ชาวบ้านฮือฮา..หลวงพ่อพิมพ์ประกาศรู้วันละสังขารวันที่9เดือน9เวลา3ทุ่ม

ศิษย์แห่เฝ้าหลวงปู่พิมระบุจะมรณะ9ก.ย.นี้





<EMBED height=350 type=application/x-shockwave-flash width=670 src=http://www.komchadluek.net/js/plugin_jw/player.swf bgcolor="0x000000" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" flashvars="&autostart=true&backcolor=0x000000&file=http%3A%2F%2Fvideolink.nationchannel.com%2Fdata%2F11%2F2014%2F09%2F08%2Fcdjddc7ih6gdcdde6acbk.mp4&frontcolor=0xeeeeee&image=http%3A%2F%2Fwww.komchadluek.net%2Fmedia%2Fimg%2Fsize5%2F2014%2F09%2F08%2F9c9akk6abjk5h99kcjijk.jpg&lightcolor=0xeeeeee&plugins=viral-2d&screencolor=0x000000">


หลวงปู่พิมเกจิอาจารย์ชื่อดังวัดป่าเวฬุวัน ลูกศิษย์หลวงปู่มั่นรูปสุดท้าย ระบุรู้วันมรณภาพสามทุ่ม 9 กันยายนนี้ ญาติโยมแห่เข้ากราบ

เรื่องราวของเกจิดัง พระอาจารย์ที่พุทธศาสนิกชนในภาคอีสานให้ความเคารพนับถือ ที่ระบุวันมรณภาพของตัวเองไว้ที่เวลา 21.00 น.วันที่ 9 กันยายนนี้ และได้มีการนำโลงศพมาไว้ที่วัดแล้วระยะหนึ่งนั้น

ล่าสุดเมื่อวันที่ 8 ก.ย. 57 พุทธศาสนิกชนจากทั่วประเทศต่างเดินทางมาร่วมทำบุญและปฏิบัติธรรม ที่วัดป่าเวฬุวัน บ้านท่าเริงรมย์ ต.ทุ่งพระ อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ หลังจากมีการบอกเล่ากันปากต่อปากว่าหลวงปู่ธนวัฒน์ สิริพิมโพ หรือที่ชาวบ้านเรียกว่าหลวงปู่พิม เจ้าอาวาสวัด บอกว่าเตรียมละสังขารในวันที่ 9 กันยายน 2557 เวลา 21.00 น. จึงทำให้ลูกศิษย์จากทุกสารทิศที่รู้ข่าวต่างเดินทางมานมัสการ และได้ร่วมสมทบเงินบริจาคทำบุญเพื่อสร้างสะพานข้ามลำห้วยลำน้ำเซิญ โดยได้ทยอยเข้ามารับภาพของหลวงปู่พิมที่มอบให้ไว้เป็นที่ระลึกด้วย ในภาพมีคำสอนข้อเตือนใจให้ลูกศิษย์ ได้ยึดไว้เป็นแนวทางในการประพฤติ ปฏิบัติ

หลวงปู่ธนวัฒน์ สิริพิมโพ เจ้าอาวาสวัดป่าเวฬุวัน หรือหลวงปู่พิม เล่าว่า เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2492 เดิมเป็นชาวจังหวัดเพชรบูรณ์ จากนั้นย้ายภูมิลำเนามาอยู่ที่ จ.ร้อยเอ็ด เมื่อเป็นหนุ่มเดินทางไปขายแรงงาน ขับรถเทลเลอร์ที่ประเทศซาอุดิอารเบีย ระหว่างทำงานอยู่นานกว่า 13 ปี มีความสนใจ เลื่อมใสพระพุทธศาสนา และศึกษาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เมื่อตัดสินใจเดินทางกลับประเทศไทยเมื่อปี 2536 จึงเข้าสู่ใต้ร่มกาสาวพัสตร์ ที่วัดอนงค์คาราม อารามหลวง ธนบุรี กรุงเทพมหานคร ศึกษาพระธรรมอยู่ประมาณ 1 ปี จนปี 2537 ตัดสินใจออกเดินธุดงค์ไปทั่วประเทศ กระทั่งปี 2541 มาพบเห็นสถานที่บ้านท่าเริงรมย์ ต.ทุ่งพระ อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ แห่งนี้ซึ่งเชื่อว่าเป็นพุทธภูมิเดิม จึงตัดสินใจสร้างวัดป่าเวฬุวันขึ้นจนถึงปัจจุบัน

“อาตมาเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่นองค์สุดท้ายยึดปฏิบัติตามแนวคำสอนของหลวงปู่อย่างเคร่งครัด เมื่อปี 2538 เห็นและรู้วันเวลามรณภาพของตัวเอง บอกลูกศิษย์คนใกล้ชิดไว้ โดยไม่ได้ป่าวประกาศให้คนทั่วไปรับรู้ เมื่อถึงเวลาก็จะละสังขารตามกำหนด คือวันที่ 9 ก.ย. 57 นี้ เมื่อพระอาทิตย์ตกดินอาตมาห้ามทุกคนเข้ามาในบริเวณกุฎิ เพื่อจะทำสมาธิและนอนในโลงที่เตรียมไว้ และจะแยกร่างปลงสังขารในเวลา 21.00 น. ระหว่างนี้ได้สั่งห้ามทุกคนเข้ามาจนกว่าจะครบ 3 วัน คือวันที่ 11 ก.ย. 57 เวลาประมาณ 13.00 น. จึงให้ลูกศิษย์เข้ามานำร่างไปไว้ยังสถานที่ประกอบพิธีที่อยู่ใกล้กัน เพื่อนำร่างไปเผาในเวลา 21.00 น.” หลวงปู่พิม กล่าว

หลวงปู่ธนวัฒน์ (พิม) สิริพิมโพ หรือหลวงปู่พิม เจ้าอาวาสวัดป่าเวฬุวัน อายุ 65 ปี มีโรคประจำตัว เช่น กรดไหลย้อน แผลในกระเพาะอาหาร และโรคเก๊าท์ ที่ต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์ จ.ขอนแก่น อย่างต่อเนื่อง ตลอดทั้งวันนี้และวันพรุ่งนี้หลวงปู่พิมเตรียมตัวละสังขารด้วยการงดฉันน้ำและอาหาร ยังคงปฏิบัติธรรมตามปกติ ระหว่างนี้มีประชาชนทีทราบข่าวเดินทางมาอย่างต่อเนื่อง พร้อมกันนี้ได้กำชับให้ทุกคนไม่ต้องจัดพิธีศพ ไม่สวดศพ ไม่สั่งเสียก่อนละสังขาร ไม่ต้องร้องไห้เสียใจ เมื่อมรณภาพแล้วให้เผาอย่างเรียบง่ายเท่านั้น

“อาตมารู้วันเวลามานานแล้ว ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องเสียใจ การตายเป็นเรื่องธรรมดา เป็นปกติของมนุษย์ สิ่งที่สั่งเสียไว้คือให้ลูกศิษย์ลูกหาได้ยึดถือรักษาศีลตามที่องค์สัมมาสัมพุทธเจ้าได้สอนไว้เท่านั้น ส่วนในวัดพระมหาบัว ปิยวัณโณ จะเป็นเจ้าอาวาสต่อจากอาตมา จะดูแลและสั่งสอนลูกศิษย์ต่อไป ข้อที่สั่งเสียไว้ก่อนตายคืออย่าสร้างวัตถุ เช่นโบสถ์ กำแพงวัด ประตูวัด เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่ได้อยู่ในคำสอนของพระพุทธเจ้า ถือเป็นวัตถุนอกกายที่ไม่มีความจำเป็นกับการรักษาศีล ปฏิบัติธรรม” หลวงปู่พิมกล่าว

ด้านนายกิตติ์ธเนศ วัชรพรธนะพงศ์ อายุ 40 ปี ชาวกรุงเทพมหานคร บอกว่า เป็นลูกศิษย์ลูกหามานานกว่า 10 ปีแล้ว โดยยึดคำสอนของพุทธศาสนาตามที่หลวงปู่พิมได้สอนไว้ ส่วนเรื่องที่หลวงปู่รู้วัน เวลามรณภาพนั้น ได้ยินมาประมาณ 4-5 ปีแล้ว เชื่อว่าหลวงปู่จะมรณภาพตามที่เห็นจริง นอกจากนี้กำชับให้ทุกคนเตรียมตัว ไม่ให้ร้องไห้เสียใจกับการจากไป จึงไม่รู้สึกกังวล โดยจะยังคงยึดคำสั่งสอนของหลวงปู่พิมเป็นแนวทางในการปฏิบัติ

........

