ถาม : เรื่องการฝึกลมปราณ ตอบ : เวลาเราหายใจจะมีพลังขุมหนึ่งวิ่งจากจุดศูนย์ที่สะดือขึ้นมาที่คอหอย แต่เราอย่าให้พลังนั้นขึ้นมา ใช้วิธีกดกำลังนั้นลง พอลงต่ำกว่าจุดศูนย์แล้ว เราต้องทำอาการเหมือนกับการกลั้นปัสสาวะ กำลังขุมนั้นจะวิ่งผ่านสะพานดินไปที่กระดูกสันหลัง วิ่งแนบแนวกระดูกสันหลังเป็น ๒ สาย ถึงท้ายทอย ไปที่ศีรษะ แล้วลงมาทางด้านหน้า ผ่านตา ๒ ข้าง ลงมา แล้วก็รวมกันไปที่คอหอยกลับลงไปที่จุดศูนย์อีกครั้งหนึ่ง พอช่วงหายใจใหม่เราก็ดันลงไปอีก ทำอาการเหมือนเดิม ให้หมุนรอบไปเรื่อย ๆ ถาม : ต้องสัมพันธ์กับลมหายใจไหมคะ ? ตอบ : ไม่ใช่..คนละจังหวะกัน บางคนถ้าหากว่าทำได้นี่เพียงชั่วลมหายใจเดียว ก็สามารถหมุนวนได้ ๒๐ - ๓๐ รอบ อย่าไปเร่ง เราค่อย ๆ ทำไป ชั่วลมหายใจทำได้ครึ่งรอบอะไรเราก็เอาแค่นั้น แต่ให้ซ้อมไว้บ่อย ๆ จากสะดือพอลงต่ำกว่าจุดศูนย์แล้วทำอาการเหมือนเรากลั้นปัสสาวะ จะทำให้กำลังวิ่งผ่านไปที่กระดูกก้นกบด้านหลัง แล้วจะผ่านสันหลังขึ้นมาวิ่งเป็นเส้นคู่ขึ้นมา พอผ่านโหนกแก้มลงมาก็จะเริ่มรวมเป็นสายเดียว กลับลงทางด้านหน้าสู่จุดศูนย์เหมือนเดิม พอเลิกทำ ให้หายใจลึก ๆ ดึงพลังกลับไปรวมที่จุดศูนย์ทุกครั้ง ถาม : (ไม่ได้ยิน) ตอบ : อยู่ที่เราว่าเราปรับเข้าตัวเราได้หรือเปล่า ถ้าปรับเข้ากับตัวเราได้แล้ว เราหมั่นทบทวนฝึกก็จะแข็งแกร่งขึ้นไปเอง สนทนากับพระครูวิลาศกาญจนธรรม (พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ) เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ttp://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=3194&page=6
เยียมยอด มาก ขอ อนูโมทนา ด้วย จ๊ะ อาจ เป็น วิธีแก้ สำหรับคนที่ เกิดแรงตึง ที่หว่างคิ้วหรือ หน้าผาก ที่ไม่ได้ มาจาก การได้ อภิญญา ได้ นะ
เป็นการโคจรวงจรจุลจักรวาลครับ มีอีกวิธีนึงคือแทนที่จะแยกสองสายไหลผ่านโหนกแก้ม ก็ม้วนลิ้นเข้าแตะเพดานปาก แล้วเดินปราณผ่านลิ้น จุดนี้น้ำลายจะออกมามาก แล้วน้ำลายจะหอมๆ ชี่กงสายเต๋าเขาว่าเป็นยาอายุวัฒนะครับ
