ผม...พระ...และ...สาระยุคก่อน

ิอ่านแล้วอดไม่ได้ต้องไปหาแว่น หาพระเนื้อดินเผาเก่ามาส่องตามไปด้วย
แม้จะไม่มีถ้ำเสือ หรือบ้านกร่าง แต่พอจะนึกจุดสังเกตออกบ้างแล้วตามที่พี่ได้ให้ข้อสังเกตมา
ขอบคุณครับผม

 

ขอบพระคุณสำหรับข้อมูลครับคุณลุง รอติดตามตอนต่อไปครับ

 

ได้เคล็ดลับที่สุดยอดเลยครับอา

ผมเชื่อว่าคนเล่นพระส่วนใหญ่ไม่มีใครนึกถึงจุดนี้แน่

มากสุดก็แค่ เนื้อ+พิมพ์ = จบ

 

สวัสดีครับพี่ ขออนุญาตเรียกพี่นะครับ

สุดยอดครับ อ่านที่พี่เขียนแล้วส่องตาม ผมใช้พิมพ์กลางอยู่ เข้าใจชัดเจนดีจริง เพราะโดยทั่วไปที่คนดูพระเป็นจะสอนว่า ดูจุดไหน แต่ไม่มีเหตุผลประกอบว่าเพราะอะไร อ่านเข้าใจง่าย จำง่ายเพราะมีเหตุผลประกอบ ผมรักพระกรุเก่าๆ มีเสน่ห์ ดูไม่เบื่อ มีเรื่องราวของกาลเวลา อยู่ในองค์พระท่าน คงต้องปัดฝุ่นที่พี่เขียนไว้ มาศึกษาจริงๆจังๆสักที เริ่มมีเวลาว่างแล้ว ขอบคุณพี่อีกครั้งครับ

รอติดตามต่อครับ

 

สวัสดีครับพี่ modpong
ได้ตามเข้ามาอ่านเรื่องพระถ้ำเสือ ได้ความรู้มากเลยครับ
ขอบคุณมากครับ ที่ทำให้ได้ความรู้เกี่ยวกับพระและการพิจารณา
หลายๆอย่าง พอดีมีอยู่ 1 องค์ ด้วยครับ ป้าให้มานานแล้ว แต่ไม่รู้ว่าเป็นยังไง
ขอบคุณอีกครั้ง สำหรับความรู้ที่ให้ดีมากๆครับ

 

ยังไม่มีกะเขาหรอกครับอ้ายมด
แต่มาติดตามเผื่อหลงมาทางชัยภูมิมั่งครับ
บ้านผมเริ่มมีลมหนาวมาแล้วนะครับ
รักษาุสุขภาพด้วยนะครับพี่มด

 

ตามติดเรื่อยๆครับ

 