ที่มา
komchadluek.net

 

วันนี้หรือครับ สาธุ

 

กราบนมัสการหลวงปู่ครับ

 

ที่บอกว่าศิษย์หลวงปู่มั่นรูปสุดท้ายนี่ ยังไงครับ ปีที่ท่านเกิดหลวงปู่มั่นละสังขารแล้ว และหลวงพ่อพิมบวชเมื่อปี2536

 

อวดอุตริฯ
หลวงปู่มั่น มรณภาพ เมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๒
หลวงปู่พิม เล่าว่า เกิดเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๒
“อาตมาเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่นองค์สุดท้ายยึดปฏิบัติตามแนวคำสอนของหลวงปู่อย่างเคร่งครัด...

มันขัดแย้งกันนะ...

 

หลวงปู่มั่น มรณภาพ2492
หลวงปู่พิม เล่าว่า เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2492 ยังไงครับยังไง.....

 

หลวงปู่พิมพ์ ยุติละสังขาร ตร.ช่วยเหลือออกจากโลง





นำเสนอข่าวโดยทีมงาน Sanook.com

(10 ก.ย.) จากกรณีที่ หลวงปู่ธนวัฒน์ สิริพิมโพ หรือ หลวงปู่พิม เจ้าอาวาสวัดป่าเวฬุวัน อ.คอนสา จ.ชัยภูมิ ได้ประกาศละสังขารตามกำหนด วันที่ 9 กันยายน 2557 เวลา 21.00 น. โดยได้ทำสมาธิและลงนอนในโลงที่ตั้งอยู่ภายในกุฏิวัด ท่ามกลางญาติโยมที่นับถือศรัทธาหลายพันคน แต่ล่าสุดทางสำนักพุทธศาสนาแห่งชาติได้เจรจาขอเปิดโลงออก เพื่อช่วยเหลือ หลวงปู่พิม ที่มีอาการอ่อนล้าอย่างหนัก
ความคืบหน้าบรรยากาศที่วัดป่าเวฬุวัน จ.ชัยภูมิ เมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา ทางสำนักพุทธศาสนาแห่งชาติได้มีการประสานเจรจากับทางวัด เพื่อให้เปิดโลงออกก่อนกำหนด จากเดิมเป็นช่วงค่ำวันที่ 11 กันยายนที่จะถึงนี้ เนื่องจากไม่ต้องการให้กรณีดังกล่าวเป็นการอัตวินิบาตกรรม หรือ การฆ่าตัวตาย หลังจากที่ หลวงปู่พิม ลงนอนในโลงตั้งแต่เมื่อค่ำวานนี้ เป็นเวลาเกือบ 20 ชั่วโมง
ทั้งนี้ เมื่อเวลาประมาณ 16.00 น. แหล่งข่าวแจ้ง ว่า การเจราจาระหว่างทางวัดกับสำนักพุทธศาสนาแห่งชาติเป็นผลสำเร็จ เจ้าหน้าที่สาธารณสุขประจำจังหวัดและเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการเปิดโลง เพื่อช่วยเหลือและนำตัว หลวงปู่พิม ออกมาได้ ขณะนี้ หลวงปู่พิม ยังไม่ได้ละสังขาร แต่มีอาการอ่อนเพลียเป็นอย่างมาก โดยได้นำส่งรักษาที่โรงพยาบาลคอนสาในเบื้องต้น


ที่มา
news.sanook.com

 

ทำไมต้องนอนในโลง นอนนอกโลงก็ละสังขารได้ครับ

 

ล่าสุด หมอและตำรวจ เจ้าหน้าที่ สำนักพุทธ จ.ศรีษะเกศ นำตัวส่ง โรงพยาบาล แล้ว ไม่ มรณะภาพแล้ว

 

...?

 

เจ้าคณะจังหวัดลุยเอง พบนั่งวิปัสสนาในกุฏิ โว‘ตายแล้วฟื้นคืนชีพ’ ส่งรพ.-โทษแค่เตือน

