เป็นบุญตา! หิมะตกห่างไทยไม่ถึง 100 กิโล ติดลบ 3 องศา ควายตายเกลื่อน ไม่เคยเจอมาก่อน
25 มกราคม 2559 07:08 น.
อากาศเปลี่ยนฉับพลัน ทำเอาหลายประเทศตกอยู่ในสภาพเย็นยะเยือกกันเป็นทิวแถว โดยล่าสุดที่ประเทศเวียดนามก็มีรายงานว่าเกิดหิมะตกไปแล้ว แต่ที่เด็ดกว่านั้น เมื่อเวลาบ่ายกว่า ๆ ที่ แขวงหัวพัน ประเทศลาว ซึ่งห่างจาก จ.เชียงราย ประเทศไทย เพียง 100 กิโลเมตร เกิดหิมะตกแล้ว !! และเมื่อวัดอุณหภูมิ อยู่ที่ -3 องศาเซลเซียส ผู้ใช่้นาม "ออนนะพา พนมีไซ" (Aonenapha Phonmeexay) ได้นำภาพกว่า 10 ภาพขึ้นเผยแพร่ในโลกออนไลน์ โดยระบุว่า ถ่ายจากแขวงหัวพันตอนเช้าวันที่ 24 ม.ค. แสดงให้เห็นปุยหิมะที่ปกคลุมบนพื้น และบนหลังคาบ้านเรือนในหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่ไม่ได้ระบุที่ตั้ง ขณะที่อุณหภูมิในแขวงหัวพัน ลดลงจนถึง -3 องศาในยามเช้า ในเวลาต่อมา ชาวหัวพันอีกผู้หนึ่งได้นำภาพอีกจำนวนหนึ่ง ขึ้นเผยแพร่ในเฟซบุ๊ก ຄິດຮອດຊຳເໜືອ (คิดถึงซำเหนือ) แสดงให้เห็นละอองหิมะที่กำลังโปรยปราย บางส่วนยังติดค้างบนศรีษะและตามลำตัวของผู้ที่ไปเฝ้าดูชม ทั้งอธิบายว่า เหตุเกิดที่บ้านหนองค่าง ในดินแดนที่เคยเป็นฐานที่มั่นของฝ่ายคอมมิวนิสต์ปะเทดลาวเมื่อก่อน ชาวเน็ตลาวหลายคนแลกเปลี่ยนความรู้กัน ระบุว่าเคยมีหิมะตกทั้งในในแขวงหัวพันและแขวงเชียงขวาง แต่ทั้งหมดเป็นเรื่องเล่าขานมาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายาย คนรุ่นใหม่ยังไม่เคยมีผู้ใดได้เห็น ในซำเหนือเองเมื่อ 2 ปีที่แล้วอากาศในฤดูนี้หนาวเย็นจัด อุณหหภูมิลดลงถึง 0 องศา จนกระทั่งน้ำที่ตักใส่ภาชขนะไว้ กลายเป็นน้ำแข็ง แต่ก็ไม่มีหิมะตก
การชำระโลกให้สะอาดยังคงดำเนินต่อไป พร้อมคลิปภัยพิบัติทั่วโลก
ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย supako, 4 กันยายน 2014.
หน้า 12 ของ 19
-
ข่าวสารอันนี้ละครับ ใกล้ความจริงมาแล้ว ที่ พ่อ เคยบอกผ่นนอาจารย์ ปริญญา มาว่า ต่อไป คอยพิสูจน์กันนะ จะมีหิมะตกในเมืองไทย ต่อไปไม่ต้องไปเที่ยวดูหิมะจากต่างประเทศ หรอกครับ
อันนี้ก็รอพิสูจน์กันครับ ถ้าพูดง่ายๆคือ พวกผมไม่ใช่โง่ ที่จะให้ใครมาสอนโดยไม่ได้มีอะไรพิสูจน์ด้วยตาเนื้อได้ หรอกนะครับ ผมถึงบอกว่า ไม่ต้องมาห่วงผมครับ -
โหพ่อท่านทายเปนสิบยี่สิบปีเลยหรอ กว่าจะเฉียดแม่น ขอแสดงความยินดีด้วยนะ แต่ยังไงก้สู้เทพจากกรมอุตุไม่ได้หรอก ทายเมื่อมรืน อีกสองวันหนาวเลย แถมทายว่าจะลดลงกี่องศาด้วย จะหนาวไปอีกกี่วันก้ยังได้ แม่นเว่อร์ คราวหน้าบอกป๋าเอาแบบเทพอุตุมั่งนะ ขี้เกียจรอน้านนนานนนอ่ะ อิอิ
-
เพื่อความกระจ่างขึ้นสักนิด และความโง่ของตัวผมเองจะลอง เขียนให้อ่านกันนครับ
ข่าวสารเหล่านี้ ได้ประโยชน์อะไร
1.เพื่อกระตุ้นจิตสำนึกมนุษย์
ในโลกยุคพลังการเก่าย้อนหลังไปจากปี 2535 จักรวาลพบว่า มนุษย์แห่งดาวเคราะห์โลกกำลังดำเนินชีวิต ไปในวิถีทางไม่ถูกต้อง ห่างไกลจากความเป็นจริงเข้าไปทุกที สังคมมนุษย์ถูกแบ่งแยกออกจากกันจนขาดความเป็นหนึ่งเดียวกัน วิทยาศาตร์เทคโนโลยีก้าวรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว ด้วยพลังอำนาจทางสติปัญญาของมนุษย์ซีกโลกตะวันตก ที่ถูกจัดวางกลไกในการคิดรู้ และตำแหน่งการมาสู่รูปธรรมมนุษย์บนแผนที่โลกเอาไว้อย่างเหมาะสม เพื่อให้พวกเขาเหล่านี้ได้กระทำตามหน้าที่เดิมที่ได้ถือติดตัวมาจากยุค สมัยแอตแลนติส ในฐานะของนักวิทยาศาตร์ผู้มากด้วยทักษะและภูมิรู้อันเป็นพรสวรรค์ของตน ในสถานที่ที่ถูกกำหนดไว้อย่างเหมาะสม พวกเขาสามารถพัฒนาตนเอง จนสามารถยกระดับจิตสำนึกเพื่อการคิดรู้ ให้เข้าถึงทักษะความสามารถที่เคยมีมาในภพชาติก่อนได้อย่างต่อเนื่อง ในที่สุดจักรวาลก็มั่นใจว่า ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีจะสามารถก้าวไปถึงขีดสุดได้อีกครั้ง ซึ้งมนุษย์ทางซีกโลกตะวันตก(ยุโรป อเมริกา) ล้วนกระทำได้อย่างยอดเยี่ยม แต่
ในขณะเดียวกัน จักรวาลกลับค้นพบว่า มนุษย์อีกซีกโลกหนึ่ง(เอเซีย ,ออกกลาง) ซึ้งมอบหมายหน้าที่ในการมาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อทำหน้าที่ของตนอีกด้านหนึ่ง(ด้านจิตวิญญาณ) กลับบกพร่องต่อหน้าที่ของตนไป หน้าที่คือ การยกระดับจิตสำนึกของตนให้เข้าถึงพลังอำนาจตนเองขั้นสูงสุด ด้วยศาสตร์อีกแขนงหนึ่ง คือ วิทยาศาสตร์ทางจิต ที่สามารถเข้าถึงพลังอำนาจทางวิญญาณให้จงได้ ด้วยกลไกลทางไฟฟ้าที่มีอยู่ในร่างกายตนเองที่ถูกจัดวางไว้อย่างเหมาะสม แต่พวกเขาเหล่านั้น กลับละเลยเหลวไหลไปยกย่องชื่นชมวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี ไปยึดติดรูปแบบการคิดรู้ ไปเพลิดเพลินกับผลผลิตเทคโนโลยี และมอบศรัทธาให้กับมนุษย์พวกนั้น(ยุโรป,อเมริกา) โดยส่วนใหญ่ใช้จิตหยาบของตนฝักใฝ่ ไปกับความสะดวกสบาย และยกย่องให้มนุษย์พวกนั้น(ยุโรป,อเมริกา) มีคุณสมบัติคล้ายอยู่เหนือความเป็นมนุษย์ของตนเองกันไปหมด ยินยอมให้เทคโนโลยีครอบงำวิถีชีวิต ปิดบังหน้าที่ที่แท้จริงของตนเอง และยังยอมให้มนุษย์อีกพวกหนึ่งเป็นผู้ชี้นำจิตวิญญาณ ของตนอย่างราบคาบ ไม่ว่าจะถูกบงการจะถูกบังคับกดขี่ หรือถูกข่มเหงรังแกด้วยวิธีใดๆ กลับยอมจำนงค์ได้โดยง่าย เมื่อถึงระดับที่ยอมทนไม่ได้ ความขัดแย้งที่รุนแรงในรูปแบบสงครามจึงเกิดขึ้น(ตะวันออกกลาง) -
เจอคนแบบนี้ ในสังคมแบบนี้ แย่มากเลยครับ
-
จากการเปลื่ยนแปลงในครั้งที่สาม ที่ทำให้ แอตแลนติสล่มสลาย กายภาพของโลก คงเหลือพื้นแผ่นดินเพียง หนึ่งส่วน กับบริเวณที่เป็นน้ำ 3 ส่วน สถานที่บนโลกจักรวาลได้สร้างความเหมาะสม ไว้ให้จิตวิญญาณ มาสู่ร่างกายมนุษย์ได้เพียง 2 ซีกของแผ่นดินเท่านั้น คือ ซีกโลกตะวันออก กับซีกโลกตะวันตก
โดยกำหนดติดตั้งระบบโครงข่ายสนามแม่เหล็กโลกไว้อย่างเหมาะสม และสอดคล้องกันกับกลไกลในโครงสร้างทางชีววิทยาของร่างกายมนุษย์ ภาบใต้สภาพภูมิอากาศและภูมิประเทศ ซึ่งเป็นสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างกัน โดยจะสังเกตุความแตกต่างของมนุษย์บนโลกทั้ง สองซีกได้อย่างชัดเจนแต่เพียงบางส่วนเท่านั้น เช่น สีผิว โครงสร้างทางกาย(ตัวใหญ่โตต่างกัน) บุคลิก อุปนิสัยใจ ระบบพันธุกรรมบางอย่าง และพลังอำนาจทางสติปัญญา ไปจนกระทั่งบทบาทการดำเนินชีวิตเป็นต้น