.......
..หวัดดี...porpek..น้องเหลิม..Anunn..ข้าวปุ้น..หลานเขมทัต..Motana
..พลศิริน้องรัก..และ..คนบ้านสะแก..
......................................
..ขอบคุณ..ที่เข้าใจ..เจตนา..ที่ผมสอดแทรกไว้..
...คือ..ไม่ว่าผม..จะกล่าวถึงเรื่องอะไรเป็น..Main...
..ผมก็ยังอยากจะแทรก..ความรู้ที่..จะใช้ได้วงกว้างไว้ด้วย
....อย่างเรื่อง"..รอยว่านหลุด"นี้...การพิจารณา..ก็แล้วแต่
คน..สำหรับคนทั่วๆไป..รู้กันอย่างเคร่าๆ..ถ้าท่านไปถามพวกเซียน
...มันก็จะแนะนำ..อย่างผิวเผิน...ถ้าท่านกับ..มัน..แค่รู้จัก..เป้น
เพื่อน..หรือ..ซื้อของขายของกัน..ธรรมดา...พูดง่ายๆว่า..
..ไม่ได้สนิทแนบแน่น..มีบุญคุณกัน..เป็นเพื่อนสนิท..เป็น..น้อง
หรือ..ลูกหลานมันจริงๆ....เพราะถ้าเป็น..คนเหล่านี้...พวกมัน
ถึง..จะลงในรายละเอียด..เพราะไม่งั้นอย่าง..มันบอกพวกท่าน
ธรรมดา..หรือ..ที่บอกกันตามหนังสือพระ..เอาไปใช้งานจริง
...แทบไม่ได้...เพราะถ้ามันบอกหมด..วงการพระปลอม..ก็ขายของ
มันค่อยออกซิ..ซึ่งมันเกี่ยวเนื่องกับ..พวกนี้อยู่แล้ว..ที่ปล่อยทั้งของ
ปลอม..ของจริง.....
.....ถ้าจำได้..ตอนก่อนๆ..ที่เล่ามา...ผมเคยบอก..ว่่า..ผมเลี่ยม...
พลายคู่ตัดเดี่ยว...ของผม..ด้วยลวดเงินโปร่งๆ......มันมีเหตุผล..
.......นั่นก็คือ..ความรู้ส่วนนึงที่ผมเอามา..บอกเล่าให้ท่านทราบอยู่นี่..
...ทั้ง..พระถ้ำเสือ..และ..วัดบ้านกร่าง..ทำให้ผม..สังเกตลงไป..ใน..
รายละเอียด..ของพระกรุดินเผา..ได้มาก..พระที่ใช้งาน..จนช้ำ..
...ธรรมชาติ..เป็นยังไง....(ถ้ำเสือ)
...พระที่ยังไม่เคยใช้งานมาก่อน...ธรรมชาติ..เป็นยังไง
....แล้ว..หลังจากใช้งาน..จนช้ำแล้วเป็นยังไง..(บ้านกร่าง)
.....ผมเริ่มวิเคราะห์ในรายละเอียดทุกแง่มุม..ของ..บ้านกร่าง
ของผม..ตอนที่ยังไม่ใช้งานเลย(สภาพ..ก่อนเลี่ยม ๙๐ เปอร์เซนต์..เส้นแขน..
...เส้นหู..เกษ..คมชัดโค้งสวย)...
...แล้วค่อยๆดู..ความเปลี่ยนแปลง..พิจารณา...และ..วิเคราะห์ตามไป..
...จากเริ่มสึก..สึกมากขึ้น..เม็ดทรายบางส่วนเริ่มหลุด..เพิ่มขึ้น..ความคม..
ของเส้นต่างๆ..ค่อยๆจางไป..พื้นพระ..เริ่มสึกเพิ่มขึ้น...เกิดอะไร..เปลี่ยนแปลง
ยังไง...ผมวิเคราะห์ไว้ถูกขั้นตอน.....
....จนปัจจุบัน...สภาพเหลือแค่...๖๐ เปอร์เซนต์.....
...แล้วที่ผม..ทำกับพระองค์นี้..มาตลอดเวลา..สิบกว่าปีได้..ก็เพราะผม
ไม่เคยคิด..ขายพระ..และไม่เคยคิดจะเอาองค์นี้..ไปให้ใคร..ให้อยู่กับผมจนตาย
......ที่ผมทำแบบนี้เพราะ..อยากรู้จริง..ว่ามันเป็นยังไง..ผมไม่เชื่อ..ไอ้หน้าไหน
ทั้งสิ้น..ที่เอาขี้ปากเขามาพูด..จินตนาการเอา...มันต้องของจริง..เท่านั้น
...ถึง..ทำให้ผมยอมรับได้...
....ดังนั้น..ถ้ำเสือ..กับ..บ้านกร่างให้อะไรผมมาก...
.....ทฤษฏีของผม..ไม่ลอกจากใครแน่นอน..ก็อาจจะไปคล้ายใคร..ก็ไม่แปลก
....เพราะของผม..มาจากพื้นฐาน..ความเป็นจริง..
......ผมเอง..เห็น..พระกรุวัดบ้านกร่าง..มาไม่น้อย..ทั้งของจริง..ของปลอม..
....ดังนั้น..ผมจึงเอาข้อมูล..จากความทรงจำ..มาประสานได้....
..............จะบอกให้จริงๆว่า..ถ้าผมคิดจะเขียน..เรื่อง.."เนื้อพระวัดบ้านกร่าง"
อย่างเดียว..จริงๆละก็...๒๐ หน้า..ก็ยังไม่จบแน่นอน....
....แต่ผมไม่เขียนแน่..เพราะมันเป็น..ภาระ..กับผม..ตอนนี้มันไม่เหมือนสมัยก่อน
...ผมเบื่ออะไรง่ายๆ...เขียนได้ไม่ยาวนัก..ผมคิดแล้วว่า..ถ้าเขียนไป ซัก ๕ หน้า
..ผมเลิก..มันก็เป็น..บาปในใจผม...

