ทราบไหมครับ ว่าภาพนี้ไม่ใช่ "พระพุทธรูป"

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Chaiyaboon, 23 พฤศจิกายน 2007.

  1. Chaiyaboon

    Chaiyaboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2007
    โพสต์:
    419
    ค่าพลัง:
    +1,803
    ทราบไหมครับ ว่าภาพนี้ไม่ใช่ " พระพุทธรูป"


    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • Y5901545-12.jpg
      Y5901545-12.jpg
      ขนาดไฟล์:
      121.5 KB
      เปิดดู:
      2,212
  2. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,923
    ค่าพลัง:
    +9,200
    แล้วคือ ภาพอะไรหละ เฉลยหน่อยสิ
     
  3. LNS@BDZ

    LNS@BDZ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    419
    ค่าพลัง:
    +1,585
    รูปนี้เป็นรูปปั้นของศาสดามหาวีระ ศาสนาเชน ใช่มะ
     
  4. หลับตา

    หลับตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    717
    ค่าพลัง:
    +3,151
    ศาสนาเชน
     
  5. thank you

    thank you เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    227
    ค่าพลัง:
    +1,747
    ถ้าดูให้ดีไม่ได้นุ่งผ้า(ภาษาชาวบ้าน)
    สมัยก่อนเชนเห็นว่าคนนับถือพุทธมากตนเองคะเเนนเสียงน้อยลงไปทุกที
    จึงตั้งตนในทำนองว่าเค้าใหญ่กว่าเรียกพุทธดั่งเดิมให้ใหม่ว่าหินยานเรียกตัวว่ามหายาน พระที่เห็นในรูปจึงไม่ใช่ตัวเเทนองค์พระพุทธเจ้าโคดมเเต่เป็นศาสดาของเชนเขา
    มีเรื่องตลกเล่าว่าพระไทยไปอินเดียเห็นรูปเเบบนี้มากนึกภูมิใจว่าคนอินเดีย
    ยังไม่ลืมพระพุทธเจ้า เห็นเเล้วก็กราบสามครั้ง เเต่มาทราบทีหลังว่าเป็น
    ศาสดาของศาสนาเชน
    อย่าลืมว่าถ้าเปลือยไม่ใช่ของเรานะจ๊ะ.
     
  6. West Wind

    West Wind เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    149
    ค่าพลัง:
    +564
    จากภาพที่เห็น
    1 หินอาจจะเกะสลักยาก จึงออกมาเป็นดั่งรูปที่เห็น
    2 ยังไม่มีการทรงวึจร (คล้ายๆการทรงเครื่องของพระแก้วมรกต) ก็ได้นะคะ
    3 กายทิพย์ที่ไม่มีเครื่องนุ่งหุ่ม

    :) :) :)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 พฤศจิกายน 2007
  7. VickiesII

    VickiesII เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    51
    ค่าพลัง:
    +491
    เท่าที่ทราบถ้าไม่ใช่ของพุทธก็เป็นของศาสนาเชนครับ ที่ปั้นเลียนแบบพระพุทธองค์ แต่จริงๆแล้วไม่ใส่เสื้อผ้าครับ
     
  8. NiNe

    NiNe เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2005
    โพสต์:
    4,792
    ค่าพลัง:
    +7,482
    เท่าที่รู้มาแบบงูๆปลาๆ

    ศาสนาเชนเขาจะเคร่งมากกว่าพุทธ แต่มีสิ่งสุดท้ายคือพระนิพพานเหมือนกัน
     
  9. iofeast

    iofeast เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    4,193
    ค่าพลัง:
    +7,815
    ไม่ใช่พระพุทธรูปหรอกจ๊ะ ถ้าเป็นพระพุทธรูปจะต้องมีจีวรปิดทางด้านซ้าย จะมองลอดแขนซ้ายไปไม่ได้จ๊ะ หุ หุ หุ
     
  10. srirote

    srirote เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    141
    ค่าพลัง:
    +393
    อยากทราบจริงๆครับว่าถ้าศาสดาของเขาถ้าสำเร็จมรรคผล สมมุติว่าเป็นอรหันต์พระจะกราบได้ใหม อรหัตผล กับนิพพาน มันเหมือนกันหรือแตกต่างกันอย่างไรครับ
     
  11. วิทย์

    วิทย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    2,036
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,439
    ถ้าเป็นคำสอนในศาสนาหรือลัทธิอื่นที่ผมเห็นว่าตัวศาสดาเองมีโอกาสจะบรรลุธรรมได้มากที่สุดก็คือ เหลาจื๊อ ศาสดาของลัทธิเต๋า ครับ ถ้าศึกษาหลักคำสอนของเต๋าให้ดีแล้ว จะเห็นถึงความสุขุมลุ่มลึกมากเลยล่ะครับ

