ทำไมคนมีธรรมะศึกษาธรรมะ ส่วนใหญ่หน้าตาผิวพรรณไม่ดีกว่า คนที่หมกหมุ่นในโลกียะ

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย คนขายเทียน, 14 มกราคม 2008.

  1. changthai

    changthai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2008
    โพสต์:
    109
    ค่าพลัง:
    +515
    ผมเองปฏิบัติทำบุญ หรือคนที่รู้จัก ก็ผิวพรรณผ่องใสหน้าตาอิ่มเอิบ นะครับ
     
  2. ta_sepia

    ta_sepia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    77
    ค่าพลัง:
    +179
    ขอทุกท่านจงหน้าตาดี เพื่อนำพาคนเข้าวัด ให้เกิดประโยชน์แก่ศาสนาต่อ ๆ ไปเทอญ สาธุ
     
  3. Starpegasus

    Starpegasus เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +826
    - เขาเหล่านั้นได้เกิดมาชาตินี้ มีรูปร่างหน้าตาหล่อเหลา หรือสวยงาม
    - เขาเหล่านั้นรู้สึกดี และหลงอยู่กับรูปร่างหน้าตาของตัวเองอยู่อย่างนั้น
    - ใช้รูปร่างหน้าตาอย่างนั้นในการดำรงชีวิต มีแต่คนมารักใคร่ ชอบพอ เมตตา สงสาร ด้วยคุณสมบัติที่เขาได้มาโดยผลจากกรรมดีในชาติก่อนนั้น (สังเตว่าคนหน้าตาดีบางคน แม้จะนิสัยแย่อย่างไร แต่ก็ยังมีคนชอบพอ คอยเอาใจ เนื่องจากคนที่ชอบพอนั้น ก็หลงใหลในรูปร่างหน้าตานั้น)
    - เขาเหล่านั้นได้พบกับความทุกข์น้อยกว่า จนไม่รู้จักความทุกข์ ไม่ได้พิจารณาความทุกข์
    - เขาเหล่านั้นอาจตายไป โดยไม่ได้ทำบุญอย่างใดเพิ่ม เพราะมัวหลงแต่ความสุข
    - เขาเหล่านั้นเกิดใหม่ เป็น ... แล้วแต่กรรมที่เขาได้ทำมาในชาติที่หน้าตาดีนี้
    - เวียนว่ายตายเกิดมาใหม่ จนเขาเหล่านั้นก็ได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้ง ด้วยหน้าตาที่ดี หรือไม่ดี ก็สุดแล้วแต่กรรมที่ทำมา จนเวียนมาเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้งหนึ่ง และก็วนเวียนต่อไป ต่อไป ...

    จุดเปลี่ยน ***
    - มนุษย์ที่พบความทุกข์ และได้พบสัจธรรมของกฎแห่งกรรม จักรีบทำความดีโดยไม่ประมาท ทั้งทาน ศีล ภาวนา
    - ได้พบ รู้จักความทุกข์ และพินิจพิเคราะห์ถึงทุกข์แห่งการเกิดได้เร็วเพียงใด ก็มีโอกาสกลับใจมาบำเพ็ญบุญได้เร็วเท่านั้น เช่น อายุขัยคนเรา ประมาณ 70 ปี เทียบคนรู้จักทำความดีตั้งแต่อายุ 10 ขวบ กับคนเริ่มทำความดีเมื่ออายุ 50 ใครจะมีโอกาสในการบำเพ็ญมากกว่า?

    กำลังจะบอกว่า ถึงแม้เขาจะหน้าตาดี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเค้าจะมีความสุขหรอกนะ ผมว่าเค้ายังทุกข์อยู่มากที่ไม่ได้รู้ "สัจธรรม"อันประเสริฐที่ท่านมหาบุรุษแห่งจักรวาลได้ค้นพบ

    ถ้าเจอคนหน้าตาดี ก็ให้อนุโมทนากับความดีที่เค้าได้ทำ แล้วส่งผลให้เค้าเกิดมาหน้าตาดีในชาตินี้จะดีกว่าหรือเปล่า? (มุทิตา)

    คุณเองก็อาจเป็นคนที่เคยเกิดเป็นคนหน้าตาดีมาแล้ว และไม่ได้ทำเหตุให้เกิดมาหน้าตาดีต่อ จนทำให้ชาตินี้เกิดมาหน้าตาไม่ดี (รึเปล่า? แต่ไม่ได้หมายความว่าคุณขี้เหร่นะ)

    ถ้าอยากจะมีหน่าตาดีล่ะก็ ทำ"เหตุ"ที่จะทำให้เกิดหน้าตาดีสิ ถ้าทางโลกก็เครื่องประทินผิว ศัลยกรรม แต่ไม่รับรองผลนะ หรือถ้าทางธรรมก็รักษาศีล ซ่อมแซม ทำความสะอาดพระพุทธรูป ทำความสะอาดวัด ฯลฯ แล้วอธิษฐานให้เกิดใหม่มีหน้าตาดี แต่คุณชอบเกิดเหรอ?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มกราคม 2008
  4. แคท

    แคท เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2005
    โพสต์:
    616
    ค่าพลัง:
    +1,666
    สวย ด้วยมือหมอ ..ก้อไม่ทน
    สวย แล้ว ไม่สร้างบุญใหม่ ก้อไม่นาน..

    หมดบุญเมือไร ..หนีกันให้ทัน

    อย่าไป ยึดติด กับสิ่ง ที่ไม่ แน่นอนเลย
    สวยหรือไม่สวย สักวัน สังขาร ก้อ มาถึง

    ขนาดหมดเงินเก็บตัว ฉุดกระชาก สังขารไว้ ก้อฝื่นไม่ได้

    อย่าไปยึดติดเลย..
    ทุกสิ่งไม่เที่ยง

    ความสวย ไม่จีรัง..
     