 

เพิ่งเปิดมาเจอเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หลังจากพี่หยุดเขืยนไป เลยไล่อ่านต่อจนถึงหน้าสุดท้ายวันนี้เองครับ ดีใจครับที่พี่กลับมาเขียนอีก

 

ครับพี่ เข้าใจเลยครับ สบายๆครับ ช่วงพี่หยุดเขียน ผมก็ไปค้นตอนเก่าๆ มาอ่านมันพาให้นึกย้อนไปสมัยก่อน มีความสุขครับ ผมคนบ้านนอกแท้ๆ รอฟังประสบการณ์พระถ้ำเสือ ผมก็ใช้มานาน แต่ด้วยเป็นคนติดพระเครื่องแขวนพระเยอะ รู้แต่ว่าชุดที่ใส่นี่แหละ ไปได้ทุกที่ ประสบการณ์แขวนเดี่ยว มีสมัยหนุ่มๆ ก็พระหูยายลพบุรี กับแหวนหลวงพ่ออั้น วัดพระญาติ นั่นโชกโชนชัดเจน หลังจากนั้นมา ก็แขวนพระเยอะมาก อายุเยอะขึ้นพยายามลดลงปวดต้นคอ ก็ได้เดี๋ยวเดียวก็เยอะอีก มันอดไม่ได้555

 

ว่าจะขอเรื่องบ้านกร่างต่อพอดีเลยครับอา แหะแหะ

แหมเสียดาย

 

