จุฬาฯเผยอีก20ปี กทม.ครึ่งเมืองจมใต้บาดาล

จุฬาฯเปิดผลผลวิจัย ระบุกรุงเทพฯเสี่ยงจมใต้บาดาลอีก 20 ปีข้างหน้า จากแผ่นดินปีละละ 10-15 ซม. เผยชายฝั่งเผชิญกับน้ำทะเลกระหน่ำ โดนซัดหายไปแล้ว 300 กม. อ่าวไทยรูปตัวก.พังไปกว่า 60%

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีการประชุมวิชาการเรื่อง "การกัดเซาะชายฝั่งทะเล ปัญหาและแนวทางการศึกษาแบบบูรณาการองค์ความรู้" โดยความร่วมมือระหว่าง 3 หน่วยงาน คือ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กรมทรัพยากรธรณี และจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย เพื่อหาทางแก้ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลเนื่องจากสถานการณ์น่าเป็นห่วง
จากการศึกษาครั้งนี้พบว่าพื้นที่ชายฝั่งหายไปกว่า 300 ก.ม.จากเดิมที่มีชายฝั่งทั้งหมด 1,700 กม.โดยอ่าวไทยรูปตัว"ก." วิฏฤติเสียหายกว่า 60%

รศ.ดร.ธนวัฒน์ จารุพงษ์สกุล ภาควิชาธรณีวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง เดิมเข้าใจว่าเกิดจากธรรมชาติเท่านั้น แต่ล่าสุดเพิ่งทำการศึกษาถึง ปัจจัยอื่นๆที่ส่งผลต่อการกัดเซาะชายฝั่งในบริเวณอ่าวไทยตอนบนตั้งแต่จ.สมุทรสงคราม สมุทรสาคร กทม.จนถึงปากแม่น้ำจ. สมุทรปราการ รวมทั้งฉะเชิงเทรา พบการกัดเซาะรุนแรงมากประมาณ 77 กม.คิดเป็นพื้นที่ 12,288 ไร่

"สรุปได้ว่าการทรุดตัวของแผ่นดิน ตลอดจนการขึ้น-ลงของน้ำทะเลเป็นตัวการทำให้ชายฝั่งถูกกัดเซาะรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะในเขตพื้นที่ใจกลางกทม.และปริมณฑล ค่อนข้างมีปัญหาการทรุดตัวเฉลี่ยมากกว่า 10 .-15 เซ็นติเมตรต่อปี และมีพื้นที่ถูกกัดเซาะไปมากกว่า 6,419 ไร่ แต่หลังจากเริ่มควบคุมการใช้น้ำ บาดาลทำให้อัตราลดลงเหลือประมาณ 2-4 ซม.ต่อปี และมีพื้นที่ถูกกัดเซาะลดลงประมาณ 3,044 ไร่ และเมื่อนำปัจจัยแผ่นดินทรุด มาประเมิน"

อย่างไรก็ตามแม้แผ่นดินจะทรุดน้อยลง น้ำทะเลในอ่าวไทยก็เพิ่มขึ้นสูงทุกปีเฉลี่ยปีละ 16-26 มิลลิเมตร ซึ่งผลของแผ่นดิน ทรุดเมื่อรวมกับปัญหาน้ำทะเลที่เพิ่มขึ้น จะส่งผลให้ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งในกทม.รุนแรงขึ้นมาก

"จากการประเมินอีก 20 ปีข้างหน้า ถ้ายังไม่มีปัญหาการกัดเซาะอย่างจริงจัง ชายฝั่งกทม.แถวบางขุนเทียนจะหายไปอีก 1.3 กม. และถ้าดูจากสภาพอากาศของโลกที่เปลี่ยนไป อุณหภูมิสูงขึ้น ทำให้น้ำแข็งละลาย น้ำทะเลจะสูงขึ้น อนาคตกทม.อาจจะ อยู่ใต้น้ำถึงครึ่งเมือง ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญระดับชาติที่ทุกฝ่ายต้องมาหารือเพื่อหาทางแก้ปัญหา เพราะถ้าจะแก้ปัญหาด้วยการสร้าง เขื่อนป้องกันน้ำทะเลท่วม ตัวเขื่อนก็อาจจะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม จำเป็นต้องมีการศึกษาอย่างรอบด้านเพื่อหาทางแก้ปัญหา"ดร. ธนวัฒน์กล่าว

