคับบัญชาที่มีความประพฤติดี ตั้งอยู่ในธรรม
    [​IMG]
     
  9. physigmund_foid

    physigmund_foid เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    372
    ค่าพลัง:
    +1,421
    ๔. การอยู่ในถิ่นอันสมควร

    การอยู่ในที่ที่อากาศถ่ายเทและมีปราณพลังจักรวาลที่บริสุทธิ์ช่วยให้เราได้รับ
    พลังจักรวาลที่บริสุทธิ์ได้มากมาย มากกว่าการอยู่ในที่แออัดมีมลพิษ ดังนี้
    พระพุทธเจ้าจึงแนะนำให้พระสาวกอยู่อาศัยป่าช้าเป็นเสนาสนะ อาศัยถ้ำและ
    ป่าเป็นเสนาสนะ มีหลักการพิจารณาดังนี้ครับ
    ถิ่นอันสมควรควรประกอบด้วยสิ่งแวดล้อม ๔ อย่างได้แก่
    ๑.อาวาสเป็นที่สบาย หมายถึงอยู่แล้วสบาย เช่นสะอาด เดินทางไปมาสะดวก อากาศดี เป็นแหล่งชุมชน ไม่มีแหล่งอบายมุขเป็นต้น
    ๒.อาหารเป็นที่สบาย หมายถึงอาหารการกินอุดมสมบูรณ์ เช่นมีแหล่งอาหารที่สามารถจัดซื้อหามาได้ง่าย เป็นต้น
    ๓.บุคคลเป็นที่สบาย หมายถึงที่ที่มีคนดี จิตใจโอบอ้อมอารี ถ้อยทีถ้อยอาศัย มีศีลธรรม ไม่มีโจร นักเลง หรือใกล้แหล่งอิทธิพลเป็นต้น
    ๔.ธรรมะเป็นที่สบาย หมายถึงมีที่พึ่งด้านธรรมะ มีที่ฟังธรรมเช่น มีวัดอยู่ในละแวกนั้น มีโรงเรียน หรือแหล่งศึกษาหาความรู้เป็นต้น​
    [​IMG]
     
  10. physigmund_foid

    physigmund_foid เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    372
    ค่าพลัง:
    +1,421
    ๕. เคยทำบุญมาก่อน

    พระอาจารย์เกษม ได้กล่าวไว้ว่า "บุญ" (กุศลกรรม) เป็น "พลังงานที่มีแสงสี
    ทอง" เรียกว่า "แสงแห่งบุญ" (เรื่องบุญเป็นพลังงานนั้นผมกล่าวเสริมเองไม่
    ใช่วลีของพระอาจารย์แต่มีหลักฟิสิกส์ยืนยันดูได้ในกระทู้เก่าของผม) ดังนั้น
    บุคคลที่เคยทำบุญไว้ในอดีตเมื่อพลังบุญ (แสงทอง) ย้อนกลับมา ก็กลายเป็น
    "พลังจักรวาล" ที่ดี ให้แก่ผู้ทำบุญ โดยมีหลักการดังนี้
    ขึ้นชื่อว่าบุญนั้น มีคุณสมบัติดังต่อไปนี้คือ
    ๑. ทำให้กาย วาจา และใจ สะอาดได้
    ๒. นำมาซึ่งความสุข
    ๓. ติดตามไปได้ หมายถึงบุญจะติดตัวเราไปได้ตลอดจนถึงชาติหน้า
    ๔. เป็นของเฉพาะตน หมายถึงขอยืม หรือแบ่งกันไม่ได้ ทำเองได้เอง
    ๕. เป็นที่มาของโภคทรัพย์ทั้งหลาย คือว่าผลของบุญจะบันดาลให้เกิดขึ้นได้เองโดยไม่ได้หวังผล
    ๖. ให้มนุษย์สมบัติ ทิพย์สมบัติ และนิพพานสมบัติแก่เราได้ หมายถึงความสมบูรณ์ตั้งแต่ทางโลก จนถึงนิพพานได้เลย
    ๗. เป็นปัจจัยให้ถึงซึ่งนิพพาน ก็คือเป็นปัจจัยในการส่งเสริมให้บรรลุถึงนิพพานได้เร็วขึ้นเมื่อปฏิบัติ
    ๘. เป็นเกราะป้องกันภัยในวัฏสังสาร หมายถึงในวงจรการเกิด แก่ เจ็บ ตาย หรือที่เรียกว่าเวียนว่ายตายเกิดนั้น บุญจะคุ้มครองให้ผู้นั้นเกิดในที่ดี อยู่อย่างมีความสุข หรือตายอย่างไม่ทรมาน ขึ้นอยู่กับกำลังบุญที่สร้างสมมา การทำบุญนั้นมีหลายวิธี แต่พอสรุปได้สั้นๆดังนี้คือ
    ๑.การทำทาน
    ๒.การรักษาศีล
    ๓.การเจริญภาวนา
    [​IMG]
     
