คำถามเกี่ยวกับการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย Toutou, 11 เมษายน 2005.

  1. Toutou

    Toutou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2005
    โพสต์:
    1,455
    ค่าพลัง:
    +8,107
    ขอท่านผู้รู้ไขข้อสงสัยด้วยค่ะ...

    เราเคยเรียนมาว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้เกี่ยวกับอริยสัจมีองค์สี่ อันได้แก่ทุกข์ สมุทัย นิโรจน์ แล้วก็มรรค

    คำถามที่หนึ่ง พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้เป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยเรื่องอริยะสัจสี่ แล้วพระอรหันองค์อื่นๆตรัสรู้เรื่องอะไรมั่งคะ? (ถ้าการบรรลุธรรมของอรหันต์องค์อื่นๆเรียกว่าตรัสรู้เหมือนกัน)

    แล้วมีรายละเอียดว่าพระองค์ท่านทรงตรัสรู้ในตอนเช้าตรู่ขณะออกจากฌานในท่าไสยยาสน์ เคยอ่านมา (จากเว็บนี้แหละ) ว่า การเข้าถึงนิพพานมีสองแบบ แบบที่ยังอยู่ในขันธ์ แล้วก็แบบที่ละขันธ์ห้าไปแล้วเรียกว่าดับขันธ์ปรินิพพาน

    คำถามที่สอง ในขณะที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้เรื่องอริยสัจสี่ ท่านได้เข้าถึงนิพพานธาตุแบบยังมีขันธ์ห้า ไปพร้อมๆกันหรือไม่ หรือท่านได้เคยเข้าถึงนิพพานธาตุมาก่อนจะตรัสรู้คะ?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 เมษายน 2005
  2. Toutou

    Toutou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2005
    โพสต์:
    1,455
    ค่าพลัง:
    +8,107
    ถ้าผู้น้อยใช้คำศัพท์ผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
     
  3. thanan

    thanan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,666
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +5,210
    ผมขอตอบคำถามให้เท่าที่ผมรู้นะ

    พระอรหันต์ท่านบรรลุธรรมด้วยอริสัจ 4 เช่นกัน ผู้ที่จะบรรลุธรรมได้ ต้องเห็นทุกข์ก่อน ถ้าไม่เห็นทุกข์ก่อน ก็จะไม่หาทางดับทุกข์ ก็นั่งสุขตามประสาคนไม่รู้ไปวัน ๆ ก็ต่อเมื่อทุกข์ เห็นทุกข์แล้ว แล้วไม่อยากมาจมอยู่ในกองทุกข์อีก คนอื่นไม่เห็น แต่เราเห็น คนอื่นนั่งหัวเราะไปว้น ๆ แต่เราหาทางดับทุกข์ และทุกข์ดับได้ด้วยมรรคมีองค์ 8 คือ เดินทางสายกลาง ปฏิบัติตามทางสายกลาง ไม่ปฏิบัติตึงจนเกินไป หรือหย่อนจนเกินไป

    ส่วนการนิพพานนั้นมีสองแบบ คือ นิพพานดิบกับนิพพานสุก นิพพานดิบ คือ สามารถตัดกิเลสได้หมด เป็นพระอรหันต์ในขณะที่ยังมีกายสังขารอยู่ ส่วนนิพพานสุก คือ ได้เข้าสู่พระนิพพานแล้ว ละกายสังขารแล้ว ไม่กลับมาเกิดอีก สิ้นภพ สิ้นชาติ สิ้นความแก่ ความเจ็บ ความตาย
     
  4. Catwater

    Catwater เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2005
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +142
    อืมมม... ไม่นะ พระพุทธเจ้าแต่ละองค์จะตรัสรู้คนละเรื่องที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งบางครั้งพระพุทธเจ้าเมื่อตรัสรู้ไปแล้ว แต่ดันไปขาดความรู้ไปบางเรื่อง จะทำให้พระพุทธเจ้าออกสอนไม่ได้ ( เนื่องจากเมื่อขาดความรู้ไปบางเรื่อง ถ้าคนถามเรื่องนั้นพอดีแล้วพระพุทธเจ้าตอบไม่ได้ คนก็จะไม่เชื่อถือ ) ดังนั้นพระพุทธเจ้าแบบนี้ ( ที่รู้ไม่ครบทุกเรื่อง ) จะไม่ออกประกาศศาสนา ( เป็นปัจเจกพุทธเจ้า ) ซึ่งแต่ละองค์จะตรัสรู้ในเรื่องที่ต่างกัน เพราะบำเพ็ญบารมีมาต่างกันบางองค์ตรัสรู้เรื่องอะไรก็ไม่รู้ ฟังๆดูไร้สาระมาก พระพุทธเจ้าประเภทนี้จึงจะไม่ออกสอน