......
..หวัดดี..ก้องเกียรติ..
...หวัดดี..หลานเขม..ไม่ต้องห่วง..ถึง..ไม่เขียนต่อเนื่อง..ก็จะมีแทรก..ไปตามเรื่อง..ที่เห็นสมควร..ทีละเล็กละน้อย..ไปเรื่อยๆ...
...จำไว้..ไม่ว่า..ออกสีเข้ม..สีอ่อน..พิมพ์อะไร..เนื้อเหมือนกันหมด...
...ใครบอกว่า..มีต่าง..อย่าไปเชื่อ..มีแบบเดียว....
...............................................
.....ต่อจากตอนที่แล้ว...
...............................
..............................................................
......เนื่องจากพระองค์นี้..เป็นพิมพ์เล็ก..ซึ่งมีเอกลักษณ์ของ..กรุถ้ำเสือ..ปีกพระจะ..ห่อ..ง้ำไป
ด้านหน้า..ส่วนพิมพ์เล็ก..นี้ปีกจะค่อนข้างกว้างกว่าพิมพ์อื่น..และขอบปีกไม่บาง..และห่อไป
ด้านหน้ามากกว่าเขา..สันนิษฐานว่า..เกิดจากการจับพระตอนที่ยังนิ่มอยู่หลังจากพิมพ์ออกมาแล้ว
..พระองค์ไหน..ปีกกว้าง..ก็จะทำให้ห่อมากกว่า...พวกพิมพ์ใหญ่..จะไม่ค่อยห่อ....
....กลับมาว่าเรื่องการพิจารณาต่อ..เรื่องการสึกของหลังพระ.....
.....จากที่ผมบอกไป..ตอนที่แล้ว..ทำให้สันนิษฐานได้ว่าว่า..ลุงผม..ต้องห้อยพระองค์นี้..เกินกว่า
สิบปี..ขึ้นไปถึง ยี่สิบปีเป็นอย่างน้อย..เพราะลุง..ไม่ได้ทำงาน..แบบกรรมกร..หรือชาวนา..ส่วนใหญ่
ก็ทำงานนั่งโต๊ะ...การกัดสีกับเนื้อไม่มาก..แต่ผิวพระด้านหลัง..โดนกัดซะเรียบมันเลย.....
......ก็เลยสรุปรวมได้อย่างชัวร์และ..มั่นใจเต็มร้อย..ว่า..ลุงผม...ต้องห้อยพระองค์นี้..อย่างน้อย
ก็ก่อนปี ..๒๕๐๐ เป็นสิบปีแน่...(ความจริงมันตัดสินตั้งแต่..รัก..แล้ว).....
......และ..พระองค์นี้..ต้องมาจากกรุถ้ำเสือ..แน่นอน...เพราะ..กรุอื่น..กว่าจะเริ่มพบกันใหม่ออก
มา..ก็ล่วงไปถึง..ประมาณ ๒๕๐๖...แถมเนื้อพระ..ก็พิสุจน์ได้แน่นอนว่า..เป็นของกรุถ้ำเสือแน่
........เอกลักษณ์สำคัญ..ของ..กรุถ้ำเสือนี้..ที่นักเลงพระชอบเป็นพิเศษ..นอกจากจะพบเก่าที่สุด..
เล่นไม่มีปัญหาแน่นอน..ก็คือ..เนื้อที่แกร่ง..แน่น..และ..เมื่อเลี่ยมเปิดแบบของผม..พออมเหงื่อ
เข้าไปด้วย..สีมันจะเปลี่ยนเป็นน้ำตาลอมแดงค่อนข้างเข้ม..เนื้อเนียน..และผิวจะค่อนข้างมัน..
โดยจะมี..แร่ควอรตซ์..กระจายแทรกอยู่ห่างๆ....เนื้อจะต่างจากกรุอื่น..ค่อนข้างชัดเจน...เพราะ
เนื้อกรุอื่น..จะออกหยาบกว่า..ไม่แน่น..และเนียนเท่า..ถึงแม้..บางพิมพ์จะเหมือนกันก็ตาม...
....ถ้าไปถามพวกเซียนถ้ำเสือตัวจริง...เขาจะไม่ห้อยกรุอื่น...นอกจากกรุถ้ำเสือ...ผมเคยถาม
...เขาบอกว่า..มันคลาสสิกกว่ากันพี่..นี่มันตำนาน...เรื่องนี้มันมาจาการที่..
.......ผมไปพบ..เซียนพระสุพรรณตัวจริงของจริง...ที่มันมีศักดิ์เป็นน้า..ของลูกน้องเก่าผม...
ที่บ้านเขาเลยที่สุพรรณ...อายุน้อยกว่าผมสักสิบปี...ตอนที่เขาเป็นเซียนมีระดับแล้ว..ไอ้เซียน
พันธุ็แท้เสียงเหน่อคนดัง..ยังเป็นพวกวิ่งพระอยู่เลย....
................พอดี..มันอยากจะเอาพระไปถาม..มันก็เลยชวนผมไปด้วย....หลังจากที่เขาถามไถ่กัน
ซักพัก....ไอ้เซียนน้องนี่..ก็เลยขอพระผมดูมั่ง....วันนั้น..ผมมีพระสุพรรณ..มีระดับไปสององค์
ก็คือ...หลวงพ่อโหน่งพิมพ์ลีลา..แต่เท่ห์หน่อยคือ..เจ้าของเดิม..เจาะเนื้อดินเผาตอนบนเป็นรู
เลย..เอาไว้ร้อยเชือก..แล้วพระก็เหลือประมาณ ๗๐ เปอร์เซนต์ได้..มันเห็นก็ชอบใจ..มันบอกว่า
..แบบนี้ดูง่าย..ปล่อยก็ง่าย...มันบอก..ถ้าพี่อยากปล่อยละก็..บอกผมได้เลยนะ......