  11. physigmund_foid

    physigmund_foid เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    372
    ค่าพลัง:
    +1,421
    ๖. การตั้งตนชอบ

    หรือคือการเป็นคนตั้งใจจริง มีปณิธาน มีวัตถุประสงค์ชัดเจนในชีวิต ไม่ใช้ชีวิต
    อย่างเลื่อนลอยไร้จุดมุ่งหมาย เพราะการที่ปล่อยให้จิตไร้จุดมุ่งหมายนั้น จะ
    ทำให้เป็น "เป้า" หรือ "เหยื่อ" ของพลังจักรวาลด้านลบ (ด้านมืด) ได้
    หมายถึงการดำเนินชีวิตอย่างมีเป้าหมาย ด้วยความถูกต้องและสุจริต อยู่ในสัมมาอาชีพ มีแผนการที่จะไปให้ถึงจุดหมายนั้นด้วยความไม่ประมาท มีการเตรียมพร้อม และมีความอดทนไม่ละทิ้งกลางคัน​
    [​IMG]
     
  12. CHAYA MARUTY

    CHAYA MARUTY เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2007
    โพสต์:
    1,009
    ค่าพลัง:
    +10,787
    อืมมมมม์ ยอดเยี่ยม ๆๆๆ
     
  13. physigmund_foid

    physigmund_foid เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    372
    ค่าพลัง:
    +1,421
    ๗. ความเป็นพหูสูต

    การเป็นผู้รอบรู้ อ่านมาฟังมาก ทำให้สามารถระแวดระวังภัยจาก "พลังด้านลบ"
    ได้มาก ซึ่งในจักรวาลนี้มีพลังเหล่านี้มากมายวนเวียนอยู่ และยังสามารถเลือก
    รับพลังจักรวาลด้านบวกที่มีอยู่ทั่วไปได้เช่นกัน โดยมีหลักการดังนี้
    คือเป็นผู้ที่ฟังมาก เล่าเรียนมาก เป็นผู้รอบรู้ โดยมีลักษณะดังนี้คือ
    ๑.รู้ลึก คือการรู้ในสิ่งนั้นๆ เรื่องนั้นๆอย่างหมดจดทุกแง่ทุกมุม อย่างมีเหตุมีผล รู้ถึงสาเหตุจนเรียกว่าความชำนาญ
    ๒.รู้รอบ คือการรู้จักช่างสังเกตในสิ่งต่างๆ รอบตัว เช่นเหตุการณ์แวดล้อมเป็นต้น
    ๓.รู้กว้าง คือการรู้ในสิ่งใกล้เคียงกับเรื่องนั้นๆ ที่เกี่ยวข้องกัน สัมพันธ์กันเป็นต้น
    ๔.รู้ไกล คือการศึกษาถึงความเป็นไปได้ ผลในอนาคตเป็นต้น ถ้าอยากจะเป็นพหูสูตก็ควรต้องมีคุณสมบัติดังว่านี้คือ
    ๑.ความตั้งใจฟัง ก็คือชอบฟัง ชอบอ่านหาความรู้ และค้นคว้าเป็นต้น
    ๒.ความตั้งใจจำ ก็คือรู้จักวิธีจำ โดยตั้งใจอ่านหรือฟังในสิ่งนั้นๆ และจับใจความให้ได้
    ๓.ความตั้งใจท่อง ก็คือท่องให้รู้โดยอัตโนมัติ ไม่ลืม ในสิ่งที่เป็นสาระสำคัญ
    ๔.ความตั้งใจพิจารณา ก็คือการรู้จักพิจารณา ตรึกตรองในสิ่งนั้นๆอย่างทะลุปรุโปร่ง
    ๕.ความเข้าใจในปัญหา ก็คือการรู้อย่างแจ่มแจ้งในปัญหาอย่างถ่องแท้ด้วยปัญญา
    [​IMG]
     
