วันนี้ตื่นขึ้นมามีคำๆนึงที่ไม่เคยได้ยินผุดขึ้นมาในหัวคือ "มาตาปิตุภูมิ" เลยลองเอามา search ใน google ดู นึกว่าเป็นชื่อของภพภูมิ ดันกลายเป็นชื่อเหรียญ หรือรุ่นเหรียญซะงั้น 555 ปกติผมไม่ค่อยได้สนใจเหรียญพระหรืออะไร แต่งงว่าชื่อนี้มันผุดขึ้นมาในหัวได้ไงตอนใกล้ตื่น
กระแส"พญานาค"กับข้อเท็จจริงบางอย่าง(มีคลิป) คนที่ไม่เชื่อควรดูด้วยดุลพินิจ
ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย 9@Phonlee, 1 กุมภาพันธ์ 2018.
หน้า 285 ของ 312
-
-
เครเนาะ
ปกติเป็นนัยยะในการปฏิบัติสำหรับ
บุคคลนั้นๆ ของเรามันหมายถึง
การระลึกถึงคุณบิดามารดา
ผู้ให้กำเนิด
ลองพิจารณาดูเอาเองนะ
น่าจะเป็นอะไรที่รู้ตัวเองดี.... เครเนาะ -
เอาจริงๆภพภูมิที่ดูจะใส่ใจผมมากเป็นพิเศษนี่คือคนข้างบนนี่แหละ จู้จี้ จุกจิก ทำผิดนิดหน่อย ก็โดนเตือน ทำบาปก็ไม่ได้ บางทีผมรู้สึกว่าภพภูมินี้ดูน่ารำคาญที่สุด ผมรู้สึกอึดอัดแหละบางทีเลยมาบ่นให้ฟัง บางทีมาในรูปแบบฝัน บางทีก็มาตอนครึ่งหลับครึ่งตื่น บางทีตอนคิดลบก็มีเสียงวิ้งๆในหูขวา และได้ยินเสียงพูดเบาๆ แล้วแต่เค้าจะสื่อ เคยไล่ไปหลายรอบแล้วด้วยความรำคาญ เหมือนเค้าหวังดีนะ แต่ไม่ค่อยเข้าใจผมสักเท่าไร บ่นให้ฟังเล่นๆแค่นี้แหละครับ เดี๋ยวจะยาว.... -
-
จร้าค่อยๆพิจารณาในสิ่งที่ตนเองพูดดีๆแล้วกันนะ
วันนี้วันพระใหญ่ด้วย... -
เมื่อคืนนั่งสมาธิสักพักเห็นภาพนิมิตคล้ายๆแบบนี้เกิดขึ้น แต่ไม่เหมือน คล้ายๆภาพแรก แต่จะเห็นเทวดาแค่ 2 องค์ อยู่ด้านล่าง ซ้าย-ขวา กำลังพนมมืออยู่ และด้านบนก็มีเทวดาอีก 2-4 องค์แบบภาพด้านล่าง
เป็นนิมิตแว๊บขึ้นมานิดนึงตอนนั่งอานาปานสติ ขึ้นมา 2-3 ครั้ง ครั้งแรกผมไม่ได้สนใจ ครั้งที่สองผมลองจับภาพดู เลยจำได้ว่าคล้ายๆแบบนี้ แล้วนั่งต่อไป
ปกตินิมิตเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าแบบนี้จะไม่ค่อยเกิด เว้นแต่นึกขึ้นมาเองแบบ พุทธานุสติกรรมฐาน อาจเป็นเพราะวันพระใหญ่มั้ง ผมไม่แน่ใจ -
"....การระลึกถึงคุณบิดามารดา
ผู้ให้กำเนิด...."