    ตามประวัติกล่าวไว้ว่า เหลาจื๊อ เป็นบุคคลร่วมสมัยในยุคพระพุทธเจ้าครับ แต่ประวัติของท่านก็ค่อนข้างน้อย มีเพียงคัมภีร์หรือหลักคำสอนที่หลงเหลือไว้ให้เท่านั้น ไม่ทราบว่าความรู้เหล่านั้นท่านเรียนรู้หรือฝึกฝนด้วยตนเองหรือเรียนรู้มาจากผู้ใด คัมภีร์ของลัทธิเต๋ามีชื่อว่า "เต๋าเต็กเก็ง" ครับ
     
  12. iofeast

    iofeast เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    4,193
    ค่าพลัง:
    +7,815

    ศาสดาของเชนหรือชินะ ที่ชื่อมหาวีระเนี่ยมีชีวิตอยู่ในสมัยเดียวกับพระพุทธองค์ คำสอนบางอย่างก็เข้ากับศาสนาพุทธได้(เฉพาะบางอย่าง) แต่เคร่งเกินไปเช่นไม่ใส่เสื้อผ้า (นิกายที่ใส่ก็มี) ผมก็ไม่ตัด ใช้วิธีดึงออก เป็นต้น จึงเป็นทางสุดโต่งทางหนึ่งไป(อัตตะกิละมะถานุโยโค) จึงไม่สามารถจะสำเหร็จมรรคผลได้
     
  13. NiNe

    NiNe เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2005
    โพสต์:
    4,792
    ค่าพลัง:
    +7,482
    ท่านเข้านิพพานได้เหมือนกัน ลองพิจารณาดูบทความต่อไปนี้ ซึ่งเป็นของมหาวิทยาลัยมกุฏราชวิทยาลัย เรื่องโครงการพัฒนาสื่อ เนื้อหา การเรียนการสอนวิชาพุทธศาสตร์ ...