  14. VickiesII

    VickiesII เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    51
    ค่าพลัง:
    +491
    ผมว่าจั่วหัวกระทู้แรงไปหน่อยนะครับ ภาษาเห็นแล้วรู้สึกไม่ค่อยจะสู้ดีนัก - -"
     
  15. physigmund_foid

    physigmund_foid เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    372
    ค่าพลัง:
    +1,421
    ๘. การรอบรู้ในศิลปะ

    การมองเห็นสรรพสิ่งในแง่มุมของศิลปะ คือ ความคิดสร้างสรรค์ ไม่มีผิดถูก
    การมองในแง่บวก (Positive thinking) ทำให้จิตมีแต่ความ "สุนทรีย์"
    และเปิดรับแต่ "พลังจักรวาลด้านบวก" ตลอดเวลา มีหลักการดังนี้
    ศิลปะ คือสิ่งที่แสดงออกถึงความงดงาม และมีความสุนทรีย์ โดยลักษณะของมันมีดังนี้คือ
    ๑.มีความปราณีต
    ๒.ทำให้ของดูมีค่ามากขึ้น
    ๓.ทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์
    ๔.ไม่ทำให้เกิดกามกำเริบ
    ๕.ไม่ทำให้เกิดความพยาบาท
    ๖.ไม่ทำให้เกิดความเบียดเบียน ถ้าท่านอยากเป็นคนมีศิลปะ ควรต้องฝึกให้มีคุณสมบัติเหล่านี้ไว้ในตัวคือ
    ๑.มีศรัทธาในความงดงามของสิ่งต่างๆ
    ๒.หมั่นสังเกตและพิจารณา
    ๓.มีความปราณีต อารมณ์ละเอียดอ่อน
    ๔.เป็นคนสุขุม มีความคิดสร้างสรรค์
    [​IMG]
     
  16. physigmund_foid

    physigmund_foid เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    372
    ค่าพลัง:
    +1,421
    ๙. มีวินัยที่ดี

