กรุณาทำความเข้าใจใหม่ เรื่อง ศาสนาพุทธ กับ ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู

มีข้อเท็จจริงอีกข้อ

คือ การแต่งขาว พราหมณ์ ของอินเดีย ไม่ได้กำหนดให้แต่งขาว

การแต่งขาว เป็นเรื่องของ นิครนท์ หรือ ชี หรือ ชีปะขาวนั่นเอง

นี่ก็นัวเนียไปหมด

ยังมีศาสนา ชน หรือ เชน อีก ที่แบบว่า ทรมานตน วุ่นวายดี

แต่พี่ไทยเอาหมด

:)

เพราะว่า ศาสนา มาบูมเอาตอน ร.5 พึ่งเลิกทาส

ก็อย่าแปลกใจเลยว่า กลุ่มไหน ที่จะสดับธรรม แล้วเอาแต่ง่ายเข้าว่า

เราเป็นผู้มีการศึกษาดี แล้ว ควรพิจารณาให้ถี่ถ้วน ไม่ใช่ไม่รู้เหนือรู้ใต้
ก็ไปยอบรับ ไปสนับสนุน ไปคิดว่าเป็นพวกเดียวกันตะพึด

 

มาจากไหนเนี้ย ไม่ได้บอกว่าอวตารสักหน่อย ไปไกลแล้ว

ไอ้ที่ล้มนะ เพราะไม่ใช่ตนเองหรอกหรือ
แบ่งพรรคแบ่งพวก แย่งกันเป็นใหญ่
คราที่สังคายนาครั้งที่สอง ก็เห็นๆ กันอยู่
แบ่งออกเป็นสิบแปดนิกาย (บางก็บอกว่ามีมากถึงสามสิบนิกาย)
จับเป็นสองขั้วหลัก มหายาน กับเถรวาท
ไม่ใช่เป็นความแตกแยกทางความคิดและ
ลดข้อหย่อนพระวินัยหรอกหรือ

ไอ้ที่อวตารมันไม่ได้เกี่ยวโดยตรงสักหน่อย

 

นี้ก็แตกแยกทางความคิดเช่นกัน อีกแหละ

สมัย ร. 4 ทรงเห็นความหย่อนยานข้อวินัยสงฆ์นิกายลังกาวงศ์
ถึงกับส่ายพระพักตร์ ทรงอดกลั้นไม่ไหว
เลยนำหลักธรรมของสงฆ์นิกายรามัญมาจัดตั้งใหม่เป็นธรรมยุติ
ส่วนของเดิม ก็เรียกวา มหานิกาย

อย่างนี้จะเรียกว่าอะไรละท่าน

 

ศึกษาปรัชญาศาสนา
แล้วจะเข้าใจจุดอ่อนของแต่ศาสนาได้ดี
ที่สำคัญต้องมีใจเป็นกลางหน่อย

 

เอ...ข้อแก้เสียหน่อย เดี๋ยวหาแบ่งชนชั้น

ให้หมายถึง คนที่ออกมาแล้ว ยังตั้งตัวไม่ได้ ไม่รู้จะไปทำอะไร

ก็เริ่มใช้เครื่องมือแปลกๆ เพื่อยังชีพ เพื่อนำชุมชน อันนั้นก็ว่า

กันไปในแง่ สังคมศาสตร์

 

ทุกสัจธรรมย่อมมีความเป็นหนึ่งเดียว คุณคิดว่าศาสนาตัวเองถูกฝ่ายเดียวแล้วศาสนาอื่นไม่ถูกงั้นหรอ มันไม่ใช่อ่ะ

 

คุณ Eddy ก็ต้องฟังทางเราเหมือนกันนะ

ก็อย่างที่ว่า คำว่า พราหมณ์ ทางเรามีใช้

แต่อย่าได้คิดว่า เป็น หนึ่งเดียวกัน ที่พระพุทธองค์
ยกกล่าว ก็เป็นเพื่อเรียก กลุ่มคนที่ผิดไปจาก ปุถุชน