    แต่พระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้แล้วรู้ครบทุกเรื่อง จะมีศักยภาพที่จะประกาศศาสนาได้ จึงจะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งในปัจจุบันมีอยู่เพียงองค์เดียวเท่านั้น ( พระพุทธเจ้ามีอุจอยู่ 8 ตัว ถ้าองค์ไหนมีอุจอาทิตย์ ก็จะได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ) แต่พระอรหันต์นั้นไม่ได้ตรัสรู้ การบรรลุอรหันต์นั้น ไม่ใช่การรู้แจ้งเหมือนการตรัสรู้ ความรู้ของพระอรหันต์กับพระพุทธเจ้าจึงเทียบกันไม่ได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่แน่นอนอยู่แล้ว จะให้คนที่แค่พระพุทธเจ้ามาสอนๆอะไรนิดๆหน่อยๆ จะได้อะไรที่เทียบเท่ากับพระพุทธเจ้าที่ต้องสร้างบุญสร้างบารมีมาตั้ง 10 ชาติก็คงเป็นไปไม่ได้อ่ะนะ
     
  5. Toutou

    Toutou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2005
    โพสต์:
    1,455
    ค่าพลัง:
    +8,107
    ขอบคุณคุณ Thanan และคุณ Catwater มากๆสำหรับคำตอบค่ะ

    ที่ดิฉันสงสัยคือว่า พระพุทธองค์ทรงเข้าถึงนิพพานก่อนตรัสรู้ หรือว่าตรัสรู้และเข้าถึงนิพพานพร้อมๆกันคะ???
     
  6. Catwater

    Catwater เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2005
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +142
    อืมมม... ก็ต้องตรัสรู้ก่อนแล้วค่อยปรินิพานสิฟะ :( ( แต่ถ้าหมายถึงความสุขที่แท้จริงล่ะก็ จะได้พร้อมๆกัน ) คือสภาพที่ดีที่เป็นที่ต้องการเป็นที่ปราถนาในการบรรลุโสดาบัน คือความสุขที่แท้อ่ะนะ ไม่ใช่นิพพานหรอก สภาพที่พระพุทธเจ้าจะได้รับเมื่อตรัสรู้แบบคร่าวๆก็ประมาณนี้คือ
    1. ปัญญาสูงขึ้นระดับเข้าใจความเป็นไปในทุกสิ่งของจักรวาล ( เป็นผู้รู้ )
    2. รูปร่างงดงามและมีพละกำลังมาก ( ลักษณะมหาบุรุษ )
    3. ได้รับความสุขที่แท้จริง ( ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของพระพุทธเจ้า ปัญญาหรือกำลังสองอย่างแรกนั้นทำกรรมแบบอื่นก็ได้ แต่ความสุขที่แท้จริงนี้ต้องตรัสรู้เท่านั้นจึงจะได้ ) แต่พระอรหันต์เมื่อบรรลุอรหันต์แล้วก็จะได้รับความสุขที่แท้จริงเหมือนกัน
    4. ได้รับการคุ้มกันอย่างแน่นหนาจากพลังจักรวาลอันยิ่งใหญ่ ( ฆ่าไม่ได้ ทำร้ายไม่ได้ ป่วยไม่ได้ ประสพอุบัติเหตุไม่ได้ วิธีตายของพระพุทธเจ้ามีแบบเดียวเท่านั้นคือแก่ตาย ตายแบบอื่นไม่ได้ )
    ซึ่งจะเห็นได้ว่า อนันตริยกรรมมี 4 ประการ หนึ่งในนั้นคือ " ฆ่าพระอริยะ " แต่ไม่มีบาปที่ว่า " ฆ่าพระพุทธเจ้า " อยู่ในอนันตริยกรรมเลย บาปที่กระทำโดยการทำร้ายพระพุทธเจ้านั้นมีเพียงแค่ " ทำให้พระพุทธเจ้าห้อเลือด " เท่านั้น ซึ่งเป็นที่น่าแปลกใจว่า บาปที่แรงกว่า " ทำให้พระพุทธเจ้าห้อเลือด " นั้น เหตุใดจึงไม่มีปรากฏในอนันตริยกรรม
    (b-ng)
     
  7. Toutou

    Toutou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2005
    โพสต์:
    1,455
    ค่าพลัง:
    +8,107
    ดับขันธ์ปรินิพานนี่มาหลังสุดอยู่แล้วค่ะ

    ลองคิดทบทวนอีกครั้งนะ...