ตอนเรียนกับเล่าซือเมื่อสิบกว่าปีมาแล้ว ท่านสอนไว้ใกล้เคียงกันกับที่พระอาจารย์เล็กกล่าวไว้ครับ เล่าซือท่านเรียก เซียวจิวที (ถ้าจำไม่ผิด) จุดกำเนิดลมปราณท่านกล่าวจุดใต้สะดือประมาณสองนิ้วมือเรียกว่า ตันเถียน การเดินวงโครจรแบบนี้จะสวนกระแสตามธรรมชาติปกติของคนที่ไม่ได้ฝึก เมื่อฝึกทวนกระแสจะเกิดพลังและการทำให้ชลอความแก่ ตำแหน่งต่างๆ ที่พระอาจารย์เล็กกล่าวไว้ตรงกันครับ ในเบื้องต้นเล่่่าซือสอนการหายใจแบบปฏิภาค คือ หายใจเข้าท้องแฟบ หายใจออกท้องพอง จะตรงกันข้ามกับการหายใจแบบที่ฝึกสมาธิหายใจเข้าท้องพอง หายใจออกท้องยุบ การกำหนดจิตตอนหายใจออกจะดึงปราณหรือกำหนดความรู้สึกจากจมูกลงลูกกระเดือกลงมาที่กลางหน้าอกจนกระทั่งมาสู่จุดใต้สะดือ ซึ่งจะเป็นการเก็บลมปราณเอาไว้และเป็นจังหวะหายใจออกท้องพองออก ลมปราณที่ได้ก็เก็บสะสมตรงนี้ประคองจิตตรงนี้ เมื่อลมปราณสะสมไว้ดีแล้วก็ฝึกแบบเซียวจิวที หรือที่พระอาจารย์เล็กกล่าวไว้จะเป็นการเอื้อต่อกันและกัน อย่างไรก็ตามบางแห่งก็กล่าวถึงจุดตันเถียนบนคือ ระหว่างคิ้ว จุดกลางคือกลางหน้าอกและจุดล่างคือจุดใต้สะดือนี้ จากประสบการณ์ของตนเองวงโครงจรที่กล่าวมาข้างต้นเคยเป็นไปเองคือเดินเองในขณะนอนหลับสนิท. ซึ่งลมปราณโครจรเป็นวงกลมหมุนเร็วหลายรอบ เหนือตัวที่กำลังนอนอยู่ ส่วนตันเถียนบนนั้นซึ่งเป็นจุดที่ตรงกันกับจักระที่6 จุดนี้เป็นตำแหน่งที่เมื่อทำงานแล้วก็หมุนเป็นวงล้อเช่นกัน. จากประสบการณ์จุดนี้รู้สึกได้เมื่อจิตเริ่มเกิดสมาธิ หรือแม้ในยามที่เราใช้ชีวิตประจำวันจุดนี้ก็เกิดไอเย็นๆ เป็นดวงระหว่างคิ้วได้เช่นกัน หรืออาการตึงๆ ก็เป็นได้เช่น ในขณะที่เจริญสติอยู่ ภาวะที่กำหนดสติตามรู้ความคิด ความรู้สึกอยู่ จิตเห็นภาวะเกิดดับภายอยู่ในภายในอยู่อย่างต่อเนื่อง จุดตันเถียนบนนี้ก็หมุนวนเป็นวงล้อเช่นกัน ลมปราณที่จุดนี้ก็ทำงานของมันไปด้วยพร้อมๆ กับการอยู่ในสภาวะที่กล่าวมา การฝึกแบบนี้มีประโยชน์และเอื้อต่อการปฏิบัติธรรมครับ กล่่าวคือ ผลของการฝึกลมปราณจะส่งผลดีต่อสุขภาพร่างกาย การปรับสมดุลย์ของร่างกาย ลมปราณที่แข็งแกร่งจะเป็นผลดีต่อการทรงสมาธิเมื่อปราณก่อตัวขึ้นในตำแหน่งตันเถียนจะตำแหน่งไหนก็ตาม เราวางจิตหรือกำหนดสติในตรงนั้นได้อย่างชัดเจนอยู่กับกายของเรา ไม่เลื่อนลอยและทรงตัวได้นานครับ เล่าสู่กันฟังครับ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่ผ่านมาครับ