มนุษย์พึงรู้ต่อไปว่า ฝ่ายซีกโลกตะวันตก(ยุโรป อเมริกา) มีหน้าที่ค้นหาพลังอำนาจทางด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีนั้น พวกเขาล้วนได้รับความรักจาก จักรวาล ให้ใช้สมองซีกซ้ายนำสมองซีกขาวได้อย่างชำนาญ เพื่อการติดรู้สิ่งใหม่ๆ ภายในกรอบที่เป็นวัตถุ ที่จิตวิญญาณของพวกเขาสามารถจะสัมผัสรู้ทางกายด้วยช่องประสาทสัมผัสทั้งห้า(หู ตา ลิ้น จมูก กาย) ได้เหนือกว่ามนุษย์ซีกโลกตะวันออก(เอเซีย) ร่างกายของพวกเขาล้วนถูกจัดวางให้ทำหน้าที่เชื่อมต่อกับสนามแม่เหล็กโลก เพื่อสร้างความสัมพันธ์กับจักรวาลในการนำผลึกการคิดรู้จากจิตจักรวาลกลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นผู้เชียวชาญและรู้แจ้งด้าน วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี ที่คอยทำหน้าที่ให้การช่วยเหลือเรื่องนี้มาตลอด ได้อย่างสะดวกง่ายดายมากกว่า มนุษย์ซีกโลกตะวันออก(เอเซีย) เนื่องจากมันเป็นความถนัดความชำนาญ และมันเป็นภาระหน้าที่ของพวกเขา ที่มีต่อโลกใบนี้
สำหรับมนุษย์ซีกโลกตะวันออก(เอเซีย)แล้ว มันกลับตรงกันข้าม มนุษย์กลุ่มนี้ ภายในร่างกายกลับถูกจัดวางให้พร้อม ต่อการใช้ สมองซีกขวานำสมองซีกซ้าย เพื่อการคิดรู้ มันคือ สมองอัจฉริยะที่สามารถจะแสดงพลังอำนาจในการคิดรู้ และสร้างความสัมพันธ์กับจักรวาลได้ แม้ในสิ่งที่เกินสติปัญญาของจิตวิญญาณจะช่วยเหลือให้เกิดการสัมผัสรู้ทางกาย ผ่านช่องทางประสาทสัมผัสทั้งห้าได้ด้วยซ้ำไป ซึ่งมนุษย์เรียกมันว่า สัมผัสที่หก
มนุษย์ซีกโลกตะวันออก(เอเซีย) จะต้องมีหน้าที่ค้นคว้าพัฒนาจิตวิญญาณของตน ด้วย วิทยาศาสตร์ทางจิต เพื่อแสวงหาพลังอำนาจในตนเอง ให้เข้าถึงสติปัญญาสูงสุด ในการคิดรู้ทุกสรรพสิ่ง ในระดับของจักรวาล ไม่ใช่การคิดแบบจิตมนุษย์แบบหยาบๆ ตามสมการเส้นตรงอย่างที่มนุษย์ผู้เชี่ยวชาญการใช้สมองซีกซ้ายนำซีกขวาเขาคิดรู้กัน จักรวาลทราบดีว่า ทุกสรรพสิ่งที่มีพลังอำนาจในตนเอง ย่อมมีคุณสมบัติทางพลังงานเฉพราะตัว ที่จะใช้แสดงปรากฏการณ์ด้วยความชำนาญสูงสุดอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น ถ้าจะให้สังคมมนุษย์มีการถ่วงดุลกัน เพื่อการดำรงอยู่อย่างสันติได้ สรรพสิ่งในระบบนั้นจะต้อง จับคู่กันอย่างถูกคู่เสมอ
มนุษย์ซีกโลกตะวันออก(เอเซีย) จะต้องมีพลังอำนาจพอที่จะถ่วงดุลมนุษย์ซีกโลกตะวันตก(ยุโรป,เมริกา)เท่านั้น ความเป็นหนึ่งเดียวของสังคมมนุษย์เผ่าโลกจึงจะเกิดขึ้นได้
การที่มนุษย์ซีกโลกตะวันตก มุ่งมั่นไปกับความชำนาญในการทำหน้าที่ ของตนอย่างดียิ่ง เพื่อสร้างความสะดวกสบาย และความก้าวหน้าในศาสตร์ของตน คิดค้นสิ่งใหม่ๆขึ้นมากมาย แต่ผู้คนเหล่านี้กลับขาดความชำนาญในด้าน พื้นฐานของวิทยาศาสตร์ทางจิต ด้านมโนธรรม คุณธรรม เนื่องจากกลไกที่จะนำไปสู่สิ่งสำคัญนี้มันคนละระบบกัน และมันเข้ากันไม่ได้เลยกับกลไกที่ถูกจัดวางเอาไว้ให้นั้น พวกเขาจึงกระทำตนเสมือนผู้บ้าคลั่งทางปัญญา พยายามคิดค้นสิ่งใหม่ๆ ขึ้นมาในโลกอย่างไร้จิตวำนึกของความมีคุณธรรม มโนธรรม จนนับวันผลผลิตจากการคิดค้น ด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี นำไปสู่การทำลายความสมดุลของระบบโลกหนักยิ่งขึ้นทุกวัน ไม่ละเว้นแม้แต่การทำลายเผ่าพันธ์ด้วยกันเอง พวกเขาสร้างอาวุธเอาไว้ประหัตประหารกัน สร้างสารสังเคราะห์ทางเคมี เป็นขยะให้รกโลก จนยากจะหาที่กลบฝังเนื่องจากมันย่อยสลายไม่ได้ เพลิดเพลินกับการขุดเจาะดูดดึงพลังงานจากกายภาพของโลก จนความสมดุลทางพลังงานของระบบต้องสูญเสียไป โดยไม่เคยคิดสร้างพลังงานทดแทน หรือการเก็บกักพลังงานไว้ การโค่นไม้ทำลายป่า ทำลายระบบนิเวศน์ จนทำให้ธรรมชาติเกิดความแปรปรวน การสร้างควันพิษ จากเครื่องจักรกลโรงงาน หรือเครื่องยนต์ให้ทำลายชั้นบรรยากาศโลก การสร้างเครื่องไฟฟ้าที่ก่อให้เกิดสนามแม่เหล็กไฟฟ้าเทียม(หม้อแปลง)อันเป็นอันตรายต่อชีวิต การปล่อยควันพิษและอากาศเสียบั่นทอนสุขภาพ หรือการผลิตเคมีสังเคราะห์ที่เป็นพิษเพื่อเอาชนะสิ่งแวดล้อมที่ตนไม่พึงประสงค์ เช่น เชื้อโรคร้าย ศัตรูพืช ซึ้งล้วนแล้วแต่ทำให้เป็นภัยต่อระบบโลก และตัวมนุษย์เองทั้งสิ้น พวกเขาสร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาเพราะ จิตสำนึกขาดความสมดุล อันเป็นธรรมชาติ ในความเป็นมนุษย์ของพวกเขานั่นเอง -
-
กำลังเกิดอะไรขึ้นกับโลก ตอนที่ 3
วิทยาศาสตร์ทางจิต เป็นศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับจิตวิญญาณมนุษย์ เป็นเรื่องกฏเกณฑ์ทางกายภาพของจักรวาลซึ่งเป็น วิทยาศาสตร์ด้านพลังงานเหนือมิติโลก เป็นเรื่องที่ยากแก่การเข้าใจ เป็นเรื่องที่ไม่อาจจะอธิบายได้ง่ายในกลวิธีเข้าถึงมัน หากคิดแบบจิตมนุษย์ หรือคิดแบบภูมิปัญญาตะวันตกแม้กลไกทางสมองอาจจะดูเหมือนไม่แตกต่างกันเลยก็ตาม จักรวาลจึงได้มอบแนวทางการปฏิบัติมาให้มนุษย์ซีกโลกตะวันออกผ่านสัจธรรมของศาสดาศาสนาต่างๆ เพื่อให้มนุษย์ได้ใช้เป็น เครื่องมือยกระดับจิตสำนึกและพัฒนาภูมิปัญญาของตนเองในเบื้องต้น เพื่อการค้นพบพลังอำนาจในตนเองแล้วนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อไป ซึ่งจักรวาลพบว่ามันได้ผลเพียงระดับหนึ่งเท่านั้น คนส่วนใหญ่ยังละเลยและไม่อาจเข้าถึงเป้าหมายสูงสุดนั้นได้ ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่ง(ตะวันออกกลางไปตะวันตก) กลับกระทำการสร้างผลผลิตของตนอย่างไร้จิตสำนึกที่ก้าวร้าวต่อมนุษย์ด้วยกันและต่างชนชาติอย่างรุนแรงอยู่เสมอ ศาสดาองค์ถัดมาจำต้องเอาแนวทางใหม่ๆ เข้ามาเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไปในจิตสำนึกมนุษย์ บางองค์ก็เอาศาตร์ด้านความรักมาให้ และบางองค์ก็เข้ามาช่วยเหลือกำจัดคนพาลที่กระทำตน เป็นอุปสรรคต่อมนุษย์ผู้อื่นบนผืนแผ่นดินในสังคมนั้นๆ ตลอดมาเพื่อหวังเยียวยาจิตใจที่บกพร่องของมนุษย์ แต่ถึงที่สุดแล้วก็ช่วยเหลืออย่างเป็นรูปธรรมไม่ได้มากนัก ผู้ชำนาญการสร้างวัตถุ(ตะวันตก) รับรู้ในรสสัจธรรมน้อยมาก และผู้บกพร่อง(ตะวันออก)ต่อหน้าที่ยังมัวเมาเพลิดเพลินอยู่กับผลผลิตอีกฝ่ายหนึ่ง(ตะวันตก)ต่อไป ยอมเป็นผู้ถูกชักจูงจิตวิญญาณกันอยู่ต่อไป ความสมดุลที่แท้จริงในความสงบสุขและสันติสุขของโลก มีแต่ความล้มเหลวให้เห็นเท่านั้น