(อาจารย์นพ)
พ่อแม่ผมเสียชีวิตมา20-30ปี
ผมได้นำรูปภาพสีเคลือบกรอบวิทย์ขนาด12+15"
มาวางคู่กันตรงผนังหน้าโต๊ะทำงานมา20-30ปี
ทุกเช้าหลังจากไหว้พระเสร็จ
ผมจะวางใจให้เป็นสมาธิพนมมือไหว้
...แล้วมองไปที่รูป
พร้อมกล่าวคาถาดังนี้
"มัยหัง มาตา ปิตู นังวะ ปาเทสุ วันทามิ สาทะรัง"
"ขอให้คุณพ่อชื่อ....คุณแม่ชื่อ...มีความสุข
ได้ไปอยู่ในภพภูมิที่ดีและสูงยิ่งๆขึ้นไป"
(แต่จะไม่ภาวนาขออะไรจากท่าน)
เพราะสำนึกว่าท่านได้ให้ทุกสิ่งมาเกินล้นแล้ว
ทุกครั้งจะเกิดความรู้สึก(หรือเป็นจริงไม่ทราบ)
จะเห็นรอยยิ้มเล็กๆตรงมุมปากพ่อแม่(เหมือนท่านรับรู้)
ยิ่งถ้ามองหน้าพ่อแม่สลับกันไปมา...
...รอยยิ้มยิ่งชัดเจน
(แค่เล่าให้ฟัง) -
คำคมคำสอนหลวงพ่อกล้วย(ชุด3)
(รูป 7)
(รูป8)
(รูป9)
-
*ขอบันทึกเหตุการณ์บางอย่าง*
เรื่องราวของ "งูๆ"
ในวันสำคัญทางพุทธศาสนา
เมื่อวาน 24/7/64 วันอาสาฬหบูชา
ช่วงเช้าได้โอนเงินไปทำบุญวัดป่าภูหายหลง เขาใหญ่
ตอนเที่ยงเจอคราบงูส่วนหัวที่สนามหญ้า(ตามภาพ)
เช้าวันนี้ 25/7/64 วันเข้าพรรษา
เจอคราบงูสวยงามห้อยอยู่กลางต้นมะม่วง(ตามภาพ)
วัดจากคราบความยาวเมตรเศษ
ดูจากคราบส่วนหัวเป็นเกล็ด...น่าจะเป็นงูเห่า
วันวานในอดีตเมื่อปี 2562
ไปร่วมงานทำบุญวันอาสาฬหบูชา
ที่วัดป่าภูหายหลง เขาใหญ่
บนท้องฟ้าปรากฏภาพคล้ายพญานาค(ตามรูป)
วันวานในอดีตเมื่อปี 2560
วันที่ 5/10/60 เป็นวันออกพรรษา
วันรุ่งขึ้น(6/10/60)ไปร่วมงานตักบาตรเทโว
...ที่วัดป่าภูหายหลง
กลางคืนขากลับประมาณ20.00
พบงูใหญ่มากสีเขียวอ่อนเลื้อยผ่านกึ่งกลางถนน
ส่วนเจ๊นั่งอยู่ด้านข้างเห็นเป็นงูใหญ่สีขาว
เห็นพร้อมกันทั้งสองคนแต่ต่างสี(คงไม่ได้ตาฝาด)
(แต่ถ้าไม่ตาฝาดทำไมเห็นต่างสีกัน ?)
ความรู้สึกตอนนั่นผมคิดว่างูใหญ่ตายคาล้อรถแน่
เพราะเบรคไม่ทันแล้ว
พอวิ่งผ่านเลยไปประมาณ 1-200ม..
ตัดสินใจเลี้ยวรถกลับมาดูให้แน่ใจ
ปรากฏว่าไม่พบซากงูและอื่นๆบนถนนเลย
(บางคนฟังแล้วบอกว่าเป็นภาพลวงตาจากสิ่งเร้นลับบางอย่าง)
(เพราะตอนเช้าขับรถไปชนไก่ตายบริเวณนั่นด้วย)
พอถึงเช้าตรู่วันอาทิตย์ที่8
มีงานทอดกฐินที่วัดป่าภูหายหลง
ผมได้เจอคุณสมศักดิ์(ช่างภาพโดรน)
ได้เล่าให้ฟังว่า....
“เมื่อคืนนี้(เสาร์ที่7)เวลาประมาณ 21 น.