เป็นวิทยาทาน อย่างยิ่งครับ ท่าน Namushakamunibutsu และ ท่าน ชัยวัฒนา ตอนเด็กๆ เคยฝึกลมปราณไทจีฉวน การหายใจแบบที่คุณ ชัยวํฒนาบอกมา เรียกว่า การหายใจแบบทารก (ตำราว่า เด็กทารก แรกเกิด จะ หายใจแบบนั่น เป็นการหายใจแบบบริสุทธิ และ ธรรมชาติที่แท้จริง) พอฝึก ได้สักพัก มีลมวิ่งในตัวเหมือนลมพายุ แรงมากๆ จากนั้น จึงหยุดฝึก เพราะตำราบอกว่า การเดินลมปราณจะต้องมีผู้สอนวิธีการเดินลมอย่างใกล้ชิด สมัยนั้นหาผู้สอน ไม่ได้ เลยหยุดไป เพิ่งมาเจอ จุดการเดิน 7 จุด ลองเดินตามนิดหน่อย ปรากฏว่า สัมผัสได้ทั้ง 7 จุด เลย โดยเฉพาะ หว่างคิ้ว และ กลางกระหม่อม เดวจะลองโคจร ลมปราณ ตามที่ บอกมา สักระยะนึง มีอะไรเพิ่มเติม แนะนำ กันด้วย น้าจ้า
ถ้าจะให้ดีนะครับ คุณควรทำความรู้สึกจักรพินทุที่อยู่ตรงท้ายทอยด้วยนะครับ เวลาเดินพลังไปตามไขสันหลัง เข้าท้ายทอยผ่านกลางสมองไปที่หว่างคิ้ว แล้วจึงพุ่งทะลุกลางกระหม่อม ไปยังจักรที่ลอยอยู่เหนือกระหม่อม เมื่อจิตและพลังทะลุออกกระหม่อมไปสู่จักรเหนือกระหม่อมแล้ว คุณจะรู้สึกถึงความว่างล้ำลึกอย่างบอกไม่ถูกเลยล่ะครับ... ขอสันติจงมีแด่ทุกท่านครับ
ฝึกอะไรก็แล้วแต่ มันก็ต้องมีผิดพลาด หรืออะไรที่น่าหวาดหวั่นบ้างล่ะครับ ^^ ผมเคยเดินลมปราณแล้วคุมไม่อยู่ จนมันซ่านร้อนไปทั้งหลังเลยครับ ทรมานสะใจมากครับ แต่ไม่ต้องกลัวไปครับ ทุกอย่างจะผ่านพ้นไปด้วยอานาปานสติ ฟ้าหลังฝนสดใสเสมอครับ ขอเสริมนะครับ วิชาที่คุณชัยวัฒนากล่าวถึง คือวิชาเสี่ยวโจวเทียน หรือวงจรจักรวาลน้อยนะครับ และแน่นอนว่าเมื่อมันมีวงจรน้อยแล้วก็จะมีวงจรใหญ่ ต้าโจวเทียนคือขั้นพัฒนาของเสี่ยวโจวเทียน ซึ่งต้องผ่านเสี่ยวโจวเทียนก่อน ส่วนรายละเอียดก็ไม่แน่ชัดครับ เพราะผมยังไม่ถึงครับ ๕๕๕๕ ที่รู้ๆมานะครับ คือจากที่โคจรพลังตามเส้นชีพจรสองเส้น คือหน้ากับหลัง ก็จะกลายเป็นโคจรทั่วตัว ทะลวงเส้นชีพจรพิเศษอีกหกเส้นด้วยครับ คงจะวิ่งกันวุ่นเลยทีเดียว แหะๆ