    การมีศีลวินัยที่ดี เป็นเกราะป้องกันไม่ให้เราเผลอทำผิด เมื่อไม่เผลอทำผิด
    ก็จะลดการทะเลาะบาดหมาง ทำให้ไม่ต้องรับปราณเสียๆ หรือพลังจักรวาล
    ด้านลบจากใครได้ ทำให้ลดปริมาณพลังจักรวาลด้านลบที่จะมาสู่เราได้
    ดังนี้
    วินัย ก็คือข้อกำหนด ข้อบังคับ กฏเกณฑ์เพื่อควบคุมให้มีความเป็นระเบียบนั่นเอง มีทั้งวินัยของสงฆ์และของคนทั่วไป สำหรับของสงฆ์นั้นมีทั้งหมด ๗ อย่างหรือเรียกว่า อนาคาริยวินัย ส่วนของบุคคลทั่วไปก็มี ๑๐ อย่าง คือการละเว้นจากอกุศลกรรม ๑๐ ประการ
    อนาคาริยวินัยของพระมีดังนี้
    ๑.ปาฏิโมกขสังวร คือการอยู่ในศีลทั้งหมด ๒๒๗ ข้อ การผิดศีลข้อใดข้อหนึ่งก็ถือว่าต้องโทษแล้วแต่ความหนักเบา เรียงลำดับกันไปตั้งแต่ ขั้นปาราชิก สังฆาทิเสส ถุลลัจจัย ปาจิตตีย์ ปาฏิเทสนียะ ทุกกฏ ทุพภาสิต เป็นต้น (ความหมายของแต่ละคำมันต้องอธิบายเยอะ จะไม่กล่าวในที่นี้)
    ๒.อินทรียสังวร คือการสำรวมอายตนะทั้ง ๕ และกาย วาจา ใจ ให้อยู่กับร่องกับรอย โดยอย่าไปเพลิดเพลินติดกับสิ่งที่มาสัมผัสเหล่านั้น
    ๓.อาชีวปาริสุทธิสังวร คือการหาเลี้ยงชีพในทางที่ชอบ นั่นก็คือการออกบิณฑบาตร ไม่ได้เรียกร้อง เรี่ยไรหรือเที่ยวขอเงินชาวบ้านมาเพื่อความอุดมสมบูรณ์ของตัวเอง
    ๔.ปัจจยปัจจเวกขณะ คือการพิจารณาในสิ่งของทั้งหลายถึงคุณประโยชน์โดยเนื้อแท้ของสิ่งของเหล่านั้นอย่างแท้จริง โดยใช้เพื่อบริโภค เพื่อประโยชน์ ความอยู่รอด และความเป็นไปของชีวิตเท่านั้น วินัยสำหรับฆราวาส หรือบุคคลทั่วไป เรียกว่าอาคาริยวินัย มีดังนี้ (อกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ)
    ๑.ไม่ฆ่าชีวิตคน หรือสัตว์ไม่ว่าน้อย ใหญ่
    ๒.ไม่ลักทรัพย์ ยักยอกเงิน สิ่งของมาเป็นของตัว
    ๓.ไม่ประพฤติผิดในกาม ผิดลูกผิดเมีย ข่มขืนกระทำชำเรา
    ๔.ไม่พูดโกหก หลอกลวงให้หลงเชื่อ หรือชวนเชื่อ
    ๕.ไม่พูดส่อเสียด นินทาว่าร้าย ยุยงให้คนแตกแยกกัน
    ๖.ไม่พูดจาหยาบคาย ให้เป็นที่แสลงหูคนอื่น
    ๗.ไม่พูดจาไร้สาระ หรือที่เรียกว่าพูดจาเพ้อเจ้อไม่มีสาระ เหตุผล หรือประโยชน์อันใด
    ๘.ไม่โลภอยากได้ของเขา คือมีความคิดอยากเอาของคนอื่นมาเป็นของเรา
    ๙.ไม่คิดร้าย ผูกใจเจ็บ แค้น ปองร้ายคนอื่น
    ๑๐.ไม่เห็นผิดเป็นชอบ เช่น เห็นว่าพ่อแม่ไม่มีความสำคัญ บุญหรือกรรมไม่มีจริงเป็นต้น
    [​IMG]
     
  17. physigmund_foid

    physigmund_foid เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    372
    ค่าพลัง:
    +1,421
    ๑๐.กล่าววาจาอันเป็นสุภาษิต

    การกล่าวว่าวาจาที่ศักดิ์สิทธิ์น่าเชื่อถือ เป็นเครื่องป้องกันเราจากพลังจักรวาล
    ด้านลบได้อีกวิธีหนึ่ง เป็นทางตรง ที่เราจะใช้เจรจา และหยุดกรรมที่คนไม่ดี
    จะกระทำต่อเรา อันจะส่งผลให้เราได้รับพลังจักรวาลด้านลบ มีหลักการดังนี้
    คำว่าวาจาอันเป็นสุภาษิตในที่นี้มิได้หมายถึงเพียงว่าต้องเป็นคำร้อยกรอง ร้อยแก้ว เป็นคำคมบาดใจมีความหมายลึกซึ้งเท่านั้น แต่รวมถึงคำพูดที่ดี มีประโยชน์ต่อผู้ฟัง ซึ่งสรุปว่าประกอบด้วยลักษณะดังนี้
    ๑.ต้องเป็นคำจริง คือข้อมูลที่ถูกต้อง มีหลักฐานอ้างอิงได้ ไม่ได้ปั้นแต่งขึ้นมาพูด
    ๒.ต้องเป็นคำสุภาพ คือพูดด้วยภาษาที่สุภาพ มีความไพเราะในถ้อยคำ ไม่มีคำหยาบโลน หรือคำด่า
    ๓.พูดแล้วมีประโยชน์ คือมีประโยชน์ต่อผู้ฟังถ้าหากนำแนวทางไปคิด หรือปฏิบัติในทางสร้างสรรค์
    ๔.พูดด้วยจิตที่มีเมตตา คือพูดด้วยจิตใจที่มีความปรารถนาดีต่อผู้ฟัง มีความจริงใจต่อผู้ฟัง
    ๕.พูดได้ถูกกาลเทศะ คือพูดในสถานที่เหมาะสม และในเวลาที่เหมาะสม โดยความเหมาะสมจะมีมากน้อยเช่นไรก็ขึ้นอยู่กับเรื่องที่พูด​
    [​IMG]
     