ขณะที่กำลังขับรถเพื่อมาค้างคืนที่วัดป่าภูหายหลง
ได้พบงูหลามขนาดใหญ่นอนพาดขวางถนน(ตามรูป)
*เมื่อฟังแล้วผมและภรรยาเกิดอาการตื่นเต้นทันที*
เพราะถ้าอย่างนี้ งูขนาดใหญ่ยาวที่พบเมื่อคืนก่อน
ไม่ว่าจะเป็นภาพลวงตาที่ถูกสิ่งลี้ลับเสกสรรค์
หรือเพราะพญานาคราชเล่นกลให้ดูก็สุดแท้แต่
จึงไม่ใช่เพราะเราทั้งสองตาฝาดตาฝ้าฝาง
แต่เป็นภาพจริงที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา
ถ้าจะบอกว่าเป็นเหมือนภาพมายากล
....ก็คงสรุปไม่ได้เช่นกัน
เอาเป็นว่ามันเป็นเรื่องอัศจรรย์ใจ
....และเป็นปริศนาที่ไม่มีวันลืมก็แล้วกัน
ประจวบกับที่บังเอิญมาเจอคราบงู
...ทั้งที่อยู่บ้านกรุงเทพ
ในวันอาสาเมื่อวาน และวันเข้าพรรษาวันนี้
-
ตอนนี้ก็เป็นหนึ่งในเทวดาประจำตัว
ที่คอยคุ้มครองตัวเราอยู่
ลองย้อนนึกในอดีตๆดี ว่ามีเหตุการณ์อะไร
เกิดขึ้นบางที่เหมือนเหลือเชื่อ(เสียงปริศนา)
นี้ก็แค่เล่าให้ฟังครับ -
ฝันว่ามีฤาษีพาเข้าถ้ำไปตัดเหล็กไหลกับคนกลุ่มนึง พร้อมเอาถ้วยไปรองเหล็กไหล ปรากฏว่าคนอื่นได้เหล็กไหลไป แต่ถ้วยของผมนั้นมีโลหะเหลวประหลาดสีออกขาวทึบ ฤาษีท่านนั้นบอกว่านี่ไม่ใช่เลห็กไหล แต่เป็นกายสิทธิ์ทรงอานุภาพแบบนึง แล้วฤาษีท่านนั้นก็จับถ้วยโลหะเหลว กรอกใส่ปราก แล้วเอาน้ำในถ้้ำมากรอกปากต่อ ปอกอีกว่านี่เป็นน้ำศักดิ์สิทธ ดื่มซะ
-
ขณะที่อ่านขนลุกว๊าบๆขึ้นมาหลายครั้ง
น้ำตาซึมด้วยความปลื้มปิติ
ที่ทำให้ผมเชื่อร้อยเปอร์เซนต์แล้ว
จากที่เชื่อเพียง80-20มาตลอดกว่า30ปีที่คุณพ่อเสีย
เมื่ออาจารย์นพเข้ามาตอกย้ำเรื่อง
...ชีวิตหลังความตายพ่อแม่
ได้ไปอยู่ในภพภูมิที่ดีมาก
และเป็นหนึ่งในเทวดาประจำตัว
ที่คอยคุ้มครองตัวผมอยู่
(ขอย้อนหลังอดีตเพื่อเล่าอะไรสั้นๆให้ฟัง)
เพื่อยืนยันเรื่องที่อาจารย์นพ...ทักมา
เป็นเรื่องที่อาจารย์นพรับรู้และสื่อได้จริง
และให้ทุกคนตระหนักว่า"ทำดีได้ดี" มีอยู่จริง
คุณแม่เป็นคนมีจิตเมตตามีคุณธรรม
แต่ไม่ค่อยมีงานสังคมที่โดดเด่น
แค่เป็นแม่บ้านเรียบง่ายเหมือนคนทั่วไป
ต่างกับคุณพ่อที่ผมต้องยกย่องเพื่อเชิดชู
ชีวิตของท่านตั้งแต่ผมจำความได้
อุทิศแรงกายแรงใจเพื่อสังคมมาตลอด