    ลอกมาจากลิ้งก์นี้นะคะ http://www.palungjit.org/board/showthread.php?s=&threadid=1299

    ****************************************************
    "....ดังนั้นพระนิพพานองค์พระศาสดาจึงแบ่งแยกไว้มี 2 ชนิด คือ

    1) สอุปาทิเสสนิพพาน คือ จิตดับจากกิเลส ตัณหา อุปาทาน อวิชชา อกุศลกรรม แต่ยังมีกายหยาบ คือ ขันธ์ 5 ของคน ขันธ์ทิพย์ของเทวดาพรหมอยู่ คือ ยังไม่ตายแต่จิต เป็นจิตของพระอรหันต์ ขีณาสพผู้ห่างจากกิเลสเครื่องเศร้าหมอง ยังรู้อาการเจ็บปวดของกายครบถ้วน

    2) อนุปาทิเสสนิพพาน กายหยาบขันธ์ 5 ตาย ดับสูญสลายจากกายสัตว์นรก กายมนุษย์ กายเทพ กายพรหม แต่จิตบริสุทธิ์ ไม่ดับสลาย ยังอยู่มีความสุขตลอดกาล ในแดนอมตะทิพย์นิพพาน เป็นนิพพานกาย-ธรรมกาย"
    ****************************************************

    สอุปาทิเสสนิพพาน กับตรัสรู้นี่มาพร้อมกันหรือปล่าวคะ? เคยดูในหนัง Little Bouddha ที่คีนู รีฟเล่น ในฉากตรัสรู้ พระพุทธองค์ต้องทรงเผชิญกับมารต่างๆ โลภ โกรธ หลง กิเลส ตัณหา แต่ก็ทรงเอาชนะได้หมด ท้ายสุดคือตัดจากความเป็นตัวตนก่อนจะสำเร็จเป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า (ในหนังไม่ได้พูดถึงอริยสัจสี่นะ แต่ผู้กำกับอาจจะตีความผิดก็ได้...)

    ถ้าหากพระอรหันต์ทุกองค์เมื่อตายแล้วจะไปนิพพาน และถ้าทั้ง"สอุปาทิเสสนิพพาน" และ "อุปาทิเสสนิพพาน" หมายถึงการจิตดับจากกิเลส ตัณหา อุปาทาน อวิชชา อกุศลกรรม ทั้งๆที่ยังมีขันธ์ห้า (ยังมีชีวิตอยู่) หรือไม่มีก็ได้ (เช่นไปเกิดเป็นพรหมแล้วค่อยไปนิพพาน) ก็น่าจะอนุมานได้ว่าพระอรหันต์ทุกองค์บรรลุธรรมเรื่องเดียวกัน

    ส่วนการตรัสรู้ ในภาษาไทยมีสำนวนว่า "ก็แล้วใครจะไปตรัสรู้ล่ะ" หมายความว่าใครจะไปรู้เรื่องทั้งหมดได้เองโดยไม่มีใครบอก ฉะนั้น "ตรัสรู้" น่าจะเป็นคำที่ใช้สำหรับพระพุทธเจ้าเท่านั้น เพราะท่านทรงรู้เรื่องอริยสัจสี่ได้ด้วยปัญญาของท่านเองโดยไม่มีใครบอก แต่พระอรหันต์ได้รับการสั่งสอนจากพระพุทธองค์ หรือปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอน จึงบรรลุธรรมได้

    สรุป

    สอุปาทิเสสนิพพาน = บรรลุธรรมแบบมีขันธ์ห้า (พระอรหันต์, พระพุทธเจ้า)
    อุปาทิเสสนิพพาน = ดับขันธ์ปรินิพพาน (พระอรหันต์, พระพุทธเจ้า)
    ตรัสรู้ = รู้เองในเรื่องอริยสัจสี่ หรือเรื่องอื่นๆเพื่อสั่งสอนเวไนยสัตว์หรือไม่สั่งสอนก็ได้ (พระพุทธเจ้าเท่านั้น)

