กรณีตัวอย่าง อนาคตังสญาณ อนาคตเปลี่ยนได้ ?

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย chan2, 8 พฤศจิกายน 2011.

  1. chan2

    chan2 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2008
    โพสต์:
    99
    ค่าพลัง:
    +23
    เนื่องจากที่มีพระพูดถึงภัยพิบัตกันมากเลยหากรณีตัวอย่างให้ช่วยวิเคราะห์กันดูหน่อยครับ

    อนาคตังสญาณหลวงปู่เอี่ยมวัดหนัง
    ย่อมาอ่านเต็มๆได้ที่>อนาคตังสญาณหลวงปู่เอี่ยมวัดหนัง
    โดย joni_buddhist

    เมื่อล้นเกล้า ฯ รัชกาลที่ ๕ ได้รับคำแนะนำจากพระเจ้าน้องยาเธอ "กรมหลวงนเรศวรฤทธิ์"ให้เสด็จพระราชดำเนินเป็นการส่วนพระองค์ เข้านมัสการ "หลวงปู่เอี่ยม" วัดโคนอน เพื่อขอรับคำพยากรณ์ก่อนที่จะเสด็จประพาสยุโรป ครั้งที่ ๑ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๔๐ นั้น
    พระปลัดเอี่ยมนั่งรออยู่บนอาสนะอันสมควรแก่ฐานานุรูป ภายในพระอุโบสถอันแคบ แบบวัดราษฏร์ในเขตอันไกลจากพระบรมมหาราชวัง กรมหลวงนเรศวรฤทธิ์ก้าวนำเสด็จเข้ามาภายในพระบาทสมเด็จพระปิยมหาราชเจ้าทรงจุดธูปเทียนบูชาสักการะพระประธาน กราบด้วยเบญจางคประดิษฐ์ แล้วจึงเสด็จกลับมาถวายนมัสการพระปลัดเอี่ยม ซึ่งกราบทูลให้ทรงประทับนั่งธรรมดาตามสบายพระองค์
    "ที่รูปมาในวันนี้("รูป"เป็นคำที่พระมหากษัตริย์สมัยก่อนใช้แทนพระนามเมื่อมีพระราชดำรัสกับพระสงฆ์) เพื่อขอให้ท่านปลัดได้ช่วยตรวจดูเหตุการณ์ว่า การที่รูปจะเสด็จไปยุโรปเพื่อเจริญสัมพันธไมตรีกับราชสำนักในยุโรปนั้น จักเป็นอย่างไรบ้าง ด้วยหนทางไกลและอันตรายมีอยู่รอบด้าน"
    "มหาบพิตร อาตมาจักตรวจสอบให้ อย่าได้ทรงมีพระหทัยกังวล ทั้งนี้ด้วยพระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นสมมติเทพแบบพระองค์นั้น มีบุญญาธิการ สามารถผ่านพ้นความทุกข์ได้อย่างมั่นคง"
    พระปลัดเอี่ยมลุกจากที่นั่งไปคุกเข่าลงหน้าพระประธาน ก้มลงกราบด้วยเบญจางคประดิษฐ์ระลึกถึงองค์พระรัตนตรัย และหลวงปู่รอดผู้มรณภาพไปแล้ว ขอบารมีในการจะเข้า "ฌาน" เพื่อดูอนาคตด้วย "อนาคตังสญาณ" จากนั้นก็กลับเข้ามาสู่ท่านั่งสมาธิตัวตรง เจริญอานาปานสติ แล้วเข้าสู่ฌานที่ ๔ ตามลำดับ จากนั้นเข้าสู่อนาคตังสญาณ โดยกำหนดจิตไว้มั่นเพื่อให้นิมิตเกิด