เจ้าคณะจังหวัดชัยภูมิเอาจริง พาตำรวจบุกกุฏิ “หลวงพ่อพิมพ์” หลังประกาศละสังขารมา 1 วัน พบสมภารฉาวแอบเปิดฝาโลงออกมานั่งวิปัสสนาอยู่ก่อนแล้ว เทศน์สั่งสอนนานร่วม 1 ชม. ถึงร่ำไห้น้ำตาอาบแก้ม ก่อนที่ตำรวจจะหิ้วปีกพาขึ้นรถส่ง รพ. โดยระหว่างขึ้นรถยังหันมาบอกญาติโยม “อาตมาตายไปแล้ว แต่เทวดาไม่ยอมรับ คืนวิญญาณกลับเข้าร่างอีก” ผบก.ภ.จ.ชัยภูมิ ลั่น หากมีเจ้าทุกข์แจ้งความไม่ว่ากรณีใด ตำรวจพร้อมดำเนินคดีทันที พร้อมจัดกำลังคุมเข้มวัด ขณะที่ญาติโยมยังแห่เข้าวัด แค่ 2 วันยอดบริจาคพุ่งกว่า 3 แสนบาท เจ้าคณะจังหวัดชี้โทษแค่ตักเตือน ยังไม่ถึงขั้นจับสึก อ้างป่วยจนเพี้ยน

กรณีพระครูเวฬุวัน จันทะรังสี หรือ “หลวงพ่อพิมพ์” อายุ 65 ปี เจ้าอาวาสวัดเวฬุวัน หมู่ 4 บ้าน ท่าเริงรมย์ ต.ทุ่งพระ อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ ประกาศละสังขารในวันที่ 9 เดือน 9 เวลา 21.00 น. ซึ่งหมายถึงวันที่ 9 ก.ย.2557 ที่ผ่านมา โดยเข้าไปนอนในโลงศพที่ทำด้วยไม้มะค่า ขอบโลงมีการฉลุเป็นร่องรูหลายสิบร่อง ในท่านอนตะแคงขวา พร้อมสั่งกำชับลูกศิษย์ไม่อนุญาตให้ใครขึ้นไปบนกุฏิที่ตั้งโลงศพ โดยให้เปิดโลงศพได้ในวันที่ 11 ก.ย. เวลา 16.00 น.หลังที่ละสังขารไปแล้ว สร้างความแตกตื่นให้กับชาวบ้านแห่กันไปดูการประกาศละสังขารของพระครูเวฬุวันไม่ขาดสายจนแน่นขนัดไปทั้งบริเวณวัดแล้วนั้น ในขณะที่แพทยสภาเตือนศิษย์ข้างแคร่พระครูเวฬุวันระวังจะมีความผิดไปด้วยเพราะการที่พระครูเวฬุวันเข้าไปนอนในโลงจนขาดอากาศหายใจมรณภาพแล้วไม่ช่วยถือว่ามีความผิด

ความคืบหน้าเมื่อช่วงเช้าวันที่ 10 ก.ย. ผู้สื่อข่าวเดินทางไปสังเกตการณ์ที่วัดเวฬุวันอีกครั้ง พบว่ากุฏิของพระครูเวฬุวัน ซึ่งเป็นกุฏิชั้นเดียวตั้งอยู่บนเนินสูงหลังศาลาการเปรียญ ใช้อิฐปูเป็นขั้นบันไดขึ้นไปยังกุฏิเป็นทางยาวหลายสิบเมตร มีช่องทางเข้าออกเพียงช่องทางเดียว และเป็นที่ตั้งโลงศพภายในมีร่างของพระครูเวฬุวันที่ประกาศละสังขารนอนอยู่ ทางวัดได้จัดเจ้าหน้าที่มาเข้าเวรยามรอบกุฏิ ห้ามบุคคลภายนอกเข้าไปในบริเวณกุฏิ พร้อมนำด้ายสายสิญจน์มาขึงรอบกุฏิคล้ายการทำพิธีกรรมบางอย่าง ขณะเดียวกันก็ยังคงมีประชาชนที่ทราบข่าวแห่กันไปที่วัดอย่างต่อเนื่องจนแน่นขนัดไปทั้งบริเวณวัดเพื่อดูว่าพระครูเวฬุวันจะละสังขารตามที่ได้ประกาศไว้ก่อนหน้านี้หรือไม่ แต่ก็ต้องผิดหวังไปตามๆกัน เนื่องจากทางวัดไม่อนุญาตให้ขึ้นไปบนกุฏิที่ตั้งโลงศพ ชาวบ้านได้แต่นั่งจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกันไปต่างๆนานา โดยบางคนเชื่อว่าพระครูเวฬุวันสามารถละสังขารตามที่ประกาศไว้ได้จริง ในขณะที่บางคนไม่เชื่อว่าจะทำได้ เป็นการอวดอุตริมากกว่า