  5. peterandpen

    peterandpen เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    152
    ค่าพลัง:
    +502
    ทุกท่านจงภูมิใจเถิดที่ได้เกิดเป็นคนที่มีธรรมะในหัวใจ อย่าถือเอารูปภายนอกมาเป็นตัวกำหนดเลยค่ะ
    จะรูปลักษณ์อย่างไรก็ไม่เคยมีใครหนีความตายพ้นสักราย เมื่อได้เกิดเป็นมนุษย์สุดประเสริฐในภพชาตินี้แล้วก็ดี
    ควรจะหมั่นทำบุญ สวดมนต์ไหว้พระ ทำความดี ละเว้นความชั่ว และทำจิตใจให้บริสุทธิ์เข้าไว้เป็นดีที่สุดค่ะ
    ขออนุโมทนากับทุกๆคนที่เป็นคนดีค่ะ
     
  6. ฟู่อิง

    ฟู่อิง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    120
    ค่าพลัง:
    +128
    เพราะหมกมุ่น จึงตกแต่ง จึงสวยงาม
    เพราะปลงตก จึงละ จึงกระจ่าง
     
  7. manny_tong

    manny_tong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    514
    ค่าพลัง:
    +543
    อยู่ที่กรรม

    <img src=http://dl6.glitter-graphics.net/pub/600/600576mzyaaj1xgw.gif width=75 height=52 border=0></a>
     
  8. koymoo

    koymoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2004
    โพสต์:
    2,067
    ค่าพลัง:
    +7,066
    มันไม่เห็นจะเกี่ยวกันเลยอะค่ะ คือมันค่อนข้างซับซ้อนนะะก้อยว่า ถ้าเอาแบบสวยหล่อแต่กำเนิดจริงๆโดยไม่ศัลยกรรม นั่นก็เพราะบุญเก่าของแท้ แต่ก้อยมองว่าคนทำบุญในชาติปัจจุบัน เขาไม่ค่อยแต่งเนื้อแต่งตัวสนใจรูปร่างภายนอกรึป่าว กลับกันกับคนที่หมกมุ่นในโลกียธรรม ก็จะสนใจรูปร่างหน้าตาตนเอง หมกมุ่นในสังขาร ก็จะหาเครื่องมาประโคมจนดูสวยดูหล่อ...
    หากพิจารณาจริงๆแล้ว คนที่ทำบุญทำทาน รักษาศีลภาวนาจริงๆเวลาเรามองหน้าคนเหล่านั้นแล้วจะรู้สึกว่าอิ่มเอิบใจ ใจเป็นสุข ไม่ร้อนรนนะ นั่นเพราะคนพวกนี้งามมาจากข้างในนั่นเอง
     
  9. Leonidas 1

    Leonidas 1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2007
    โพสต์:
    157
    ค่าพลัง:
    +188
    เออ! ผมก็ว่างั้นแหละ เมื่อก่อนผมก็เคยสงสัยอ่ะน๊ะ แต่หลังๆมาก็พยายามหาเหตุผลตามประสาคนกิเลสหนานะ ก็เข้าใจว่าคนที่เขาหน้าตาดีในชาตินี้ในอดีตชาติเขาอาจจะรักษาศีลทำบุญไว้ดีพอตายไปก็เลยเกิดมาหน้าตาดี แต่ว่าเขาไม่สามารถระลึกชาติได้ว่าเขาเคยทำอะไรมาจึงมีหน้าตาแบบนี้ก็เลยมัวเมาในชีวิตตามประสาคนมีกิเลสทั่วๆไป แล้วคุณอย่าคิดว่าคนพวกนี้เขาหน้าตาดีน๊ะ ลองไม่แต่งหน้าดิ โอ้แม่เจ้า! อยู่เหมือนอะไรก็ไม่รู้ สวยหล่อแบบไม่ธรรมชาติอ่ะ แต่ผู้ที่หน้าตาไม่ดีก็คือผู้ที่เคยประมาทในชีวิตในอดีตชาติ ศีลไม่รักษา ธรรมประจำใจก็ไม่มี แล้วหน้าตามันจะดีในชาตินี้ได้ยังไง เพราะฉะนั้นทำไปเถอะบุญกุศล ทำให้เป็นสันดานแล้วชาติหน้ามันจะมีเชื้อแห่งกุศลให้เราติดตัวไปในภายภาคหน้า อามิตตาพุทธ
     
  10. Mr.Kim

    Mr.Kim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2007
    โพสต์:
    3,036
    ค่าพลัง:
    +7,028
    [​IMG]


    ธมฺมกาโม ภวํ โหติ</SPAN>
    ผู้ฝักใฝ่ในธรรมเป็นผู้เจริญ
    ธมฺมเทสฺสิ ปราภโว

    ผู้ชังธรรม เป็นผู้เสื่อม
    นตฺถิ สนฺติ ปรํ สุขํ

    สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี.