ทั้งที่ฐานะพอกินพอใช้ไม่ใช่คนร่ำรวย
แต่ทำไมคนในท้องที่รู้จักชื่อเสียงท่านดี
วันสุดท้ายงานพิธีศพของคุณพ่อ
ผมอยากรู้คนที่ทำแต่ความดี
หลังความตายจะไปอยู่ภพภูมิไหน
ผมจึงถามแม่ชีที่เป็นผู้นำคณะเวลาทำพิธี
(มาจากสำนักชีหาดใหญ่ไม่เคยรู้จักผู้ตาย)
ท่านนั่งสมาธิสงบนิ่งอยู่5-10นาที
พอลืมตาขึ้นแม่ชีบอกชัดถ้อยชัดคำว่า
"พ่อเธอเป็นเซิ่นเซียนอยู่ข้างบน"
(เซิ่นเซียนหมายถึงพรหมหรือเทวดา)
ช่วงนั่นผมฟังแล้วรู้สึกสุขใจมาก
แต่ก็กึ่งเชื่อแค่ 80-20
เชื่อตรงที่ว่าคุณพ่อสร้างแต่คุณงามความดี
ซึ่งเป็นที่ประจักษ์แก่คนทั่วไป
สมาคมเอย โรงเรียนจีนดังๆเอย มูลนิธิเอย
ต้องมีคุณพ่ออยู่ลำดับต้นๆที่ร่วมงานด้วย
ชีวิตหลังความตายจึงควรจะไปสู่ภูมิที่ดี
ที่สำคัญอีกอย่างที่ต้องพูดถึงคือ...
คุณพ่อนั่งสมาธินานเป็นชั่วโมงทุกเช้าตรู่ตี 5
กลางคืนก่อนนอนก็เช่นกัน
ปฎิบัติตนมาเป็นเวลามากกว่า 30 ปี
ขอสรุปครับ
จุดประสงค์ที่ผมเล่าเรื่องคุณพ่อให้ฟัง
นอกจากมายืนยันว่า "ทำดีได้ดีมีจริง"
ยังต้องการให้FCอาจารย์นพ ได้รับทราบว่า...
"อาจารย์นพมีญาณพิเศษมากกว่าบุคคลทั่วไป"
เพราะถ้าชีวิตคุณพ่อตรงข้ามกับเรื่องที่เล่าข้างบน
"ความศรัทธาอาจารย์นพคงลดลงไป"
ขอขอบพระคุณ อาจารย์นพ เป็นอย่างสูง
ที่ทำให้ผมมั่นใจคำพูดของแม่ชีวันนั่น
และมีความสุขใจเป็นอย่างยิ่งในวันนี้
(แก้ไข FB เป็น FC)
-
ข้างล่างนี้กว่าจะถึงคิวเป็นTips&Tricks
คงต้องรอเวลาอีกประมาณ 1 ปี
เป็นประวัติส่วนตัวมุมหนึ่งของท่านอจ.นพ
ที่น่าสนใจ...อ่านแล้วเพลินดี
ซึ่งน้อยครั้งที่ท่านจะเล่าให้ฟัง
วันนี้ผม9ขออนุญาตนำมาลงซ้ำอีกครั้ง
สำหรับ FBอาจารย์นพที่พลาดอ่าน
"โชคดี ที่ได้บวช และอยู่วัดช่วงนั้น
ซึ่งก่อนหน้านั้นพูดว่าจะบวช มา ๑o ปี
พอถึงเวลาจริงๆไม่ได้บวชซักที
และท่านเมตตาแนะนำเรื่องสมาธิ เรื่องภพภูมิให้
ปกติท่าน(ลพ.กล้วย)จะไม่สอนสมาธิใคร ถ้ามีคนถาม
เรื่องกรรมฐานท่านจะบอกเพียงแค่ว่า แล้วแต่จริต
แต่กรณีส่วนตัวเข้าใจว่าคงเป็นกรณีที่แตกต่าง
เพราะค่อนข้างมีประสบการณ์แบบที่เล่าออกสื่อไม่ได้
ตั้งแต่วันแรกที่บวชและนอนในวัด
นอกจากเรื่องการเจริญสติที่ท่านสอนปกตินะครับ...