    ประเด็นคือว่าพระพุทธเจ้าคงจะทรงตรัสรู้พร้อมกับบรรลุสอุปาทิเสสนิพพาน พร้อมกันอะนะ ในขณะที่พระอรหันต์ทั่วไปบรรลุสอุปาทิเสสนิพพาน หรืออุปาทิเสสนิพานแต่ไม่ได้ตรัสรู้

    หนูว่างี้นะ คนอื่นว่าไงคะ? ช่วยกันคิดหน่อย

    ถามอะไรไม่รู้เรา...เฮ้อ ยากจัง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 เมษายน 2005
  8. ดาวประกาย

    ดาวประกาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    132
    ค่าพลัง:
    +216
    จริงด้วยคำถามยากจริงๆ คงต้องให้ผู้ที่มีความสามารถถอดกายทิพย์ ตั้งคำถาม
    เพื่อหาคำตอบแล้วล่ะงานนี้ แต่ขอตัวก่อนนะคะ เพราะบารมียังอ่อนมั่กๆเลยค่ะ
     
  9. Adisak

    Adisak บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    ถูกต้องนะครับ.. ตรัสรู้ คือรู้เอาเองว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ถ้ามีคนแนะนำสั่งสอนแล้วรู้ก็ไม่ใช้คำว่าตรัสรู้ นะคราบ..
     
  10. Karz

    Karz Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 เมษายน 2005
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +96
    คำถามยากครับ เป็นคำถามเกี่ยวกับจิต

    จะลองตอบครับ (ว่าจะขอตัวช่วย เปลี่ยนคำถามซะแล้ว)

    ตอบว่า เข้าถึงนิพพานธาตุก่อนตรัสรู้ครับ

    พระพุทธเจ้ากับพุทธสาวกตรัสรู้อริยสัจเหมือนกันครับ คือหลังจากสมาธิเข้าถึงระดับวิญญาณนัญจายตนะแล้ว ทรงตัวอยู่ได้ดีแล้ว ก้อจะเข้าสู่สัญญาเวทยิตะนิโรท (จริงๆแล้วขั้นต่อจากวิญญาณนัญจายตนะคืออากิญกัญญายตนะและเนวสัญญานาสัญญายตนะ - ตรงสัญญาเวทยิตะนิโรทนี้ผมไม่ทราบเป็นส่วนไหนในการไต่ระดับสมาธิเหมือนกัน เพราะเท่าที่ทราบมาคือเหมือนกับว่าจิตมันจะลอยไปสะสมพลังงานในขั้นนี้เอง) สะสมพลังงานดีแล้ว ดวงจิตจะเปล่งประกายสว่างไสวไปทั่วจักรวาล ตอนนี้ความรู้ต่างๆจะพรั่งพรูออกมา จิตตอนนี้จะรับรู้เพียงอย่างเดียว รับรู้อย่างไม่มีภาษา เป็นความรู้ล้วนๆ ความจริงต่างๆ เป็นความรู้ในขั้นนิพพานธาตุ เป็นเรื่องของสมถะล้วนๆ จึงยังไม่ตรัสรู้ครับ หลังจากที่สะสมความรู้ดีแล้ว จิตจะถอนออกจากสัญญาเวทยิตนิโรท จากนี้ถ้าสมาธิลดระดับลงมาถึงอุปจารสมาธิ จิตจะกลับมีความคิดได้เหมือนเดิม ท่านจะเริ่มพิจารณาความรู้ที่ได้เมื่อกี๊ครับ คิดทบทวนตามรู้จิตไปเรื่อยๆ จนจิตที่พิจารณานั้นรวมลงเข้าสู่อริยมรรค ไต่ระดับขึ้นอัปนาสมาธิกลายเป็นวิปัสนา สำเร็จอรหันต์เป็นสอุปาทิเสสนิพพานครับ

    คือจิตดับจริงจากกิเลสทั้งหลาย (สอุปาทิเสสนิพพาน) ภายหลังจากการทำวิปัสนาแล้ว
    วิปัสนาที่ได้ มาจากสมถะที่จิตเพิ่งเข้าถึงนิพพานธาตุในสัญญาเวทยิตนิโรทครับ
     
  11. Toutou

    Toutou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2005
    โพสต์:
    1,455
    ค่าพลัง:
    +8,107
    ขอบคุณคุณ Karz มากค่ะ ;>