    จงเตือนตน ของตน ให้พ้นผิด
    ตนเตือนจิต ตนได้ ใครจะเหมือน
    ตนเตือนตนไม่ได้ ใครจะเตือน
    อย่าลืมเลือน เตือนตน ให้พ้นภัย

    ........................................................
    อนุโมทนา สาธุ ๆ ๆ
     
  11. Falcon_Se

    Falcon_Se เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2008
    โพสต์:
    199
    ค่าพลัง:
    +223
    อย่ายึดติดในรูปเลยครับ ..เรื่องที่บอกว่าคนที่ศึกษาธรรมหน้าตาไม่ดีเท่าคนที่ไม่ได้ศึกษานั้นไม่จริง ..ลองจับดาราที่ว่าหน้าตาดีๆ มาลอกแป้งที่พอก หรือเอาสิ่งที่เค้าศัลยกรรมออกไปให้หมด (อันนี้ก็เกินไป ..แต่อย่างน้อยก็แค่เอาเครื่องสำอางค์ออกให้หมดเท่านั้น) แล้วจะเห็นเองว่าหน้าตาของเขาหล่านั้นไม่ได้ดีจริง ..มีความเสื่อม (แต่ปกปิดเอาไว้ด้วยวิธีต่างๆ เช่นเครื่องสำอางค์ หรือใครที่ไม่พอใจในรูปหนักมาก็ไปทำศัลยกรรม) ..คนปฏิบัติธรรมไม่ค่อยสนใจในรูปเท่านั้นเองครับ
     
  12. นายดอกบัว

    นายดอกบัว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +5,676
    แปลกเนอะ ผมกลับเห็นว่าคนที่ปฎิบัติธรรมส่วนใหญ่กลับมีผิวพรรณดี ถึงแม้รูปร่างหน้าตาไม่ดีเหอะ แต่ดูแล้วเค้ามีความใสกว่า (ความรู้สึก) และดูสะอาดกว่า

    (ไม่รู้ว่าผมมองต่างจากคนอื่นยังไงนะ แต่ถ้าเอาสาวๆสวยดารา มาเทียบกับผู้ที่มาปฎิบัติธรรม ผมมองฝ่ายที่สองสวยกว่าและน่ารักกว่านะ และแปลกมาก พวกนี้มักแก่ช้ากว่าพวกดารา บางคนอายุ สี่ยิบผมยังมองเหมือนๆสามสิบอยู่เลย)
     
  13. natthaya

    natthaya สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    225
    ค่าพลัง:
    +20
    ยุคโลกาภิวัตร์ มีสิ่งยั่วยุเยอะมาก คนที่หน้าตาผิวพรรณดีบางคนอาจจะลุ่มหลงไปชั่วขณะเท่านั้น ส่วนคนที่อยู่ในศีลอยู่แล้วก็ขออนุโมทนา
     
  14. Tannn

    Tannn Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    50
    ค่าพลัง:
    +92
    ลองไม่ได้โบ๊ะ บางคนก็โทรมเหมือนกัน
    คิดง่ายๆ ทำงานด้วย เที่ยวกลางคืนด้วย กินเหล้า สูบบุหรี่
    ผิวพรรณที่เกิดมาดีดี สุดท้ายก็โดนทำลายลงได้

    คนทำบุญผิวพรรณดีดีก็มีเยอะ
    เพื่อนแทนไปถือศีลทำบุญ แต่ดันหลงรักแม่ชี .. (-_-')
     
  15. seberton

    seberton เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2006
    โพสต์:
    262
    ค่าพลัง:
    +655
    ผมชอบมากเลยคนทรงศีลเนี่ย ผมสีขาวๆสว่างๆ รับกับผิวใสๆ ผ่องๆ มันดูน่านับถือมากครับ
     
  16. Komodo

    Komodo หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    11,612
    กระทู้เรื่องเด่น:
    145
    ค่าพลัง:
    +104,605
    ขอกราบอนุโมทนากับเจ้าของกระทู้ครับ

    ผมขออนุญาตค้นกระทู้เก่ามานำเสนอเพื่อนๆอีกรอบนะครับ
     
  17. Khunkik

    Khunkik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2006
    โพสต์:
    2,151
    ค่าพลัง:
    +18,075
    ประสบการณ์ม๊างที่ทำให้คิดอย่างนั้น แต่จากการที่ไปปฏิบัติธรรมบ่อยๆ หลานสถานที่ ก็พบ ชาย หญิง ที่งามทั้งนอก และใน แต่บุคคลผู้นั้นไม่ลุ่มหลงกับความงามเพียงภายนอกที่ฉาบฉวย ไม่ปรุงแต่ง ถือศีล 8 ครบถ้วน เข้าข่าย เบญจกัลยาณีทั้งหญิง และชาย เจอมาจริงๆตัวเป็นๆ 5555

    ลักษณะของเบญจกัลยาณี
    ผมงาม หมายถึง เรือนผมเป็นเงางามดุจกับหางนกยูง
    ทรงผมสตรีแต่ก่อนคงจะนิยมดัดปลายงอน ท่านจึงพรรณาว่า เมื่อปล่อยย้อยยาวถึงชายผ้านุ่ง แล้วกลับมีปลายงอนขึ้นตั้งอยู่

    เนื้องาม หมายถึง ริมฝีปากงาม เช่นกับผลตำลึง
    คงหมายความว่ามีสีแดงดุจผลตำลึงสุก ตามธรรมชาติ
    สาวยุคนี้อย่าว่าแต่สีผลตำลึงสุกเลย จะให้เป็นสีผลอะไรก็ได้ สีทาปากทำไว้พร้อมเสร็จ สีมะละกอ สีลิ้นจี่ หรือสีทับทิมออกคล้ำ ออกม่วง ออกเหลือง มีให้เลือกตามใจชอบ

    กระดูกงาม หมายถึง มีฟันขาวเรียบดุจสังข์ที่ขัดดีแล้ว ตามธรรมชาติ
    ฝรั่งไม่เคยเห็นสังข์และไม่รู้ค่า จึงเปลี่ยนให้เป็นไข่มุกแทนฟันเป็นอย่างเดียวที่ขัดสีปานใด ก็ไม่อาจขาวเงางามเรียบได้ถ้าสุขภาพฟันไม่มีเป็นปฐม ยาเคลือบฟันให้ขาวพอใช้ได้ชั่วครั้งชั่วคราว