........แต่มัน..มาสะดุดกึก..เอาที่ถ้ำเสือผม..ตาลุกวาว....ไม่ต้องเข้าแว่นเลย...มันบอกว่า..โอ้โหพี่
..อันนี้สุดยอด..กรุถ้ำเสือด้วย...ช้ำดีด้วย...สวยคลาสสิกจริงๆ...มันจะขอเช่าผมเลย..บอกเอาไว้
ใช้เอง...แล้วมันก็บอกกับผมว่า....ใช้แล้วโชกโชนแบบนี้..ดูสบาย..สวยกว่า..พวกที่ไม่ได้ใช้เยอะ
ลงรักน้ำเกลี้ยงด้วย...มันบอกว่า..ไอ้พวกเซียนทั้งหลายมันชอบแบบนี้..เอาไว้ห้อยเอง...แล้วมัน
ก็บอกว่า..เวลาซื้อขายทั่วไป..ก็เอากันทุกกรุ..แต่ถ้าเอาไว้ใช้เอง..ต้องกรุถ้ำเสือ..เท่านั้นพี่...
.....แล้วมันก็บอกว่า..กรอบทองโบราณนี่คลาสสิกมาก...ถ้าผมได้ผมก็เก็บไว้แบบนี้เลย..สวยมาก
..................................................
.........ส่วนนึงที่เอาเรื่องนี้..มาเล่า..ไม่ได้จะอวดของตัวเอง..แต่อยากจะบอกถึง...ธรรมชาติทั่วไป
..ของพระถ้ำเสือ...และค่านิยมจริงๆ..นั่นก็คือ..กรุถ้ำเสือ..ที่ราคาจะแตกต่างมาก..จากกรุอื่นทั้ง
หมด....นักเลงพระเมืองสุพรรณ..ถ้าเลือกได้..เขาก็เอา..แต่..กรุถ้ำเสือ..มาขึ้นคออย่างเดียว
.............อีกอย่าง...ที่กรุนี้..ก็ไม่ได้..มีการพบซ้ำ..พบซ้อน..กันหลายรอบ..แบบ..ของกรุอื่น..ด้วย..
.........จากจุดเริ่มที่..ท่านไปหาอ่านในเว็บต่างๆได้มีประวัติลงกันเยอะแยะ...การพบครั้งแรกที่
ถ้ำเสือ..นี้..เมื่อประมาณปี ๒๔๘๗..ก็เพราะ..คนไปเก็บขึ้ค้างคาว..เพื่อเอาขายทำปุ๋ยกัน...
.............เนื่องจากเขาบริเวณนี้...ไม่ใช่หินปูน...ถ้ำที่พบ..ไม่ว่าจุดไหนๆ..ก็จะเป็นถ้ำที่แคบ..
เพดานต่ำ..ไม่ลึกมาก....ทำให้..ขี้ค้างคาวที่มันอาศัยอยู่..จะกองรวมกันหนา...จึงทำให้การค้นพบ
ไม่ได้ง่ายนัก...ของกรุอื่น...ก็มาพบหลังถ้ำเสือ..เป็นยิ่สิบปีเป็นอย่างน้อย....
........คือ...ถ้าพระกองอยู่ที่พื้น..และอยู่จุดลึกสุด...เวลาโกยขี้ค้างคาวไปขายทั่วๆไป..ถ้าไม่ได้เอา
ไปทั้งหมด..ก็จะไม่พบ..ก็คือ..ค่อยๆทยอยเอาออกไป...พอถึงเวลาอีกที..ขี้มันก็กลับมาทับที่เดิม
...ก็มาโกยออกไป..บริเวณเดิมอีก....อาจทำให้...บางกรุมีการพบกัน..ถึง ๒ ครั้ง...อย่างว่า..
พอได้ขี้มันตามที่ต้องการก็ไม่ต้องมานั่งดูโน่น..ดูนี่กันหรอก..ทั้งเหม็นทั้งฉุนโคตรๆ
.............ถ้าท่านเคย..อยู่ท่ามกลางขี้ค้างคาวหนาๆ..จะทราบว่า..มันอยู่ตรงนั้นนานไม่ได้เพราะ
กลิ่นมันฉุนมาก..เป็นก๊าซพิษ..ในตระกูล..อ็อกไชด์ของ..ไนโตรเจนและ..พวกฟอสฟอรัส..ทำลายเยื่อบุ
โพรงจมูกได้...ผมคุ้นเพราะ..ห้องพระเก่าของบ้านปู่ผมเป็นเรือนไทยโบราณฝาปะกน...ขี้ค้างคาว
เกลื่อนพื้นเลย...ต้องคอยเอากำยานจุดไล่กลิ่น..และ..ไล่ค้างคาวออกไป..เป็นประจำ..ฉุนจริงๆครับ
...........นี่ขนาดห้อง..มันยังมีอากาศถ่ายเทบ้าง..แต่ถ้าเป็นถ้ำแคบๆนึกดูแล้วกัน..มันจะเป็นกี่สิบเท่า
...ต่อให้คุ้นก็เถอะ...อย่างถ้ำหินปูน..ที่ค้างคาวขี้ไว้..เกือบทั้งหมด..สูง..และกว้างลึก..สลับซับซ้อน
...อากาศภายนอก..มันยังเข้าไปได้ดีกว่า..คุณยังอยู่ไม่ได้นานเลย..ถ้าไปยืนอยู่ใกล้กองขี้ค้างตาว
......ยิ่งมาเปรียบ..กับ..ถ้ำแบบนี้..ไม่ได้เลย..เพราะแคบ...เพดานต่ำ..เรียกว่า..ทำงาน..ทำธุระเสร็จ..
ก็ต้องรีบเผ่น..แทบไม่มีใครมานั่งสังเกตสังกา..อะไร...ไม่งั้นปอด..หลอดลม..พังหมด...
ดังนั้น..บางท่าน..สงสัยว่า..โอ้ย..ทำมันไม่เจอกันตั้งปีมะโว้แล้ว..ก็เพราะ..
สาเหตุที่บอกไปนั่นแหละครับ.....
...........................ต่อตอนหน้า...............................