    ในท่ามกลางความคะนองของท้องทะเล และคลื่นลมตลอดจนวังวนของทะเล เรือพระที่นั่งกำลังอยู่ในปากแห่งวังวนนั้น น้ำในวังวนเชี่ยวกราก และส่งแรงดูดมหาศาล ภายใต้วังวนนั้น ซากเรือใหญ่น้อยจมอยู่เป็นอันมาก พ้นจากทะเลมาสู่บก พลันภาพของกลุ่มคนที่นั่งกันอยู่เป็นชั้น ๆ ส่งเสียงจ้อกแจัก ด้านล่างเป็นผืนหญ้า และมีผู้จูงม้าเข้ามาในที่นั้น ม้าตัวนั้นมีคนถือเชือกที่ล่ามขาทั้งสี่คอยดึงไว้ไม่ให้พยศ ดวงตาของมันเหลือกโปน น้ำลายฟูมปาก
    ภาพของฝรั่งแต่งตัวด้วยเครื่องแบบประหลาด ผายมือให้พระบาทสมเด็จพระปิยมหาราชเจ้าทรงเสด็จไปรับม้าเพื่อประทับ แล้วทุกอย่างก็ดับวูบหายไป
    ถึงวาระที่ออกจากญาณพอดีลุกขึ้นเดินมานั่งบนอาสนะที่เดิม ก่อนจะกราบทูลความถวายว่า
    "มหาบพิตร การเสด็จพระราชดำเนินสู่ยุโรปครั้งนี้ จะต้องประสบภัยสองครั้ง ครั้งแรกในทะเลที่วังวน อาตมาจะถวายผ้ายันต์พิเศษและคาถากำกับ เมื่อเข้าที่คับขันขอให้ทรงเสด็จไปยืนที่หัวเรือ แล้วภาวนาคาถากำกับผ้ายันต์แล้วโบกผ้านั้น จะเกิดลมมหาวาตะพัดให้เรือหลุดจากการเข้าสู่วังวนได้
    ภัยครั้งที่สองเกิดจากสัตว์จตุบท (สี่เท้า) คืออัศดรชาติอันดุร้ายที่ฝ่ายตรงข้ามจะทดลองพระองค์อาตมาจะถวายคาถาพิเศษสำหรับภาวนาเวลาถอนหญ้าให้อัศดรอันดุร้ายนั้นกิน จะคลายพยศและสามารถประทับบังคับให้ทำตามพระราชหฤทัยได้เหมือนม้าเชื่อง" ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่เล่าลือกันมาตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้าหลวง ปู่ย่าตายายได้เล่าสืบทอดกันมาอันมีส่วนหนึ่งเกี่ยวพันกับพระบรมรูปทรงม้าที่ลานพระราชวังดุสิต
    คาถาเสกหญ้าให้ม้ากินที่หลวงปู่เอี่ยมถวายนั้น คือ "คาถาอิติปิโสเรือนเตี้ย" หรือ "มงกุฎพระพุทธเจ้า" มีตัวคาถาว่า "อิติปิโส วิเสเสอิ อิเสเส พุทธะนาเมอิ อิเมนา พุทธะตังโสอิ อิโสตังพุทธะปิติอิ "
    ขอรวบรัดตัดตอนเส้นทางเสด็จ ไม่ขอนำความมากล่าวโดยละเอียด ณ ที่นี้ เมื่อพระองค์เสด็จถึงประเทศฝรั่งเศส ประธานาธิบดี เฟลิกซ์ ฟอร์ ได้ถวายการต้อนรับอย่างสมพระเกียรติ แม้จะไม่เต็มใจนัก