    ผิวงาม คือละเอียดอ่อน ตามธรรมชาติ
    สีผิวไม่สำคัญ ผิวดำก็สวยได้ ถ้าเกลี้ยงเกลามีเลือดฝาดสมบูรณ์

    วัยงาม หมายถึง เนื้อหนังเต่งตึงอยู่จนแก่ ตามธรรมชาติ

    ตำนานเรื่องนางวิสาขา ผู้สร้างปุพพรามปราสาทถวายเป็นวัดครั้งพุทธกาลชมนางวิสาขาว่าวัยงามนักหนา นางมีบุตรชาย 10 บุตรหญิง 10 บุตรชายหญิงมีบุตรชายหญิงอีกคนละ 10 ตลอดชีวิตของนางมีบุตรหลายถึง 8,420 คน นางวิสาขาไปที่ใด บุตรหลานห้อมล้อมไปเป็นหมู่ ผู้คนดูไม่ออกว่าคนไหนคือนางวิสาขา เพราะเห็นเป็นหนุ่มเป็นสาวเสมอเหมือนกันหมด นางวิสาขามีอายุยืนถึง 120 ปี และเป็นลูกสาวเศรษฐี ได้กินอิ่ม นอนหลับเต็มที่ ประกอบกับใจบุญด้วย จึงงามทั้งกายใจ

    ความงาม 5 ประการนั้น ต้องการรากฐานจากธรรมชาติ งาม 4 ประการแรก ทำให้เกิดความงามประการสุดท้าย จะให้งามนอกต้องทำให้งามในได้ก่อน

    เครื่องสำอางโปะปะไว้เสริมสวยได้ชั่วครู่ชั่วยาม สู้กินให้สวยไม่ได้ ประจวบกับอาหารหลักของคนไทย ก็มี 5 หมู่ ตรงตัวเลขกันเลยจำได้ง่ายว่า กินอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ เพื่อความเป็นเบญจกัลยาณี

    ที่มา: หนังสือ คิดอย่างผู้หญิง โดย สมศรี สุกุมลนันทน์
    <SCRIPT type=text/javascript><!--playSound();//--></SCRIPT>
     
  18. Khunkik

    Khunkik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2006
    โพสต์:
    2,151
    ค่าพลัง:
    +18,075
    <TABLE width=550 align=center border=0><TBODY><TR><TD>"มหาบุรุษ ลักษณะ ๓๒ ประการ"


    ผู้ที่มีมหาบุรุษลักษณะ เป็นคำที่ใช้เรียกพระพุทธเจ้าเมื่อก่อนตรัสรู้ ลักษณะของมหาบุรุษมี ๓๒ ประการ คือ

    ๑. มีพระบาทราบเสมอกัน (พระบาท = เท้า)
    ๒. ลายพื้นพระบาทเป็นจักร (จักร = รูปลอยล้อรถ คือธรรมนำชีวิตไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง ดุลล้อนำไป สู่ที่หมาย)
    ๓. มีส้นพระบาทยาย (ถ้าแบ่ง ๔ ส่วน พระชงฆ์ตั้งอยู่ในส่วนที่ ๓) (พระชงฆ์ = แข้ง)
    ๔. มีนิ้วยาวเรียว (หมายถึงนิ้วพระหัตถ์และพระบาทด้วย)(นิ้วพระหัตถ์ = นิ้วมือ)
    ๕. ฝ่าพระหัตถ์และฝ่าพระบาทอ่อนนุ่ม
    ๖. ฝ่าพระหัตถ์และฝ่าพระบาทมีลายดุจตาข่าย
    ๗. มีพระบาทเหมือนสังข์คว่ำ อัฐิข้อพระบาทตั้งลอยอยู่หลังพระบาท กลับกลอกได้คล่อง เมื่อทรงดำเนินผิดกว่าสามัญชน (อัฐิ = กระดูก ดำเนิน = เดิน)
    ๘. พระชงฆ์เรียวดุจแข้งเนื้อทราย
    ๙. เมื่อยืนตรง พระหัตถ์ทั้งสองลูบจับพระชานุ (พระชานุ = เข่า)
    ๑๐. มีพระคุยหะเร้นอยู่ในฝัก (พระคุยหะ = อวัยวะที่ลับ)
    ๑๑. มีฉวีวรรณดุจสีทอง (ฉวีวรรณ =สีผิวกาย)
    ๑๒. พระฉวีละเอียด (พระฉวี = ผิว)
    ๑๓. มีเส้นพระโลมาเฉพาะขุมละเส้น ๆ (พระโลมา = ขน)
    ๑๔. เส้นพระโลมาดำสนิทเวียนเป็นทักขิณาวัฏ มีปลายงอนขึ้นข้างบน (ทักขิณาวัฏ = วนเลี้ยวทางขวาอย่างเข็มนาฬิกา)
    ๑๕. พระกายตั้งตรงดุจท้าวมหาพรหม
    ๑๖. มีพระมังสะอูมเต็มในที่ ๗ แห่ง (คือ หลังพระหัตถ์ทั้ง ๒ และหลังพระบาททั้ง ๒ , พระอังสาทั้ง ๒, กับลำพระศอ) (พระมังสะ = เนื้อ , ชิ้นเนื้อ พระอังสา = บ่า,ไหล่ พระศอ = คอ)
    ๑๗. มีส่วนพระสรีระกายบริบูรณ์ (ล่ำพี) ดุจกึ่งท่อนหน้าแห่งพญาราชสีห์ (สรีระ = ร่างกาย)
    ๑๘. พระปฤษฎางค์ราบเต็มเสมอกัน (พระปฤษฎางค์ = ส่วนหลัง,ข้างหลัง)
    ๑๙. ส่วนพระกายเป็นปริมณฑล ดุลปริมณฑลแห่งต้นไทร(พระกายสูงเท่ากับว่าของพระองค์)(วา = เท่ากับ ๔ ศอก ประมาณ 2 เมตร)
    ๒๐. มีลำพระศอกกลมงามเสมอตลอด
    ๒๑. มีเส้นประสาทสำหรับรสพระกระยาหารอันดี
    ๒๒.มีพระหนุดุจคางแห่งราชสีห์ (โค้งเหมือนวงพระจันทร์)(พระหนุ = คาง)
    ๒๓.มีพระทนต์ ๔๐ ซี่ (ข้างละ ๒๐ ซี่) (พระทนต์ = ฟัน)
    ๒๔.มีพระทนต์เรียบเสมอกัน
    ๒๕.พระทนต์เรียบสนิทมิได้ห่าง
    ๒๖.เขี้ยวพระทนต์ทั้ง 4 ขาวงามบริสุทธ์
    ๒๗.พระชิวหาอ่อนและยาว (อาจแผ่ปกพระนลาฏใต้)(พระชิวหา = ลิ้น พระนลาฎ = หน้าผาก)
    ๒๘.พระสุรเสียงดุจท้าวมหาพรหม ตรัสมีสำเนียงดุจนกการเวก
    ๒๙.พระเนตรแจ่มใสดุจตาลูกโคเพิ่งคลอด
    ๓๐.ดวงพระเนตรแจ่มใสดุจตาลูกโคเพิ่งคลอด
    ๓๑.มีอุณาโลมระหว่างพระโขนง เวียนขวาเป็นทักขิณาวัฏ (อุณาโลม = ขนระหว่างคิ้ว)
    ๓๒.มีพระเศียรงามบริบูรณ์ดุจประดับด้วยกรอบพระพักตร์ (พระเศียร = ศีรษะ)

