ปรัชญาแห่งพุทธศาสนาฝ่ายเหนือ (มหายาน-วัชรยาน)

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย เทพธรรมบาล, 14 มกราคม 2012.

  1. มนตะระเทวะ

    มนตะระเทวะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    59
    ค่าพลัง:
    +126
    [​IMG]
    หากเธอไม่เคยมองเห็นปัญหาของเธอเองและตั้งใจที่จะแก้ไขปรับปรุง ไม่ว่าปัญหาเหล่านั้นจะเป็นปัญหาทางอารมณ์ กายภาพ ความสัมพันธ์ที่ที่ทำงาน เธอก็จะต้องเผชิญกับปัญหานั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า และทุกๆอย่างก็มีแต่จะแย่ลง ดังนั้นเราต้องรู้จักตัวเองให้ดี เราต้องสังเกตข้อผิดพลาดของตนและยอมรับมัน นี่เป็นคุณสมบัติที่สำคัญยิ่ง พุทธธรรมเรียกสิ่งนี้ว่าวินัย คนส่วนใหญ่จะคิดว่าวินัยหมายถึงกฏข้อบังคับ “ทำอย่างนี้ อย่าทำอย่างนั้น” แต่วินัยที่แท้จริงหมายถึงการระลึกรู้และยอมรับความผิดพลาดและจุดบกพร่องของตน

    If you never notice your own problems and don't make any effort to improve, whether those problems are emotional, physical, in your relationships or at work, you will continue to face them time and time again and things will only go downhill. So we need to know ourselves well. We need to look at our faults and accept them. This is such an important quality. In the buddhadharma we call this discipline. Most people think discipline means rules like "Do this. Don't do that", but the real discipline is noticing and accepting your own faults and mistakes.

    @credit KPR Thai Translator Team
     
  2. มนตะระเทวะ

    มนตะระเทวะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    59
    ค่าพลัง:
    +126
    [​IMG]
    เธอจะไม่มีวันมีความสุข
    หากจิตของเธอยังเต็มไปด้วยการตัดสินให้ค่า

    - ท่านพักชก รินโปเช

    You will never be happy with a mind full of judgement.

    - Phakchok Rinpoche

    @ credit Thai translation team
     
  3. กิ่งสน

    กิ่งสน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,068
    ค่าพลัง:
    +2,327
    ขอบคุณความรู้เรื่องพุทธมหายาน เราจะยกตนข่มท่านไม่ได้ น้ำยังไม่ทันเต็มแก้ว พระพุทธเจ้าอนาคตยังมีอีกหลายองค์ ตอนนี้เราเป็นผู้ศึกษา ถ้าได้ศึกษาหลายๆเรื่องก็กระทบใจเหมือนกัน ตอนนี้เป็นยุคกึ่งพุทธกาลอย่างไรก็ยังมีพระอรหันต์อยู่ไม่ว่าฝ่ายใดก็ตาม ศาสนาพุทธใช้ปัญญาเป็นอภิปรัชญา แก่นแท้เหมือนกัน แม้บางครั้งวิธีสอนจะปรับให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม
     