แทนที่คุณธรรม มโนธรรม จะช่วยค้ำจุนโลกให้สมดุลได้ กลับกลายเป็นเพียงความว่างเปล่า ปล่อยให้วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีกลายเป็นลมหายใจของมนุษย์ทุกคนไป คล้ายศาสนาใหม่ที่ผู้คนหลงไหลคลั่งไคล้(มือถือใครไม่มีบ้างตอนนี้ ยกตัวอย่าง) และยอมรับมันมากกว่าศาสนาแห่งจักรวาลที่แท้จริง โลกกับมนุษย์จึงไม่อาจหนีความวิบัติ อันน่าพรั่นพรึงได้ จักรวาลมองเห็นอนาคตที่มนุษย์จะต้องเผชิญ อันเกิดจากการกระทำของตนเองจนทำลายความสมดุลของสรรพสิ่งในระบบโลก และทำลายระดับความสมดุลทางพลังงานในมิติคู่ขนาน ซึ้งจะนำมหันตภัยร้ายแรงมาสู่โลก สู่ระบบสุริยะจักรวาลและกาแล็กซีทางช้างเผือกตามลำดับ ที่มนุษย์ไม่มีวิสัยทัศน์เพราะขาดจิตสำนึกจะหยั่งรู้ได้ จึงต้องสื่อคลื่นความคิดผ่านจิตสำนึกของคนเหล่านั้น(ศาดาพยากรณ์เก่าๆ) บอกข่าวสารจากจักวาลมาให้รู้กันล่วงหน้า ถึงภัยอันตรายของโลกและสังคมมนุษย์ ไม่ว่าจะเกิดจากภัยนอกโลก และภัยธรรมชาติรูปแบบต่างๆ รวมทั้งภัยสงครามกับมนุษย์ด้วยกันเอง
ข่าวสารจากจักรวาล ในคำพยากรณ์ใดๆในยุคพลังงานเก่าล้วนเต็มไปด้วยข้อมูลข่าวสารจากพลังงานความรักที่มีต่อมวลมนุษย์ทั้งสิ้น มันเป็นความถูกต้องที่มนุษย์ได้พิสูจน์ทราบกันมาตลอด(นอสตารดามุส) แต่น่าเสียดายยิ่งนักที่คำพยากรณ์เหล่านั้น มันไม่ได้ทำให้จิตสำนึกของมนุษย์สั่นสะเทือนไปในแนวทางที่ต้องการอย่างแท้จริง มันเป็นเพียงภาพหวาดกลัว ที่อาจทำให้บางคนสติแตกได้ หรือทำให้บางคนหาทางหลบเลี่ยงหลีกหนีสถานการณ์เลวร้ายเหล่านั้นให้ได้ ด้วยความเชื่อมั่นในวิทยาศาสตร์ของตนเองและด้วยพลังอำนาจของตนเองที่เหนือกว่า เพื่อพยายามแก้ไขเงื่อนไข(ต่อต้านภัย)ใดๆที่จะนำไปสู่สถานการณ์เลวร้ายนั้นได้ โดยไม่ยอมแก้ไขที่จิตสำนึกของตนเลย แม้แต่จะก้มลงไปมองหามันสักครั้งก็ตาม -
กำลังเกิดอะไรกับโลกใบ ตอนที่ 3.1
จิตสำนึกที่ตกต่ำของมนุษย์โลก นอกจากจะนำไปสู่ความหายนะในสังคมที่เต็มไปด้วยขยะเทคโนโลยีแล้ว มันยังทำให้โลกขาดแคลนพลังงานหนักขึ้น ทุกวัน ทรัพยากรธรรมชาติน้อยลง เชื้อโรคร้ายวิวัฒนาการสายพันธุ์ของตนเองจนเป็นภัยต่อ ชีวิตมนุษย์มากขึ้น การก่อความรุนแรงด้วยอำนาจในสังคม
มนุษย์ ล่อแหลมต่อการเกิดศึกสงคราม ด้วยอาวุธเคมีและรังสีปรมาณูมากขึ้น จนแม้แต่การขาด
แคลนพลังงานในมิติคู่ขนานที่มนุษย์จะต้องเป็นผู้ให้ต่อโลก ผ่านกระบวนการของจิตสำนึก อันเป็นกลไกที่เป็นบ่อเกิดของพลังงานที่โลกต้องการ ซึ่งเป็นหน้าที่หลักของจิตวิญญาณในการมาสู่ร่างมนุษย์ใน ระบบโลก ที่มนุษย์ยุคพลังงานเก่าถูกปิดมิติไว้ไม่ให้ล่วงรู้ นอกจากจะเข้าถึง วิทยาศาสตร์ทางจิตได้แล้วเท่านั้น
จนก่อให้เกิดปรากฏการณ์ขาดความสมดุลทางพลังงาน อย่างรุนแรงขึ้นทุกวัน เช่น โลกหมุนรอบตัวเองช้าลง จนแกนหมุนอาจเอียงจนพลิกคว่ำได้ และระบบโครงข่ายสนามแม่เหล็กโลก อันเป็นจิตสำนึกของโลกไม่อาจยกตัวสูงขึ้นประสานกับ สนามพลังงานจักรวาลในระดับเหมาะสม จนไม่อาจป้องกัน
ภัยจากอุกกาบาต และเทหวัตถุจากนอกโลกซึ่งจะพุ่งเข้ามา ชนโลกให้ย่อยยับได้ เป็นต้น
ตราบใดที่มนุษย์ซีกโลกตะวันออก(เอเซีย) ยังละทิ้งหน้าที่ ของตนต่อการพัฒนาจิตวิญญาณสู่ระดับสูงสุดให้เข้าถึง ความก้าวหน้าสูงสุด ในศาสตร์ด้านวิทยาศาสตร์ทางจิต ให้ทัดเทียมกับ วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี(ซีกตะวันตก) มนุษย์ไม่มีวันเข้าถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันได้แน่นอน
กลไกสมองอันเป็นเครื่องมือเพื่อการคิดรู้ของมนุษยสอง ซีกโลก ถูกสร้างขึ้นให้มันวิวัฒนาการเพื่อการใช้มันอย่าง เหมาะสมยิ่งแล้ว โดยผู้เชี่ยวชาญการใช้สมองซีกซ้ายนำ ซีกขวาจะเป็นฝ่ายที่ได้รับโอกาสในการพัฒนาสติปัญญาขึ้น ก่อนเพื่อทำหน้าที่เรียนรู้และการคิดรู้ด้วย วิธีวิทยาศาสตร์ คือ การพิสูจน์รู้และการคิดคำนวณ เพื่อสร้างวัตถุ ปรับสิ่งแวดล้อม ให้เกิดความเหมาะสมต่อการดำเนินชีวิต ของมนุษย์ทุกคนบนโลก(มนุษย์ซีกโลกตะวันตก)
แต่สำหรับมนุษย์อีกซีกโลกหนึ่งนั้น แม้จะสามารถใช้สมอง ซีกซ้ายนำซีกขวาได้อย่างอัตโนมัติ แต่กลไกนั้นมันไม่ได้มี ไว้ให้ใช้เพื่อค้นหาพรสวรรค์ของตนจากอดีตชาติได้เลย มนุษย์ฝ่ายนี้จะต้องใช้วิธีกดปุ่มสร้างขบวนการคิดรู้แบบใหม่ เพื่อนำเอาสมองซีกขวาเข้าสู่ขบวนการคิดรู้แบบใหม่ เพื่อ นำเอาสมองซีกขวาเข้าสู่กระบวนการคิดรู้นำสมองซีกซ้าย ให้ได้ การคิดรู้ด้วยวิธีนี้เรียกว่า การหยั่งรู้
กระบวนการคิดรู้ด้วยวิธีหยั่งรู้ เป็นวิทยาศาสตร์ทางจิต แขนงหนึ่ง ที่จิตสำนึกของร่างกายทุกคนจะต้องฝีกฝนจนเกิดทักษะสูงสุดให้จงได้ ไม่ละเว้นแม้แต่นักวิทยาศาสตร์โลก เพราะมัน เป็นกลไกสร้างความสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวระหว่างมนุษย์ กับมนุษย์ มนุษย์กับทุกสรรพสิ่งในระบบโลก และมนุษย์กับ โลก ในขณะเดียวกันมันยังจะนำทุกคนเข้าถึงการกระทำใน มิติคู่ขนาน(พลังงาน) ในการป้อนพลังงานที่โลกต้องการ ด้วยกลไกแห่งจิตสำนึกของทุกคน และการนำพาจิตวิญ ญาณของตนผ่านการรู้แจ้งการหยั่งรู้ สู่การหลุดพ้นไปจาก จักรวาลโลก กลับสู่การเป็นจิตจักรวาลภาคแรก อันสูงส่ง ของแต่ละคนแต่เดิม โดยไม่ต้องติดอยู่กับวังวนแห่งการ เกิดดับในการมีภพชาติ บนโลกตลอดไป เพราะสามารถหลุดพ้นไปจากพันธนาการอันเกิดจากพลัง งานที่กระทำด้วยจิตสำนึกที่ไม่ถูกต้อง ก่อให้เกิดพลังงาน กรรมที่มีคุณสมบัติด้านบวก(กรรมดี) และลบ(กรรมไม่ดี) ด้วยการทำให้มันเป็นกลางทั้งหมด หรือกำจัดกรรมของตน ได้หมดสิ้นนั้นเอง -
กำลังเกิดอะไรกับโลก ตอนที่ 4
2.เพื่อต้องการทราบการตัดสินใจของมนุษย์
จักรวาลโดยรูปธรรมต่างๆล้วนทราบดีว่า มนุษย์แต่ละคนบนโลกจะต้องเผชิญกับเงื่อนไขหรือสถาน การณ์ใดบ้าง แต่จักรวาลก็ไม่อาจล่วงรู้ได้ว่า เมื่อแต่ละคน เผชิญกับสถานการณ์นั้นๆแล้ว มนุษย์แต่ละคนตัดสินใจ อย่างไร จักรวาลกำหนดให้โลกเป็นโรงเรียนขนาดใหญ่ เพื่อให้จิตวิญญาณเข้ามาสู่ร่างกายมนุษย์(รูปธรรมมนุษย์) ใช้จิตสำนึกในร่างกาย(เครื่องยนต์แห่งกรรม)ของแต่ละคน ผ่านบทเรียนและบททดสอบของตนด้วยพลังอำนาจในตนเองที่ได้จากการยกระดับ สติปัญญา เข้าถึงสติปัญญาอันสูง ส่งของจิตวิญญาณ สู่การตัดสินใจที่ถูกต้องในทุกเรื่อง ทุกสถานการณ์ให้ได้(แก้ไขกรรม) ดาวโลกจึงเป็นทางเลือกเสรีที่รูปธรรมมีชีวิตและจิตสำนึก เช่น มนุษย์บนดาวเคราะห์ดวงอื่นไม่มีสิทธิพิเศษที่จะกระ ทำเช่นนี้ได้