ตอนสายวันเดียวกัน พระครูปริยัติเขตคณารักษ์ เจ้าคณะอำเภอคอนสาร จ.ชัยภูมิ พร้อมนายสุนันท์ ศรีสุข เจ้าหน้าที่จากสำนักงานพระพุทธศาสนา จ.ชัยภูมิ พ.ต.อ.พงษ์ศักดิ์ สุขอิ่ม ผกก.สภ.คอนสาร เดินทางไปที่วัดเวฬุวัน พร้อมแจ้งให้กับทางวัดทราบว่าจะขอขึ้นไปตรวจสอบกุฏิที่ตั้งโลงศพของพระครูเวฬุวัน แต่พระมหาบัว ปิยวรรณโณ พระน้องชายของพระครูเวฬุวันไม่อนุญาต เจ้าหน้าที่ใช้เวลาในการเจรจานานกว่า 2 ชั่วโมง พร้อมอ้างหนังสือจากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ให้เข้ามาตรวจสอบข้อเท็จจริง พระมหาบัวจึงยินยอมพาเจ้าคณะอำเภอและเจ้าหน้าที่ขึ้นไปตรวจสอบ แต่ไม่อนุญาตให้ชาวบ้านและสื่อมวลชนขึ้นไปด้วย โดยอนุญาตให้เจ้าหน้าที่ยืนอยู่ห่างจากโลงศพประมาณ 5 เมตร ภายหลังจากการตรวจสอบ นายสุนันท์ ศรีสุข เจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธศาสนา จ.ชัยภูมิ เผยว่า เท่าที่สังเกตผ่านรูที่เป็นร่องขอบโลงพบว่า มองเห็นจีวรพระเป็นรูปร่างพระครูเวฬุวันนอนอยู่ในโลงศพในท่าตะแคงขวา ตนได้รับคำสั่งจากสำนักงานพระพุทธศาสนา จ.ชัยภูมิ ให้เป็นตัวแทนมาตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้น เพื่อรายงานไปยังสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติทราบ ขณะนี้ทางการยังไม่มีมาตรการใดๆ ให้ดำเนินการ

พระมหาบัว ปิยวรรณโณ พระน้องชายพระครูเวฬุวัน ที่ได้รับมอบหมายจากพระครูเวฬุวันก่อนประกาศละสังขารให้ดูแลวัดแทนกล่าวว่า ความจริงแล้วพระครูเวฬุวันมีโรคประจำตัวรุมเร้าอยู่หลายโรค อาทิ ความดันโลหิตสูง โรคเกาต์ โรคเบาหวาน จึงเกิดความเบื่อหน่ายไม่ยอมฉันยา หันมาปฏิบัติธรรมแทนเพื่อแสวงหาทางหลุดพ้นด้วยการละสังขาร พระครูเวฬุวันตั้งใจจะพัฒนาวัดด้วยการสร้างสะพานคอนกรีตเสริมเหล็กเชื่อมระหว่างวัดกับหมู่บ้าน แต่ยังขาดงบประมาณอยู่จำนวนมาก พระครูเวฬุวันได้เคยพูดกับลูกศิษย์ไว้ว่า ในวันที่ 9 เดือน 9 จะมีเงินหลั่งไหลเข้ามาในวัดเอง ขณะนี้ทางวัดได้นำเงินที่ได้จากการรับบริจาควันแรก 1 แสนบาทเศษและวันที่สองอีก 2 แสนบาทเศษไปฝากไว้กับธนาคารแห่งหนึ่งแล้ว ส่วนกรณีมีข่าวลือว่าพระครูเวฬุวันแอบหลบหนีออกไปจากวัดตั้งแต่เมื่อกลางดึกที่ผ่านมานั้น ขอยืนยันว่าพระครูเวฬุวันยังนอนอยู่ในโลง

“หลวงพ่อพิมพ์ป่วยมานานหมอให้ยามาฉันก็ไม่หาย หลวงพ่อเลยเลิกฉันยาและตั้งใจปฏิบัติฌาณสมาบัติ 4 ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า หลวงพ่อเคยทำลักษณะนี้มาแล้วคือนอนในโลงศพ แบบไม่ฉันอะไรเลยนอกจากน้ำมาแล้ว 7 วัน โดยห้ามคนไปยุ่งเหมือนกับครั้งนี้ และหลวงปู่ก็ไม่มรณะ อาการป่วยต่างๆก็ดีขึ้น ในครั้งนี้ก็เช่นกันหลวงพ่อก็ตั้งใจจะทำแบบเดิม โดยจะนอนอยู่ภายในโลง 3 วัน แบบลักษณะปลงสังขารและจะไม่ฉันอะไรเลย ไม่ให้ใครเข้าไปใกล้หรือรบกวนใดๆ จากนั้นในวันที่ 11 ก.ย. เวลา 16.00 น. ให้ขึ้นไปดูหาก มรณภาพก็ให้นำร่างไปเผาในเวลา 21.00 น. แต่ถ้าไม่มรณภาพ ก็จะดำเนินกิจของสงฆ์ต่อไป” พระมหาบัวกล่าว