 

ติดตามอ่านอย่างใจจดใจจ่อครับ...รู้สึกเหมือนเป็นกระทู้ วิทยาศาสตร์และพระเครื่อง เรื่องธรรมชาติพระเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ใครจับจุดได้อย่างน้อยก็ไม่โดนพระกุ เล่นงานแน่นอนครับ...เพราะธรรมชาติและกาลเวลานั้นไม่โกหกเราแน่นอน...ขอบคุณคุณอามากๆครับที่มาช่วยชี้แนะ...ปล. ได้เก็บเอาไปพิจารณาพระโคนสมอที่มีอยู่ได้ ชัดเจนเลยครับ...

 

.......
..เอ้อ...หายไปนานเลยนะเรา....
..ดีแล้ว..ที่คิดเอาไปประยุกต์..ดูธรรมชาติ..พระอื่นต่อไป..ดีแล้ว
อ่านไปคิดไป..ทำความเข้าใจ..ไม่ต้องจำ..คนไม่ใช่นกแก้ว..นกขุนทอง...เลียนแบบ..คนที่สอนอย่างเดียว..โดยไม่เข้าใจอะไร...
...ไอ้คนสอน..สอนคำด่า..มันก็ด่าตาม..เพราะมันไม่รู้..ไม่เข้าใจ..
....อย่าหยุดพัฒนาสมอง..เราฐานะ..ขาเก่า..ขาแก่..
....สมควรแล้ว..สมควรแล้ว...

 

สวัสดีครับคุณครู _/\_
อ่านกระทู้นี้ทีไรผมนึกถึงคุณครูสอนโบราณคดีของผมคนนึงสมัยเรียนมัธยมทุกทีเลย ท่านสอนให้เป็นคนละเอียด หัดสังเกตุ+วิเคราะห์กันสุดๆ ถ้ามั่วนิ่มหรือยกเมฆมานี่โดนตีไหล่ทรุดเลย T__T
คิดว่าถ้าคุณครูผมเล่นพระเครื่องด้วยสงสัยเซียนพระที่ชอบยกเมฆเล่าตำนานอ่านบทกลอนคงโดนดีดหูหลุดกันยกห้างแน่ๆเลยครับ ^__^

 

ใช่เลยครับพี่

 

สวัสดีครับคุณอา..มาติดตามอ่านบทความดีๆมีสาระเหมือนเช่นเดิมครับ

 