    ในช่วงที่ทรงพำนักในกรุงปารีส ฝรั่งเศส ระหว่างวันที่ ๑๑ กันยายน ถึง ๑๗ กันยายน ๒๔๔๐นี่เอง ที่พระองค์ได้ประสบกับความแม่นยำในอนาคตังสญาณของพระปลัดเอี่ยม ข้อที่ ๒ หากไม่ได้เตรียมการ หรือเตรียมพระองค์ล่วงหน้าแล้ว มีหวังที่จะต้องเอาพระชนม์ชีพไปทิ้งเสียที่นี่กระมัง
    -
    แม้เขาจะต้อนรับพระองค์อย่างสมพระเกียรติก็ตาม แต่นั่นเป็นเพียงหน้าฉากเท่านั้น หลังฉากน่ะหรือ ? ได้กำหนดขึ้นเพื่อต้อนรับพระองค์ไว้เรียบร้อยแล้ว ในสนามแข่งม้าชานกรุงปารีสนั่นเอง เมื่อพระองค์ได้รับคำทูลเชิญให้เสด็จทอดพระเนตรการแข่งม้านัดสำคัญนัดหนึ่งซึ่งมีขุนนาง ข้าราชการ พระบรมวงศานุวงศ์ฝรั่งเศสมาชมกันมาก พวกมันได้นำเอาม้าดุร้ายและพยศอย่างร้ายกาจมาถวายให้ทรงประทับ โดยถือโอกาสขณะที่อยู่ท่ามกลางมหาสมาคม แม้รู้ว่าม้านั้นดุร้าย พระปิยมหราชเจ้าก็จะไม่ทรงหลีกหนี ด้วยขัตติยะมานะที่ทรงมีอยู่ในฐานะผู้นำประเทศ หากทรงพลาดพลั้งนั่นคือ "อุบัติเหตุ" ใครก็จะเอาผิดหรือต่อว่าเจ้าเศษฝรั่งไม่ได้
    ม้าตัวนั้นเล่าลือกันว่า เคยโขกกัดผู้เลี้ยงดูและผู้หาญขึ้นไปขี่ตายมาแล้วหลายคน จะเอาไปไหนต้องมีคนจูงด้วยเชือกล่ามเท้าทั้งสี่ไว้ เพื่อป้องกันการพยศและขบกัดผู้คน นัยว่าเป็นม้าของเจ้าชายแห่งฝรั่งเศสพระองค์หนึ่ง เมื่อถูกนำเข้ามาในสนาม ทุกคนก็ส่งเสียงร้องด้วยความตกใจและหวาดกลัว ตัวแทนรัฐบาลฝรั่งเศสเริ่มวางหลุมพราง โดยกราบบังคมทูลว่า
    "ไม่ทราบเกล้าว่าเมื่ออยู่ในสยามประเทศเคยทรงม้าหรือไม่ พระเจ้าข้า"
    "แน่นอน ข้าพเจ้าเคยทรงอยู่เป็นประจำ เพราะในสยามประเทศก็มีม้าพันธุ์ดีอยู่มาก"
    "โอ วิเศษ ขออัญเชิญพระองค์ทรงเสด็จขึ้นทรงม้า ตัวที่กำลังถูกจูงเข้ามานี้ให้ประจักษ์ชัดแก่สายตาของผู้คนในสนามม้านี้ด้วยเถิดพระเจ้าข้า"
    ตัวแทนรัฐบาลฝรั่งเศสกราบทูลด้วยความกระหยิ่มใจ
    "แน่นอน ข้าพเจ้าจะแสดงให้ท่านทั้งหลายได้ดูว่า กษัตริย์แห่งสยามประเทศนั้นไม่เคยหวาดหวั่นกลัวแม้แต่อัสดรที่พยศดุร้าย หรือผู้คุกคามที่มีอาวุธพร้อมสรรพ "
    จบพระราชดำรัสก็ทรงลุกขึ้นเปิดพระมาลาขึ้นรับการปรบมืออันกึกก้องสนามม้าแห่งนั้น แล้วเสด็จพระราชดำเนินลงจากอัฒจันทร์ สู่ลู่ด้านล่างซึ่งขณะนั้นม้ายืนส่งเสียงร้องและเอากีบเท้าตะกุยจนหญ้าขาดกระจุยกระจาย