    ตามประวัติที่ได้ชื่อว่านิครนถนาฏบุตร ตามคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนากล่าวว่าท่านเป็นบุตรของนักฟ้อน<SUP>๑</SUP> แต่ตามความเป็นจริงแล้วท่านเป็นกษัตริย์ในลิจฉวีวงศ์ แคว้นวัชชี มีชีวประวัติคล้าย กับพระพุทธเจ้ามาก นิครนถนาฏบุตรหรือเจ้ามหาวีระต่อมาได้กลายมาเป็นผู้ก่อตั้งศาสนาไชนะหรือเชน เป็นศาสนาที่เกิดร่วมสมัยกับพระพุทธเจ้า ศาสนาเชนมีศาสดานับเนื่องกันได้ ๒๓ พระองค์ในอดีต ศาสดาทางศาสนาเชนเรียกกันว่า ติรถังกร<SUP>๒</SUP> (Tirthankara) หมายถึงวิญญาณที่สมบูรณ์ หรือชินะ องค์แรกมีนามว่า "ฤษภะ" และองค์ที่ ๒๔ นับเป็นองค์สุดท้ายชื่อว่า วรธมานะ หรือมหาวีระ ก็เป็นคนเดียวกับนิครนถ์นาฏบุตร และถือว่าเป็นผู้ก่อตั้งศาสนาเชนและพัฒนาให้เจริญรุ่งเรือง
    [​IMG]วรธมานะมีชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า มหาวีระ ซึ่งมีเรื่องเล่าว่าขณะเยาว์วัย เจ้าชายวรธมานะเสด็จประพาสเล่นในอุทยานหลวงกับพวกเพื่อน ๆ ขณะที่กำลังเล่นกีฬากันเพลิน ๆ ช้างพลายตกมันเชือกหนึ่งหลุดออกจากโรงช้างบุกเข้าเขตอุทยานและตรงเข้าทำร้าย เด็กพวกอื่นพากันวิ่งหนีเอาตัวรอด แต่เจ้าชายวรธมานะไม่มีชาติของผู้ขลาด เมื่อเห็นช้างเข้ามาใกล้ก็ตั้งสติมั่นยืนตรงอยู่กับที่คอยทีอยู่ เมื่อช้างวิ่งเข้ามาใกล้ตัวเพื่อจะทำร้าย วรธมานะกระโดดเข้าจับงวงตามวิธีที่ได้รับฝึกฝนมาจากควาญหลวง ขึ้นหลังบังคับขี่กลับไปถึงโรงช้างมอบให้นายควาญช้างได้
    [​IMG]เจ้าชายวรธมานะเสด็จเข้าวังโดยไม่ได้ตรัสเรื่องนั้นแก่ใคร ๆ เลย แต่ควาญช้างผู้เป็นอาจารย์มองเห็นความกล้าหาญที่เด็กคนอื่นไม่สามารถกระทำได้ จึงนำความไปกราบทูลกษัตริย์สิทธารถให้ทรงทราบ กิตติศัพท์ได้แพร่กระจายออกไปทั่วคามนิคมถึงความกล้าหาญ ครั้งนี้ เป็นที่แซ่ซ้องสรรเสริญของคนทั่วไป จึงพร้อมเพรียงกันถวายพระนามใหม่ให้เจ้าชายว่า "มหาวีระ" แปลว่า ผู้กล้าหาญที่ยิ่งใหญ่ ก็เหมือนกับพระมหากษัตริย์ไทยเราเช่น ในหลวงรัชกาลที่ ๕ พระองค์ทรงเป็นที่รักยิ่งของปวงชนชาวไทย จึงได้รับขนานพระนามใหม่จากประชาชนอีกพระนามหนึ่งว่า "พระปิยมหาราช" เป็นต้น
    [​IMG]เจ้ามหาวีระมีเชื้อชาติความเป็นกษัตริย์เหมือนกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าสืบเชื้อสายมาจากกษัตริย์ศากยวงศ์ ส่วนเจ้ามหาวีระหรือนิครนถ์นาฏบุตรเป็นกษัตริย์สืบเชื้อสายมาจากลิจฉวีวงศ์ เมืองไพศาลีในลุ่มแม่น้ำคงคาตอนบน โดยได้รับคำทำนายจากโหราจารย์โดยมีคติเป็น ๒ เช่นเดียวกับเจ้าชายสิทธัตถะในเวลาออกบวช ศาสดาทั้งสองก็เสด็จออกบวชเมื่อพระชนมายุใกล้เคียงกัน พระพุทธเจ้าเสด็จออกบวชเมื่อพระชนมายุ ๒๙ เจ้ามหาวีระออกบวชเมื่ออายุ ๓๐ ปี
    [​IMG]ชีวประวัติของท่านนิครนถ์นาฏบุตรนั้นมีความละม้ายคล้ายคลึงกับพระพุทธเจ้า คือได้มีมเหสีแล้วและทรงเบื่อโลกออกบวช สละโลกาวิสัยแล้วเสด็จออกไปแสวงหาความจริงบำเพ็ญทุกรกิริยาอยู่ ๑๒ ปี ในที่สุดก็ถือว่าได้เป็นผู้หลุดพ้นเป็นอรหันต์ตรัสรู้เป็นสัพพัญญูขึ้นมา แล้วก็ได้บัญญัติศาสนาใช้เวลา ๓๐ ปีเศษสอนสาวกของตนแพร่หลายศาสนาไปในลุ่มแม่น้ำคงคา ยมุนา ในพื้นที่ต่าง ๆ เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้าที่ทรงบำเพ็ญพุทธกิจมา
    [​IMG]น่าแปลกใจที่ว่าศาสดาทั้ง ๒ องค์นี้ ไม่เคยมีโอกาสพบปะสนทนากันเลยในประวัติวรรณคดีบาลีก็กล่าวถึงเสมอว่า ทั้งสองท่านได้ไปอยู่ในที่แห่งเดียว จำพรรษาอยู่ใกล้เคียงกัน แต่ว่าก็ไม่เคย พบปะกันจัง ๆ สักคราวหนึ่งเลย ที่พบกันส่วนมากก็เป็นว่านิครนถ์นาฏบุตรหรือเจ้ามหาวีระส่งลูกศิษย์คนสำคัญมาโต้วาทีกับพระพุทธเจ้า