  18. physigmund_foid

    physigmund_foid เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    372
    ค่าพลัง:
    +1,421
    ๑๑.การบำรุงบิดามารดา

    พ่อแม่นั้นมีแต่จิตใจที่ดีงามและรักลูกของตน เป็นแหล่งพลังปราณดีที่อยู่ใกล้
    ตัวเรามากที่สุด เราสามารถซึมซับพลังนี้ได้ ด้วยการดูแลปรนนิบัติท่าน เมื่อ
    ท่านมีความสุข ก็จะแผ่ปราณดี (ออร่า) มาอาบร่างกายเราด้วย มีหลักการคือ
    ท่านว่าพ่อแม่นั้นเปรียบได้เป็นทั้ง ครูของลูก เทวดาของลูก พรหมของลูก และอรหันต์ของลูก ความหมายโดยละเอียดมีดังต่อไปนี้คือ
    • ที่ว่าเป็นครูของลูก เพราะว่าท่านได้คอยอบรมสั่งสอนลูก เป็นคนแรกก่อนคนอื่นใดในโลก
    • ที่ว่าเป็นเทวดาของลูก เพราะว่าท่านจะคอยปกป้อง คุ้มครอง เลี้ยงดู ประคบประหงมมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก บำรุงให้เติบใหญ่เป็นอย่างดี ไม่ให้เกิดอันตรายต่อลูกในทุกด้าน
    • ที่ว่าเป็นพรหมของลูก เพราะว่าท่านมีพรหมวิหาร ๔ นั่นก็คือ มีเมตตา หมายถึงความเอ็นดู ความปรารถนาดีต่อลูกในทุกๆด้าน ไม่มีที่สิ้นสุด มีกรุณา หมายถึงให้ความกรุณาต่อลูก ลูกอยากได้อะไรก็หามาให้ลูก ให้การศึกษาเล่าเรียน ส่งเสียเท่าที่มีความสามารถจะให้ได้ มีมุทิตา หมายถึงความรักที่ยอมสละได้แม้ชีวิตของตัวเองเพื่อลูก ยอมเสียสละได้ทุกอย่าง และมีอุเบกขา หมายถึงการวางเฉย ไม่ถือโกรธเมื่อลูกประมาท ซน ทำผิดพลาดเพราะความไร้เดียงสา หรือเพราะความไม่รู้
    • ที่ว่าเป็นอรหันต์ของลูก เพราะว่าท่านมีคุณธรรม ๔ ประการอันได้แก่
      • เป็นผู้มีอุปการะคุณต่อลูก คืออุปการะเลี้ยงดูมาด้วยความเหนื่อยยาก กว่าจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่
      • เป็นผู้มีพระเดชพระคุณต่อลูก คือให้ความอบอุ่นเลี้ยงดู ปกป้องจากภยันตรายต่างๆ นานา
      • เป็นเนื้อนาบุญของลูก คือลูกเป็นส่วนหนึ่งของกรรมดีที่พ่อแม่ได้ทำไว้ และเป็นผู้รับผลบุญที่พ่อแม่ได้สร้างไว้แล้วทางตรง
      • เป็นอาหุไนยบุคคล คือเป็นเหมือนพระที่ควรแก่การเคารพนับถือและรับของบูชา เพื่อเทอดทูนไว้เป็นแบบอย่าง
    การทดแทนพระคุณบิดามารดาท่านสามารถทำได้ดังนี้
    ระหว่างเมื่อท่านยังมีชีวิตอยู่ ก็เลี้ยงดูท่านเป็นการตอบแทน ช่วยเหลือเป็นธุระเรื่องการงานให้ท่าน ดำรงวงศ์ตระกูลให้สืบไปไม่ทำเรื่องเสื่อมเสีย รวมทั้งประพฤติตนให้ควรแก่การเป็นสืบทอดมรดกจากท่าน ครั้นเมื่อท่านล่วงลับไปแล้ว ก็ทำบุญอุทิศกุศลให้ท่าน ส่วนการเป็นลูกกตัญญูต่อพ่อแม่ในคำสอนของพระพุทธเจ้าท่านกล่าวว่าไว้ดังนี้​
    ๑.ถ้าท่านยังไม่มีศรัทธา ให้ท่านถึงพร้อมด้วยศรัทธา คือพยายามให้ท่านมีความศรัทธาในพระพุทธศาสนา เชื่อในเรื่องการทำดี
    ๒.ถ้าท่านยังไม่มีศีล ให้ท่านถึงพร้อมด้วยศีล คือพยายามให้ท่านเป็นผู้รักษาศีล ๕ ให้ได้
    ๓.ถ้าท่านเป็นคนตระหนี่ ให้ท่านถึงพร้อมด้วยการให้ทาน คือพยายามให้ท่านรู้จักการให้ด้วยเมตตาโดยไม่หวังผลตอบแทน
    ๔.ถ้าท่านยังไม่ทำสมาธิภาวนา ให้ท่านถึงพร้อมด้วยปัญญา คือพยายามให้ท่านหัดนั่งทำสมาธิภาวนาให้ได้​
    [​IMG]
     