    คำพยากรณ์ของพระปลัดเอี่ยมยังกึกก้องอยู่ในพระกรรณ ทรงก้มพระวรกายลงใช้พระหัตถ์ขวารวบยอดหญ้าแล้วดึงขึ้นมากำมือหนึ่ง ทรงตั้งจิตอธิษฐานถึงพระรัตนตรัย พระสยามเทวาธิราชและพระปลัดเอี่ยม เจริญภาวนาพระคาถาอิติปิโสเรือนเตี้ยที่พระปลัดเอี่ยมถวายสามจบ ทรงเป่าลมจากพระโอษฐ์ลงไปบนกำหญ้านั้น แล้วแผ่เมตตาซ้ำ ยื่นส่งไปที่ปากม้า เจ้าสัตว์สี่เท้าผู้ดุร้ายสะบัดแผงคอส่งเสียงดังลั่นก่อนจะอ้าปากงับเอาหญ้าในพระหัตถ์ไปเคี้ยวกินแล้วก็กลืนลงไป
    ผู้แทนรัฐบาลฝรั่งเศสโบกผ้าเช็ดหน้า เป็นสัญญาณให้แก้เชือกที่ตรึงเท้าม้าออกไปพ้นทั้งสี่เท้าบัดนี้เจ้าสัตว์ร้ายพ้นจากพันธนาการ และบรรดาผู้ที่จูงมันเข้ามาก็ผละหนี เพราะเกรงกลัวในความดุร้ายของมัน พระปิยะมหาราชเจ้าทรงทอดสายพระเนตรจับจ้องอยู่ที่นัยน์ตาของม้านั้น ก็เห็นว่ามันมีแววตาอันเป็นปกติ มิได้เหลือกโปนดุร้าย ทรงเอื้อมพระหัตถ์ไปตบที่ขาหน้าของมันสามครั้ง เจ้าม้านั้นก็ก้มหัวลงมาดมที่พระกรไม่แสดงอาการตื่น หญ้าเสกสำริดผลตามประสงค์
    อาชาที่ดุร้ายกลับเชื่องลงเหมือนม้าลากรถ เจ้าชีวิตแห่งสยามประเทศยกพระบาทขึ้นเหยียบโกลนข้างหนึ่งแล้วหยัดพระวรกายขึ้นประทับบนอานม้าอย่างสง่างามไร้อาการต่อต้านของม้าที่เคยดุร้ายเสียงคนบนอัฒจันทร์ส่งเสียงตะโกนขึ้นเป็นเสียงเดียวกันว่า "บราโวส บราโวส" อันหมายถึงว่า "วิเศษที่สุด เก่งที่สุด ยอดที่สุด" ทรงกระตุ้นม้าให้ออกเดินเหยาะย่างไปโดยรอบสนาม ผ่านอัฒจันทร์ที่มีผู้คนคอยชม เปิดพระมาลารับเสียงตะโกนเฉลิมพระเกียรติบางคนก็โยนหมวก โดยมีดอกกุหลาบลงมาเกลื่อนสนามตลอดระยะทางที่ทรงเหยาะย่างม้าผ่านไปจนครบรอบ จึงเสด็จลงจากหลังม้ากลับขึ้นไปประทับบนพระที่นั่งตามเดิม
    บรรดาพี่เลี้ยงม้าก็เข้ามาจูงม้านั้นออกไปจากสนาม คำพยากรณ์ข้อที่สองและคาถาที่พระปลัดเอี่ยมแห่งวัดโคนอนถวาย ได้สำริดผลประจักษ์แก่พระราชหฤทัย ทรงระลึกถึงพระปลัดเอี่ยมว่า เป็นผู้ที่จงรักภักดีโดยแท้จริง และได้ช่วยให้ทรงผ่านสถานการณ์อันเลวร้ายมาถึงสองครั้งสองครา และทั้งหมดนี้คือจุดเล็ก ๆ ในเกร็ดพระราชประวัติ เป็นปฐมเหตุแห่งพระบรมรูปทรงม้า หน้าพระราชวังดุสิต ที่เล่าขานกันต่อมาช้านาน และยังคงกึกก้องในโสตประสาทของปวงชนชาวไทยต่อไป ชั่วกาลปาวสาน