ส่วนตัวบวชสองเดือน แล้วต้องมาเจริญสติต่อเนื่อง
อีกประมาณ ๗ เดือน ท่านถึงบอกว่า ให้ฝึก
กรรมฐานตัวนี้ได้ ทั้งที่ นิมิต กรรมฐานกองนี้
มาตั้งแต่วันที่ ๓ ที่บวชนะครับ
บางเรื่อง ท่านบอกไม่ต้องไปฝึก
ถ้าจิตละเอียดขึ้นมันจะค่อยๆกลับมาเอง
เป็นกรณีๆไปครับ และท่านมักจะเตือน
เรื่องโน้นนี่นั้นเสมอประจำ
สไตล์ท่าน เวลาแนะเรื่องเกี่ยวกับนิมิตระหว่างทาง
ท่านจะบอกสาเหตุ และแนะนำให้ไม่สนใจก่อน
และให้ทำอย่างนี้อย่างนั้นก่อน พร้อมบอกล่วงหน้า
ว่าจะเป็นอย่างไร พอผ่านแต่ละขั้นก็ไปถามท่านต่อ
ก็จะมีลำดับเป็นขั้นๆต่อไป จนกระทั้งถึงขั้นที่เดินปัญญาได้
ส่วนตัวจะค่อนข้างไปเร็ว เพราะได้รับคำแนะนำจากศิษย์เอกท่าน
ว่าให้วางตัว ทำใจ ปฏิบัติตนอย่างไร ขณะที่อยู่วัด
ในระหว่างนี้ ท่านจะแนะนำเรื่องนิมิต ภพภูมิ เรื่องสัมผัส เรื่องกิริยานามธรรมต่างๆ
ว่าไหนจริงว่าไหนหลอก
และบอกด้วยว่า จะมีอีกแบบไหน แบบไหนควร แบบไหนไม่ควร
แบบไหน ให้ช่วยด้วยสติปัญญา
หลังจากฝึกกรรมฐานกองนั้นจนถึงขั้น
สามารถนำมาพอใช้งานได้ในเวลาประมาณ ๒ เดือนครึ่ง
(มีพระเกจิมีชื่อมากๆในอดีต มาแนะทริคให้ และพระมหาฤาษี
ซึ่งส่วนตัวก็ไม่เคยรู้จัก ทุกวันนี้ก็ยังไม่รู้จัก
มาสอนวิธีการใช้งานให้ เลยไปได้เร็ว)
ระหว่างนี้ ก็นำผลของสมาธิไปใช้งาน ลองผิดลองถูกด้วยตนเอง
และได้รับเทคนิคจากพระเกจิอีกสามท่าน
ละสังขารไปแล้วหนึ่งท่าน ท่านที่ละไปแล้ว
นี่ฉายาว่า ท่านผู้พลิกนามธรรมเป็นรูปธรรมได้
มีหลายเรื่อง ไม่สามารถเล่าออกสื่อได้เลย
เพราะมันเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อ เหนือวิสัย
ที่มนุษย์ยุคนี้จะยอมรับได้
จนกระทั่งวันก่อนที่จะยกช่อฟ้าพระมหาเจดีย์
วันนั้นนำทองไปถวาย ไปจัดการเคลียเรื่อง
พระที่ระลึกรุ่น ที่ตอนนั้น ท่านรองเจ้าอาวาส
ให้ข้าพเจ้าช่วยหามวลสารให้
วันวางศิลาฤกษ์ ท่านคล้ายช้างหลายเศียร
มาตามที่บ้านด้วยครับ พอดีวันนั้นหลับยาว
และก็มีหลายๆท่านมาเยอะมากๆๆๆๆ
และวันก่อนยกช่อฟ้าเป็นครั้งแรก ที่ท่านอนุญาติให้ใช้ผล
ของสมาธิในงานวันนั้นได้ ก็เป็นกรรมฐานกองที่ท่าน
บอกว่าให้ฝึกได้นั่นหละครับ
ท่านบอกให้หาที่ๆเหมาะสมเอาเองนะ
ซึ่งโดยส่วนตัวจะไม่ทำเลยเวลาไปวัด