    [​IMG]มีเรื่องใหญ่ ๆ ที่มีความสำคัญอยู่ ๒ เรื่อง ในอุปาลิวาทสูตรได้พูดถึงข้อโต้แย้งระหว่าง ๒ ศาสนานี้ถึงนิครนถ์คนหนึ่ง นิครนถ์คนนี้มีชื่อว่าทีฆตปัสสีนิครนถ์เป็นสาวกกำลังสำคัญของศาสดามหาวีระได้มาเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ในที่แห่งหนึ่ง ซึ่งในขณะนั้นเจ้ามหาวีระก็จำพรรษาอยู่ในเมืองเดียวกับที่พระพุทธเจ้าจำพรรษาอยู่คือเมืองเวสาลีนั่นเอง ทีฆตปัสสีนิครนถ์ได้เสนอแนวความคิดหลักธรรมอ้างถึงศาสดาของตนว่า ศาสดาของตนนั้นเมื่อจะบัญญัติโทษ ทางกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม บัญญัติว่าโทษทางกายกรรม หนักกว่าโทษทางวจีกรรมและมโนกรรม แต่คำสอนในศาสนาชินะเรียกว่าทัณฑะ คือกายทัณฑะ วจีทัณฑะ และมโนทัณฑะ ในบรรดาทัณฑะทั้ง ๓ นั้น กายทัณฑะ หนักกว่าวจีทัณฑะและมโนทัณฑะ ทีฆตปัสสีทูลถามพระพุทธองค์ว่าทรงมีความคิดเห็นอย่างไร พระพุทธองค์ตรัสตอบว่าความเห็นของเรานั้นมีความเห็นว่า มโนทัณฑะ มีโทษมากกว่ากาย ทัณฑะและวจีทัณฑะ ทีฆตปัสสีให้พระพุทธองค์ยืนยัน ๓ ครั้ง พระพุทธเจ้าก็ให้ทีฆตปัสสีนิครนถ์ยืนยัน ๓ ครั้ง ว่าวาทะของท่านเป็นอย่างนั้น
    [​IMG]นี้เป็นธรรมเนียมของคนในสมัยนั้น เพราะว่ากลัวจะมีการกลับคำพูดอีกในภายหลัง หลังจากนั้นทีฆตปัสสีก็ไม่ได้โต้แย้งอะไรแล้วทูลลากลับ เมื่อกลับมาแล้วก็ไปเฝ้าศาสดาของตัวคือเจ้ามหาวีระ ก็เล่าความจริงให้ฟังว่าได้ไปเฝ้าพระสมณโคดมมาได้โต้แย้งความคิดเห็นอย่างนี้ นิครนถ์นาฏบุตรก็ชมเชยว่าตอบได้ถูกต้อง และย้ำว่ากายทัณฑะมีโทษมากกว่า ขณะนั้นอุบาลีคฤหบดีเป็นอุบาสกของเจ้ามหาวีระนั่นแหละเป็นคฤหบดีคนสำคัญ มีชื่อเสียงและร่ำรวยมากเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปในเมืองเวสาลีได้นั่งฟังอยู่ด้วย และนิครนถ์นาฏบุตรก็มีประสงค์ที่จะส่งอุบาลีคฤหบดีไปโต้แย้งหักล้างวาทะด้วยวาทะกับพระสมณโคดม เพื่อจะทำให้พระพุทธเจ้ากลับมาเป็นศิษย์ของนิครนถ์นาฏบุตรให้ได้
    [​IMG]ทีฆตปัสสีได้ยินดังนั้นก็ห้ามว่าอย่าส่งไปเลยท่านอาจารย์ เพราะว่าใคร ๆ ก็รู้ว่าพระสมณโคดมนั้น ใครที่ไปท้าโต้วาทีก็แพ้กลับมาทุกรายก็ดูอย่างกระผมซิยังไม่กล้าเลย เพราะกลัวว่าแพ้แล้วจะต้องกลายเป็นลูกศิษย์ไป นิครนถ์นาฏบุตรก็ออกปากห้ามทีฆตปัสสีว่าอย่าพูดมากไปเลย ตรงกันข้ามเรากลับมีความเห็นว่า ถ้าอุบาลีคฤหบดีศิษย์ของเราไปโต้วาทะกับพระสมณโคดมแล้วจะสามารถทำให้พระสมณโคดมกลับมาเป็นศิษย์ของเรามากกว่า เพราะเราเชื่อมั่นว่าอุบาลีคฤหบดีมีความรู้ความเชี่ยวชาญ มีปัญญามาก รู้เรื่องลัทธิตนและลัทธิของผู้อื่นเป็นอย่างดี และรู้เรื่องศาสนาต่าง ๆ เป็นอย่างมาก จะสามารถเอาชนะพระสมณโคดมได้ การโต้วาทะในครั้งนั้นก็เน้นหนักเรื่องกรรมคือ กายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม
    [​IMG]ผลของการโต้แย้งกันปรากฏว่า อุบาลีคฤหบดีกลับใจเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้าทูลขอปฏิญญาเป็นชาวพุทธ พระพุทธเจ้าก็ทรงห้ามว่าอย่าเลยคฤหบดี อย่ารีบด่วนมานับถือเราเลย เพราะว่าตัวท่านนั้นใคร ๆ ก็รู้ว่าเป็นผู้อุปถัมภ์คนสำคัญของพวกนิครนถ์ทั้งหลายอยู่ การที่คนมีชื่อเสียงอย่างท่านมีศรัทธาหนักแน่นในลัทธินิครนถ์อย่างท่านมากลับใจเปลี่ยนศาสนาเสียง่าย ๆ ไม่สมควรเลย พระพุทธเจ้าทรงยับยั้งไว้
    [​IMG]อุบาลีคฤหบดีพอได้ยินดังนั้นก็ทูลตอบว่า ชื่นใจเหลือเกิน ข้าพระองค์ไม่เคยฟังเจ้าลัทธิใดที่จะมายับยั้งความเลื่อมใสของข้าพระองค์เช่นพระองค์อย่างนี้เลย ถ้าเป็นเจ้าลัทธิอื่นพอรู้ว่าข้าพระองค์จะเลื่อมใสเท่านั้น เขาจะเที่ยวประกาศตีฆ้องร้องเป่าไปทั่วเมืองแล้วว่า ท่านผู้นั้น ๆ กลับใจมานับถือเราแล้ว พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า เอาเถอะอุบาลีท่านไตร่ตรองแล้วจึงทำนะ การที่ท่านมาเปลี่ยนใจเปลี่ยนศาสนามานับถือเราสมควรอยู่หรือ อุบาลีทูลตอบกับพระพุทธเจ้าว่า