    คำตอบของคุณมีศัพท์ยากๆทั้งนั้นเลยค่ะ :p

    สรุปคือว่า

    1.พระพุทธองค์ทรงเข้าถึงนิพพานธาตุก่อน

    2.สะสมพลังงานและองค์ความรู้ไว้ระดับหนึ่ง

    3.ถอยออกมาเจริญวิปัสสนา พิจารณาองค์ความรู้นั้นด้วยปัญญา

    4.ออกจากฌาณตอนเช้าตรู่ ล้มกายลงนอนแล้วทรงตรัสรู้ด้วยเรื่องอริยสัจสี่

    ถูกต้องไหมคะ???

    หนูถามด้วยความสงสัย หากมีข้อผิดพลาดประการใด ขอขมาองค์พระรัตนตรัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
     
  12. Karz

    Karz Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 เมษายน 2005
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +96
    อืมม... ข้อสี่นี่ผมไม่คิดว่าท่านตรัสรู้ด้วยไสยยาสน์หรอกครับ

    เพราะทราบมาว่าท่านตั้งจิตแน่วแน่ตอนรับหญ้าคาแปดกำ (เปรียบได้กับโลกธรรมแปดที่สาวกทั้งหลายควรนั่งทับมันไว้) มารองนั่ง ว่าหากยังไม่บรรลุอภิเสกสัมมาสัมโพธิญาณก็จะไม่ยอมลุกจากที่ตรงนี้ ผมจึงค่อนข้างมั่นใจว่าท่านคงไม่ลุกมาเปลี่ยนอริยาบทในขณะกำลังบำเพ็ญเพียรหรอกครับ (ท่านบรรลุญาณหลายอย่างในการบำเพ็ญเพียรในคืนนั้น - ซึ่งขณะที่การบำเพ็ญกำลังก้าวหน้าอยู่ คงไม่อยากจะเปลี่ยนอริยาบท) และทราบมาอีกว่า หลังจากบรรลุอภิเสกสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ท่านยังอยู่ที่โคนต้นโพธิ์อีกหลายวัน (โทษทีครับ จำไม่ได้ว่ากี่วัน) เพื่อพิจารณาทบทวนธรรมะที่พระองค์ทรงตรัสรู้ได้ครับ (ในตอนนี้เองที่ธรรมะที่พระองค์ทรงพิจารณาแตกออกไปถึงแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์) ชึ่งในตอนนี้เองครับที่หลังจากตรัสรู้แล้ว ท่านอาจจะเปลี่ยนอริยาบทจากขัดสมาธิมาเป็นไสยยาสน์

    เป็นที่รู้กันในหมู่นักปฏิบัติว่าหากทำสมาธิถึงอัปนาสมาธิเป็นสมถะได้แล้ว เมื่อจิตถอนออกมาจากสมถะแล้ว จะทำวิปัสนาต่อทันที จนบรรลุธรรมอะไรซักอย่างเป็นลำดับๆไป (ขัดเกลาจิตใจไปเรื่อยๆ เช่นเรื่อง ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง หรือถ้าจะให้ละเอียดก้อเพิ่ม เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ ผังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า เยื่อในสมอง น้ำดี น้ำเสลด น้ำเหลือง เลือด เหงื่อ น้ำมันข้น น้ำตา น้ำมันเหลว น้ำลาย น้ำมูก น้ำไขข้อ น้ำมูตร คือพิจารณาอาการ 32 ถ้าจะต่อไปอีกก้อให้รวมอวัยวะต่างๆลงในธาตุสี่ อวัยวะที่มีความแข็งก็เป็นดิน ที่เหลวก็เป็นน้ำ ระบบความดันก็เป็นลม ระบบเผาผลาญก็เป็นไฟ ฯลฯ) คงไม่เปลี่ยนอริยาบทแล้วค่อยมาเริ่มต้นใหม่ครับ



    ที่ถูกต้องควรเป็นเช่นนี้ครับ

    1. พระพุทธองค์ทรงเข้าถึงนิโรทสมาบัติด้วยสมถะก่อน เพื่อสะสมพลังงาน (จิตสะสมของมันเอง)

    2. เมื่อสะสมพลังงานจนสูงสุดแล้วจึงเข้าถึงนิพพานธาตุ เพื่อสะสมองค์ความรู้ (จิตรู้อยู่อย่างเดียวโดยไม่ซาบซึ้ง เพราะไม่มีความคิด)