ขอบคุณครับที่ช่วยเสริม กำลังนึกถึงสิบกว่าปีที่ผ่านมาในสมัยเรียนกับเหล่าซือ ตอนนี้ตำราท่านก็เริ่มมีวางขายบ้างแล้ว มีเวปไซท์และเปิดสอนอยู่ด้วย ลองค้นจาก google ใช้คำว่า "ชี่กง" จะพบ วงจรใหญ่ที่ท่านกล่าวมา ถ้าผมไม่จำสับสนหรือผิดถูกอย่างไรชี้แนะด้วยครับ เหล่าซือสอนให้ฝึกในท่ายืนขยับนิ้วทั้งสองข้าง ซึ่งจะเป็นการเดินลมปราณตามเส้นลมปราณสำคัญๆ ของร่างกายโดยเกี่ยวข้องกับอวัยวะภายในสำคัญๆ เช่น หัวใจ ปอด ม้าม ไต. เป็นต้น (ยังมีอีกแต่ลืมแล้ว ท่านใดทราบสงเคราะห์ด้วยครับ). ใช้เวลาฝึกประมาณ เกือบ 30 นาที ผมชอบฝึกท่านี้มาก ได้ประโยชน์มากแก่ร่างกายและยังช่วยขับพิษจากร่างกายด้วย เวลาที่ขยับนิ้วนิ้วนั้นจะกดนิ้วลงทีละนิ้วพร้อมกันทั้งสองข้าง ลมปราณจะเดินไปตามเส้นทางของมันเอง เรากำหนดจิตตามไปด้วย ก็เท่ากับเราฝึกสติในกายของเรา ทั้งนี้ระยะเวลากดนิ้วลงท่านกำหนดให้ด้วยไม่ให้เกินนั้น ผมห่างเหินจากการฝึกท่านี้มานาน คิดว่าคงถึงเวลาได้รื้อฟื้นใหม่ ถามว่าฝึกลมปราณไปทำไม ผมคิดเห็นอย่างนี้ครับว่า อานาปานสติทั้ง 16 ขั้น ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนนั้น คือ วิชาเอก ส่วนวิชาชี่กงหรือการฝึกชี่กงสำหรับผมนั้นคือ วิชาโท วิชาเอกและวิชาโทนั้น ผมเห็นว่าต่างก็เสริมกันและกัน เช่น ชี่กงเป็นผลดีต่อสุขภาพกายและจิตในระดับนึง เมื่อร่างกายแข็งแรงดีก็ปฏิบัติธรรมได้ยาวนานทนทาน สมาธิทรงตัวได้นานและได้พลังภายใน กายทิพย์แข็งแกร่ง (จากประสบการณ์เมื่อฝึกชี่กงใหม่ๆ ลมปราณเดินวงจรเล็ก ขณะนอนหลับสนิท ปราณเดินเป็นวงกลมกลางอากาศ. กายทิพย์ออกจากร่่างตามลมปราณไปควงกลางอากาศด้วย นั่นเป็นช่วงที่ฝึกฝนทุกวันสม่ำเสมอต่อเนื่องจนเกิดผลดังกล่าวมา) บางท่านอาจจะคิดว่า นั่นไม่ใช่ทางหลุดพ้น แต่ลองพิจารก่อนว่า อย่างน้อยผมก็เชื่อในโลกของอีกมิตินึง เชื่อว่าในโลกของจิตวิญญาณ เราตายไปไม่สูญแน่ ครับตรงนี้ผมหมดสงสัยในการเวียนว่ายตายเกิด เทวดา นางฟ้ามีจริง ก็เท่ากับว่าบุญกุศลที่ทำไปนั้นให้ผลจริงดังพระศาสดากล่าวมา คงไม่ต้องกล่าวถึงชั้นพหรม อรูปพรหม และที่ต่ำกว่านั้นลงไปจนถึงนรกอเวจี เท่ากับว่าทำความเห็นให้ตรงให้แจ้งแก่ใจเอง. ตอนนั้นผมไม่ได้ฝึกถอดจิตหรือมโนมยิทธิ แต่เป็นไปเองอันเนื่องมาจากการฝึกชี่กงจนปราณแข็งแรงพอที่จะส่งผลให้ถอดจิตออกไปได้ แต่หลังจากที่ห่างเหินไปนาน สุขภาพร่างกายต่างไปจากเดิมมาก เรื่องถอดจิตคงไม่ต้องกล่าวถึงออกได้ก็บุญแล้ว สิ่งที่กล่าวมาเป็นส่วนของความสัมพันธ์กันระหว่างวิชาเอกและวิชาโท แม้ในขณะกำหนดสติตามลมหายใจเข้าจากปลายจมูกผ่านหน้าอกและสุดที่ท้อง หายใจออกจากท้องขึ้นมาที่กลางอกและสุดที่ปลายจมูก ทำไปๆ ลมปราณก็ก่อตัวที่บริเวณท้อง. บางครั้งระหว่างคิ้ว บางครั้งปราณทะลวงจากบริเวณฝีเย็บพุ่งขึ้นสู่กลางหัวทะลุขึ้นเลยไป อันนี้ก็เป็นผลพลอยได้จากการทำอานาปนสติโดยที่เราไม่ได้คิดว่าลมปราณมันจะเป็นไป มันเหมือนฝึกกำหนดไปได้ทั้งลมหายใจและลมปราณ ผมเชื่อว่าหลายๆ ท่านที่ฝึกอานาปานสติอยู่ก็สามารถฝึกลมปราณไปด้วยได้ การฝึกลมปราณเราเข้าไปปรุงแต่งมันเมื่อเหตุปัจจัยเกิดขึ้นผลตามมาก็เป็นเรื่องของสังขารปรุงแต่งตามเหตุตามปัจจัย บางทีเคยได้ผลแบบนี้น่าชื่นชมมาก (กิเลสตัณหาเต็มๆ) หลงและเพลิดเพลินบันเทิงใจมาก อยากให้เป็นดังเดิมแต่ฝึกเท่าใดก็ไม่ได้ตามเดิมหรือไม่น่าประทับใจตามเดิม ครับก็เป็นอันว่าเป็นทุกข์เต็มๆเลย เห็นอนิจจังเลย ไม่เป็นดังเราต้องการเลย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นครับ ทางสายตรงที่พระพุทธเจ้าทรงสอนนั่นแหละครับตรงแล้วและให้ผลจนหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลายทั้งปวง
ทำสมาธิยังไงก็ต้องสัมผัสพลังปราณครับ ที่เราเรียกว่าอาการปีติ ซาบซ่าน ขนลุกขนพอง ฯลฯ ก็เป็นอาการของปราณ แต่ต่างกันที่คำ โดยไปเรียกว่าปีติ ทีนี้จะนำมาเป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติได้ไหม ก็คือได้แน่นอน ตามที่คุณชัยวัฒนากล่าวไว้ข้างต้น และขอเสริมอีกครับ ไอ้เรื่องของปราณเนี่ย จะกำหนดรู้ด้วยสติตามเป็นจริงก็ได้ครับ ถ้ากำหนดเป็นเวทนานุปัสสนา มันก็คือปีติ ถ้าเป็นกายานุปัสสนา มันก็คือธาตุมนสิการ ฝึกปราณแล้วจะแยกธาตุได้ครับ รับรู้ข้างในร่างกายได้ ก็เป็นกายานุปัสสนาอย่างละเอียด มันสำคัญที่อย่าตั้งกำแพงอคติครับ อะไรๆก็ดึงเข้าสติปัฏฐานได้หมดล่ะครับ เว้นแต่จะตั้งแง่เท่านั้นล่ะครับ