มนุษย์มีทางเลือกเสรีที่จะตัดสินใจกระทำตอบต่อสิ่งเร้า (สิ่งที่เข้ามากระตุ้นจิตใจ)ใดๆที่เป็นเงื่อนไขของตนได้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการยอมรับ ยอมตาม การตอบโต้ หนือการต่อ ต้าน สามารถกระทำได้ทั้งสิ่งถูกและผิด ด้วยจิตสำนึกของ ตนที่ขับเคลื่อนด้วยกลไกทางอารมณ์ จากการสั่นสะเทือน ทั้งด้านบวก(ดี)และด้านลบ(ไม่ดี) ก็ได้ทั้งสิ้น ทุกคนล้วน เป็นอิสระในการคิดและการตัดสินใจด้วยตนเอง โดยจักรวาลมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องหรือคอยโปรแกรมมันไว้ แต่อย่างใดเมื่อตัดสินใจกระทำลงไปแล้ว หากพบว่าไม่เป็น ที่พอใจหรือเห็นว่าไม่ถูกต้อง มนุษย์ก็สามารถจะเปลื่ยน ใจด้วยการตัดสินใจใหม่ ในเรื่องนั้นๆได้อีกตามต้องการ
สังคมมนุษย์โลกทั้งสองซีกโลกทั้งสองด้าน หลังจากผ่านบทเรียนเลวร้ายในยุคพลังงานเก่าที่สอดคล้องกับคำพยากรณ์จนนับเรื่องนับครั้งไม่ได้แล้ว นับว่าน่ายินดี ยิ่งที่จักรวาลพบว่า ในปี พ.ศ.2535 มีมนุษย์ถึง 144000 คนสามารถปฏิบัติตนตามหน้าที่ของตนบรรลุพลังอำนาจสูง สุดสู่การเป็นมนุษย์ได้แล้ว แม้เป็นเพียงจำนวนน้อยแต่มัน ยิ่งใหญ่เสียจนอาจกล่าวได้โดยว่า
พวกเขาเหล่านี้คือ ผู้เปลื่ยนโลก ผู้สร้างแรงสั่นสะเทือน สูงสุดในจักรวาล จนรูปธรรมทั่วทั้งจักรวาลสามารถรับรู้แรง สั่นสะเทือนของพวกเขาได้จนบัดนี้ และพวกเขาคือ ผู้ที่ก่อให้เกิดกระบวนการสร้างใหม่ของระบบโลก สู่ยุคพลัง งานใหม่ด้วยการตัดสินใจของจักรวาล โดยไม่ได้เตรียมการ ล่วงหน้ามาก่อนเลยแม้แต่ศาสดาพยากรณ์ใดๆ ก็ไม่เคยล่วงรู้มาก่อน รวมถึงพระอริยะทั้งหลายด้วย
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาจาก พ.ศ. 2535 ถึง พ.ศ.2545 (ซึ้งเป็นระยะแรกแห่งการตัดสินใจ) จักรวาลโดยรูปธรรม ชั้นสูงนับแสนตน ทำการลงมือช่วยเหลือเพื่อสร้างโลกและ มนุษย์สู่ระบบใหม่ ที่ท้าทายกว่ายุคพลังงานเก่าหลายเท่า มันจึงมีการเปลื่ยนแปลงของสรรพสิ่งในระบบโลกเกิดขึ้น มากมายเท่าที่จะเปิดเผยได้ดั่งนี้
พลังงานสามมิติในระบบโลก ถูกยกระดับให้สูงขึ้นไปอีก
ระบบทางชีววิทยา อวัยวะภายใน และกลไกบางอย่าง ของร่างกายและจิตใจมนุษย์จะถูกเปลื่ยนแปลงไปจากเดิม มนุษย์มีสติปัญญาสูงขึ้น และอายุยืนยาวกว่าเดิม
โลกจะย้ายพิกัดการโคจรรอบดวงอาทิตย์ไปจากตำแหน่ง
เดิมสู่พิกัดใหม่ที่ไม่มีใครล่วงรู้มาก่อน(ทำให้มนุษย์เห็นดวงดาวใหม่ๆกาแล็กซี่ใหม่ๆ)
ภูมิอากาศ ภูมิประเทศ และฤดูกาลต่างๆบนโลกมีการเปลื่ย นแปลงไปจากเดิม
เชื้อโรคร้ายใหม่ๆจะแสดงตัวออกมา พร้อมกับเชื้อโรคร้ายที่เคยสูญหายจะกลายพันธ์หวนคืน มาสู่ชีวิตใหม่ของมันอีกครั้ง ทำให้มนุษย์ยุ่งยากกับพวกมัน มากกว่าเดิม
โลกจะมีฟ้าใหม่ ที่ปลอดภัยจากอุกกาบาตจากนอกโลก
มนุษย์จะพบบทเรียนใหม่ ในการสร้างความสัมพันธ์กับชีวิตต่างดาว ด้วยมิติใหม่ที่จักร วาลไขกุญแจเปิดให้ข้ามมิติแห่งการเวลา ได้เผชิญหน้ากัน อย่างเปิดเผยได้ตลอดไป -
ไปรับยาช่อง2ด้วย ก่อนกลับบ้านให้อุ้มตุ๊กตาลูกเทพไปด้วยชาวบ้านจะได้แยกออกว่าคนไหนดีคนไหนบ้า
-
ผมเชื่อในองค์จักรวาลมากครับ และท่านกำลังสร้างนักรบแห่งแสงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้มนุษยชาติยกระดับไปสู่มิติที่คนส่วนใหญ่ยากจะเข้าใจ โดยส่วนตัว ผมคิดว่าคนพวกนี้พัฒนาไปสู่มิติที่ 5 6 7 8ได้เหมือนปอกกล้วยเข้าปาก แต่จะลำบากมากที่จะทำให้ตัวเองเป็นคนปกติ
ท่านผู้นี้ก็คือผู้หนึ่งที่ช่างเทคนิคแห่งจักรวาลได้ส่งมาช่วยชาวไทย ท่านผู้นี้ก็คือท่านเพอร์ซิอุส พลัง 123 ถ้าอยากจะได้รับรู้ถึงการสั่นสะเทือนแบบใหม่ๆ ล้ำสมัยในยุคนี้ ต้องท่านนี้เลย
-
กำลังเกิดอะไรกับโลก ตอนที่ 4.1
โลกเปลื่ยนสู่ยุคพลังงานใหม่ได้อย่างไร?
จักรวาลโดยรูปธรรมชั้นสูงจากกลุ่มดาวนอกระบบสุริยะ ผู้คอยให้ความช่วยเหลือดูแลความสมดุลด้านพลังงานของ ระบบดาวโลก ได้ทำการตรวจวัดค่าของแรงสั่นสะเทือน ของจิตสำนึกดาวเคราะห์โลก และค่าพลังงานไฟฟ้าด้าน บวก ซึ่งมีผลต่อคลื่นความถี่สนามแม่เหล็กโลก และแรงเหวี่ยงรอบตัวเองของโลกในอัตราที่สมดุล โดยลงมือตรวจวัดค่าเมื่อ 16 สิงหาคม 2530 จากผลการตรวจ วัดพบว่า ดาวเคราะห์โลก มีระดับพลังงานสูงกว่าที่จักร วาลเคยคาดคิดไว้ จักรวาลโดยรูปธรรมชั้นสูงจึงได้ตกลงใจ มอบรางวัลชิ้นใหญ่ให้แก่โลก มนุษย์และทุกสรรพสิ่งที่อยู่ในระบบเดียวกันกับโลกได้มีโอกาสก้าวหน้าไปสู่ ยุคพลังงานใหม่ ด้วยการมอบบททดสอบบทใหม่มาให้แก่ มวลมนุษย์และการเพิ่มพลังความรักสู่การเปลื่ยนแปลงระบบทางชีววิทยา จิตสำนึก และจิตวิญญาณของมนุษย์แต่ละ คนให้สูงขึ้น เพื่อโอกาสอันทัดเทียมกันของแต่ละคน สู่การรู้แจ้งและการหลุดพ้นได้ง่ายขึ้นยิ่งกว่าโลกยุคพลังงานเก่า ที่ผ่านมา ซึ่งแต่เดิมมีความเป็นไปได้เฉพราะเพียงคนกลุ่มน้อยเท่านั้นที่จะสามารถเข้าถึงเป้าหมายได้การเปลื่ยนแปลงครั้งนี้ถือเป็นการสร้างโอกาสและความพร้อมที่เหมาะสม ยิ่งกว่าให้แก่มนุษย์ทุกคน(ทั้งหญิงและชาย)อย่างทัดเทียม
หลักการมอบรางวัลชิ้นใหญ่แก่ระบบโลกของจักรวาล ก็คือ การเพิ่มพลังอำนาจแม่เหล็กโลกและการปรับย้ายแนวแกนแม่เหล็กโลก
เหนือใต้ให้เบี่ยงเบนไปจากเดิมอีกไม่เกิน3องศาเพื่อวางโครงข่ายเส้นแรง
สนามแม่เหล็กโลก ระบบใหม่ที่มีความเหมาะสมยิ่งกว่าเดิม
การตัดสินใจกระทำทางเทคนิคต่อระบบโลกครั้งนี้ เกิดขึ้น ในขณะที่ดาวเคราะห์โลกกำลังเคลื่อนที่อยู่ในกระบวนการเคลื่อนย้ายไป
พร้อมกับจักรวาลทั้งระบบ นับตั้งแต่เกิดกระบวนการบิ๊กแบงหลายล้านปีมาแล้ว ขณะนี้ โลกกำลังจะเคลื่อนตัวสู่พิกัดใหม่ในกาแล็กซีทางช้างเผือก พอดี ในการเปลื่ยนแปลงด้านอำนาจแม่เหล็กโลกครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นนอสตราดามุสหรือ ศาสดาพยากรณ์รายใดใน อดีตล้วนไม่มีใครหยั่งรู้ ปรากฏการณ์นี้ล่วงหน้ามาก่อนเลย แม้แต่จักรวาลเองก็ไม่รู้เช่นกัน เนื่องจากจักรวาลมีการเคลื่อนไหวเปลื่ยนแปลงตลอดเวลา และที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ นั้นจักรวาลได้ให้อำนาจ การตัดสินใจและการกระทำใดๆ เป็นเรื่องมนุษย์แต่ละคน ซึ่งจักรวาลไม่อาจบงการและทราบได้ว่าแต่ละคนจะตัดสินใจในเรื่องนั้นๆกันอย่างไร เรื่องราวบนโลกล้วนเป็นเรื่องของมนุษย์ที่ต้องใช้สติปัญญา และจิตสำนึกของตนตัดสินใจกันเองเท่านั้น จักรวาลมีหน้า ที่เพียงดำเนินการให้เกิดกระบวนการสำคัญๆ เพื่อจัดองค์ กรของระบบของตนให้สมดุล รวม 3 ขบวนการ คือ
1.กระบวนการเพิ่อการสร้างใหม่
2.กระบวนการเพื่อการเปลื่ยนแปลง
3.กระบวนการเพื่อการดำรงค์อยู่
ทั้ง 3 กระบวนการล้วนเกี่ยวเนื่องกับพื้นฐานด้านพลังงาน ทั้งสิ้น จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและเกี่ยวข้องกันเสมอ แม้ จะมีขบวนการสร้างใหม่ หรือเปลื่ยนแปลงระดับพลังงาน ใหม่เกิดขึ้นก็ตาม สรรพสิ่งแต่เดิมนั้นก็จะต้องดำรงอยู่ต่อไป