    3. เมื่อสะสมองค์ความรู้จนสูงสุดแล้ว จึงถอนออกจากสมถะ เพื่อมาทำวิปัสนา (ตรงนี้จิตถอนของมันเอง)

    4. เจริญวิปัสนาจนเกิดปัญญา เมื่อปัญญาเกิดแล้ว จึงตรัสรู้อริยสัจจนสามารถตัดกิเลสได้หมด บรรลุอภิเสกสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นสอุปาทิเสสนิพพาน
     
  13. Karz

    Karz Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 เมษายน 2005
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +96
    คีย์ผิด สะกดผิด อย่าว่ากันนะครับ ^^'
     
  14. Toutou

    Toutou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2005
    โพสต์:
    1,455
    ค่าพลัง:
    +8,107
    โอ๊ะ โอ๊ะ โอ๊ะ!!!

    ขอบคุณสำหรับคำตอบอย่างลึกซึ้งของคุณ Karz มากค่ะ หนูจะพยายามศึกษาทำความเข้าใจกับศัพท์ทางพุทธศาสนาที่คุณ Karz บรรยายไว้ ณ ที่นี้ค่ะ ;> เป็นคำตอบที่ลึกซึ้งจริงๆ

    ที่นี้เริ่มมีประเด็นให้ถามต่ออีกแล้วค่ะ!!!

    ตามขั้นตอนที่คุณเล่ามานี่ พระพุทธองค์ทรง เข้าถึงนิพพานธาตุก่อนจะเจริญวิปัสสนาแล้วค่อยตรัสรู้ บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ ตัดกิเลสได้หมดเรียกว่าสอุปาทิเสสนิพพาน!!!

    นิพพานธาตุ >> วิปัสสนา >> (ตรัสรู้ =สอุปทาทิเสสนิพพาน)

    อันนี้หมายความว่าผู้ที่เข้าถึงนิพพานธาตุยังไม่เรียกว่า สอุปาทิเสสนิพพานอีกหรือคะ? ยังมีขั้นตอนเจริญวิปัสนาต่ออีก เคยอ่านจากหนังสือของหลวงพ่อพุทธมานะคะ ว่าความรู้ที่ได้จากการเจริญกรรมฐาน เป็นความรู้ขั้นโลกุตตระ เป็นการรับรู้ของจิตโดยตรง ไม่มีคำพูดใดในภาษามนุษย์อธิบายได้ จึงต้องเจริญวิปัสสนาเพื่อให้ทราบว่าสิ่งที่พบมาเรียกว่าอย่างนั้นอย่างนี่

    แสดงว่าผู้ปฏิบัติธรรมขั้นสูงสามารถสัมผัสนิพพานธาตุได้โดยยังไม่ต้อง ตัดกิเลสหมด เข้าสอุปาทิเสสนิพพานหรือคะ?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 เมษายน 2005
  15. R2D2

    R2D2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    144
    ค่าพลัง:
    +133
    พระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร
    คำตอบจากพระไตรปิฎกระบุไว้ 2 อย่าง คือ อริยสัจ4 (ในพระสูตร) และ ปฏิจจสมุปบาท (ในพระวินัย) ซึ่งหลักธรรมบรรยายต่างกันแต่จุดมุ่งหมายไปในทางเดียวกันคือ กำจัดอสาวกิเลส3 (บรรลุอาสวักขยญาณ)

    อาสวกิเลสตัวสำคัญที่สุด คือ อวิชชาสวะ ซึ่งเป็นความไม่รู้ ความหลงผิด ทำให้เรายังคงวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏ
     
  16. R2D2

    R2D2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    144
    ค่าพลัง:
    +133
    เป็นฉากที่แสดงว่าท่านกำลังรู้เท่าทันอาสวะกิเลสครับ เริ่มจาก กามาสวะ(กามกิเลส) ต่อมาคือ ภวาสวะ (ตัดความเป็นตัวเป็นตน) สุดท้ายก็อวิชชาสวะ แล้วบรรลุสู่สอุปาทิเสสนิพพาน (เนื่องด้วยยังมีอุปาทิ มีขันธุ์เหลืออยู่)