สมควรอย่างยิ่งพระพุทธเจ้าข้า เพราะบัดนี้ข้าพระองค์เห็นจริงแล้วว่าคำโฆษณาชวนเชื่อคำเล่าลือเสีย ๆ หาย ๆ ที่เจ้าลัทธิอื่นโจมตี พระพุทธองค์ว่าพระองค์มีมายาในการกลับใจคน วันนี้ การที่ข้าพระองค์มาเลื่อมใส ไม่ใช่เป็นเพราะพระองค์ใช้มายาในการกลับใจคนแต่อย่างใด แต่เกิดความเลื่อมใสในข้อธรรมะที่พระองค์ได้ชี้แจงคำสั่งสอนอันมีเหตุมีผล สามารถใช้ปัญญาไตร่ตรองให้เห็นจริงได้จนข้าพระองค์อับจนเกิดปัญญาเลื่อมใสขึ้นมาเอง เพราะฉะนั้น จึงขอให้พระองค์ทรงจำข้าพระองค์ว่าถึง พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ เป็นสรณะตลอดชีวิต
    [​IMG]พระพุทธเจ้าตรัสว่า คฤหบดีเมื่อท่านมีศรัทธามีความเลื่อมใสอย่างนี้ก็ตามที แต่ว่าตัวท่านเคยให้ทานแก่พวกนิครนถ์อย่างไร ก็จงให้อย่างนั้นนะ อุบาลีคฤหบดีทูลตอบว่า พระองค์ตรัสอย่างนี้ ทำให้ข้าพระองค์เลื่อมใสมากยิ่งขึ้น เมื่อก่อนมีแต่คำโฆษณาทับถมพระพุทธองค์ว่า พระสมณโคดมสอนให้คนทำทานแก่พระภิกษุสงฆ์สาวกของพระองค์เท่านั้นถึงจะได้บุญ ทำบุญทำทานแก่นักบวชนอกศาสนาแล้วไม่ได้บุญเลย วันนี้มาได้ยินได้ฟังกับหูตนเองแล้วยิ่งทำให้เกิดความศรัทธาเลื่อมใสในพระองค์มากยิ่งขึ้นเป็นทวีคูณ
    [​IMG]ตกลงว่าคำโฆษณากล่าวร้ายทับถมที่ข้าพระองค์ได้ยินมาแต่ก่อนหน้านี้ล้วนแต่เป็นคำใส่ร้ายป้ายสีทั้งนั้นไม่เป็นเรื่องจริงเลย เป็นการพูดของศาสดาเหล่านั้นเกรงว่าสาวกของตนจะมาเลื่อมใสพระองค์ ลาภสักการะก็จะสูญเสียไป มาบัดนี้มารู้ด้วยตัวเอง ฟังกับหูตัวเองแล้วข้าพระองค์จะทำตามพระพุทธองค์ทุกอย่างพระพุทธเจ้าข้า จากนั้นอุบาลีคฤหบดีก็จากไป
    [​IMG]หลังจากนั้น ข่าวได้แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วว่า อุบาลีคฤหบดีลูกศิษย์ของท่านนิครนถ์นาฏบุตรที่มีความมุ่งหวังจะไปหักล้างวาทะด้วยวาทะเพื่อเอาพระพุทธเจ้ามาเป็นลูกศิษย์ให้ได้ บัดนี้ถูกพระพุทธเจ้ากลับเอามาเป็นลูกศิษย์แล้ว นิครนถ์นาฏบุตรได้ฟังแล้วก็ยังไม่เชื่อ คิดว่าเป็นไปไม่ได้ที่ลูกศิษย์ชั้นเอกของเราที่มีความเชี่ยวชาญทั้งลัทธิตนและลัทธิของคนอื่นจะไปเป็นลูกศิษย์ของพระสมณโคดม จึงพร้อมด้วยบริวารยกขบวนไปบ้านของอุบาลีคฤหบดี พอถึงบ้านผู้ที่เฝ้าหน้าประตูบ้านคฤหบดีบอกว่านิมนต์หยุดอยู่ที่ประตูเรือนก่อน ถ้าท่านต้องการข้าว ต้องการน้ำ ต้องการอาหารชนิดใด เราจะไปนำมาให้ที่หน้าประตูเรือน
    [​IMG]นิครนถ์นาฏบุตรบอกว่าเจ้าไม่รู้หรือว่าเราเป็นใคร เราเป็นศาสดาของนายเจ้ารีบไปตามนายของเจ้าออกมาเร็ว ๆ คนเฝ้าประตูก็ไปบอกอุบาลีคฤหบดีออกมา อุบาลีก็เชิญให้เข้ามาในบ้าน ถ้าเป็นวันอื่น ๆ อุบาลีจะต้องตักน้ำมาล้างเท้าให้นิครนถ์นาฏบุตร ปูลาดอาสนะให้นั่งในที่สูงกว่าตนเอง และกระทำสามีจิกรรมอัญชลีกรรมต่อนิครนถ์นาฏบุตร แต่มาวันนี้ อุบาลีคฤหบดีนั่งอยู่ในที่เสมอกันกับนิครนถ์ ไม่กระทำสิ่งใด ๆ ทั้งสิ้น และพูดว่า ดูก่อนนิครนถ์ น้ำก็มีอยู่ อาหารก็มีอยู่ ถ้าท่านปรารถนาจะฉันน้ำก็ฉันน้ำ ถ้าท่านปรารถนาจะฉันข้าวก็จงฉันข้าว ที่นั่งก็มีอยู่เชิญนั่ง
    [​IMG]นิครนถ์นาฏบุตรเห็นการกระทำอย่างนั้นก็โกรธเป็นกำลัง กล่าวว่าอุบาลีท่านลืมคำปฏิญญาของท่านแล้วหรือ ก่อนที่ท่านจะจากเราไปท่านสัญญาบอกกะเราว่าจะไปหักล้างวาทะด้วยวาทะกับพระสมณโคดม แต่ทำไมบัดนี้ท่านถึงได้ทำกิริยาหยาบคายกะเราแบบนี้เล่า อุบาลีบอกว่าไม่ได้หยาบคายเลยท่านผู้เจริญ เราได้ทำการปฏิสันถารสมบูรณ์แล้ว แล้วเราไม่ได้เป็นศาสดาของท่านหรือ อุบาลีตอบว่าไม่ใช่ จากนั้น ก็ห่มผ้าเฉวียงบ่าแล้วหันหน้าไปทางทิศที่พระพุทธเจ้าประทับเปล่งสดุดีพระพุทธคุณออกมา นิครนถ์นาฏบุตรทนฟังไม่ได้เพราะมีความเสียใจและโกรธอย่างสุดโกรธแค้นอย่างสุดแค้นถึงกับอาเจียนเป็นโลหิตในที่นั้น เดินกลับออกจากเรือนของคฤหบดีไปในทันที