    </TD></TR><TR><TD>
    อย่างนี้ถึงเรียกว่า งามกว่าผู้ใดใน 3 โลก พี่ติ๊กชิดซ้าย น้องฟลิม์ชิดขวา จะเอามาเทียบกันน่ะไม่ได้;)
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  19. Komodo

    Komodo หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    11,612
    กระทู้เรื่องเด่น:
    145
    ค่าพลัง:
    +104,605
    พอดี khunkik โพสต์ไม่ขึ้น ผมเลยโพสต์แทนนะครับ

    เสียดายคนตายไม่ได้อ่าน โดย ดังตฤณ<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    บทที่ ๔ - เหตุใดจึงเป็นผู้มีรูปงาม?<o:p></o:p>
    ในบทก่อนเราทราบว่าด้วยอาการทางใจและวิธีคิดทำบุญอย่างไรจึงส่งให้เป็นหญิงชาย แต่หญิงชายมีระดับชั้นวรรณะเป็นต่างๆ เริ่มเห็นได้ตั้งแต่การปรากฏตัวเลยทีเดียว บางคนเห็นแล้วน่าเมิน บางคนเห็นแล้วน่ามอง ความไม่รู้ทำให้เราคิดว่านั่นคือการ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 เมษายน 2008
  20. Komodo