    เมื่อท่านดับขันธ์ปรินิพพาน นั่นแล คือ บรรลุสู่อนุปาทิเสสนิพพาน


    พระอรหันต์ทุกรูปอาจมีความรู้ทางธรรมไม่เท่ากัน แต่มีเรื่องเดียวที่ต้องรู้เหมือนกันคือ อาสวักขยญาณ เพื่อตัดอวิชชา เข้าสู่พระนิพพานครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 เมษายน 2005
  17. Karz

    Karz Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 เมษายน 2005
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +96
    :D

    ถ้าประเด็นของคุณอยู่ตรงคำว่า สอุปาทิเสสนิพพาน ขั้นตอนที่เล่าไปทั้งหมดนั่นไม่ใช่ครับ
    เพียงเข้าถึงนิพพานธาตุไม่ได้แปลว่าท่านสำเร็จอรหันต์

    มันก้อเหมือนกับคนที่รู้ว่าวันนี้เราอกหักและเจ็บปวดมาก แต่ถ้าเราทำใจได้ อีกไม่นานก็จะไม่เจ็บปวด

    การเข้าถึงนิพพานธาตุในสมถะก็เหมือนกันครับ เป็นการทราบว่าลักษณะการหลุดพ้นเป็นอย่างไร แต่ยังไม่หลุดพ้นจริงเพราะจิตที่ทราบนั้นยังมีอาสวะอยู่ (เพราะจิตเข้าไปรู้เฉยๆ ยังไม่มีความคิด) ดังนั้นยังไม่เป็นสอุปาทิเสสนิพพาน เพียงแต่รู้ว่ามันเป็นยังไง ต่อเมื่อลงมือตัดอาสวะแล้วจริงๆ (ด้วยวิปัสสนา) จนกระทั่งเกิดปัญญา สามารถกำจัดอาสวะได้หมด บรรลุอรหันต์ แล้วยังไม่ตาย นั่นจึงเรียกว่าสอุปาทิเสสนิพพานครับ

    สอุปาทิเสสนิพพาน ไม่ใช่ลักษณะของการเข้าถึงนิพพาน เป็นเพียงคำที่ใช้บอกว่า พระสงฆ์ท่านนั้นเป็นอรหันต์แล้วเท่านั้นครับ เพียงแต่ท่านยังไม่ตาย ท่านนิพพานทางจิตไปแล้ว คงเหลือแต่เพียงนิพพานทางกายเท่านั้น

    ที่เล่าไปทั้งหมดนั่นก็เพียงอธิบายขั้นตอนการบรรลุของพระพุทธเจ้าครับ ;)

    หากเราปฏิบัติธรรมจนจิตเบาบางจากอาสวะได้มากๆก้ออาจเข้าถึงนิพพานธาตุได้ครับ
    แหม.. ผมไม่ค่อยอยากใช้คำนี้เลย คือเราจะรู้จะเข้าใจในสภาวะธรรมที่ละเอียดอ่อนจนเป็นประโยชน์ต่อการทำวิปัสสนามากกว่าครับ อย่างในพระสูตรบางเรื่อง พระสาวกท่านบำเพ็ญเพียรมาตั้งนาน บทจะสำเร็จ ท่านไปตักน้ำล้างเท้าสามครั้ง ครั้งแรกน้ำไหลออกไปไม่ไกล ครั้งที่สองไกลหน่อย ครั้งที่สามไกลที่สุด เพียงเท่านี้ท่านคิดต่ออีกนิดเดียว เป็นวิปัสสนา ท่านก็บรรลุอรหันต์ทันทีครับ ประเด็นคือ พระสาวกเหล่านั้น ในขณะบำเพ็ญเพียร ท่านอาจเคยเข้าถึงสภาวะธรรมที่ละเอียดอ่อนนั้น (นิพพานธาตุ) มาก่อน แต่ขณะทำวิปัสสนา ยังไม่เกิดปัญญาพอที่จะตัดอาสวะได้หมด

    หากจะถามเรื่องลักษณะการเข้าถึงนิพพานธาตุจริงๆผมคงต้องขอบายครับ เพราะเกินวิสัยที่จะสามารถตอบได้เพราะจิตยังเข้าไม่ถึงเหมือนกัน คำตอบต่างๆที่เขียนไปเพราะได้ความรู้มาแบบนั้น (เป็นความรู้ที่ได้จากหลวงพ่อพุธครับ ;> หลวงพ่อท่านพูดถูกแล้วครับ แล้ววิปัสสนาเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดปัญญา สิ่งที่เราต้องการจากกระบวนการที่ผ่านมาทั้งหมดคือปัญญานี่แหล่ะครับ ที่จะนำมากำจัดอาสวะ)