ยังไงผมรบกวนขอคำแนะนำด้วยนะครับ.จากคุณ Namushakamunibutsu หรือ คุณ ชัยวัฒนา ก็ได้ครับ.คือผมไม่ทราบว่าเรียกว่าอะไรและทำถูกหรือเปล่าครับ ที่ลองทำแบ่งได้เป็น ๒ จังหวะอย่างนี้นะครับ.. จังหวะที่ ๑ คือรู้เพียงว่า..พอหายใจเข้าทางจมูกทองจะยุบ.มันจะมีลมที่ขึ้นมาสะดือแต่ว่าหยุดที่คอหอย ส่วนลมที่หายใจผ่านจมูกก็จะวิ่งผ่านระหว่างคิ้วขึ้นไปตรงกลางกระหม่อมเลยไม่เข้ามาคอหอย ในจังเดียวกันก็กลั้นหายใจและก็กดลมที่อยู่ตรงกลางกระหม่อมให้วิ่งอ้อม ไปด้านหลังผ่านไขสันหลังไปถึงตรงก้นกบหรือร่องก้น จะรู้สึกอุ่นๆบริเวณร่องก้นได้. จังหวะนี้จะรู้สึกมีลมค้างตรงก้นกบอยู่เล็กน้อยและพอถึงต่ำแหน่งนี้ ก็หายใจออกผ่านทางจมูกและท้องจะพอง. เนื่องจากลมที่อยู่ตรงคอหอยกลับลงไป. และจังหวะ ๒ คือ หายใจเข้าท้องยุบแต่ดึง ดึงลมจากการหายใจเข้าและลมที่มาจากสะดือไปเก็บไว้ที่คอหอย กลั้นหายใจและดึงลมที่ค้างจากก้นกบ ให้ย้อนผ่านหลังขึ้นมากลางกระหม่อม.ผ่านหว่างคิ้วลงมา และจังหวะลมออกจมูกก็ปล่อย ลมที่เก็บไว้ที่คอหอยให้ออกไปพร้อมกับลมที่มาจากก้นกบ..และท้องพองเนื่องจากลมที่ค้างอยู่ที่คอหอยส่วนหนึ่งกลับลงไป คือผมสงสัยว่าทำไมไม่มีดันลมจากคอหอยผ่านสะดือเหมือนๆที่อ่านมาก็เลยงงๆ หรือว่าต้องไปเพิ่มเติมอะไรยัง.รบกวนแนะนำด้วยนะครับ
ทำไมคุณถึงหมุนไปทางนั้นเหรอครับ ที่ผมรู้เสี่ยวโจวเทียนจะดันลมจากตันเถียนทะลวงเชื่อมเส้นชีพจรตรงก้นกบ ไหลไปตามสันหลัง(เส้นตู๋ม่าย) ผ่านท้ายทอยไปกระหม่อม แล้วไหลลงด้านหน้า(เส้นเยิ่นม่าย) กลับไปตันเถียนนะครับ ที่เป็นวงจรทวนกระแส ก็เพราะว่าเส้นตู๋เป็นหยาง เส้นเยิ่นเป็นหยิน ปกติหยินมาจากดินจะไหลขึ้น เส้นตู๋เป็นหยาง ปกติหยางมาจากฟ้าจะไหลลง แต่วงจรแบบนี้จะทวนกระแส หลอมรวมแปรเปลี่ยนพลังเพศให้เป็นปราณ แปรเปลี่ยนปราณให้เป็นพลังจิต จะเป็นรูปแบบนี้ครับ เป็นปริศนากังหันน้ำของชาวเต๋า
ผมก็ไม่ทราบนะครับ.มันเป็นเองแบบธรรมชาติ.ผมพึ่งทำได้ประมาณวันนี้ก็ครบสัปดาห์พอดี.และส่วนตัวก็ค่อยรู้เรื่องเท่าไร คือลองทำดูเฉยๆ.สมมุติว่าพูดง่ายๆ ณ ครับ กรณีผมต้องดันลมที่ขึ้นมาอยู่ ตรงคอหอยให้กลับอ้อมผ่านสะดือ.ไปยังก้นกบ.แล้วค่อยผ่านหลัง ไปท้ายทอย ผ่านว่างคิ้วมาออกจมูกในจังหวะที่ ๒ (คือเพิ่มจากที่ทำอยู่)หรือเปล่า...