    ---------------------------------------------------------------------
    "ม้าตัวนั้นมีคนถือเชือกที่ล่ามขาทั้งสี่คอยดึงไว้ไม่ให้พยศ ดวงตาของมันเหลือกโปน น้ำลายฟูมปาก ภาพของฝรั่งแต่งตัวด้วยเครื่องแบบประหลาด ผายมือให้พระบาทสมเด็จพระปิยมหาราชเจ้าทรงเสด็จไปรับม้าเพื่อประทับ แล้วทุกอย่างก็ดับวูบหายไป (เลยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น 1 หรือ 2) ถึงวาระที่ออกจากญาณพอดีลุกขึ้นเดินมานั่งบนอาสนะที่เดิม"

    ข้อสงสัยมีอยู่ที่ เป็นการเปลี่ยนอนาคตหรือเปล่า

    1. ทรงม้าทั้งๆที่ม้าดุร้ายและพยศ หรือ
    2. ทรงก้มพระวรกายลงใช้พระหัตถ์ขวารวบยอดหญ้าแล้วดึงขึ้นมากำมือหนึ่ง ทรงตั้งจิตอธิษฐาน... เหตุการจะไม่เป็นอื่นนอกไปจากนี้

    อนาคตจะถูกแทรกแทรงจากผู้รู้อนาคตได้หรือไม่
    หรือการรู้อนาคตนี้เป็นไปตามร่องรอยกรรมอยู่แล้ว ?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 พฤศจิกายน 2011
  2. Nirvana

    Nirvana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    8,189
    ค่าพลัง:
    +20,861
    ถ้ากรณีที่ จขกท. ยกขึ้นมาอ้างนี้ว่า อนาคตังสญานเปลี่ยนแปลงอนาคตได้...

    สำหรับองค์พระปิยะ ร. 5 ตอบว่าได้ ครับ เพราะเป็นบุญบารมีเฉพาะพระองค์ท่าน

    แต่จะนำมาใช้กับภัยพิบัติที่บ้านเมืองเราและของโลกที่ผจญอยู่ทุกวันนี้...ไม่ได้แน่ ครับ
    เพราะว่านี่เป็นกรรมของมหาชนคนหมู่มาก และสะสมกันมาอย่างซับซ้อนยาวนาน
    แม้ว่าพระอริยะเจ้าผู้มีบุญบารมีสูงยิ่ง ก็มิอาจแก้ไขอะไรได้ (อาจจะแค่บรรเทากรรมให้กับคนดี)

    อันว่าโลกนี้นับแต่กำเนิดเกิดขึ้นมาในจักรวาล ก็ต้องพบกับอุบัติและวิบัติมามากมายหลายครั้ง นับเป็นสัจจะธรรมโดยแท้

    ถ้าเจริญพึ่งสดับและใช้สติปัญญาไตร่ตรอง หาทางผ่องถ่ายในการดำเนินชีวิต ครับ
     
  3. veer

    veer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    246
    ค่าพลัง:
    +356
    ในท่ามกลางความคะนองของท้องทะเล และคลื่นลมตลอดจนวังวนของทะเล เรือพระที่นั่งกำลังอยู่ในปากแห่งวังวนนั้น น้ำในวังวนเชี่ยวกราก และส่งแรงดูดมหาศาล ภายใต้วังวนนั้น ซากเรือใหญ่น้อยจมอยู่เป็นอันมาก พ้นจากทะเลมาสู่บก พลันภาพของกลุ่มคนที่นั่งกันอยู่เป็นชั้น ๆ ส่งเสียงจ้อกแจัก ด้านล่างเป็นผืนหญ้า และมีผู้จูงม้าเข้ามาในที่นั้น ม้าตัวนั้นมีคนถือเชือกที่ล่ามขาทั้งสี่คอยดึงไว้ไม่ให้พยศ ดวงตาของมันเหลือกโปน น้ำลายฟูมปาก
    ภาพของฝรั่งแต่งตัวด้วยเครื่องแบบประหลาด ผายมือให้พระบาทสมเด็จพระปิยมหาราชเจ้าทรงเสด็จไปรับม้าเพื่อประทับ แล้วทุกอย่างก็ดับวูบหายไป