    เอ่อ... เรื่องปฏิจจสมุปบาทนั้น พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ตรัสรู้ครับ ต้องขออภัยที่แย้งเพราะบังเอิญผมมีหนังสือที่บอกว่าท่านรู้เรื่องนี้ตั้งแต่ตอนยังเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ครับ ท่านตรัสเล่าเรื่องนี้ไว้เองในสูตรที่ ๑๐ แห่งพุทธวรรค อภิสมยสํยุต นิทานวรรคสํยุตต นิกาย ถ้าเป็นฉบับบาลีก็เล่มที่ ๑๖ หน้า ๑๑ หัวข้อที่ ๒๖ ถ้าขี้เกียจค้น ในสูตรนั้น พระองค์ได้เล่าถึงการออกผนวชของพระองค์เองที่ได้ทรงทำความเพียรในระยะหกปีนั้น จนในที่สุดได้คิดออกเรื่องปฏิจจสมุปบาทครับ แต่ผมเองไม่ได้ศึกษาพระวินัย อาจไม่ทราบว่ามีอยู่ในพระวินัยก้อได้ครับ
     
  18. Toutou

    Toutou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2005
    โพสต์:
    1,455
    ค่าพลัง:
    +8,107
    แหะๆๆๆ

    เพิ่งไปอ่านมาค่ะว่าเรื่องที่หนูถามเกี่ยวกับการตรัสรู้ของพระพุทธองค์เค้าเรียกว่าเป็น อจินไตย เป็นสิ่งที่ไม่ควรคิด เด๋วจะฟุ้งซ่านกันไปใหญ่ ขออภัยทุกๆท่านไว้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย อจินไตย ๔ ประการนี้ อันบุคคลไม่ควรคิด
    เมื่อบุคคลคิด พึงเป็นผู้มีส่วนแห่งความเป็นบ้า เดือดร้อน อจินไตย ๔ ประการ
    เป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย พุทธวิสัยของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ๑ ฌานวิสัย
    ของผู้ได้ฌาน ๑ วิบากแห่งกรรม ๑ ความคิดเรื่องโลก ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    อจินไตย ๔ ประการนี้แล ไม่ควรคิด เมื่อบุคคลคิด พึงเป็นผู้มีส่วนแห่งความ
    เป็นบ้า เดือดร้อน ฯ
     
  19. Karz

    Karz Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 เมษายน 2005
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +96
    :D hahaha

    ก้อคิดว่าจะเตือนอยู่เหมือนกันครับ แต่เห็นว่าคำถามน่าสนุกดี ;)
     
  20. ดาวประกาย

    ดาวประกาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    132
    ค่าพลัง:
    +216
    และแล้วขอสรุปด้วยข้อความนี้ค่ะ

    คัดลอกมาจากหนังสือ "หลวงปู่ฝากไว้" ของพระราชวุฒาจารย์ (หลวงปู่ดูลย์ อตุโล)

    ท้ายสุดนี่เองหัวใจของการดับทุกข์ ก็ไม่มีอะไรมากกว่าในข้อที่ว่า "พระพุทธเจ้าพระองค์ไม่ได้เข้าสู่นิพพานในฌาณ สมบัติอะไรที่ไหนหรอก เมื่อพระองค์ออกจากจตุตถฌานแล้ว จิตขันธ์หรือนามขันธ์ก็ดับพร้อมไม่มีอะไรเหลือ นั้นคือ พระองค์ดับเวทนาขันธ์ ในภาวะจิตตื่น หรือวิถีจิต อันเป็นปกติของมนุษย์ ครบพร้อมทั้งสติและสัมปชัญญะ ไม่ถูกภาวะอื่นใด มาครอบงำอำพราง ให้หลงใหลใดๆทั้งสิ้น เป็นภาวะแห่งตนเองอย่างบริบูรณ์ ภาวะอัน นั้นจะเรียกว่า มหาสุญญตาหรือจักวาฬเดิม หรือเรียกว่า พระนิพพาน อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้เราปฏิบัติมาเพื่อ เข้าถึงภาวะอันนั้นเอง"
    สาธุ ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นด้วยเศียรเกล้า
     

แชร์หน้านี้

Loading...