ต่อมาเวลา 15.00 น.พระราชภาวนาวราจารย์ เจ้าคณะจังหวัดชัยภูมิ พร้อมด้วย พล.ต.ต.พินิต มณีรัตน์ ผบก.ภ.จ.ชัยภูมิ พ.ต.อ.พงษ์ศักดิ์ สุขอิ่ม ผกก.สภ.คอนสาร นายชนะโชติ ศรีกุล ปลัดอาวุโส อ.คอนสาร จ.ส.อ.พจน์ เดชสูงเนิน ทหารสังกัด กกล.รส. จ.ชัยภูมิ นพ.สุภาพ สำราญวงษ์ ผอ.รพ.คอนสาร นำกำลังตำรวจทหารกว่า 20 นาย เดินทางไปที่วัดเวฬุวันเข้าเจรจากับพระมหาบัว ปิยวรรณโณ พระน้องชายของพระครูเวฬุวัน ก่อนที่พระมหาบัวจะนำคณะขึ้นไปยังกุฏิที่ตั้งโลงศพ ปรากฏว่าพบพระครูเวฬุวัน เปิดฝาโลงออกมานั่งวิปัสสนาอยู่ในกุฏิก่อนหน้าแล้ว โดยเจ้าหน้าที่แจ้งเหตุผลว่าทางสำนักพระพุทธศาสนาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่สามารถปล่อยให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นต่อไปได้ หากปล่อยให้พระครูเวฬุวันมรณภาพในสภาพเช่นนี้ ผู้เกี่ยวข้องย่อมมีความผิดตามกฎหมาย

หลังจากนั้นพระราชภาวนาวราจารย์ เจ้าคณะจังหวัดชัยภูมิ ได้เข้าพูดคุยกับพระครูเวฬุวัน พร้อมเทศน์สั่งสอนในทำนองขออย่าได้ละสังขารเลย พระพุทธศาสนายังต้องการพระสงฆ์นักปฏิบัติเพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนาอีกจำนวนมาก หลังจากที่พระราชภาวนาวราจารย์ใช้เวลาเทศน์สั่งสอนอยู่นานกว่า 1 ชั่วโมง ทำให้พระครูเวฬุวันถึงกับร่ำไห้น้ำตาอาบหน้า จังหวะนั้น พล.ต.ต.พินิต มณีรัตน์ ผบก.ภ.จ.ชัยภูมิ ส่งสัญญาณให้ตำรวจเข้าอุ้มประคองร่างพระครูเวฬุวันลงจากกุฏิทันที โดยพระครูเวฬุวันก็มิได้แสดงอาการขัดขืนแต่อย่างใด จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจพยุงร่างพระครูเวฬุวันที่อยู่ในสภาพสีหน้าอิดโรยพาขึ้นรถไปรักษาตัวที่ รพ.คอนสาร โดยก่อนขึ้นรถพระครูเวฬุวันยังหันมากล่าวกับญาติโยมว่า “อาตมาได้มรณภาพไปแล้วตั้งแต่คืนวานนี้ แต่เทวดายังไม่ยอมรับจิตวิญญาณที่ล่องลอยออกจากร่าง จึงคืนวิญญาณให้กลับเข้าร่างอีกครั้ง แล้วเข้ากรรมฐานวิปัสสนาจนขณะนี้” เมื่อกล่าวจบ ญาติโยมหลายร้อยคนต่างส่งเสียงร้อง...สาธุ บางคนถึงกับร่ำไห้ด้วยความดีใจที่พระครูเวฬุวันไม่มรณภาพ ขณะที่ตำรวจอีกส่วนหนึ่งได้รื้อโลงศพแล้วขนลำเลียงลงจากกุฏิ