    .......... หลวงปุ่เอี่ยมท่านไม่ได้แก้ไขอนาคตแต่อย่างใด ท่านรู้ว่ากาลข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้นกับเสด็จพ่อแต่มันก็ผ่านไปด้วยดี ไม่ว่าจะเจอพายุหรือการทรงม้าก็เป็นไปตามนั้น เพียงแต่ท่านได้ถวายคาถาเพื่อเพิ่มกำลังใจ และให้มีความมั่นใจเพิ่มขึ้น ไม่ได้ไปเปลี่ยนแปลงอนาคตแต่อย่างใด ....ทุกๆอย่างที่ผ่านไปด้วยดี เพราะอนาคตกำหนดไว้แล้ว ด้วยบุญบารมีของเสด็จพ่อครับ
     
  4. ผ่านมาจริงๆ

    ผ่านมาจริงๆ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    503
    ค่าพลัง:
    +635
    ขอบคุณสำหรับเรื่องราวที่เป็นความรู้ค่ะ qsqu
     
  5. ชัยบวร

    ชัยบวร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2011
    โพสต์:
    928
    ค่าพลัง:
    +1,642
    เห็นด้วยครับ แต่จะแจ้งอีกอย่างหนึ่ง ถ้าเกิดเหตุการณ์เปลี่ยนอนาคตจริง ๆ เพราะการล่วงรู้อนาคต ก็ต้องมีเหตุการณ์ใหม่ขึ้นมาเพื่อให้เกิดขึ้นอีก หมายถึงถ้าผลของกรรมยังอยู่ จะบอกก็คือ แม้แก้ไขได้ตอนแรก แต่ในตอนต่อ ๆ มาจะแก้ไม่ได้แน่นอน ถ้ายังมีกรรมอยู่ ในกรณีพระองค์นี้ผมบอกได้เลยว่าทรงมีบุญจริง ๆ คือมีเหตุจะต้องโดนแต่ก็มีผู้มีศิลมาช่วยไว้ได้ทันการ จึงไม่ใช่การแก้ไขอนาคตแต่เป็นเพราะมีเหตุต้องเกิดและจบลงด้วยดีต่างหากครับ แต่จะนำมาใช้กับภัยพิบัติไม่ได้ เพราะกรรมมันหนักกว่ากันมาก แม้จะมีเหตุการณ์ให้เลื่อนไปแต่ก็ต้องเกิดอยู่ดี ยกตัวอย่างเช่น มีนักพยากรณ์ท่่านหนึ่งได้กล่าวเตือนไว้ว่า อย่าขึ้นไปบนสะพานแห่งหนึ่ง มันอันตราย และสั่งห้ามอย่างเด็ดขาด ปรากฏว่าไม่มีใครกล้าขึ้นไปเล่นบนสะพานตามวันเวลาที่นักพยาการณ์ท่านนี้เตือน แต่ในที่สุดสะพานนี้ก็พังลงมาจนได้ โชคดีไม่มีใครขึ้นไปเลยไม่มีใครตาย แต่ปรากฏว่ามีสุนัขตัวหนึ่งได้ขึ้นไปบนสะพานพอดีกับที่สะพานพัง นั่นหมายความว่า สะพานก็ยังพังลงมาตามที่พยากรณ์ไว้แต่มีแค่สุนัขตัวเดียวที่ตาย ไม่มีคนตายสักคน ตัวอย่างนี้ใช้อธิบายได้แค่ไม่กี่กรณี แต่ถ้าเป็นกรณีอื่น ๆ ที่มีผลของกรรมแตกต่างกันก็ต้องกล่าวไปตามผลของกรรมนั้น ๆ ครับ
     