ความหมายมีแค่นั้น ไมได้หมายถึงชื่อ ศาสนา

 

ยังมีอีกเยอะ ศัพท์แสงต่างๆ ที่ไปเอาของศาสนาอื่นเขามา
แล้วมาใช้เป็นของตน จนเลิศลอย ไม่มีที่ใดเสมอเหมือนอีกแล้ว
เมื่อไรหนอตูจะหลุดพ้นพันธนาการสักที

 

ทีนี้ ถ้าเข้าใจ

ก็อย่าได้พยายามพูดว่า พระพุทธองค์ มาจากไหน เพื่อโยงใย

ให้มีต่ำ หรือ สูง ให้มี ไหลมาจากไหน ไม่เอานะ อย่ามาข่มกัน

กล่าวแยกๆ ไปอย่างนี้ดีแล้ว

 

แล้ว ก็อย่า หวงคำศัพท์ นะ

อย่างชื่อ เอ็ดดี้ ใครจะใช้ก็ได้ ใช้แล้ว ก็ไม่ได้หมายถึง คุณ

พอเด็กรุ่นหลังมาใช้ชื่อ เอ๊ดดี้ คุณเกิดพองตัวขึ้นมา เฮ้ย
นั้นมาหยิบยืมชื่อเราไปใช้ ช่างด้อยปัญญา

แบบนี้ก็พูดไม่ได้นะ อายเขา

 

พราหมณ์ ฤาษิ (ฤาษี) โยคี นักพรต พระสงฆ์ คุรุ และสิทธา ก็คือนักบวช
ก็แล้วแต่จะเรียกขาน ตามแต่ละศาสนา เรียกรวมๆ แล้วกัน ว่า นักบวช

 

ไปบาหลีดีกว่า

 

ไปบาหลีแล้ว อย่าลืมไปบุโรพุทโธ ด้วยละ
จะได้พบพระพุทธเจ้าทั้งห้าพระองค์

ส่วนองค์ที่หก เรียกว่า พระวัชรสัตว์
อันเป็นนิรมาณกายของพระอาทิพุทธเจ้า

 

(ส่งเสียงจากบังเกอร์)
ก่อนที่พุทธะจะอุบัติ พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลก
ผู้คนเฝ้าติดตามข่าว เมื่อไรจะมีเหตุอุบัติ พุทธะอยู่ที่ไหน
พระอาจารย์ของพระเจ้าสุทโธทนะ ได้แต่คอยฟังข่าวคราว
เมื่อพุทธะยังไม่อุบัติ ผู้คนเฝ้าตามหา
เมื่ออุบัติแล้วกลับไม่นำพา เฝ้าหาแต่ถิ่นตน
รอจนเสียงคำสอนแห่งพุทธะ เงียบไป
แล้วสัตว์โลกก็งมงายเหมือนเดิม
แล้วคงอีกนานกว่าพุทธะจะอุบัติอีกครั้ง
ท่านไม่สงสารเหล่าเวไนยสัตว์ ที่มีโอกาส
จะหลุดในช่วงแห่งบารมีของพระศาสนานี้หรือ

 

(good)

 

แม้น ปากหวานนะตัวเอง
เอาเถอะๆๆ เรายอมตัวแล้วละ
แต่ตัวเองต้องเชื่อเรานะ และก็อย่าดื้อด้านละ

 

พระพุทธเจ้าแต่ละองค์ ตรัสรู้ เป็นนิพพานเหมือนกันไหม

 

คุณต้องการคำตอบแบบไหนละ
มหายาน คำตอบเป็นแบบหนึ่ง
เถรวาท คำตอบก็เป็นอีกแบบหนึ่ง

แต่ละพระองค์น่าจะมีเป้าหมายเหมือนกัน
ต่างกันแค่รายละเอียดที่มุ่งเน้นเท่านั้นที่ไม่เหมือนกัน

อันนี้ต้องถามผู้รู้ เพราะไม่สันทัดครับ