    Komodo หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    11,612
    กระทู้เรื่องเด่น:
    145
    ค่าพลัง:
    +104,605
    กรรมหลักที่ตกแต่งให้รูปงาม<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    หลักง่ายๆคือคนตามใจกิเลสจะมีรูปทราม ส่วนคนงามจะงามเพราะสละกิเลส กรรมที่ตกแต่งให้รูปงามนั้น เป็นกรรมประเภทที่ปรุงแต่งจิตให้เกิดความผ่องใส มีความขาวสะอาดสว่างรอบปราศจากมลทิน และกิริยาที่จะก่อให้เกิดลักษณะดังกล่าว ก็ไม่พ้นเรื่องของการสละความตระหนี่ และการรักษาความตั้งใจไม่เกลือกกลั้วกับความชั่ว โดยตีกรอบความประพฤติทางกายและวาจาให้อยู่ในศีลธรรมอันดี นอกจากนี้ยังมีเรื่องของอาการทางใจและวิธีคิดต่างๆประกอบอยู่ด้วย<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    ๑) ทำทานด้วยศรัทธา<o:p></o:p>
    ขอให้ดูเถิด คนส่วนใหญ่แม้ชอบทำทาน ก็มักทำทานด้วยจิตที่แห้งแล้ง ทำแล้วก็ถือว่าแล้วกัน น้อยคนนักจะทราบว่าแม้อาการทางใจในขณะทำทานก็มีผลใหญ่หลวงกับรูปร่างหน้าตาได้ ดังเช่นที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ผลของการให้ทานด้วยศรัทธา จะทำให้เป็นผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก และเป็นผู้มีรูปงามชวนพิศ น่าเลื่อมใส ผิวพรรณงามยิ่ง<o:p></o:p>
    การทำทานด้วยความศรัทธาเป็นประจำ ทำให้เจ้าตัวรู้สึกสวยแพรวออกมาจากภายในตั้งแต่ชาติปัจจุบัน แม้รูปร่างหน้าตาในชาตินี้จะดูไม่ดีเท่าไหร่ แต่ความรู้สึกสวยแพรวที่ออกมาจากภายในนั้น จะดึงดูดให้คนพบเห็นเกิดความทึ่งกว่าเดิม และหาคำตอบไม่ได้ ว่าทำไมไม่สวยไม่หล่อจึงน่ามองขนาดนั้น และผลของการทำทานด้วยความศรัทธาเป็นประจำ จะทำให้ชาติต่อไปมีใบหน้างดงามชนิดที่ชวนเลื่อมใส ข้อนี้คนของศาสนาที่ปลูกฝังเรื่องศรัทธาเป็นหลักจะได้เปรียบ เพราะเมื่อเกิดการประชุมทำพิธีทางศาสนาแล้วมักเหนี่ยวนำกันให้เกิดจิตศรัทธา เปี่ยมปีติสุขเป็นล้นพ้นกับการคิดให้ คิดเจือจาน คิดเมตตาต่อคนและสัตว์ทั้งโลก.<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    หลายคนคงสงสัยว่าอย่างไรจึงเรียกได้ว่าเป็นศรัทธาแล้ว อันนี้ใช้เกณฑ์ง่ายๆคือเมื่อนึกถึงบุญขณะต่างๆ ทั้งก่อนทำ ขณะทำ และหลังทำ แล้วมีใจนึกอยากยิ้มสดชื่นออกมาจากภายใน เป็นยิ้มอันบันดาลจากความสุขความอิ่มเอมที่บริสุทธิ์ ปราศจากเงื่อนไขแลกเปลี่ยน ส่วนการฝืนยิ้มไปแกนๆ แต่จิตไม่เป็นสุขนั้นไม่นับ สภาพแวดล้อมในการทำบุญมีส่วนก่อให้เกิดศรัทธาหรือเสื่อมศรัทธาได้มาก แต่หากเราเป็นผู้ที่มีความเลื่อมใสในบุญอยู่อย่างหนักแน่น เชื่อมั่นว่าบุญมีที่ใจ ผลบุญเช่นความสุขความสว่างไสวก็เกิดทันทีที่ใจ เช่นนี้แม้สภาพแวดล้อมหรือบุคคลอันเป็นผู้รับจะไม่ดีนัก ใจเราก็คงไม่เสื่อมศรัทธาลงสักเท่าใด<o:p></o:p>
    หากให้ทานไปแกนๆ ไม่คิดอะไรมาก แต่ก็ไม่ได้ศรัทธาสักเท่าไหร่ อย่างนี้ชาติปัจจุบันแม้ทำทานมากก็ไม่ค่อยอิ่มใจ ไม่ค่อยรู้สึกอบอุ่นอยู่กับตัวเองนัก และชาติถัดไปถึงแม้มีรูปร่างหน้าตาดีก็ไม่ถึงกับดึงดูดให้รู้สึกเลื่อมใสในความงามนั้นๆสักเท่าใด<o:p></o:p>
    หากให้ทานด้วยจิตใจคับแคบ เช่นแก่งแย่งชิงดีเอาหน้าเอาเด่น หรือให้ทานแบบกีดกัน ไม่คิดรวมทานกับใคร เช่นมาถวายสังฆทานพร้อมกันกับคนอื่น แต่จะแยกเป็นต่างหากต้องให้พระสวดสองที แบบนี้ชาติปัจจุบันแม้โครงหน้าสวยหล่ออยู่ก่อน เห็นแล้วก็ไม่ชวนให้รู้สึกปลื้ม และชาติหน้ากรรมจะตกแต่งให้หน้าตาออกไปในทางเค็มเสียมาก<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    ๒) รักษาศีลได้สะอาดครบ<o:p></o:p>
    ศีลจะมีส่วนช่วยปรุงแต่งหน้าตาให้ดูดีจริงๆต่อเมื่อสะอาดหมดจดในข้อหนึ่งๆ ต้องจาระไนกันด้วยความรู้สึกยามเมื่อตาเห็น ศีลแต่ละข้อจะก่อให้เกิดความรู้สึกทางใจดังนี้<o:p></o:p>
    ๒.๑) อยากปกป้องชีวิตสัตว์ ทำให้หน้าตาใจดี เห็นแล้วสงบเย็น<o:p></o:p>
