กายกับจิตต่างกินต่างอยู่:องค์หลวงปู่น้อย ญาณวโร วัดป่าห้วยริน ต.หัวนาคำ อ.กระนวน จ.ขอนแก่น

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย Nana nora, 10 พฤษภาคม 2018.

  1. Nana nora

    Nana nora สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    386
    กระทู้เรื่องเด่น:
    5
    ค่าพลัง:
    +68
    กายกับจิตต่างกินต่างอยู่.jpg
    “เมื่อเราทำจิตภาวนาเราจึงเห็นจิตออกมาเพ่นพ่านความคิดออกมาเพ่นพ่านทั้งที่ก่อนมันก็คิดเหมือนเดิมมันนั่นแหละแต่เราไม่สามารถรู้เห็นมันได้และไม่สามารถหาวิธีการขวางมันเป็นความรู้สึกนึกคิดอย่างไรเราก็ทำตามมันอย่างนั้นมาตลอด ๆ ที่นี่เมื่อเราทำจิตภาวนาเรามีความรู้สึกว่ามันคิดมาก มันสับสนวุ่นวายมันคิดโน่นคิดนี่ คิดดีบ้างคิดชั่วบ้าง คิดเรื่องอดีต คิดเรื่องปัจจุบัน คิดเรื่องอนาคต ท้อบ้างเป็นบางครั้ง ฮึกเหิมบ้างเป็นบางครั้ง มันก็หากเป็นของมันตั้งแต่ไหนแต่ไรมา แต่เมื่อเรายังไม่ทำจิตภาวนาเราจึงไม่สามารถรู้จิตของตัวเองได้ว่า มันนึกตึกมันตรองมันเศร้าหมองหรือว่ามันสว่างไสวอย่างไร มันเป็นของมันอย่างนี้ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา แต่สัตว์โลกไม่ทราบพอมันเศร้าหมองก็ร้องห่มร้องไห้ก็ไม่ทราบหรอกมีความรู้สึกว่าร้องไห้เสียอกเสียใจ เวลามันสว่างไสวก็มีความรู้สึกดีอกดีใจปรบมือพือพาดเป็นทำนองนั่นแหละนี่แหละเรียกว่าจิตมันเศร้าหมองจิตมันผ่องแพ้วมันก็เป็นของมันอยู่อย่างนั้น

    ความคิดทำโน่นทำนี่มันก็คิดของมันมาตั้งแต่ไหนแต่ไรมา แต่ว่าเราไม่เข้าไปรู้ต้นความคิดของมันว่ามันคิดอย่างไรเมื่อเราทำจิตภาวนาเราจึงรู้ความคิดของตัวเองมันเป็นสิ่งที่น่ากลัวมากเพราะความคิดกับขันธ์มันเชื่อมเป็นอันเดียวกัน เมื่อเสียอกเสียใจขันธ์มันก็กระเพื่อมไปด้วยใจมันก็กระเพื่อมไปด้วยใจหยาบก็กระเพื่อมไปด้วย เมื่อมันดีใจขันธ์ก็กระเพื่อมใจมันก็กระเพื่อมไปด้วยมันแยกกันไม่ออกเหมือนเป็นอวัยวะเดียวกันทั้งที่ก่อนนั้นเราก็เป็นปกติ แต่เมื่อเราจิตภาวนาเริ่มที่จะเห็น พอเห็นแล้วก็กลัวมันเป็นสิ่งที่น่ากลัวเพราะว่ามันกระเพื่อมไปหมดทั้งร่างกายแทบล้มประดาตายนั่น รักกันไม่ได้กันก็พากันทำลายชีวิตของตัวเองเพราะมันกระเพื่อมไปหมดทั่วขันธ์เลยไม่ทราบว่ามันเป็นอะไร เวลาโกรธก็กระเพื่อมไปทั่วขันธ์ เวลารักก็กระเพื่อมไปทั่วขันธ์ มันอันตรายมากสำหรับผู้ที่ขาดสติ สติเพียงไปทราบเป็นครั้งแรกถือว่าเป็นสติลักษณะชั่วครู่ชั่วคราวไม่ใช่สติที่ถาวรกว่าที่จะฝึกสติได้ก็หลายสิบปีเป็น 10-20-30-100-1,000-10,000-100,000 ปี กว่าที่สตินั้นสมบูรณ์บริบูรณ์

    เมื่อสติมันมากขึ้น ๆ ความคิดกับตัวรู้ตัวนั้น มันต่างกันต่างกินต่างอยู่ของมันมีความรู้สึกว่าใจมันองอาจกล้าหาญหากแม้มีเวทนาเข้าไปเคลือบอยู่เรื่องความสุข ความทุกข์ก็ตาม แต่มันก็ต่างกันต่างกินต่างอยู่ ขันธ์กระเพื่อมก็ทราบ ที่จิตมันปรุงมันแต่งมันเข้ากันเหมือนกับเป็นธาตุเดียวกันแต่มันก็หากแยกกันเป็นคนละธาตุเพราะเมื่อร่างกายแตกแล้วสลายถูกเผาทำลายไปแล้วจิตมันก็แยกออกมาเป็นสภาวะอีกสภาวะหนึ่งที่ไม่มีรูปไม่มีร่างเป็นเพียงรู้ในเวทนาสุขทุกข์นั้นๆ คนยังไปติดเอาเจ้าความรู้สึกนึกคิดตัวนั้นที่มาเชื่อมอยู่ในกาย คิดว่าความรู้สึกนึกคิดตัวปรุงตัวแต่งตัวนึกตัวตรึกตัวตรองสิ่งนั้นเป็นของของเราทั้งหมดที่จริงมันก็ไม่ใช่ถ้ามันใช่ความรู้สึกนึกคิดตัวนั้นทำไมจึงไม่ตายไปด้วยกับเราเมื่อเราตายและร่างกายถูกเผาถูกทำลาย ทำไมเอาความรู้สึกนึกว่าเราตัวเราเขาเป็นหญิงเป็นชายเป็นคนแก่เป็นคนหนุ่ม หรือดีชั่วนั้นมันไม่ดับไปด้วย ก็แสดงว่ามันต่างกันต่างกินต่างอยู่ของมัน ร่างกายมันหลับกรนครอกๆ แต่ว่าจิตมันทำงานอยู่ก็แสดงว่าจิตตัวนั้นมันไม่ใช่ตัวเดียวกับขันธ์มันต้องต่างกินต่างอยู่ของมันอยู่อย่างนั้น