    [​IMG]นี้เป็นเรื่องของสองศาสนาที่เป็นอเทวนิยมด้วยกันทั้งคู่ ในสมัยพุทธกาล บางเรื่องก็ตรงกันบางเรื่องก็ขัดแย้งกัน ที่แย้งกันเหมือนขาวกับดำก็คือศาสนาเชน ถึงแม้ว่าจะปฏิเสธพระเวท แต่ก็ยังรับรองเรื่องอัตตาที่เรียกว่า ชีวาตมัน ส่วนพระพุทธศาสนาสอนเรื่องอนัตตา ไม่รับรองเรื่องชีวาตมันนี้เป็นข้อแตกต่างระหว่างพระพุทธศาสนากับศาสนาเชน
    [​IMG]ส่วนข้อที่ตรงกันของศาสนาเชนกับพระพุทธศาสนาก็คือปฏิเสธพระเจ้า (God) ผู้สร้างโลก พระพุทธศาสนาก็ปฏิเสธพระเจ้าผู้สร้างโลก ศาสนาในโลกมีเพียง ๒ ศาสนาเท่านั้นที่ปฏิเสธฐานะของพระเจ้าเป็นผู้สร้างโลก คือพระพุทธศาสนาและศาสนาเชน ศาสนานอกนั้นสอนมีพระเจ้าเป็นผู้สร้างโลกทั้งนั้น
    [​IMG]นิครนถ์นาฏบุตรหรือเจ้ามหาวีระเผยแพร่ศาสนามีอายุยืนไปถึง ๗๐ ปี และพักเทศนาสั่งสอนคนทั้งหลายอยู่ที่เมืองปาวา อยู่ตราบจนกระทั่งวาระสุดท้ายของตนก่อนเข้าสู่ถึงนิพพาน มหาวีระเรียกสาวกทั้งหลายเข้ามาสั่งสอนเป็นครั้งสุดท้าย อนุญาตให้ศิษย์ทุกคนตั้งปัญหาถาม เพื่อมิให้มีความเคลือบแคลงสงสัยใด ๆ ในข้อธรรมของตนให้เหลืออยู่ได้ในภายหลังสาวกคนหนึ่งได้ถามว่า ในบรรดาคำสอนของพระชินะทั้งปวง คำสอนอะไรถือว่าเป็นคำสอนสำคัญที่สุด มหาวีระตอบว่า
    [​IMG]อหิงสา เป็นธรรมสำคัญที่สุดในบรรดาคำสอนของเราทั้งหมด และกล่าวต่อไปว่า ต้องไม่ ทำร้ายสิ่งที่มีชีวิต ทางร่างกาย ทางวาจา และทางน้ำใจ อย่าฆ่าสัตว์ทั้งหลายเพื่ออาหารของตน อย่าล่าสัตว์ อย่ายิงนกตกปลา อย่าฆ่าริ้นยุง แม้ว่ามันจะกัดกินเลือดเนื้อ อย่าทำสงคราม อย่าต่อสู้ ศัตรู อย่าย่ำเหยียบพืชผักใด ๆ เพราะว่า สิ่งทั้งหลายเหล่านี้มีวิญญาณทั้งสิ้น<SUP>๓</SUP>
    [​IMG]เจ้ามหาวีระสอนว่า ให้แสวงหาความหลุดพ้น จากสภาวะการเวียนว่ายตายเกิด ด้วยการเว้นจากการประพฤติเบียดเบียนชีวิตทุกชนิด พูดเท็จ การถือครองทรัพย์สิ่งทั้งหลายทั้งปวง แม้แต่เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม การลักทรัพย์ ให้ประพฤติพรหมจรรย์อย่างเคร่งครัด นิยมการทรมานตนเองให้ได้รับความลำบาก ที่เรียกว่าอัตตกิลมถานุโยค ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงปฏิเสธ
    [​IMG]ในขั้นสูงสุดก็ยังถือว่ามีอัตตาอยู่ เรียกว่า ชีวาตมัน แต่ที่เหมือนกับพระพุทธศาสนาก็คือ ปฏิเสธการสร้างโลกโดยพระเจ้า และถือหลักอหิงสา คือความไม่เบียดเบียนอย่างเข้มงวดมาก
    [​IMG]จุดสูงสุดคือสอนคนให้เข้าถึงนิรวาณหรือเข้าถึงไกวัลยะด้วยเกวลัชญาณ จะเข้าสู่อโลกเป็นอมตะชั่วนิจนิรันดร พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดไปได้ และหลักการปฏิบัติที่จะทำตนให้เข้าถึงนิรวาณได้นั้นมีเพียง ๓ ประการ คือ
    [​IMG]๑. สัมมาญาณ คือความรู้ชอบอันบุคคลจะได้จากตีรถังกร คือศาสดาแห่งตนที่ได้สั่งสอนไว้
    [​IMG]๒. สัมมาทัสสนะ ความเห็นชอบ คือการเคารพต่อความจริงอาศัยศรัทธาต่อพระชินเจ้า
    [​IMG]๓. สัมมาจริต ความประพฤติชอบ คือการประพฤติควบคุมตัณหา อารมณ์ ความคิด การพูด เป็นต้น
    [​IMG]สรุปแล้วเจ้ามหาวีระสอนให้แสวงหาความหลุดพ้น จากสภาวะการเวียนว่ายตายเกิด ด้วยการเว้นจากการประพฤติเบียดเบียนชีวิตทุกชนิด ไม่พูดเท็จ ไม่ถือครองทรัพย์สินทั้งหลายทั้งปวง แม้แต่เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม การลักทรัพย์ ให้ประพฤติพรหมจรรย์อย่างเคร่งครัด นิยมการทรมานตนเองให้ ได้รับความลำบากที่เรียกกันว่าอัตตกิลมถานุโยค
    [​IMG]ในขั้นสูงสุดก็ยังถือว่ามีอัตตาอยู่ เรียกว่า ชีวาตมัน แต่ที่เหมือนกับพระพุทธศาสนาก็คือ ปฏิเสธการสร้างโลกโดยพระเจ้า และถือหลักอหิงสา คือความไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกันอย่างเข้มงวดอุกฤษฏ์มากที่สุด