พล.ต.ต.พินิต มณีรัตน์ ผบก.ภ.จ.ชัยภูมิ กล่าวว่า จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในวัดเวฬุวันครั้งนี้ หากมีผู้เสียหายแจ้งความร้องทุกข์ไม่ว่าจะกรณีใด ทางตำรวจก็จะดำเนินการสอบสวนข้อเท็จจริงตามกฎหมายทันที ส่วนพระครูเวฬุวันทางเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจะดูแลรักษาตัวให้อย่างดี เพื่อให้ร่างกายเข้าสู่ภาวะปกติ อย่างไรก็ตามตนได้สั่งการให้ตำรวจท้องที่จัดกำลังเข้าดูแลความสงบเรียบร้อยภายในวัดเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุร้ายหรือมิจฉาชีพฉวยโอกาสก่อเหตุสร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนต่อไป

นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวว่า ได้สั่งการให้สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดชัยภูมิ (พศจ.ชัยภูมิ) ติดตามกรณีของพระครูเวฬุวันที่ออกมาประกาศละสังขารในวันที่ 11 ก.ย. ล่าสุด ทราบว่าได้มีการนำนิมนต์พระครูเวฬุวันออกจากโลงศพและนำส่งโรงพยาบาลเรียบร้อยแล้ว เพราะทางเจ้าคณะจังหวัดชัยภูมิ ได้แจ้งกับตนว่าพระครูเวฬุวันอาพาธหลายโรค อาจจะทำให้ตัดสินใจพูดอะไรออกไปด้วยการขาดความยั้งคิด จึงให้ออกมาเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลเพื่อให้อาการอาพาธดีขึ้นก่อน และเมื่ออาการดีขึ้นทางเจ้าคณะจังหวัดชัยภูมิ จะมีการพิจารณาอีกครั้ง โดยอาจจะมีการว่ากล่าวตักเตือน เพื่อปรามไม่ให้มีพฤติกรรมในลักษณะนี้ขึ้นมาอีก ส่วนจะมีการพิจารณาโทษถึงขั้นอวดอุตริหรือไม่นั้น ทางเจ้าคณะจังหวัดชัยภูมิแจ้งว่า คงไม่ถึงขั้นนั้น เนื่องจากสิ่งที่พระครูเวฬุวันทำลงไปเป็นผลมาจากการที่อาพาธหลายโรค

'สมภาร'ละสังขาร ถูกจับได้ แอบออกจากโลง - ข่าวไทยรัฐออนไลน์

 

กรณี "หลวงพ่อพิมพ์" หรือพระครูเวฬุวัน จันทะรังสี อายุ 65 ปี เจ้าอาวาสวัดเวฬุวัน หมู่ 4 บ้านท่าเริงรมย์ ต.ทุ่งพระ อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ พระเกจิชื่อ ประกาศละสังขารล่วงหน้าในวันที่ 9 เดือน 9 เวลา 21.00 น. ที่ผ่านมา ซึ่งตรงกับวันคล้ายวันเกิดของตัวเอง ด้วยวิธีนอนเจริญภาวนากำหนดลมหายใจ ภายในโลงศพ และห้ามไม่ให้ญาติโยมเข้าพบหรือเปิดโลงอย่างเด็ดขาด จนกว่าจะถึงวันที่ 11 ก.ย.ค่อยให้แพทย์และเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องมาชันสูตรศพ จนกลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้างว่าเป็นการกระทำที่ไม่สมควร เข้าข่าายการอวดอุตริมนุษยธรรม พร้อมเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งตรวจสอบ กระทั่งเจ้าคณะจังหวัดชัยภูมิ พร้อมตำรวจต้องเข้าเจรจาให้พระเกจิดังยุติการกระทำดังกล่าว โดยอ้างว่าหากปล่อยให้มรณภาพในสภาพเช่นนี้ ผู้เกี่ยวข้องอาจมีความผิดตามกฎหมาย สุดท้ายหลวงพ่อพิมพ์จึงยินยอมเข้ารักษาตัวที่ รพ.ศรีนครินทร์ จ.ขอนแก่น ตามที่เสนอข่าวไปนั้น