  19. physigmund_foid

    physigmund_foid เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    372
    ค่าพลัง:
    +1,421
    ๑๒.การสงเคราะห์บุตร

    เมื่อใดก็ตามที่เราดูแลลูกด้งยความรักความเมตตา จิตของเราจะเป็นสื่อนำ
    ปราณดี หรือพลังจักรวาลที่บริสุทธิ์ หรือพลังจักรวาลด้านบวก เหมือนเรา
    เป็นแม่เหล็กดึงคลื่นพลังอันบริสุทธิ์ดีงามในทันที มีหลักการดังนี้ครับ
    คำว่าบุตรนั้น มีอยู่ ๓ ประเภทได้แก่
    ๑.อภิชาติบุตร คือบุตรที่มีความดี คุณธรรม และความสามารถเหนือกว่าบิดา มารดา
    ๒.อนุชาตบุตร คือบุตรที่มีความดี คุณธรรม และความสามารถเสมอบิดา มารดา
    ๓.อวชาตบุตร คือบุตรที่มีความดี คุณธรรม และความสามารถต่ำกว่าบิดา มารดา การที่เราเป็นพ่อ เป็นแม่ของบุตรนั้น มีหน้าที่ที่ต้องให้กับลูกของเราคือ
    ๑.ห้ามไม่ให้ทำความชั่ว
    ๒.ปลูกฝัง สนับสนุนให้ทำความดี
    ๓.ให้การศึกษาหาความรู้
    ๔.ให้ได้คู่ครองที่ดี (ใช้ประสพการณ์ของเราให้คำปรึกษาแก่ลูก ช่วยดูให้)
    ๕.มอบทรัพย์ให้ในโอกาสอันควร (การทำพินัยกรรม ก็ถือว่าเป็นสิ่งถูกต้อง)
    [​IMG]
     
  20. illanzer

    illanzer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +840
    ครับ ^^ จิตเกษมยอดเยี่ยมที่สุดในมงคลทั้งสามสิบแปด อิอิ
     

แชร์หน้านี้

Loading...