ขณะนี้โลกกำลังเกิดขบวนการเปลื่ยนแปลงระดับพลังงาน โดยมีมนุษย์ทุกคนเป็นเหตุแห่งการเปลื่ยนแปลงนี้
บททดสอบอันน่าตื่นเต้นบทแรกที่มนุษย์ทุกคนต้องเผชิญ ในระหว่างการเปลื่ยนแปลงนี้คือ ความหวาดกลัว อันเป็น การสั่นสะเทือนในจิตใจระดับสูงสุด ที่จะช่วยกดปุ่มจิตสำนึก แต่ละคนให้มีโอกาสปลดปล่อย พลังงานความรักบริสุทธิ์ ให้กลไกนี้ทำงานบ้าง ขณะที่มนุษย์ส่วนใหญ่ยังไม่เคยรู้จัก การใช้มันและอีกมากรายยังไม่เคยปลดปล่อยมันออกมาเลยแม้เพียง
ครั้งเดียวในชีวิตที่ผ่านมา
ในการเปลื่ยนแปลงครั้งนี้ จะก่อให้เกิดภาวะวิกฤติทาง ธรรมชาติอย่างรุนแรงบนพื้นที่ต่างๆทั่วทั้งโลก
ไม่เว้นแม้ แต่ภาคพื้นทวีปหรือมหาสมุทร และในอากาศ อันเกิดจาก พายุแม่เหล็กที่ถูกส่งเข้ามาจากจักรวาล เพื่อกระทำทาง เทคนิคต่อระบบโลก ดินฟ้าอากาศจะวิปริตแปรปรวน ทะเล จะคลุ้มคลั่งรุนแรงแม้ในที่ที่เคยสุขสงบ พื้นผิวโลกจะต้อง สั่นสะเทือนเพราะการเคลื่อนตัวของมัน เพื่อย้ายแนวแกน แม่เหล็กโลกให้เบี่ยงเบนไปจากเดิมไม่เกิน 3 องศา -
วันนี้ (27 ม.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สถานการณ์คลื่นลมแรงซัดชายฝั่งหลายพื้นที่ทางตอนใต้ของไทย โดผยเฉพาะในพื้นที่ตามแนวชายฝั่ง อ.ระโนด จ.สงขลา ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุด ล่าสุด ได้มีการประกาศให้พื้นที่ 11 หมู่บ้าน 4 ตำบล ได้แก่ ต.ปากแตระ ต.ท่าบอน ต.คลองแดน และ ต.บ่อตรุ ในอำเภอดังกล่าวให้เป็นเขตพื้นที่ให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติพื้นที่โฆษณานอกจากนี้ ยังได้เสนอให้ผู้ว่าราชการ จ.สงขลา พิจารณาประกาศเพิ่มเติมอีก 2 อำเภอ คือ อ.สิงหนคร 4 ตำบล ประกอบด้วย ต.ชิงโค ต.วัดขนุน ต.ม่วงงาม ต.เขาแดง และ อ.เมืองสงขลา ต.เกาะแต้ว และเขตเทศบาลนครสงขลาในส่วนของสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดสงขลา มีรายงานสรุปสถานการณ์คลื่นลมแรงที่ส่งผลกระทบ 3 อำเภอของ จ.สงขลา สร้างความเสียหายรวมทั้งหมด 9 ตำบล ประกอบด้วย อ.สิงหนคร 4 ตำบล มี ต.ชิงโค วัดขนุน ม่วงงาม และ ต.เขาแดง อ.ระโนด 4 ตำบล มี ต.ปากแตระ ท่าบอน คลองแดน และ ต.บ่อตรุ อ.เมืองสงขลา 2 แห่ง คือ พื้นที่ ต.เกาะแต้ว และเทศบาลนครสงขลา มีประชาชนเดือดร้อนกว่า 1,500 ราย ถนนเลียบชายฝั่งถูกน้ำเซาะเสียหายจำนวนมาก รวมถึงยังมีบ่อปลา และบ่อกุ้ง หลายแห่งเสียหายพื้นที่โฆษณาขณะที่ นายสิทธิชัย ศักดา ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส ได้ประกาศให้พื้นที่ ต.โคกเคียน อ.เมืองนราธิวาส เป็นเขตภัยพิบัติ เพื่อตั้งงบประมาณฉุกเฉินช่วยเหลือชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อน พร้อมจัดตั้งเจ้าหน้าที่ทีมเฝ้าระวังเฉพาะกิจในพื้นที่ประสบภัย เพื่อเข้าช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ได้อย่างทันท่วงที หลังคลื่นลมแรงได้พัดถล่มชายหาดในพื้นที่ ต.โคกเคียน อ.เมืองนราธิวาส ตั้งแต่วันที่ 25 ม.ค. 59 ที่ผ่านมา ทำให้ชาวบ้านกว่า 508 คน 127 ครัวเรือน ได้รับความเดือดร้อน บ้านพังเสียหายจนมีประชาชนราว 140 ราย ตั้งไปอาศัยที่ศูนย์อพยพ อบต.โคกเคียน
-
กรุงโซลหนาวที่สุดในรอบ 15 ปี!จนแม่น้ำฮันกลายเป็นน้ำแข็ง
จากรายงานเมื่อวันที่ 25 มกราคมตามเวลาท้องถิ่น พื้นที่ผืนน้ำส่วนใหญ่ของแม่น้ำฮันในกรุงโซลเมืองหลวงของเกาหลีใต้ได้กลายเป็นน้ำแข็งเนื่องจากอากาศที่หนาวจัด
จากรายงานของสำนักงานอุตุนิยมวิทยาเกาหลีเมื่อวันที่ 24 มกราคมที่ผ่านมา อุณหภูมิต่ำสุดของกรุงโซลอยู่ที่ - 18 องศาเซลเซียสซึ่งเป็นอุณหภูมิที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 15 มกราคม ปี 2001เป็นต้นมา (- 18.6 องศาเซลเซียส)
อีกทั้งยังเป็นครั้งแรกในรอบหกปีที่มีการออกคำเตือนให้กรุงโซลและจังหวัดคยองกีระวังภัยหนาว
#ข่าวภัยพิบัติ
// เกิดพายุรุนแรงและทอร์นาโดถล่ม ฟลอริดา //
27/01/16
BREAKING NOW: Damage in Broward County, FL after strong storms & possible #tornado hit area.
เมื่อราว ๆ2ชั่วโมงที่ผ่านมา เกิดพายุรุนแรงและมีทอร์นาโด โดยก่อนหน้านี้ได้มีการเตือนล่วงหน้าในการเกิดพายุหมุนความเร็วลม 45-55 ไมล์ต่อชั่วโมง
https://t.co/LdS62UKYKq
27/1/59
หิมะตกหนักที่ตุรกี หนาประมาณ 70 เซนติเมตร -
เมื่อกี้ได้พิมพ์รายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องวันเวลา ที่ 11-11
เกี่ยวกับเรื่องสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกปัจจุบัน
ที่กระทู้ของท่านเกษม กระทู้ แผ่นดินอธรรมจะถล่มเป็นทะเล
ว่าต้องเผชิญภัยธรรมชาติ ซึ่งกระทู้นั้นได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันได้ดีมาก
กดส่งข้อความ สัญญาณเน็ตหลุด ข้อความหายหมด
ต้อง Reboot เครื่องใหม่อีกครั้ง
ต้องใช้สงบจิตสักพักกว่าสัญญาณจะกลับมาดังเดิม
ยุคพลังงานใหม่....กำลังใกล้จะเป็นความจริง
วันและเวลาที่เกิดขึ้นไม่มีอะไรแน่นอน
และให้ติดตามคอยดูสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกนี้
ที่เกิดขึ้นในทุกที่ ในระยะเวลาถี่ ๆ เกิดที่โน้นบ้าง ที่นั้นบ้างสลับกันไป
เหตุการณ์ใดที่ไม่เคยเกิด ก็ได้เกิดขึ้นแล้ว
ความไม่ประมาทคือ การรักษาจิตใจให้อยู่ในสภาวะสงบ อยู่ในศีล สมาธิ และปัญญา
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับโลกขึ้นอยู่กับกรรมของแต่ละคน กรรมของประเทศ นั้น ๆ
หากตามพระไตรปิฎกไม่ใช่วันล้างโลก...
เป็นวัฏจักรเมื่อสิ่งใดเสื่อมถึงที่สุด ก็ต้องยกระดับพัฒนาให้สูงขึ้น เมื่อสูงขึ้นจนสุดแล้วก็ไม่มีอะไรคงที่ค่อย ๆลดระดับลงมา
เป็นธรรมดาของสัจธรรม -
พุทธวจนบทนี้...หมายความว่า
"ไม่อะไรกับอะไรอยู่แล้ว"
อย่างที่บางคนเชื่อกันจริงแท้แน่หรือ?
**เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
"พุทธวจน" บทนี้มีอะไรๆต้องคิดให้สุดนะ
โดยมีความว่า....
"ดูกร...พาหิยะ...
เมื่อใดเธอเห็นรูปแล้ว สักว่าเห็น
ได้ฟังเสียงแล้ว ก็สักว่าฟัง
ได้ดมกลิ่นแล้ว ก็สักว่าดม
ได้ลิ้มรสแล้ว ก็สักว่าลิ้ม
ได้สัมผัสทางผิวกายแล้ว ก็สักว่าสัมผัส
เมื่อนั้น "เธอ" จักไม่มี
เมื่อใด "เธอ" ไม่มี
เมื่อนั้น "เธอ" ก็จักไม่ปรากฏในโลกนี้
"เธอ" ก็จัก "ไม่ปรากฏ" ในโลกอื่น
ไม่ปรากฏ "ในระหว่าง" แห่งโลกทั้งสอง
นั่นแหละ....คือ ที่สุดแห่งทุกข์"
เชิญนักธรรมล้อมวงเข้ามา
แล้วใช้ปัญญาสนุกคิดตามเรากันหน่อยมั้ย?