........
...หวัดดี Mastertestศิษย์ครู..น้องเหลิม..และ..เฉียวฟงหลานรัก
....................................
...ต่อจากกตอนที่แล้ว...
..............................
.............................................................
........ครั้งแรกที่เจอที่..ถ้ำเสือ..ตามข้อมูลที่ทราบ..และ..หลักความเป็นไปได้...อย่างแรก..
..เพราะบังเอิญ..แต่อย่างว่า..พอค้นหาเพิ่มเติมตอนนั้น..เนื่องจากไม่ได้เตรียมตัว..น่าจะออกไป
เป็นหลักสิบก่อน...ผมเคยบอกแล้วว่า..พระถ้ำเสือนี่..สร้างประสพการณ์ไวมาก..เมื่อมีประสพ
การณ์กัน..ก็คงทยอยมาขนออกไป..จากที่บอกว่า..พระคงปนเปอยู่กับขี้ค้างคาว..ก็คงต้องโกย
กันพอควร..แต่เมื่อขี้เยอะ..ก็คงทำได้ครั้งละไม่นานมาก...แต่ก็..ใช้เวลาจากการพบ....ในครั้งแรก
..ไม่นานนัก...เนื่องจากประสพการณ์ดี..พระก็หมดไปจากถ้ำจริงๆ...ไอ้ที่มีข่าวกระเส็นสาย...
ว่ามีพบ..เพิ่มเติมอีกภายหลังนั้น..หลัง ๒๕๐๐ มาอีกนั้น..ไม่จริง..มีแต่พบที่ถ้ำอื่นบ้าง..เวลา
ปล่อย..ก็..เหมาว่าเป็น..ของกรุถ้ำเสือ...พระทั้งหมดมีจำนวนไม่มาก...
.....และราคาขึ้นเร็ว..จึงเป็นที่นิยม..ในกลุ่มนักนิยมพระเมืองสุพรรณ..และในเมืองหลวง..จนเมื่อ
ประมาณ ปี ๒๕๐๖-๒๕๐๗...ก็จึงเกิดการพบกัน..ในถ้ำต่างๆ..หลายแห่ง..แต่ก็จำนวนไม่มากนัก
เช่นกัน...ผมจำได้ว่า..เมื่อเริ่มเดินสนามวัดมหาธาตุใหม่ๆ...ก็เริ่มได้ยิน..เรื่องพระ..กรุวัดเขาดีสลัก
...บางแล้ว...ว่าเป็นกรุล่าสุดที่พบถ้ำเสือ...ตอนหลังก็มาพบข้อมูลว่า..เมื่อ..ประมาณ ปี ๒๕๐๙..
..หรือไงนี่แหละ(..ผมเริ่มเดินสนาม..ประมาณปี ๒๕๑๑-๒๕๑๒)..มีการพบที่เขาดีสลักเป็นครั้ง
แรก..แต่พระออกมาน้อย...ตอนช่วงนั้น..เรียกว่า..พวกกรุเขาพระ..กรุวัดหลวง...และ..วัดเขาดีสลัก
นี่..สำหรับสนามกลางนี่..แทบไม่มีคนเล่น..เพราะไม่แน่ใจ...จนอาจารย์มนัส มาศึกษาจริงๆจังๆ
..เขียนบทความลง..ทั้ง..ในหนีงสือพิมพ์เสียงสุพรรณ..ของท่านเอง..และ..ออกหนังสือมา...
จึงเริ่มมีคนเล่นบ้าง...แต่กระนั้น..ก็ยังเป็นส่วนน้อย..ต้องใช้วิธีหลอกกัน..ว่าเป็นกรุถ้ำเสือกัน..ถึง
พอจะปล่อยได้ในสนามกลาง...ขณะเดียวกัน..ของปลอม..ก็ออกมาต้อนรับกันเพียบ.....
............ส่วนนึงเพราะ...เนื้อหา..พวกกรุหลังๆนี่...มันมีความแตกต่าง..จากรุถ้ำเสือด้วย...นอกจาก
เนื้อจะไม่ละเอียดเท่า..(คือจริงๆนะ..กรุถ้ำเสือนี้..เนื้อละเอียดนะครับ..แน่น..แต่มี..แร่ควอรตซ์..