    อ้างอิง http://www.history.mbu.ac.th/buddhism/bud1-5-5.html
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 24 พฤศจิกายน 2007
  14. iofeast

    iofeast เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    4,193
    ค่าพลัง:
    +7,815
    ก่อนหน้านั้นก็มีหลายครั้งที่ฝั่งหมาวีระได้วางแผนไม่ดีต่อพระพุทธเจ้า เหตุกาลที่สำคัญ(ที่จำได้)ก็

    เมื่อครั้งหนึ่งคณบดีแขวนบาตรไม้จันทรไว้บนไม้สูง พร้อมทั้งประกาศว่า "หากมีพระอรหันต์จริงแล้วไซร้ ก็ขอให้เหาะขึ้นรับบาตรไปภายในเจ็ดวัน หากพ้นจากนี้ไม่มีผู้ใดเหาะไปเอาบาตรได้ ก็หมายความว่าไม่มีพระอรหันต์จริง ที่ประกาศกันไว้ล้วนโกหกทั้งสิ้น"

    ระหว่างนั้น ทางมหาวีระก็ได้เข้าไปขอบาตรจากคณบดี ซ้ำยังทำท่าจะเหาะขึ้นไป แต่คณบดียืนยันคำเดียวว่าให้เหาะขึ้นไปเอาเอง ก็ไม่มีใครสามารถเหาะขึ้นไปเอาบาตรมาได้