ส่วนจังหวะ ๑ เพิ่มตรงดันลมตรงคอหอย ให้ไปออกตรงก้นกบร่วมกับลมที่มาจากกลางกะหม่อมหรือเปล่าถึงจะครบตามสูตรที่พระอาจารย์กล่าว คือผมคิดๆเองนะครับ.แต่ลองทำแล้วมันพอทำเพิ่มเติมได้อยู่ ถ้าทำตามนี้นะครับ..หรือคุณ มีความเห็นอย่างไรครับ.ถ้าถามผมว่าทำไมทำแบบ. นี้ผมก็ไม่ทราบคับ.ผมก็งงๆอยู่เพราะมันเป็นเองครับ . รู้แต่ว่า ช่วงที่ลมไหลผ่านเนี่ยจะรู้สึกได้ว่าอุ่นๆตลอดเส้นทาง คันๆช่วงแนวกระดูกสันหลัง และรู้สึกหยิกๆหน่อย ส่วนกระหม่อนก็เหมือนเส้นผมจะตั้งได้.โดยเฉพาะ ตรงก้นกบเนี่ย อุ่นๆอย่างเห็นได้ชัด.ส่วนกลางระหว่างคิ้วก็ตึงๆหน่อย ประมาณนี้นะครับ.
คุณ nopphakan ควรทำตามที่พระอาจารย์เล็กท่านแนะนำครับ คืออย่าให้มันขึ้นคอหอย แต่ให้กดมันวิ่งย้อนวงจรที่คุณทำอยู่ครับ คือเริ่มจากตันเถียน แล้วดันเข้าฝีเย็บเพื่อเอาพลังปราณไปเป็นเปลี่ยนพลังทางเพศมาเป็นพลังชีวิต แล้วดันจากก้นกบไปตามแนวสันหลัง ขึ้นท้ายทอย ผ่านกระหม่อม และไหลลงกลางหน้าผาก ผ่านจมูกเข้าไปที่เพดานปาก(ให้คุณใช้ลิ้นดุนเพดานปากไว้) ปราณจะไหลผ่านลิ้นแล้วน้ำลายจะออกมามาก ให้คุณกลืนน้ำลายนั้นลงคอไป ซึ่งปราณจะไหลลงผ่านคอหอย กลางอก กลับที่ตันเถียนล่างครับ
วิธีของคุณ nopphakan ได้มาจากพระอาจารย์ของคุณหรือว่าคุณทำด้วยตนเองแล้วเกิดผลแบบนี้ครับ วิธีที่ผมฝึกจะโครจรแบบเดียวกันกับคุณ Namushakamunibutsu แต่ต่างกันในตอนเดินปราณมาถึงระหว่างคิ้วแล้วเลงไปที่กระเดือกเลย กล่าวคือ เดินสวนทางกลับไปจากที่คุณฝึก โดยปกติทั่วไปลมปราณจะเดินจากท้องสวนขึ้นมาบริเวณหน้าวนกลับข้ามลงกลางหลังลงไป. แบบนี้เหล่าซือจะให้ดึงลงไปที่สะดือลงไปฝีเย็บสู่ก้นกบและให้ไต่กระดูกสันหลังขึ้นท้ายทอยขึ้นสู่กลางศีรษะและลงมาระหว่างคิ้วมาลูกกระเดือกลงกลางหน้าอกและครบรอบใต้สะดือ ซึ่งจะเกิดพลังและชลอความแก่ สงบระงับ เดินปราณแบบนี้จะฝืนธรรมชาติ แต่เดินแบบตรงกันข้ามสังเกตดูว่าจะง่ายและคล่องกว่า ลองสังเกตดูครับวิธีทั้งสองแบบจะให้ผลต่างกัน ลองสังเกตด้วยตนเองครับ ได้ผลอย่างไรเล่าสู่กันฟังครับ ขอให้เจริญก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นไปครับ