  6. kumpeang

    kumpeang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    546
    ค่าพลัง:
    +1,984
    ขออนุญาตเล่า ส่วนตัวนะครับ เปลี่ยนอนาคตไม่ได้ แต่ปรับให้หนักเบาได้ด้วยหลายๆ อย่าง เช่น เราจะต้องถูกรถชน ก็ต้องถูกรถชนครับ เลี่ยงไม่ได้ แต่เลี่ยงให้จะหนัก หรือ เบาได้แล้วแต่วาระบุญกรรมอีกทีหนึ่งครับ

    อาจเช่น เสด็จพ่อ ร.5 อย่างไรท่านก็คงต้องเจอปัญหาทางน้ำทะเล หรือ นั่งประทับม้าพยศ อย่างไรก็ต้องทรงนั่ง แต่นั่งแล้ว ผ่อนหนักเป็นเบา ผ่อนเบาให้หายไปได้ ครับ จะ เป็นอย่างไร นี้ คงจะทราบกันแล้วครับ แต่อย่างไรท่านก็ต้องนั่งประทับครับเลี่ยงไม่ได้ ความเห็นผมเองนะครับ กราบขอขมาลาโทษ และขอสาธุในบุญญาธิการพระองค์ท่านครับ
     
  7. ภูทยานฌาน

    ภูทยานฌาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    129
    ค่าพลัง:
    +188
    ไมีมีใครหนีกฎแห่งกรรมไปได้สักคน นอกจากพระนิพพาน
    คิดดี พูดดี ทำดี
    คนที่คิดบวก เป็นการสร้างพลังจิตและสร้างบารมีให้กับตน ถือเป็นฝ่ายบุญกุศล มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง
    อย่าไปคิดแก้ไขธรรมชาติเลย เพราะไม่มีใครเปลี่ยนแปลงธรรมชาติได้ ยกเว้น"คนเหนือโลก" แต่บุคคลเหล่านั้นเขาปล่อยวางหมดแล้ว
    และสิ่งที่ควรแก้ไขมากที่สุดก็คือ "จิตมนุษย์"
     
  8. coolz

    coolz เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,594
    ค่าพลัง:
    +1,337
    ประทับใจประโยคนี้ค่ะ ถ้าเจริญพึ่งสดับและใช้สติปัญญาไตร่ตรอง หาทางผ่องถ่ายในการดำเนินชีวิต ครับ
     
  9. Nirvana

    Nirvana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    8,189
    ค่าพลัง:
    +20,861
    บุญพระรักษา อนุโมทนา...สาธุ ครับ :cool:
     
  10. wara99

    wara99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    381
    ค่าพลัง:
    +898
    กรรม เมื่อกระทำแล้ว ลบล้างไม่ได้ อย่างไรก็อย่างนั้น

    กรรม เปลี่ยนผลได้ จากหนักเป็นเบา หรือเบาสุด คือ อโหสิกรรม

    การแก้กรรม จึงเถียงกันไม่จบ เพราะให้ความหมายไม่เหมือนกัน บางท่านบอกแก้ได้

    บางท่านอ้างพระไตรปิฏกว่าแก้ไม่ได้

    เอาเป็นว่า ลบลางไม่ได้ แต่แก้ได้บ้าง ถ้าไม่ใช่กรรมหนัก

    โดยส่วนตัวเห็นว่า การแก้กรรม ทำมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้ว

    ตัวอย่างองค์คุลิมาล หรือในภาพรวมแล้ว พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ล้วนมาชี้แนวทางแก้กรรมกันทั้งนั้น

    เพียงแต่ใช้สำนวนว่า มารื้อค้นสัตว์ ให้พ้นบ่วงวัำฎสังสารได้เร็วขึ้น ส่วนนี้หลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน ท่านใช้คำว่า

    แก้กรรม เหมือนกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 พฤศจิกายน 2011

แชร์หน้านี้

Loading...