    ถึงวันที่เจ็ด พระโมคลานะ บิณฑบาตรผ่านมาพร้อมกับพระอีกรูป(จำชื่อไม่ได้ ท่านเป็นหนึ่งในเอตทัตคะ) ท่านได้เหาะขึ้นไปรับบาตรนั้น
    หลังพระพุทธเจ้าทราบเรื่อง พระองค์ทรงตำหนิอย่างมาก ทั้งรับสั่งให้ทำลายบาตรนั้น พร้อมทั้งห้ามแสดงฤทธิ์(เพื่อลาบสักการะ) ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

    เมื่อทราบข่าว ทางฝั่งมหาวีระก็ท้าให้พระพุทธเจ้ามาแสดงฤทธิ์กันโดยนัดวัน เวลามา ด้วยเข้าใจว่าพระองค์ได้สั่งห้ามแสดงฤทธิ์แล้ว พระองค์คงจะไม่แสดงเช่นกัน แต่ผิดคาดพระองค์ทรงแสดงอยู่นาน ฝั่งมหาวีระได้แต่ก้มหน้าไม่สามารถแสดงอะไรได้เลย

    อีกคราวก็นางจิญจาญะได้วางอุบาย ตู่ว่าพระพุทธเจ้าทำเธอท้อง ดังที่สวดกันอยู่(พาหุง)

    ในที่สุด เมื่อคราวที่ท่านอุบาลีมหาสาวก ได้กลับใจมานับถือศาสนาพุทธเป็นเหตุให้ ท่านมหาวีระกระอักเลือดออกมา หลังจากนั้นไม่นานท่านก็ถึงแก่กรรม

    เราจึงคิดว่าท่านไม่สามารถบรรลุธรรมสำเหร็จอรหันต์และไม่สามารถเข้าพระนิพพานได้ครับ

    ป.ล.ลัทธินี้ปฎิเสธน้ำเย็น เพราะถือว่าน้ำเย็นมีสิ่งมีชีวิตอยู่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 พฤศจิกายน 2007
  15. lukchai

    lukchai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2006
    โพสต์:
    326
    ค่าพลัง:
    +323
    หากเราจะดูว่าศาสนาใดมีผู้บรรลุพระนิพพานหรือไม่ ก็ลองพิจารณาเทียบกับมรรค 8 ดู ถ้าหากศาสนานั้นมีคำสอนแบบนี้อยู่ก็น่าจะมีผู้ที่บรรลุอยู่นะ
     
  16. จิรปรียา

    จิรปรียา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    49
    ค่าพลัง:
    +53
    อืมม์น่าสนใจดีค่ะ ถ้ามีข้อมูลดีๆอย่างงี้เอามาลงอีกนะค๊ะ
     
  17. พ่อคากคก

    พ่อคากคก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +128
    ดูแล้วเขาจะเลียนแบบศานาเรานะค่ะ
     
  18. djinn

    djinn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2007
    โพสต์:
    98
    ค่าพลัง:
    +122
    ว้าว เพิ่งรู้ ขอบคุณครับ
     
  19. undeath13

    undeath13 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    1,480
    ค่าพลัง:
    +1,830
    เชนกะเต๋าไปด้วยกันได้ไหม ใครรู้บ้าง
     
  20. rahool

    rahool Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    114
    ค่าพลัง:
    +59
    เฉลยเลยครับอยากรู้
     

แชร์หน้านี้

Loading...