แม้แต่คนที่คุยกันประจำก็จะไม่รู้ ไม่เคยเห็น
ยกเว้นบางกรณีๆที่มีเหตุต้องให้ได้ใช้งานจริงๆ
และก็เพราะหลังๆไม่ค่อยได้สนทนากับท่าน
มีแต่ท่านมองหน้ามาแล้วเข้าใจกัน(ละไว้ในฐานที่เข้าใจ)
ก็ดีใจและรู้สึก โอเครนะ ที่ท่านไม่ว่าอะไร
และไม่ห้ามอะไร และก็อนุญาติด้วย
อีกอย่างนะ เราไม่สามารถห้ามความคิดคนอื่นๆได้
บางคนไม่คิดอะไร ก็จะเข้ามาเพิ่มเรื่อยๆ มาให้ช่วยดู
เมื่อใช้ผลของสมาธิ บางคนก็กลายเป็นว่ากลัวไปเลย
บางคนก็ไม่สนใจ บางคนแอบคิดเชิงอกุศล ฯลฯ
แต่วันงาน ก็อย่างว่า คนเยอะ ไม่สดวก
เลยไม่ค่อยได้ใช้งานมากเท่าไหร่
และเป็นวันสุดท้ายที่ได้พบหน้าท่าน
ก่อนที่นกพิราบจะหายไปจากวัดทั้งหมด
ก่อนที่จะมีเหตุการณ์อะไรแปลกๆกับข้าพเจ้า
ก่อนวันที่ท่านจะละสังขาร
ต่อไปวัดจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยว
ไม่มีใครมาแทนท่านได้
ท่านที่เก่งๆ ก็มีหน้าที่ มีส่วนที่ตนต้องดูแล
ส่วนตัวท่านก็วางพื้นฐานไว้รองรับให้ท่านอื่นๆที่อยู่ในวัด
ซึ่งวัดสามารถอยู่ได้อีกประมาณสิบกว่าปี
โดยที่ไม่ต้องรับบริจาคอะไร ท่านเตรียมการ
ไว้ล่วงหน้าแล้ว
ถามว่าส่วนตัว ถ้าจะรู้สึกคือ รู้สึกเสียดายมากๆ
การที่จะพบพระเกจิ ที่สามารถเข้าใจ สอนใน
แนวทางกรรมฐานตามจริตส่วนตนได้นั้น
ตอนนี้เหลือเพียง ๒ ท่านจาก ๔ ท่าน
และการที่จะพบท่านที่สามารถใช้คำสอน
สำหรับคนจำนวนมากได้นั้นยิ่งหายาก
และมีความสามารถสูงขนาดนี้
บารมีมากล้นขนาดนี้
ในหนังสือโลกทิพย์ ที่เล่ามานั้น
กับประสบการณ์ส่วนตัวที่พบด้วยตนเอง
คือพูดยาก เพราะพูดได้จริงๆ เฉพาะตอนที่อยู่
กับพระเกจิท่านอื่นๆ ที่ตนเองพอมีจริตเศษเสี้ยว
มาทางพระเกจิท่านนั้นบาง
บางท่านแม้มีชื่อเสียงมาก โด่งดังทางสายนั้นๆมาก
หาใช่ว่า ท่านจะมองข้าพเจ้าและสามารถแนะทริคได้
หากท่านไม่ได้ เคยผ่านมาก่อน
แต่ไม่สำคัญ เพราะปลายทาง
คือเรื่องของการละกิเลส
การเดินไปสู่จุดหมายปลายทาง
ซึ่งก็ต้องอาศัยความเพียร
ความพยายามกันทุกคนอยู่แล้ว
ชาตินี้ได้พบท่านก็ไม่เสียชาติเกิดแล้วครับ
(อาจารย์นพ)
-
คำคมคำสอนหลวงพ่อกล้วย(ชุด4)
(ลำดับที่ 10)
(ลำดับที่ 11 )
(ลำดับที่ 12)
-
คุณนพเป็นคนธรรมดาปกติทั่วไปครับ
-