    เพราะร่างกายเรานอนหลับกรนครอก ๆ อยู่นั้นจิตมันไปไกลอักโข ไปเที่ยวป่า เที่ยวในเมือง เที่ยวนรก เที่ยวสวรรค์ ไปที่ไหนก็ไปของมันก็แสดงว่ากายกับจิตต่างกันต่างกินต่างอยู่ แต่ว่าสัตว์โลกไม่เข้าใจว่ามันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน สุขทุกข์มันรวมอยู่ทีจิตตรงนั้นมันก็จริงแต่ว่าขันธ์มันก็กระเพื่อมไปด้วยก็คิดว่ากายยากมากนะลูกที่จะเข้าไปทราบในเรื่องของพวกนี้ต้องใช้กาลเวลาที่ยาวนานกว่าที่จะรู้เรื่องจิตที่มันปรุงมันแต่งมันนึกมันตรึกมันตรองอะไรของมันอยู่ภายใน ดูครั้งแรกมีความรู้สึกว่ากลัวเพราะเวทนาตัวนี้มันหนักสาหัสสากรรจ์มันสามารถทำลายตัวเองถึงขั้นวิบัติ ถึงขั้นต้องฆ่าตัวตาย ถึงขั้นต้องสิ้นเนื้อประดาตัวก็มีแล้วแต่ เพราะการปรุงแต่งของจิตตัวนั้นเป็นมหาเหตุอันใหญ่หลวงมากที่สุด

    เพราะฉะนั้นพระพุทธศาสนาสอนให้พวกเราสร้างสติขึ้นเพื่อต้องการเข้าไปบีบบังคับตัวจิตที่มันงี่เง่าตัวนั้นให้มันฉลาด สอนจิตของตัวเองที่มันกระเพื่อมอยู่ในขันธ์ ทน เอาสติตัวนั้นเข้าไปมีความอดทนอยู่ในร่างกาย อยู่ในความคิดในความสุขความทุกข์นั้น ๆ อดทนอดกลั้นอยู่ตลอดลูกเอยนี่แหละคือธรรมคือวินัย เวทนา สุข เข้ามาก็เป็นปกติเพราะทนไว้ เวทนาทุกข์เข้ามาก็เป็นปกติทนไว้ ทนนานหนักเข้าๆ ตัวตนตัวนั้นตัวรู้ตัวสติตัวนั้นก็รวมกันเป็นปึกแผ่นแน่นหนา ความรู้สึกนึกคิดความคิดต่าง ๆ ก็เหมือนกับพยับแดด มันเป็นความคิด เกิดดับ ๆ ของมันอยู่อย่างนั้นทั้งสุขทั้งทุกข์ นักจิตภาวนาเริ่มที่จะเข้าใจเรื่องจิตเริ่มที่จะมีความสุข สุขคือความอดทนได้นั่นแหละไม่ใช่ความสุขอย่างอื่น สุขคือความอดทนได้และปล่อยวางได้เองทุกขณะ ๆ ค่อยเป็นไปเรื่อย ๆ ๆ มีความรู้สึกว่าเอิบอาบซาบซ่านไปทั่วขันธ์ เรารู้เราเห็นใหม่ ๆ มันเป็นสิ่งที่น่ากลัว แต่เมื่อเราฝึกหนัก ๆ เข้า ๆ กลับพูดได้เลยว่าเป็นสิ่งที่มีความสุขเพราะความคิดเกิดดับนั้นเป็นเพียงพยับแดดแต่หากกระเพื่อมด้วยขันธ์ด้วยปิติมีน้ำตาร่วงมีเสียงดังโอกอ้ากอยู่บ้างก็เป็นของธรรมดาเพราะถือว่ามันอาศัยซึ่งกันและกันจิตเฉพาะจิตนั้นไม่อิงอาศัยร่างกายมันก็ทำงานไม่ได้นะลูก ร่างกายไม่มีจิตก็ทำงานไม่ได้อีกเพราะจิตเป็นตัวสั่งเพราะฉะนั้นร่างกายกับจิตมันจึงเปรียบเหมือนลักษณะอวัยวะเดียวกันแยกไม่ออก”


    โอวาทธรรม:องค์หลวงปู่น้อย ญาณวโร

    วัดป่าห้วยริน ต.หัวนาคำ อ.กระนวน จ.ขอนแก่น

    ๒๑ กันยายน ๒๕๖๐
     

แชร์หน้านี้

Loading...