  4. banpong

    banpong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,439
    ค่าพลัง:
    +1,770
    วัชระคืออะไร ....ตอนที่ 1
    รวบรวมความรู้บ้านๆ...ในตะกอนความคิดของผมมาเล่าให้ฟัง...
    วัชระในความหมาย แปลว่า สายฟ้า ความแกร่ง..ปัญญา..แสงสว่าง หรือจักรวาล
    ทางธิเบตเรียก Dorje ทางจีนเรียก กิมกังซู่
    วัชระต้นกำเนิดมาจากฝั่งไหนคงยากคาดเดา
    แต่น่าจะมีกำเนิดมาจากศาสนาพราหมณ์ และถือว่าเป็นอาวุธ... เป็นอาวุธแห่งแสง แห่งฟ้า
    พบได้ทั้งในยุโรป และเอเชียเพราะเชื่อว่าสิ่งที่มาจากฟ้าย่อมมีอานุภาพ
    ในทางยุโรป เป็นรูปร่างสายฟ้าในมือของมหาเทพเซอุส
    ในแถบเอเชียนั้น..
    ในทางศาสนาพราหมณ์.. วัชระนั้นเป็นสิ่งที่สร้างจากกระดูกและเนื้อหนัง...เกิดขึ้นในช่วงพระอินทร์รบพ่าย จนต้องสร้างอาวุธที่เกิดจากร่างฤาษีที่เสียสละ
    ผ่านไปผ่านมา ... วัชระก็เปลี่ยนรูปร่างต่างๆ กันไป ตามแต่ประเทศและลัทธิที่นำไป
    ในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เช่น ไทย เวียดนาม เขมร ลาวและพม่า มักเห็นเป็นลักษณะวัชระปลายเปิด และมักเป็นวัชระที่มีปลายเพียงข้างเดียว
    แต่พอไปทางตอนเหนือของเอเชีย เช่น จีน ธิเบต ญี่ปุ่น และเกาหลี กลับนิยมวัชระปลายปิด และเป็นวัชระที่มีปลาย 2 ด้าน
    ซึ่งการนิยมปลายเปิด หรือปลายปิดนั้นอาจเป็นผลมาจากลักษณะของการนำวัชระไปใช้
    วัชระมีหลายแบบ.. มีทั้งแบบแฉกเดียว หรือแฉกคู่
    ในจำนวนแฉกหรือที่เรียกว่า pronged นั้น ก็มีแตกต่างกันไปคือ 1..2..3..4..5.....และ 9
    หากมองในแง่ความรู้ที่ต้องการสอนเรา..แบบคร่าวๆ..
    1.ปลายวัชระที่ทำเป็น 2 ด้าน ก็เพื่อสอนว่า การที่เราชี้ปลายหนึ่งไปหาผู้อื่น ปลายด้านตรงข้ามก็ชี้มาที่เราด้วย.. บอกเป็นเชิงนัยยะว่า ให้สิ่งใดแกผู้อื่น เราเองก็จะได้ผลคืนสนองเช่นเดียวกัน...
    2.สอนถึงความเป็นทวิคตินิยม หรือเรียกภาษาบ้านๆ ว่า ..ความเป็นคู่ ..หญิงชาย ขาวดำ บุญบาป
    3.เป็นการแฝงปริศนาธรรมในระดับประตูสู่ขั้นปรมัตถ์ โดยการย่นย่อหัวข้อธรรมอันเป็นหมวดหมู่ลงสู่ส่วนต่างๆ ของวัชระ เช่น นิพพาน โพธิจิต มรรค8 โพชฌงค์7 อริยสัจ4 และบางครั้งก็แฝงถึงลำดับขั้นของชื่อพระพุทธเจ้า และพระโพธิสัตว์ต่างๆ
    4.ในความเป็นวัชระปลายเปิดของทางศาสนาพราหมณ์เอง ก็จะพบเป็น 5 แฉก อันอาจสะท้อนถึงความเป็นคตินิยม อันอ้างถึงเขาพระสุเมรุคือแกนกลาง และประกอบด้วย 4 แฉก อันหมายถึง มหาทวีปทั้ง4 หรือมหาสมุทรทั้ง 4 ที่ล้อมรอบเขาพระสุเมรุ
    และในพระสูตรทางมหายานก็นำคำหมายของวัชระ...มาตั้งชื่อเป็นพระสูตรนามว่า วัชรัจเฉทิกะปรัชญาปารมิตาสูตร
    ตารกา ติมิรํ ทีโป มายาวศฺยาย พุธุทมฺ ฯ
    สฺวปฺนํ จ วิทฺยุทภฺรํ จ เอวํ ทฺรษฺฏวฺย สํสกฺฤตมฺ ฯฯ
    ตถา ปฺรกาศเยตฺ เตโนจฺยเต สํปฺรกาศเยทิติ ฯฯ
    แปลว่า
    สังขตธรรมทั้งปวง มีอุปมาดั่งความฝัน
    ดั่งภาพมายา ดั่งฟองน้ำ ดั่งเงา ดั่งน้ำค้าง
    และดั่งสายฟ้าแลบ พึงเพ่งพิจารณาโดยอาการอย่างนี้
    ค่อยมาต่อตอน 2 กันต่อครับ...เมื่อว่างๆ

    Cr.Chiba kumiko

    [​IMG]
     
  5. liqht working

    liqht working สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    129
    ค่าพลัง:
    +3
  6. liqht working

    liqht working สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    129
    ค่าพลัง:
    +3
    เว็บนี้ เงียบเหงายังกับป่าช้าวัดดอน ไร้ผู้คน กันเลยหรือนี่
     

แชร์หน้านี้

Loading...