    ๒.๒) ไม่เพ่งเล็งอยากได้ ทำให้หน้าตาน่าไว้ใจ เห็นแล้วเชื่อถือ<o:p></o:p>
    ๒.๓) ซื่อสัตย์กับคู่ครอง ทำให้หน้าตามีเสน่ห์ชวนอบอุ่นใจ เห็นแล้วอยากเป็นคู่ด้วย<o:p></o:p>
    ๒.๔) ไม่คิดปั้นคำลวง ทำให้หน้าตาใสซื่อ เห็นแล้วนึกเอ็นดู<o:p></o:p>
    ๒.๕) ไม่เกลือกกลั้วสิ่งเสพย์ติดมึนเมา ทำให้หน้าตาดูเป็นคนมีสติปัญญาดี เห็นแล้วเชื่อว่าไม่ใช่พวกคิดอ่านฟุ้งซ่านเหลวไหล<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    ถ้าใครถือศีลได้สะอาดบริสุทธิ์ได้อย่างสม่ำเสมอ จะมีความสะอาดผุดผ่องออกมาทางผิว ศีลจะตกแต่งให้เนื้อหนังบางส่วนหนาขึ้นหรือบางลง เห็นแล้วดูสมส่วนขึ้น และจิตที่สงบไม่เดือดร้อนกระวนกระวายจะทำให้กล้ามเนื้อทุกส่วนบนใบหน้าผ่อนคลาย จึงดูดีที่สุดเท่าที่โครงหน้าจะอำนวย<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    ถ้าใครถือศีลได้สะอาดบริสุทธิ์ตลอดชีวิต ชาติใหม่จะมีรูปร่างหน้าตาสมส่วนหมดจด มองจากมุมไหนก็ดูดีไปหมด แบบที่เรียกกันว่างามไร้ที่ตินั่นเอง<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    หากละเมิดศีลเป็นอาจิณ หน้าตาและผิวพรรณจะดูคล้ำหมอง เว้นแต่อำนาจศีลแต่หนหลังมีพลังแรงมาก ช่วยค้ำพยุงไว้ได้ระยะหนึ่ง หรืออาจใช้วิทยาการทางความงามในปัจจุบันช่วยทำให้ผุดผ่องก็มีสิทธิ์ แต่จะประคับประคองได้ไม่นาน ในที่สุดความเสื่อมโทรมแบบแก่ก่อนวัยต้องถามหาอยู่ดี และกรรมที่เกิดจากการละเมิดศีลเป็นอาจิณนั้น จะมีผลให้ชาติถัดมามีความไม่สมส่วน แม้ใบหน้าสวยหล่อด้วยการทำทานอย่างมีศรัทธา จุดอื่นในร่างกายก็จะไม่สมส่วน เช่นขาสั้นไปบ้าง หลังยาวไปบ้าง<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    ๓) อาการทางใจและวิธีคิด<o:p></o:p>
    บางคนแม้ทำทานและรักษาศีลมาดีในแบบที่จะทำให้สวยหล่อ แต่เป็นผู้ที่ฉุนเฉียวง่าย เก็บเรื่องเล็กๆน้อยๆมาคิดมากใหญ่โต อย่างนี้ก็มีผลกับรูปร่างหน้าตาและผิวพรรณทั้งในชาตินี้และในชาติต่อๆไปได้มาก ดังเช่นที่พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    บุคคลบางคนในโลกนี้จะเป็นสตรีก็ตาม บุรุษก็ตาม เป็นคนมักโกรธ มากด้วยความแค้นเคือง ถูกเขาว่าเล็กน้อยก็ขัดใจ โกรธเคือง พยาบาทมาดร้าย ทำความโกรธ ความร้าย และความขึ้งเคียดให้ปรากฏ เขาตายไปจะเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก และเพราะมีความข้องติดอยู่ในกรรมเช่นนั้นแม้ตายไปไม่เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ถ้ามาเป็นมนุษย์เกิด ณ ที่ใดๆในภายหลังก็จะเป็นคนมีผิวพรรณทราม<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    พูดง่ายๆคือ แม้ให้ทรัพย์เป็นทานด้วยศรัทธาได้เพียงใด แต่ถ้าใจไม่รู้จักให้อภัยเป็นทานเลย ก็ได้ชื่อว่าสร้างส่วนแห่งความเป็นผู้มีรูปทรามเอาไว้ สมมุติว่าเราเป็นผู้ให้ทานด้วยศรัทธายิ่งไปตลอดชีวิต แต่ขณะเดียวกันก็เป็นพวกฉุนเฉียวง่ายไม่รู้จักระงับอารมณ์เลยจนวันตายเช่นกัน อย่างนี้กรรมอาจปรุงแต่งให้มองเสี้ยวหน้าด้านหนึ่งเหมือนสวยหล่อ แต่มองจากอีกมุมหนึ่งกลับดูไม่ได้เอาเลย และผิวพรรณแทนที่จะเลอเลิศจากผลของทาน ก็กลายเป็นแค่ธรรมดาๆ ไม่ถึงกับน่าดู ไม่ถึงกับน่าเกลียดไป หรือไม่บางส่วนของเนื้อหนังดูเหมือนงามละเอียด แต่บางส่วนกลับหยาบกระด้าง ครึ่งๆกลางๆไม่สมบูรณ์เสมอกันทั่ว ขณะโกรธ ขณะยอมถูกโทสะควบคุมจิตใจ เราจะไม่มีมุมมองอื่นนอกเหนือไปจากความคิดเขม่นเข่นเขี้ยวอยากจองล้างจองผลาญ แต่เมื่อรู้ผลของการเป็นคนเจ้าโทสะแล้วเช่นนี้ ก็อาจฝึกมองไว้ล่วงหน้า ว่าเราจะเสียเวลา เสียรูปในอนาคตให้กับความโกรธเปล่าๆปลี้ๆไปทำไม อย่างไรคู่อริของเราก็ต้องตายจากกันไปเสวยวิบากของแต่ละคน<o:p></o:p>