ดร.ธนวัฒน์ กล่าวอีกว่า ข้อมูลการประเมินผลกระทบเบื้องต้นที่ได้จากการงานวิจัยจะช่วยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปพิจารณาเชิงนโยบาย

ในการพิจารณาทางเลือกต่างๆของรัฐสำหรับการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจํากัดว่าสมควรจะลงทุนเพื่อป้องกันแก้ไขการกัดเซาะชายฝั่งหรือไม่ เมื่อเทียบกับผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นถ้านําทรัพยากรนี้ไปใช้ในกิจการอื่นๆ ซึ่งต่อไปจะประเมินสิ่งก่อสร้าง ขนาดใหญ่รวมทั้งเขื่อนด้วยว่าเป็นตัวการทำให้เกิดการกัดเซาะรุนแรงขึ้นหรือไม่

นักวิจัยจากจุฬาฯ กล่าวอีกว่า จากการลงไปศึกษาชายฝั่งทะเลที่อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช เพราะได้รับการร้องเรียนจากชาวบ้านว่า ได้รับความเดือดร้อนมากจากชายฝั่งถูกกัดเซาะมาก พบว่าพื้นที่ชายหาดยาวประมาณ 80 กม. ใน 10 ตำบล ถูกกัดเซาะอย่างรุนแรง มาก ทำให้บ้านเรือน สิ่งปลูกสร้างได้รับความเสียหายจำนวนมาก และเมื่อวิเคราะห์จากทิศทางของกระแสน้ำทะเล พบว่ามีแนวโน้มที่ กระแสน้ำทะเลจะเปลี่ยนทิศ จากเดิมที่ไหลจากใต้ขึ้นเหนือจะเปลี่ยนเป็นจากเหนือไหลลงใต้ ซึ่งจะยิ่งส่งผลกระทบต่อการกัดเซาะชายฝั่ง รุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะปลายแหลมตะลุมพุก ซึ่งมีโอกาสที่จะถูกกัดเซาะหายไปในอีก 100ปีข้างหน้า เนื่องจากการเปลี่ยนแปลง ของกระแสน้ำทำให้ตะกอนที่ถูกพัดมาทับถมหายไป

" ปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นจากระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้น อันเนื่องจากอุณหภูมิของโลกเพิ่มสูงขึ้นจนทำให้น้ำแข็งบริเวณขั้วโลก ละลายและทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น ปัจจุบันอัตราการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลมีมากถึง 5 - 10 ซ.ม. ต่อปี และคาดว่าในอีก 100 ปีข้างหน้า หากอุณหภูมิของโลกเพิ่มขึ้นอีก 3-4 องศาเซลเซียส ระดับน้ำ 30 - 50 ซ.ม.ต่อปีซึ่งถือว่าเยอะมากและอาจส่งกระทบต่อ ประเทศไทยทำให้พื้นที่ชายฝั่งทะเลของประเทศไทยถูกกัดเซาะอย่างรุนแรงมากขึ้นจนพื้นที่บางส่วนหายไป"รศ.ดร.ธนวัตน์ กล่าว


ที่มา หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ

 

ปลูกป่าชายเลนป้องกัน (จะช่วยได้มากน้อยแค่ไหนเนี่ย)

 

ธรรมชาติกำลังกลับมาหาเราแล้ว

 

เตรียมชุดว่ายน้ำสวยดีก่า เรา แง่มๆ

 