เมื่อคืนฝันแปลกมา มีพระภิกษุสงฆ์แก่ๆมาขอบิณฑบาตรอะไรสักอย่าง
แต่ตื่นก่อน -
ผม search อาการของตัวเองใน google บังเอิญเจอไฟล์นี้เข้า เห็นว่าน่าจะมีประโยชน์เลยเอามาแชร์ครับ
ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
"ฝันเห็นพระบิณฑบาตร"
กับ "ฝันเห็นพระมาขอบิณฑบาตร"
ความหมายทั่วไปน่าจะแตกต่างกันมาก
ฝันบนน่าจะดี อุดมสมบูรณ์ มีความสุข
ฝันล่างน่าจะทำอะไรผิดพลาด ขาดตกบางเรื่อง
พระแทนด้วย 8 หรือ 9
บาตรแทนด้วย 0
(เล่าสนุกๆ...อย่าเชื่อคับ)
...เด๋วผมจะเอาไปซื้อสลากเอง) -
วันนี้จะมาคุย(ค้นหา)เรื่องวิบาก
เพราะตั้งแต่วันนั่นที่อาจารย์นพพูดถึงประโยคนี้
"แต่การไปสร้างที่โน้นที่นั้น ท่าน(ลพ.กล้วย)
บอกว่า มันเป็นวิบากอย่างหนึ่ง
ของท่านนะครับ พิจารณาคำพูดนี้ดีๆนะครับ"
วันนั่นคำนี้ช่วยทำให้ผมโล่งกายโล่งใจทันที
ท่ามกลางความหดหู่และท้อใจในเรื่องบางอย่าง
ทั้งที่ยังไม่รู้ความหมายเชิงลึกของคำนี้
และทำให้ผมได้นำมาใช้กับลูกๆในบางครัั้ง(งานส่วนตัว)
เพราะเป็นอะไรที่ลงตัวพอดี(ไม่รู้จะใช้คำใดที่เหมาะสม)
จนลูกๆต้องเงียบจากที่เคยแย้งด้วยความเป็นห่วงพ่อ
เหมือนมีอะไรมาดลใจลูกต้องหยุดและคิดพิจารณา
วันแรกที่ได้เห็นคำนี้จากที่อาจารย์นพลงไว้
ผมยังงงว่างานที่ลพ.กล้วยไปสร้างโน่นนี่
ล้วนเป็นผลงานด้านพุทธศาสนา...จะเป็นวิบากได้ไง
จึงเข้าไปค้นหาความหมายเชิงลึกของคำว่า"วิบาก"
แล้วนำมาพิจารณาอย่างละเอียด
ในที่สุดจึงได้ไขข้อข้องใจทั้งหมด
เช้าวันนี้ผมขอนำคำว่า "วิบาก"ที่เลือกสรรมา
ให้ทุกท่านได้อ่านและพิจารณาดังต่อไปนี้
"โลกย่อมเป็นไปเพราะกรรมหมู่สัตว์ย่อมเป็นไปเพราะกรรมสัตว์ทั้งหลายถูกผูกไว้ในกรรมเหมือนลิ่มสลักของรถที่กำลังแล่นไปฉะนั้น” คำตรัสขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ สัตว์โลกทำสิ่งใดไว้สิ่งนั้นก็จะมีผลตามเสมอไม่ช้าก็เร็วเป็นดังกงกรรมกงเวียนวนอยู่เรื่อยเรื่อย
“กรรม” ตามหลักทางพระพุทธศาสนาก็คือการกระทำที่เกิดมาจากเหตุแห่งเจตนา และคำว่า “วิบาก”ผลที่เกิดขึ้นจากเหตุแห่งการกระทำกรรมนั้น เมื่อมีเหตุแห่งกรรมก็ต้องมีผลแห่งกันตามมาเช่นกันเพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นกรรมดี หรือ กรรมชั่วจะอยู่ติดตัวเราตลอดไป เพราะทั้งกรรมดีและกรรมชั่วจะคอยอยู่เคียงข้างเราไปตลอดโดยไม่แยกไปไหน แต่ก็ไม่มีวันที่กุศลจะล้างบาปออกไป