1.การเห็นรูปแล้ว สักแต่ว่าเห็นนั้น
สำหรับนักบวชผู้ปฏิบัติกรรมฐาน
พระพุทธองค์ทรงหมายถึงว่า
เมื่อมีการ "กำหนดเห็น" หรือ "มโนนึก"
ถึงรูปธรรมใดๆแว่บขึ้นมาแล้ว
ก็จงอย่าไปปรุงแต่งมัน
โดยให้รับรู้แค่ว่าตนนึกเห็นอะไรอยู่
แล้วพิจารณาดูว่า "อะไรเป็นอะไร"
เมื่อได้องค์ความรู้จาก "อะไร" นั่นแล้ว
ก็ให้ละวางรูปธรรมนั้นเสีย
อย่าไปติดใจในรูปธรรมนั้นอีก
2.การได้ฟังเสียงแล้ว ก็สักว่าฟังนั้น
สำหรับนักบวชผู้ปฏิบัติกรรมฐาน
พระพุทธองค์ทรงหมายถึงว่า
แม้จะปลีกวิเวกอยู่ตามลำพังแล้ว
แต่ก็อาจได้ยินได้ฟัง
สรรพสำเนียง "อะไร"
โดยมิได้ตั้งใจที่จะรับฟังมัน
ก็ให้รับรู้แต่เพียงแค่ว่า
ตนกำลังได้ยินได้ฟังอะไรอยู่
แล้วจงพิจารณาดูว่า "อะไรเป็นอะไร"
เมื่อได้องค์ความรู้จาก "อะไร" นั่นแล้ว
ก็ให้ละวางสรรพสำเนียงนั้นเสีย
อย่าไปติดใจหรือสงสัยในสรรพสำเนียงนั้นอีก
3.การได้ดมกลิ่นแล้ว ก็สักว่าดมนั้น
สำหรับนักบวชผู้ปฏิบัติกรรมฐาน
พระพุทธองค์ทรงหมายถึงว่า
แม้จะปลีกวิเวกอยู่ตามลำพังแล้ว
แต่ก็อาจได้กลิ่นของ "อะไร" เข้า
แม้จะมิตั้งใจที่จะได้กลิ่นของมัน
โดยให้รับรู้แค่เพียงว่า
ตนกำลังได้กลิ่น "อะไร" อยู่
แล้วพิจารณาดูว่า "อะไรเป็นอะไร"
เมื่อได้องค์ความรู้จาก "อะไร" นั่นแล้ว
ก็ให้ละวางกลิ่นนั้นเสีย
อย่าไปติดใจหรือสงสัยในกลิ่นนั้นอีก
4.การได้ลิ้มรสแล้ว ก็สักว่าลิ้มนั้น
สำหรับนักบวชผู้ปฏิบัติกรรมฐาน
พระพุทธองค์ทรงหมายถึงว่า
แม้จะปลีกวิเวกอยู่ตามลำพังแล้ว
แต่ก็ต้องฉันบริโภคอาหาร
ซึ่งอาจได้ลิ้มรส "อะไร" ที่มิได้ตั้งใจ
ก็ให้รับรู้แค่ว่า
ตนกำลังรับรู้รสชาติ "อะไร" อยู่
แล้วพิจารณารสนั้นดูว่า "อะไรเป็นอะไร"
ต่อเมื่อได้องค์ความรู้จาก "อะไร" นั่นแล้ว
ก็ให้ละวางรสชาตินั้นเสีย
อย่าไปติดใจหรือสงสัยในรสชาตินั้นอีก
5.การได้สัมผัสทางผิวกายแล้ว
ก็สักว่าสัมผัสนั้น
สำหรับนักบวชผู้ปฏิบัติกรรมฐาน
พระพุทธองค์ทรงหมายถึงว่า
แม้จะปลีกวิเวกอยู่ตามลำพังแล้ว
แต่อวัยวะร่างกายก็ยังต้องสัมผัสกับ
อาภรณ์ ที่นั่ง ที่นอน ที่ยืน ที่เดิน ที่อาศัย
ก็ให้รับรู้แต่เพียงแค่ว่า
ตนกำลังสัมผัสกับ "อะไร" อยู่
แล้วให้พิจารณาดูว่า "อะไรเป็นอะไร"
ต่อเมื่อได้องค์ความรู้
จาก "อะไร" นั่นแล้วก็ให้ละวาง
สิ่งที่กายตนสัมผัสอยู่นั้นเสีย
อย่าไปติดใจหรือสงสัย
สิ่งที่ตนสัมผัสนั้นอีก
6.ท่านทั้งหลายจะเห็นได้ว่า
ไม่ว่าจะเป็นนักบวชผู้ปฏิบัติกรรมฐาน
หรือจะเป็นชาวบ้านชาวเมืองก็ตาม
กฎเกณฑ์การใช้อายตนะ
ตา หู จมูก ลิ้น และกายสัมผัส
มันมิได้แตกต่างกันที่ตรงไหนเลย
7.ใครที่นำเอาสไลด์พุทธวจนะ
ขึ้นมาแย้งเรา....ก็จงคิดใหม่ว่า
คำสอนของพระพุทธองค์บทนี้
หมายความว่าให้พวกท่านน่ะ
"ไม่อะไรกับอะไร" ใช่แน่หรือ
8.หากย้อนกลับขึ้นไปอ่านด้านบนทั้ง 5 ข้อ
ท่านจะพบว่าความหมายที่แท้จริงนั้น
ทรงมิได้หมายความว่า
เมื่อท่านสัมผัสรู้ดูเห็นสิ่งใดแล้ว
ให้วางมันทันที (ไม่อะไรกับอะไร)
แต่ให้ "พิจารณา" ใน "อะไร" นั่น
เพื่อให้รู้ว่า "อะไรเป็นอะไร" เสียก่อน
แล้วค่อยละวางมันไปโดยไม่ใส่ใจมันอีก
ซึ่งหมายถึง "รับรู้แล้ว" ต้อง "เรียนรู้" นั่นเอง
หากรับรู้อะไรแล้วไม่ยอมเรียนรู้
มันแปลว่า "โง่" มิใช่ดอกหรือท่าน
9.การสักแต่ว่า.......
สัมผัสรู้ดูเห็นอะไรแล้ววางเฉยนั่นน่ะ
มันมิได้หมายความว่า "ปล่อยวาง"
เพื่อให้เกิดสภาวะ "จิตว่าง" หรอกท่าน
(คำว่า "วาง" หลังคำว่า "ปล่อย" ไม่มีไม้เอกนะ)
แต่สำหรับวิถีจิตจักรวาลแล้ว
เราไม่เห็นด้วยกับพวกท่านเลย
เพราะเราเห็นว่าวิธีปฏิบัติของท่าน
ในการรับรู้อะไรแล้ววางเฉยนั้น
มันเป็นการ "ปล่อยว่าง"
คือ ปล่อยให้จิตของท่านมันว่าง
ทั้งๆที่ท่านมีหน้าที่ต้องเรียนรู้ว่า
"อะไร เป็นอะไร" ต่อไปอีก
หากไม่เรียนรู้แล้ว
ท่านจะรู้มากขึ้นได้ยังไง
หากไม่เรียนรู้แล้ว
ท่านจะฉลาดขึ้นได้ยังไง
หากท่านไม่รอบรู้
หากท่านไม่ฉลาด
ทั้งทางปัญญา อารมณ์ และสังคม
ในการดำเนินชีวิตแล้ว
ท่านจะผ่านบทเรียนและบททดสอบ
การเป็นมนุษย์แห่งดาวโลกเสรีนี้ได้อย่างไร
เมื่อผ่านไม่ได้ก็หลุดพ้นไม่ได้
ต่อให้ท่องจำคำสอนของครูมาจนขึ้นใจ
ต่อให้ใช้คำพูดเลิศลิ้นจนต้องปีนบันใดฟัง
หากเข้าใจผิดหลงผิด
ปฏิบัติผิดเสียแต่ต้น
แถมยังมีทิฐิดื้อรั้น
จนไม่รับฟังการเห็นต่างอีก
ภพชาตินี้ย่อมเสียเวลาเปล่า
ดังนั้น สำหรับชาวโลก
ปลายยุคพลังงานเก่านี้
คำว่า "อรหันต์"
จึงเป็นได้แค่เพียงความเชื่อ
คำว่า "หลุดพ้น"
จึงเป็นได้แค่เพียงความคาดหวัง
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
27-1-2016 -
#UFO NEWS
// UFO Causes Explosion Over Colima Volcano, Jan 3, 2016, Video //
28/01/16
กล้องจากเวปแคมตรวจภูเขาไฟ จับภาพ UFO ขณะกำลังบินผ่านภูเขาไฟโคลิม่าในเม็กซิโก ที่กำลังปะทุ พอดี!!
บังเอิญเกิน ไป หรือ ไม่??
สิ่งนี้สนับสนุนยิ่งขึ้นไปอีกสำหรับ ทฤษฎี underground base (ฐานทัพใต้ดิน)ในภูเขาไฟ และ การใช้ความร้อนเป็นพลังงาน ..