มันเป็นเรื่องความเป็นไปของโลกครับ และมีผลต่อสิ่งที่อยุ่บนโลกด้วย ความเปลี่ยนแปลงมีอยู่เรื่อย ๆ ครับ เปลี่ยนไปทีละนิด สมัยก่อนแผ่นที่โลกคงไม่ได้เป็นดังเช่นปัจจุบันหรอกครับ รู้ไหมครับแค่น้ำขึ้น สัก 2 -3 เมตรทั้วโลก แผ่นที่โลกจะเปลี่ยนไปอย่างมากเลยครับ จำไม่ได้แน่ ๆ ว่าตรงนี้เคยเป็นอะไร เป็นประเทศอะไร

แต่ก็ดีนะครับ มีทะเลเพิ่มขึ้น สัตว์น้ำก็น่าจะเพิ่มขึ้นด้วย

 

โครงการเขื่อนแก้มลิงที่อยู่อ่าวไทยของในหลวงก็สุดยอดแล้วนะครับ คือหลักการคือจะรู้ว่าระดับน้ำอยู่สูงเมื่อใดก็สามารถระบายน้ำจากในเขื่อนดันน้ำอ่าวไทยได้ครับเพราะอาศัยหลักแรงดัน จากสูงไปต่ำเขื่อนแก้มลิงอยู่สูงกว่าอ่าวไทย ถึงตลิ่งจะเซาะกร่อน แต่ถึงอย่างไรระดับน้ำทะเลจะอยู่สูงกว่ากทม ไม่ได้ครับ แล้วอยู่สูงกว่าสมุทรสาคร ปราการไม่ได้ด้วย ถ้าเป็นอย่างที่จุฬาว่าจริงๆต้องใช้เวลาประมาณพันปีน้ำถึงท่วมกทม เมื่อนั้นก็ทำเขื่อนแก้มลิงโครงการสองสัก2หมื่นล้านทำให้อยู่สูงกว่าระดับทะเลก็หมดเรื่อง เพราะแรงดันเขื่อนช่วยไว้อาศัยหลักสูงไปกระทบกับคลื่นต่ำครับ
ผมฟังเขามานะครับ

 

ทะเลแค่เอื้อม

ดีใจมากๆที่จะได้เล่นน้ำทะเลใกล้ขึ้นอีก อยากให้มาถึงไวๆ ไม่ต้องเปลืองน้ำมันรถมาก ก็ได้เล่นน้ำทะเล

 

เวรกำ

 

ต้องเตรียมซื้อเรือแล้วทิ้งเอาไว้บนดาดฟ้าบ้าน แล้วซินะ

 

เรื่องที่น้องไข่... นำเสนออาจเป็นไปได้ เมื่อ10ปีที่แล้ว ชายหาดที่ชะอำน้ำทะเลขึ้นสูงสุดห่างจากฟุตบาทถนนประมาณ 50 เมตร หลังจากเกิดคลื่นสึนามิ น้ำทะเลขึ้นสูงสุดห่างจากฟุตบาทถนน 3-5เมตรเอง แต่ก็น่าเที่ยวเหมือนเดิม กระบี่ฟื้นแล้วนะ สงกรานต์นี้เชิยชวนสมาชิกมาเที่ยวกระบี่นะครับ สถานที่พัก/สถานที่ท่องเที่ยว ค่าใช้จ่ายถูกลงกว่าเดิมมาก

 

อืม....แล้วจังหวัดอื่นล่ะคะ

 

คราวนี้จะได้มีทะเลกรุงเทพของจริงๆอยู่หน้าบ้านเราแล้ว

 

xx

 

มีปั้มกระทู้ต่อเนื่องด้วยเหรอครับ น่าจะพิมพ์อะไรหน่อยนะครับ มาแค่ XX เอง

 

ขอบคุณ คุณ xxครับ ที่ขุดมาให้อ่าน กั่กๆๆ

 

ไม่เห็น รัฐ จะพูดอะไรเลย หรือว่าไม่สนใจ หรือ เป็นความลับ