ลองสวด คาถาสัมปจิตฉามิ...
เมื่อกราบด้านหน้าพิธีแล้วให้เดินไปด้านหลังจะมีโลงแช่เย็น ด้านบนของโลงจะมีช่องกระจกใสสามารถเห็นหลวงตาอินได้
ทุกครั้งที่เข้ามาในเว๊บนี้ก็มักจะมาอ่านเรื่องของแคทเธอรีนก่อน อ่านแล้วรู้สึกดีไปกับเรื่องราวที่ได้ดำเนินไป...
พอได้อ่านเรื่องนี้แล้วรู้สึกอิ่มที่ใจ เรื่องราวที่ดีๆแบบนี้ อยากให้มีอยู่เรื่อยๆ ทุกวันนี้เรื่องราวในสังคมต่างก็เป็นเรื่องร้ายๆแทบทั้งสิ้น...
ถ้าใครเคยไปไหว้พระที่วัดบางนมโคก็จะเห็นคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้าซึ่งเมื่อสวดถึงวิระทะโย...
เป็นเหมือนกับผมเลยครับ เป็นมานานแล้วด้วย การขยิบตา และจะขยิบจนกว่าจะรู้สึกว่าความรู้สึกภายในมันจะพอดีหรือสมดุล ซึ่งผมก็อธิบายไม่ค่อยถูกเหมือนกัน...
ผมไม่ได้บอกว่าทุกคนแกล้ง...
ถ้าในชาติปัจจุบันที่เราอยู่นี้ บุคคลที่แวดล้อมตัวเราส่วนใหญ่เป็นคนที่ไม่ชอบเรา หรือทำไม่ดีกับเราตลอด(คล้ายๆเป็นเจ้ากรรมนายเวร)...
ความดี คนดีทำได้ง่ายแต่คนชั่วทำยาก ความชั่ว คนชั่วทำได้ง่ายแต่คนดีทำได้ยาก
ขอขอบคุณ คุณกาลีนะ เหมือนคุณกาลีนะช่วยผมต่อจิ๊กซอร์ให้ผม มองภาพได้ง่ายขึ้นครับ เข้าใจมากขึ้นครับ
ถูกต้องครับ(สำหรับผม) ผมยอมรับว่ามันเป็นความสุข ได้ระบายออกมา แม้จะรู้ว่าเมื่อเราเจอหน้ากันเราก็ให้เกียรติกัน แต่ในใจหละ หรือลับหลังละ...
อินเตอร์เน็ต ก่อให้เกิด "โรคชอบด่า" จริงหรือ ในเน็ตนี้ ตรงไหนมีที่ให้คุย ตรงนั้นเจอคำด่าทอได้หมด และมักเป็นไปในแบบเสียดแทงใจไม่ออมมารยาท...
เคยคิดอยู่เหมือนกันว่าวางแผนได้แยบยล ไปเล่าให้กับคนที่เป็นหมอดูฟังก็ตอบผมคล้ายๆกับคุณกาลีนะ หมอดูก็บอกว่าเขาเทคนิคดี...
จะว่าไปก็ถูกอย่างที่คุณบุญยงว่า ผมไม่เชื่อแต่มันดันได้ผล ส่วนตัวผม ผมเองก็เหมือนกับคนทั่วไป คือเวลาหมอดูทายเราถูกต้องในเรื่องที่ผ่านมาแล้วนั้น...
ที่ผมบอกว่ามีพิธีการอีกนิดหน่อยนั้นก็มีนิดหน่อยจริงๆ ก็คือเอายาที่หญิงแก่ให้มานั้นมาต้ม แล้วเอามาทาที่ขา แต่มาจนถึงวันนี้ก็ยังไม่ได้ทำเลย...
เมื่อประมาณสิบสองปีมาแล้วผมต้องทนกับอาการปวดหลังมาตลอด...