ความคืบหน้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 11 ก.ย. พระมหาอภิชาติ ปุณฺณจนฺโท หัวหน้าพระวิทยากรประจำพระอารามหลวง วัดเบญจมบพิตร โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัว ระบุถึงกรณีดังกล่าวว่า "วันที่ 9 เดือน 9 เงินจะหลั่งไหลเข้ามาในวัดเอง" ที่ทำไปทำมาทั้งหมดก็เพื่อสิ่งนี้ ถ้าคณะสงฆ์ยังปล่อยปละละเลยโดยไม่จัดการอะไรเป็นชิ้นเป็นอันหรือจัดการขั้นเด็ดขาด นี่ไม่ใช่รายสุดท้ายแน่นอนจะมีหน้าใหม่ออกมาเรื่อย ๆ พระเล่นแต่มุขเดิม ๆ เพื่อหลอกเอาปัจจัยในกระเป๋าโยม แต่โยมก็ยังไม่หลาบจำถูกหลอกกี่ครั้งโยมก็ยอมแบบนี้เรียกว่า "ศรัทธาที่ไร้ซึ่งสติปัญญา" วิธีหากินของพระสงฆ์สมัยนี้ที่พบเจอบ่อยที่สุด .....มหานิกายปั้นเกจิ ธรรยุติปั้นอรหันต์ ประชาชนคือเหยื่อ...น่าจะปฏิบัติธรรมให้ประชาชนชื่นชมและปฏิบัติตามดั่งพระคุณเจ้าในภาพจะดีกว่าไหมครับหลวงพ่อ หลวงปู่ทั้งหลาย เอวังฯ

ด้านนายนพรัตน์ เบญจวัฒนา ผอ.สำนักพุทธศาสนาแห่งชาติ ออกมายอมรับว่า ในอดีตที่ผ่านมาไม่เคยปรากฏเหตุการณ์เช่นนี้ แม้แต่ในครั้งพุทธกาล เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประกาศกำหนดวันปรินิพพานก็ยังทรงปฏิบัติศาสนกิจจนวาระสุดท้าย แต่การประกาศเช่นนี้กลัวว่าสังคมจะเกิดความสับสนว่าจริงหรือไม่ ผิดหรือไม่ ส่วนตัวคิดว่าเป็นการกึ่ง ๆ อวดตริมนุษยธรรม เพราะการประกาศเช่นนี้ไม่สามารถเอาอะไรมาพิสูจน์ได้ เหมือนโอ้อวดคุณธรรมวิเศษที่ไม่มีในตัวทำให้เกิดความกังขาในสังคม และไม่สามารถพิสูจน์ได้.

http://www.dailynews.co.th/Content/regional/265892/จี้จัดการหลวงพ่อพิมพ์ขั้นเด็ดขาด

 

:boo::'(นายพิมอวดอุตริฯ ทำลายศาสนา ต้องขับไล่ให้มันออกไปสถานเดียวเช่นเดียวกับโล้นคำ คงจำได้นะๆๆๆ:'@:boo:

 

ศรัทธาอะไรต้องใช้ปัญญา ตรึกตรองให้ดี ว่าอยู่ใน
คำสอนขององค์พระพุทธเจ้าไหม อย่าให้พวกเหลือบ
ศาสนามากัดกินคำสอนให้ผืดเพี้ยนไป สงสารรุ่นลูก
รุ่นหลานจะได้เข๊มทิศนำทางที่ผิดเพี้ยนไป.

 

พระมหาบัว น้องชายหลวงปู่พิมพ์เผย 3 วัน ได้เงินบริจาค 5 แสน !!

 

ถ้าจริงตามนี้ก็ถือว่า "ทำเล่ห์" เพื่อแสวงหาอามิส

แต่พิจารณาดูองค์ประกอบแวดล้อมแล้ว

พระองค์นี้น่าจะต้องอาบัติ ซึ่งทางสำนักพุทธต้องประกาศให้ชัดเจน
เพื่อมิให้ญาติโยมหลวงศรัทธาในของปลอมๆ
แล้วจะได้ไม่เป็นเยี่ยงอย่างสำหรับผู้ที่จะคิดกระทำอย่างเดียวกัน

 

ทำไปได้ หมดกัน

 

โดยส่วนตัวคิดว่าท่านอาบัติ แต่ก็คงให้กฎแห่งกรรมเป็นผู้ตัดสิน เอวัง

 

เพี้ยนกันไปใหญ่แล้ว พอซะทีเถอะ เรื่องลวงโลกแบบนี้ เกิดมาเพิ่งเคยพบเคยเห็น ไม่น่าเชื่อว่ายังมีคนบ้าจี้เชื่อตามอีก เฮ้อ! เสื่อม

 

แค่ กล้าบอกว่าเป็นศิษย์หลวงปู่มั่นองค์สุดท้าย ก็อาบัติข้อมุสาแล้ว