Date of sighting: January 3, 2016
Location of sighting: Colima Volcano, Mexico
เครดิต : https://www.youtube.com/watch?v=ezn...hdTrYLRJnFNdkdmoXfvYMgyc2rDw8gnIL3pAV9JCw89Mg -
กำลังเกิดอะไรกับโลก ตอนที่ 4.2
ด้วยอำนาจพายุแม่เหล็กที่ถูกส่งเข้ามาใหม่ซึ่งมีคุณสมบัติด้านบวก และเป็นคลื่นพลังงานชนิดเดียวกันกับคลื่นพลังงาน ที่เกิดจากการสั่นสะเทือนทางจิตสำนึก มนุษย์มากรายที่ ขาดความสมดุลในจิตใจ จะเป็นภัยต่อผู้คุ้นเคยกับการปลด ปล่อยพลังงานอารมณ์ด้านลบ(ไม่ดี)จนเป็นนิสัย เช่น วิตก กังวล โกรธง่าย โมโหฉุนเฉียวง่าย จิตใจหดหู่ห่อเหี่ยวซึม เซา เคียดแค้น อิจฉาริษยา อาฆาตมาดร้าย เป็นต้น โดย เฉพราะบุคคลที่ขาดมโนธรรมในจิตใจ ไม่เห็นคุณค่าความ เป็นมนุษย์ของบุคคลอื่น จะแสดงตนด้วยความก้าวร้าวให้ อุปสรรคในการดำเนินชีวิตของผู้อื่นอย่างรุนแรงกว่าที่ผ่าน มา(บุคคลชั้นนำที่จิตสำนึกขาดความสมดุลจะเกิดการตัดสิน ใจผิดพลาดอย่างไม่น่าเชื่อ จนก่อให้เกิดความทุกข์ยาก ของทุกคนในสังคมของตน ต้องรับภัยพิบัติและเคราะห์ กรรมรุนแรงชนิดที่ไม่เคยมีใครคาดคิด ด้วยการก้มหน้ารับ เอาผลกรรมใดๆ ที่เกิดขึ้นโดยไม่อาจหลีกเหลี่ยงพ้น(คนเลือก สส.และตัว สส.เองต้องรับผิดชอบทั้งหมด)
นอกจากที่กล่าวมาแล้ว อำนาจแม่เหล็กที่เพิ่มขึ้น จะเป็น ภัยต่อจิตสำนึกมนุษย์อีกพวกหนึ่งที่ชอบการเผชิญกับสิ่งท้า ทายเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย โดยล้อเล่นกับความหวาดเสียว สถานการณ์อันตรายเล่านั้นมันจะนำโอกาสในการตัดสินใจ ผิดพลาดได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม อุบัติเหตุขั้นตายหมู่บนโลกใบนี้ จะเกิดขึ้นบ่อยครั้ง จนเป็นที่สั่นสะเทือนจิตใจกับการสูญเสีย อย่างคาดไม่ถึง การฆ่าตัวตายรายวันของมนุษย์ที่เสียสมดุลทางอารมณ์จะกลายเป็นสิ่งที่คุ้นเคย
สถานการณ์เลวร้ายทั้งหมดนั้น ถูกถ่ายทอดมาให้มาให้ มนุษย์ทุกคนด้วยความรัก เพื่อให้ทุกคนมีสติ ดำเนินชีวิตด้วยความไม่ประมาท มีความหนักแน่น ไม่หวั่นไหวเมื่อเผชิญกับมัน แม้มันจะสร้างความตื่นกลัว เต็มไปด้วยความสับสนและน่าหวาดหวั่นเพียงใด มนุษย์ยัง จะสามารถผ่านบททดสอบจิตสำนึกของตนได้เสมอ ด้วยการฝึกตนเองให้รู้จักการปลดปล่อยพลังงานความรัก ออกมาให้แก่เพื่อนมนุษย์คนอื่นๆ แม้ไม่ใช่สมาชิกทางสาย เลือดในครอบครังตนเอง โดยการใช้ความกลัวตายและการ กลัวผู้อื่นต้องตาย เป็นเงื่อนไขให้จงได้
มนุษย์พึงรู้ว่า ท่ามกลางความเลวร้ายน่าสะพรึงกลัวใดๆที่ กล่าวแล้ว จักรวาลยังมอบ ของขวัญชิ้นสำคัญ โดยส่งมากับคลื่นแม่เหล็กให้แก่มวลมนุษย์ทุกคนอีกด้วย
(ของขวัญชิ้นแรก คือ การช่วยกำจัดคุณสมบัติของวิบาก กรรมด้านลบ(ไม่ดี) ที่ตกค้างอยู่จากภพชาติอดีตของแต่ละ คนให้แตกสลายจนหมดสิ้น หรือสำหรับมนุษย์บางรายอาจ จะเหลือน้อยลงกว่าเดิม เพื่อช่วยลดวัฏจักรการเกิดเป็น มนุษย์ในการชดใช้กรรมทั้งชาตินี้และชาติหน้าให้สั้นลง ผล ที่มนุษย์จะได้รับคือ แต่ละคนจะสามารถดำรงอยู่บนโลกยุค พลังงานใหม่นี้ ด้วยอายุขัยที่ยาวนานกว่าเดิม)
ของขวัญชิ้นที่สอง คือ มนุษย์ทุกคนบนดาวโลกจะได้เชื่อ ว่าเป็นเจ้าของดาวเคราะห์โลก หรือดาวเคราะห์แห่งทาง เลือกเสรี อย่างแท้จริง โดยต้องทำหน้าที่รับผิดชอบด้าน พลังงานเพื่อการหมุนรอบตัวเองของโลกในอัตราสมดุล และค้ำจุนคลื่นความถี่สนามแม่เหล็กโลกด้านบวกให้อยู่ใน ระดับที่สมดุล
นอกจากนั้นระดับคลื่นความถี่สนามแม่เหล็กโลกที่เหมาะ สมประมาณความสูง 6 หมื่นกิโลเมตร จากแกนกลางวงโค จรของโลกจะเป็นตำแหน่งเหมาะสมที่สุดที่จะช่วยค้ำจุนจิต สำนึกมนุษย์ในระบบโลก ให้มีปัญญาสูงส่งจนเข้าถึงปัญญา ญาณด้วยกิจกรรมทางจิตวิญญาณได้ง่ายดาย และยังช่วย ให้ ดีเอ็นเอ(DNA) ตอบรับคำสั่งการสร้างใหม่ในขบวนการของเซลล์ ด้วยรหัส บุรพกรรมแม่เหล็กที่เร้นอยู่ในแต่ละเซลล์ร่างกายมนุษย์ได้ เป็นอย่างดี โดยจะช่วยให้มนุษย์มีอายุยืนยาวมากขึ้น -
ท่านศาสนิกชนคนใฝ่ธรรมบริสุทธิ์ทั้งหลาย
เรามีความจริงที่ได้กล่าวต่อท่านทั้งหลายไปแล้วว่า
พระพุทธวจนะบทที่ว่า....
"ดูกร...พาหิยะ...
เมื่อใดเธอเห็นรูปแล้ว สักว่าเห็น
ได้ฟังเสียงแล้ว ก็สักว่าฟัง
ได้ดมกลิ่นแล้ว ก็สักว่าดม
ได้ลิ้มรสแล้ว ก็สักว่าลิ้ม
ได้สัมผัสทางผิวกายแล้ว ก็สักว่าสัมผัส"
ถ้วนทั้งหมดทั้งสิ้นนั้น
พระพุทธองค์ทรงหมายความว่าอย่างไร
คราวนี้เรายังมีความจริงที่จะกล่าวอยู่อีกว่า
พระพุทธวจนะบทเดียวกันนั้นเอง
ยังมีคำสอนของพระองค์ที่ท่านทั้งหลาย
จักต้องรู้ขบคิดอยู่อีกตอนหนึ่งด้วย
ความว่า....
"เมื่อนั้น "เธอ" จักไม่มี
เมื่อใด "เธอ" ไม่มี
เมื่อนั้น "เธอ" ก็จักไม่ปรากฏในโลกนี้
"เธอ" ก็จัก "ไม่ปรากฏ" ในโลกอื่น
ไม่ปรากฏ "ในระหว่าง" แห่งโลกทั้งสอง
นั่นแหละ....คือ ที่สุดแห่งทุกข์"
พระพุทธองค์ทรงกล่าวต่อพาหิยะ
ผู้เป็นพระสาวกว่าดั่งนี้
1.ถ้าท่าน"พาหิยะ"สัมผัสรู้ดูเห็นและนึก
ด้วยอายตนะทั้งหก คือ "รับรู้อะไร" นั่นแล้ว
ก็ให้นำ "อะไรที่ตนรับรู้นั้น" มา "เรียนรู้"
เพื่อให้ได้องค์ความรู้ว่า "อะไรเป็นอะไร"
แบบรู้จริง รู้แจ้ง แทงตลอด
ซึ่งจะช่วยให้ท่านพาหิยะ
เพิ่มเติมคุณสมบัติแห่งตนให้เป็นผู้ที่
"รอบรู้มากขึ้น" และ "ฉลาดยิ่งขึ้น" เรื่อยๆ
2.พระพุทธองค์มิได้ทรงตรัสสอนให้ท่านพาหิยะ
สัมผัสรู้ดูเห็นสิ่งใดแล้วให้ "ปล่อยว่าง"
ด้วยการ "วางทิ้งสิ่งนั้น" ทันที
เพื่อหมายทำให้จิตว่างหรือจิตสุญญตา
เพราะความหมายของ "จิตสุญญตา"
ตามวิถีแห่งจิตจักรวาลนั้นหมายถึง
การว่างไปจากอายตนะที่มีอยู่
ทั้งตา หู จมูก ลิ้น(ปาก) กายสัมผัสและจิตนึก
มิใช่การทำให้ "จิตว่าง" ไม่เอาอะไรเลย
3.เรารู้ว่า "จิตมนุษย์" มันว่างไม่ได้
มันมีนิสัยเหมือนลิง คือ ซุกซนอยู่ไม่นิ่ง
แล้วก็ต้องมี "สรรพสิ่ง" ให้มันยึดเกาะเสมอ
ถ้าปล่อยให้จิตท่านมันยึดตัวท่านเองไว้
ท่านก็จะกลายเป็นคน "หลงในอัตตา"
ถ้าปล่อยให้จิตท่าน
มันยึดตัวตนครูหรือใครไว้
ท่านก็จะกลายเป็นคน "งมงาย" ในครูคนนั้น
หากท่านเป็นดั่งว่ามานี้แล้ว
ตัวกิเลสตัณหาก็จะตามมาอีกเพียบ!