“ ดูก่อนปุณณะ กรรม 4 ประการนี้… กรรมดำ มีวิบากดำมีอยู่ กรรมขาว มีวิบากขาว มีอยู่” กรรมทั้งดำทั้งขาว มีวิบากทั้งดำทั้งขาวมีอยู่ กรรมไม่ดำไม่ขาว มีวิบากไม่ดำไม่ขาวเป็นไปเพื่อความสิ้นกรรมมีอยู่” นั่นหมายถึงทั้งกรรมดำ กรรมขาวก็มีวิบากกรรมของตนเอง โดยสามารถแบ่งเป็นสองแบบได้คือ
1. กรรมดำ ก็คือแนวทางผลและการกระทำออกมาในด้านลบ คืออกุศล หรือบาป
2. กรรมขาว เป็นแนวสองแนวทาง ทุกสิ่งในกรรมขาวล้วน เป็นบุญกุศล มาจากการไม่เบียดเบียนตนเองและผู้ใด ผลกระทำดังกล่าวทำให้ตนมีสุขและสังคมก็มีสุข หลุดพ้นจากทุกข์ได้
3. กรรมทั้งดำทั้งขาว เป็นผลแห่งการกระทำที่มีทั้งเบียดเบียนและไม่เบียดเบียนบ้างทำให้ผลกรรมออกผลลัพธ์มา มีทั้งสุขและทุกข์ปนกันไป
4. กรรมไม่ดำไม่ขาว เป็นกรรมกลาง ๆ คืออพยากตากรรม เช่นการทำกิจวัตรประจำวัน
วิบากกรรมนั้น ไม่ว่าจะเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่ว ไม่ว่าจะเป็นกุศลหรืออกุศล การฝึกฝนให้ข่มจิตใจละทิ้งวิบากกรรมในอดีตไม่ว่าชาติก่อนหน้าหรือชาตินี้ไม่ว่าผลอะไรจะเกิดตามมาก็ต้องรับมือให้จงได้เพราะเป็นสิ่งที่เราสร้างสะสมมา โดยมีส่วนประกอบมาจากเหตุและผลทั้งสิ้น ในเมื่อมีเหตุแห่งการกระทำย่อมมีผลลัพธ์แห่งการกระทำเช่นกัน
แต่เท่าที่หลายคนทราบและมักจะเข้าใจกับคำว่า “วิบากกรรม” นั้นก็คือการเจอแต่สิ่งร้ายร้ายสิ่งแย่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นความยากจน ตกงาน อุบัติเหตุซ้ำแล้วซ้ำเล่าอาจจะเกิดมาจากวิบากกรรมที่เคยสะสมมาหรือไม่นั้นไม่สำคัญ เพราะไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขอะไรได้อีก มีเพียงกลับมามองที่ปลายทางว่าทำไมถึงเกิดเหตุนี้ และนำมาวิเคราะห์หาข้อแก้ไขจะดีกว่าทนทุกข์ทรมานกับการนั่งจมอยู่กับผลกรรมนั้น การที่ได้แก้ปัญหาที่เป็นเหตุแห่งกรรมอาจจะช่วยให้วิบากกรรมที่เจอค่อยค่อยคลายไปที่ละน้อยก็เป็นไปได้
ที่มา : http://www.salapanya.com/วิบากกรรมคืออะไร -
คำคมคำสอนหลวงพ่อกล้วย(ชุด 5 )
(ลำดับ13 และ 14)
(ลำดับ 15)
หน้า 285 ของ 312