ปนอยู่บ้าง...ต่างจาก..วัดบ้านกร่าง...ที่..มีพวกแร่ควอรตซ์(หรือ..เม็ดทรายที่หยาบ)..ปนกระจาย
ตลอดอยู่ในเนื้อ...จึงกลายเป็นทำให้เนื้อออกไปทางหยาบ...ผมศึกษาเนื้อใน..บ้านกร่างได้อย่าง
ละเอียด..เพราะ..พลาบคู่ตัดเดี่ยวที่..ผมถักลวดเงินห้อยไว้ติดตัวนั่นเอง..ตรงรอยแบ่งพระ..ที่
ใช้..การหักนั้น..ทำให้เราส่องดูรายละเอียดได้อย่างดี)...สังเกตได้ว่า..ถ้าเอาสำลีปัด..กรุถ้ำเสือ
เนื้อจะมันวาวเลย...สีผมดูแล้ว..ก็เข้มกว่าหน่อยๆ..พอมาดูภาพรวม..ก็คือ..หล่อกว่านั่นเอง....
......นอกจากนั้น..ส่วนใหญ่แล้วพระกรุถ้ำเสือ..เนื่องจากแตกมานานแล้ว..ตั้งแต่..พระยังไม่ได้
เป็นธุรกิจ...พระส่วนใหญ่ก็เอาไปใช้งานกันจริง..ผมเคยสอบถามเรื่องนี้สมัยก่อน..พวกชาวบ้าน
..ก็เอาไปห่อไว้ในผ้ายันต์..พกติดตัว..กันบ้าง..ที่ถักเป็นรอยลวดทองแดง..ก็เคยเห็นอยู่ครั้งนึง
....ดังนั้น..พระจะถูกสัมผัส..กันซะเป็นส่วนใหญ่..พระจึงเนื้อสวย.....
.......ส่วนที่มาเจอกัน..ทีหลัง..พระยังไม่ได้ใช้..ก็เอามาปล่อยกัน..มีทั้งขี้ฝุ่นเศษดิน..อยู่ตามซอก
และ..ผิว...ดูแล้วออกเป็นพระคลุกขี้ดิน..สีก็ซีด..ขาดเสน่ห์...แล้วมันก็จะแทบแยกกันไม่ออกกับ
..กรุถ้ำเสือปลอมด้วย...เพราะ..ไม่ได้ใช้เหมือนกัน...แถมเจ๋งตรง..เอาไปหมักขี้ค้างคาวไว้...
ได้คอนเซปต์เลย..ข้อดี..มันดับกลิ่นดินเผาใหม่..เรียบวุธไปในตัว...เพราะกลิ่นมันแรงกว่ากันมาก..
.........จนมาเมื่อ..ประมาณปี ๒๕๑๖-๒๕๑๗..นี่ละครับ..ธุรกิจพระกำลังเฟื่องฟู...ก็เกิดมีการพบ
พระถ้ำเสือ..จำนวนมาก(มากกว่า..ทุกกรุที่เคยพบมา)..ในถ้ำที่วัดเขาดีสลัก..พร้อมกับ..พระพุทธบาท
จำลองด้วย......เป็นเรื่องดังในยุคนั้น....
...........ตอนนั้น..ถือว่า..เป็นการพบล่าสุด..และเป็น..ชุดสุดท้าย..ที่วงการยอมรับเล่นหากัน...โดย
บรรดาเซียนใหญ่..และ..การยืนยัน..จากผู้เชี่ยวชาญถ้ำเสือ..คือ..อาจารย์มนัส...อีกส่วนนึงที่น่าเชื่อถือ
ใน..ตอนนั้น...เพราะที่ผมบอกไป..ว่า..ธรรมดาทั่วไป..คนที่ไปขนขี้ค้างคาว...พอขนได้จำนวนแล้ว
ก็ต้องรีบออกกัน...ทั้งที่..พระบาทนี้..อันเบ้อเริ่มเทิ่ม..แต่ไม่เคยมีใครพบมาก่อน...เพราะถ้าเจอโดย
คนอื่่น..ก่อนหน้านี้..ป่านนี้..อาจไปอยู่เมืองนอกแล้ว....เพราะนอกจากจะเก่าแล้ว..ยังสวยงามมาก
...แต่โชคดี..เพราะคนเจอเป็นพระลูกวัด..เขาดีสลักนั่นเอง....
......................ต่อตอนหน้า....................

 

ขอบพระคุณสำหรับข้อมูลครับคุณลุง รอติดตามตอนต่อไปครับ

 

ขอบคุณครับพี่ รออ่านรายละเอียดตอนต่อไป