การทำบุญจะมีอานิสงค์มากก็ต่อเมื่อ มีความสุขใจก่อนทำบุญ มีความสุขใจขณะทำบุญ และมีความสุขใจหลังทำบุญ...
ขอบคุณท่านddmanสำหรับคำตอบครับ ส่วนตัวผมนั้นที่ท่านได้บอกว่าผมฝ่าวิกฤตินั้นอันที่จริงผมไม่ได้ดีขนาดนั้นครับ แต่ผมอยู่เฉยๆซะมากกว่า...
เมื่อไม่อยากพบคนพาล ก็พึงทำตนนั่นเองให้พ้นความเป็นพาล ประโยคนี้มีความหมายประมาณว่า...
ส่วนตัวผม ทำบุญอะไรก็ได้ที่สัมพันธ์กับสิ่งที่ปรารถนา แล้วถ้าสิ่งที่หวังเป็นจริงก็แล้วไป แต่เมื่อไม่ได้นี่แหละจิตมักจะเศร้าหมองทันที...
ผมว่า คนเรามันมีความยึด ยึดว่าคนสวยหล่อ ต้องมีผิวแบบนี้ จมูกแบบนี้ ตา ปาก หู แบบนี้ แบบนั้น เพราะเรายึด เราถูกหล่อหลอมมาจากสังคม...
ผมต้องยอมรับว่าจริงๆแล้วผมได้ความรู้ต่างๆมาจากคุณddmanหลายครั้งและอ่านกระทู้ของเพื่อนๆในเว็ปนี้อีกหลายครั้ง อะไรที่ดีๆก็เก็บไปทำ...
วันนี้ผมมีเรื่องราวส่วนตัวที่อยากจะนำมาเล่าบอกกล่าวแก่เพื่อนๆในเว๊ปครับ คือว่าเรื่องเป็นอย่างนี้ครับ...
คุณอย่าไปยึดติด มันจะทำให้คุณกำลังใจตก ไม่บาปแน่นอน แต่ถ้าคิดมากจะทำให้ใจเศร้าหมอง บุญบาปอยู่ที่ใจคุณเบาสบายแค่ไหน...
แล้วแต่บุคคล แล้วแต่สถานการณ์ ผมเลิกกินกุ้งเผาปูเผาที่ต้องสั่งฆ่านานแล้ว เพราะว่าผมสบายใจกว่าเวลาไปกินกันทั้งครอบครัวผมก็ไม่กิน ผมเอาชัวร์
ขอโมทนากับการอโหสิกรรมนี้ ดีแล้วคิดเสียว่าชาติก่อนเราเอาเขามาชาตินี้ก็คืนกันไป จะได้ไม่ต้องผูกเวรกันไปชาติหน้าจบกันแค่นี้
ที่ผมเข้าใจมาก็คือได้บุญ แต่มากน้อยนั้นก็ต่างกันไป อยู่ที่กำลังใจเรา ก่อน ระหว่างและหลังทำบุญถ้ารักษากำลังใจไม่ให้ตกและตัดกิเลสออกได้ บุญจะได้เต็ม...
ผมมีมีดหมอชาตรีของหลวงพ่อฤาษีเป็นมีดโต้เล็กปี34ความยาวประมาณ6ซม.นำไปใส่ตะกรุด(ที่เป็นเหมือนหลอดพลาสติกใส)...
สำหรับผมอาการปีติขนลุกนั้นถ้ามีสมาธิถึงจุดหนึ่งขนจะลุก และถ้าไปสนใจเรื่องอื่น(หลุดจากสมาธิ)อาการขนลุกนั้นก็หายไป...
เกิดผลอย่างไรก็บอกกล่าวกันด้วยนะครับ อาการที่ผมว่าขนลุกแรงๆก็น่าจะเป็นกระแสอะไรสักอย่างนะครับ แต่ผมก็ไม่รู้จะเรียกอาการนั้นว่าอะไร
แยกชื่อด้วยเครื่องหมายจุลภาค เช่น พลังจิต, พุทธศาสนา