ทุกท่านจึงต้องหา "สรรพสิ่งอื่น" ให้จิตมันทำ
อย่าปล่อยให้มันว่างงานเด็ดขาด
ซึ่งเราได้แนะเน้นต่อท่านแล้วว่า
ให้อะไรกับอะไรนั่น
ทันทีที่จิตท่านรับรู้ผ่านอายตนะมา
เพื่อให้ได้ความรู้ว่า "อะไรเป็นอะไร"
ถ้าทำอย่างนี้ได้จิตของท่านก็จะไม่ว่าง
มันก็จะไม่มีเวลาไปเที่ยวปรุงแต่ง
"อะไร" ที่จิตรับรู้ผ่านอายตนะเข้ามา
ให้เกิดเป็น "ความรู้สึก" เพราะจิตตก
อันสภาวะที่จิตตกนี่แหละนะ
จิตท่านได้ "เกิดเวทนา" ขึ้นมาแล้ว
กระบวนการธรรมจักรที่ในจิต
ก็จะแปรผันเป็น "กรรมจักร" ทันที
การรับรู้อะไรแล้ววางเฉยหรือวางทิ้ง
ไม่ยอมเรียนรู้ว่า "อะไรเป็นอะไร"
โดยพยายามที่จะ "ไม่อะไรกับอะไร" นั้น
มันคือการปล่อยให้จิตว่างมิใช่"ปล่อยวาง"
ซึ่งมันผิดธรรมชาติ มันจึงมิใช่ธรรมะแท้
4.ยังมีข้อความที่ทรงตรัสต่อ "พาหิยะ" อีกว่า
"เมื่อนั้น "เธอ" จักไม่มี
เมื่อใด "เธอ" ไม่มี
เมื่อนั้น "เธอ" ก็จักไม่ปรากฏในโลกนี้
"เธอ" ก็จัก "ไม่ปรากฏ" ในโลกอื่น
ไม่ปรากฏ "ในระหว่าง" แห่งโลกทั้งสอง
นั่นแหละ....คือ ที่สุดแห่งทุกข์"
5."เมื่อนั้นเธอจักไม่มี" หมายความว่า
ถ้าท่านพาหิยะรับรู้อะไรแล้วเรียนรู้
เรียนรู้แล้วค่อยละวางสิ่งนั้น
โดยไม่เอามาปรุงแต่ง
จนเกิดเป็น"ความรู้สึก"
ท่านพาหิยะก็จะเป็นดั่งเช่นก้อนหิน
ที่แม้ฝนจะตกใส่แสงแดดจะส่อง
หินจะเปียกจะร้อนก็ไม่ยินดียินร้ายอะไร
นี่คือคำว่า "เธอ" จักไม่มี
ไม่ต่างจากการอยู่บ้านคนเดียวเงียบๆ
จนคนข้างบ้านเข้าใจว่าไม่มีใครอยู่
เมื่อไม่มีใครอยู่ก็ไม่ต่างจากไม่มีตัวตน
การไม่มีตัวตนนี่แหละ
พระพุทธองค์จึงทรงกล่าวว่า
เมื่อนั้น "เธอ" จักไม่มี
6.ที่พระองค์ทรงกล่าวว่า...
เมื่อใด "เธอ" ไม่มี
เมื่อนั้น "เธอ" ก็จักไม่ปรากฏในโลกนี้
ทรงหมายความว่า....
ถ้าท่าน "พาหิยะ" สั่นสะเทือนจิตใจ
เกิดเป็นความรู้สึก
ที่เป็น "กิเลส" ขึ้นมาเมื่อไหร่
จิตนั้นก็จะสั่นสะเทือนต่อเนื่องไป
เกิดเป็นอยากไม่อยาก
ที่เรียกว่า "ตัณหา"
จากตัณหาก็จะนำไปสู่
"อารมณ์หยาบๆ" ต่อไป
โดยที่ท่าน"พาหิยะ"
จะไม่สามารถหยุดยั้งมันได้
เพราะมันเป็นกระบวนการทางพลังงาน
ซึ่งขั้นตอนนี้จะเป็นขั้นตอนของ "สังขาร"
อันเป็นขั้นตอนที่สี่ในกระบวนการของขันธ์ 5
7.ท่านทั้งหลายจักต้องรู้ว่า
เมื่อใดก็ตามที่จิตท่านมันสั่นสะเทือน
จนเกิดเป็นอารมณ์รู้สึกหยาบๆรายวันแล้ว
ต่อมไร้ท่อที่ทำงานร่วมกับจิตมนุษย์
จะผลิตสร้างพลังงานของจิตออกมา
ที่เรียกว่า "พลังงานกรรม" เสมอ
พลังงานกรรมนั้นจะอยู่ในรูปของ
คลื่นความถี่ทางไฟฟ้าแม่เหล็ก
โดยจะเป็นได้ทั้งชนิดบวกและลบ
ถ้าเป็นบวกส่วนมากก็เป็นความรัก
ถ้าเป็นลบก็จะเป็นพวก โลภ โกรธ งมงาย
ดังนั้น
ถ้าท่านพาหิยะไม่สร้างความมีตัวตนขึ้นมา
เจ้าคลื่นพลังงานจิต หรือ "พลังงานกรรม"
ที่เรากล่าวมาข้างต้นนั้น
มันก็จะไม่ถูกผลิตสร้างขึ้นมาใหม่
นั่นจึงเท่ากับว่า "เธอ" คือ ท่านพาหิยะ
เสมือนไม่มีตัวตนอยู่ในระบบโลกนี้นั่นเอง
เพราะเหตุนี้เอง
พระพุทธองค์จึงทรงตรัสว่า
เมื่อใด "เธอ" ไม่มี
เมื่อนั้น "เธอ" ก็จักไม่ปรากฏในโลกนี้
8.จากนั้นพระพุทธองค์
ยังได้กล่าวเอาไว้ต่อไปอีกว่า
"เธอ" ก็จัก "ไม่ปรากฏ" ในโลกอื่น
ไม่ปรากฏ "ในระหว่าง" แห่งโลกทั้งสอง
ทรงหมายความว่า....
ถ้าท่าน"พาหิยะ" รับรู้อะไรสิ่งใดแล้วไม่รับเอา
จนไม่มีการผลิตสร้างพลังงานจิต
ที่เป็นผลกรรมด้านลบจากอารมณ์หยาบๆแล้ว
นั่นเท่ากับว่าท่าน "พาหิยะ"
สามารถก่อกรรมโดยไม่เกิด "ผลกรรม" ได้
เมื่อท่านพาหิยะ
สามารถดำรงตนอยู่เหนือกรรมได้
แสดงว่าท่านพาหิยะน่ะได้ "แทรกแซง"
กระบวนการของขันธ์ 5 ที่เดิมมันเป็นกรรมจักร
ตั้งแต่ท่านพาหิยะเป็นกุมารน้อยมาแล้วนั้น
จนสามารถเปลี่ยนมาเป็น "ธรรมจักร" ได้สำเร็จ
เมื่อหมุนธรรมจักรได้เป็นผลสำเร็จดั่งนี้
ท่านพาหิยะก็จะสามารถ
ข้ามผ่านการมีสังสารวัฏได้
เมื่อท่านพาหิยะทิ้งกายสังขารไปวันใด
จิตวิญญาณของท่าน
ก็ไม่ต้อง "หลุดลง" สู่นรก
เพื่อเยียวยาจิตวิญญาณที่เกิดการหลงมิติ
จิตวิญญาณของท่าน
ก็ไม่ต้อง "หลุดลอย" สู่แดนสวรรค์
ไปติดค้างอยู่ในแดนสวรรค์มายานั่น
พระพุทธองค์จึงทรงตรัสต่อท่านพาหิยะว่า
"เธอ" ก็จัก "ไม่ปรากฏ" ในโลกอื่น
9.ประโยคสุดท้าย
ที่ทรงกล่าวต่อท่านพาหิยะว่า
"จะไม่ปรากฏ "ในระหว่าง" แห่งโลกทั้งสอง" นั้น
ทรงหมายความว่า....
ถ้าท่านพาหิยะสามารถเป็นคน "พ้นกรรม"
คือ หมุนธรรมจักรได้เป็นผลสำเร็จ
จนตราบสิ้นอายุขัยในภพชาติปัจจุบัน
ตามรายละเอียดที่เราขยายความไว้ข้างต้นนั้น
มันจะยังผลให้ดวงจิตธรรมญาณ
ซึ่งเป็นตัวตนแก่นแท้ของท่านพาหิยะ
นอกจากจะไม่ต้องหลุดลงสู่ภพภูมินรก
นอกจากจะไม่ต้องหลุดลอย
เพื่อขึ้นสู่ภพภูมิสวรรค์มายาแล้ว
ท่านยังจะไม่ต้อง "หลุดหล่น" มาเกิดเป็นคน
บนดาวเคราะห์โลกดวงนี้อีกตลอดไปด้วย
พระพุทธองค์จึงทรงตรัสต่อท่านพาหิยะ
เป็นประโยตสุดท้ายตามพระวจนะบทนี้ว่า
เธอก็จะไม่ปรากฏ
"ในระหว่าง" แห่งโลกทั้งสอง
ทรงหมายถึงระหว่างสวรรค์มายากับนรก
ก็คือโลกมนุษย์ไงล่ะท่าน
ที่ทรงตรัสว่า
"นั่นแหละ....คือ ที่สุดแห่งทุกข์"
ทรงหมายถึงท่านพาหิยะจะสามารถ
หยุดการเวียนว่ายตายเกิดในไตรภูมิคือ 3 โลก
ได้อย่างสิ้นเชิง
นี่ไง...รหัสลับจากพระวจนะที่ทรงชี้ว่า
เส้นทางการหลุดพ้น คือ นิพพานน่ะไปทางนี้
10.เราขอถามพวกท่านว่า
ที่เราสื่อถ่ายทอดคลื่นความคิดจากจิตจักรวาล
เพื่อชี้ทางหลุดพ้น คือ กลับบ้าน
มันมิได้กระตุ้นให้เกิดการสั่นสะเทือน
ทางจิตตปัญญาของพวกท่านบ้างเลยหรือ
เราย้ำแล้วว่าเราอาสาพระบิดาลงมา
เรามาทำหน้าที่แทนพระบิดา
เรามาทำหน้าที่ตามพวกท่านกลับบ้าน
เรากล่าวแต่ความจริง
เราสนับสนุนพวกท่าน
ให้ยอมรับในพระศาสดาที่ท่านรับถือกันจริงจัง
อย่าได้แต่เอาพระศาสดามาอ้างโดยปัญญาไม่เปิด
เรามิได้มาสร้างลัทธิใหม่ แต่เรามาให้ความรู้ใหม่
เรามิได้มาสร้างสำนัก แต่เรามาสร้างสำนึกให้
เรามิได้มาแย่งสาวกของใคร
แต่เรามาสอนให้พวกท่านรู้จักการพึ่งตนเอง
ที่สำคัญ คือ เรากลับมาตามสัญญา
เราอยากบอกเจ้าสาวทั้งหลายว่า
จงตื่นจากหลับไหลเสียที
ตะเกียงที่วางอยู่น่ะจงหยิบขึ้นมาถือ
แล้วก้าวตามเรามาได้แล้ว....
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
28-1-2016
หน้า 12 ของ 19