    เพียงเห็นในขณะที่โกรธเป็นขณะแห่งความสูญเปล่า เท่ากับเอาเวลาที่ควรจะทำให้อะไรดีขึ้นสักนิดไปทิ้งเสียอีกนาทีหนึ่ง ชั่วโมงหนึ่ง วันหนึ่ง เดือนหนึ่ง หรือปีหนึ่ง หากเราเห็นทุกวินาทีในโลกนี้มีค่ายิ่งกว่าทอง ก็จะปรับทัศนะได้ใหม่ เห็นว่ายิ่งเสียเวลากับสิ่งไร้ประโยชน์น้อยลงเพียงใด ก็เท่ากับมีเวลาทำสิ่งที่เป็นประโยชน์มากขึ้นเท่านั้น เราจะเป็นทาสกิเลสผู้น่าสงสาร ที่มัวหลงเสียเวลาในชีวิตไปหมกมุ่นครุ่นคิดถึงสิ่งไร้สาระโดยแท้ ถ้าหากประกอบพร้อมทั้งการให้ทรัพย์เป็นทานด้วยศรัทธา และการให้อภัยเป็นทานด้วยใจจริง อย่างนี้ความสมบูรณ์พร้อมในเรือนกายย่อมเป็นที่หวังได้<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    และบางคนแม้ทำทานรักษาศีลดี มีจิตใจเบิกบานเป็นนิตย์ แต่ก็แอบคิดเล็กคิดน้อยอยู่ในใจ เช่นเจอใครก็จ้องจับผิดอยู่เงียบๆ นึกด่าเขาอยู่เงียบๆ หรือกระทั่งชอบสาปแช่งอยู่เงียบๆ เพราะคิดว่าคงไม่ทำให้ใครเดือดร้อน จิตมีความโสมนัสอยู่กับความคิดร้ายๆภายในใจ ก็มีผลให้รูปร่างหน้าตาเสียความสมบูรณ์แบบ ลดหลั่นกันไปตามฐานะแห่งกรรม<o:p></o:p>
    วิธีคิดของคนนั้น เป็นมโนกรรมสำคัญที่จำแนกสัตว์ออกเป็นต่างๆอย่างแท้จริง เพราะเป็นของที่ตนรู้อยู่กับตัว และเป็นของที่ติดตัว ติดจิตติดวิญญาณเราไปทุกหนทุกแห่ง จึงเป็นใจกลางแห่งความปรุงแต่งรูปร่างหน้าตา ถ้าความคิดมีมลทิน แม้สวยหรือหล่อจากทานและศีลก็เหมือนภาพงามที่มีรอยด่างหรือจุดตำหนิ<o:p></o:p>
    กล่าวได้เต็มปากว่าวิธีคิดนั่นเอง ทำให้ความสวยหล่อไม่ได้มีแบบเดียว ถอดพิมพ์กันเป๊ะๆไม่ได้ และรูปร่างหน้าตานั้น จะไม่ผิดแผกแตกต่างจากที่เราเป็นอยู่อย่างนี้มากนักก็เพราะการสืบสายของวิธีคิดนี่เอง หากสามารถยกระดับวิธีคิดได้มาก หน้าตาก็จะเปลี่ยนไปมากแบบแปรผันตรง<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    สรุปว่ากรรมหลักๆที่ทำให้สวยหล่อบาดตาบาดใจกันจริงๆ หรือมีรูปงามเกินใจใครต้านทานนั้น มาจากการเป็นคนที่หมั่นทำทานด้วยศรัทธา มีศีลสะอาดบริสุทธิ์หมดจด และมีอาการทางใจกับวิธีคิดที่เป็นบวกอยู่เสมอๆ คือไม่เป็นคนมักโกรธ ไม่คิดอกุศลหรือติดใจความคิดอัปมงคลจนปล่อยใจให้ไหลไปกับเรื่องต่ำๆ<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ผู้ทำกรรมในแบบที่จะส่งผลเป็นความสวยหล่อถึงขีดสุดดังกล่าวนี้ จะมีความงามออกมาจากภายในตั้งแต่ชาติปัจจุบัน เห็นแล้วรู้สึกดีด้วยเป็นอย่างยิ่ง และในความเป็นมนุษย์ชาติถัดไป ก็จะเป็นผู้งามวัย วัยเด็กก็น่ารักแบบเด็ก วัยหนุ่มสาวก็หล่อสวยแบบหนุ่มสาวตามค่านิยมของยุคนั้นๆ และถ้าล่วงเข้าวัยชราก็ยังชวนพิศแบบผู้สูงอายุที่ดูไม่จืดตา<o:p></o:p>
    การผสมกันระหว่างกรรมประเภทต่างๆที่ก่อให้เกิดรูปร่างหน้าตานั้น ไม่มีกรรมใดกรรมหนึ่งระหว่างทานและศีลเป็นผู้ขึ้นรูป ทุกอย่างผสมกันเบ็ดเสร็จแล้วออกมาเป็นหน้าตาหนึ่งๆเลยทีเดียว แต่รูปทรงอาจถูกกำหนดจากน้ำหนักของทานหรือศีลอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่นถ้าเคยเป็นผู้มีนิสัยหนักไปทางทำทานด้วยศรัทธามากกว่ารักษาศีลให้สะอาดหมดจด ชาตินี้จะดูรูปงามชวนชมเมื่อมองผาด แต่พอมองพิศแล้วเห็นความไม่ค่อยสมส่วนสักเท่าไหร่ หรือกระทั่งจุดลับต่างๆไม่น่าพิสมัยนัก<o:p></o:p>
    ส่วนบางคนเป็นผู้มีนิสัยหนักไปทางรักษาศีลพอประมาณมากกว่าทำทานด้วยศรัทธา หรือบางทีไม่ค่อยได้ทำทานเอาเลย ชาตินี้จะดูสมส่วน เครื่องหน้าทุกชิ้น อวัยวะใหญ่น้อยทั้งหลายดูเข้ารูปรับกันไปหมด แต่กลับสวยหล่อแบบเรียบๆ ไม่หวือหวาสะดุดตานัก และขอให้เข้าใจด้วยว่าสภาพจิตในชาติอันเป็นปัจจุบันก็มีบทบาทสำคัญยิ่ง บางคนรูปร่างหน้าตาดี แต่กลับขาดเสน่ห์ เพราะปล่อยตัวปล่อยใจให้ง่วงเหงาหาวนอน หรือหดหู่ทอดอาลัยตายอยาก จมอยู่กับความเศร้าชั่วนาตาปี อย่างนี้ก็ขาดความชวนชมได้เหมือนกัน เพราะแม้ตาคนเขาจะเห็นรูปโฉมดีๆภายนอก แต่ใจเขาก็จะรู้สึกแย่กับกระแสความหดหู่หรือคลื่นความปั่นป่วนในภายในจนอยากเมินมากกว่าอยากพิศให้นาน<o:p></o:p>
     

แชร์หน้านี้

Loading...