การดูจิตโดยปฏิบัติสัมมาสมาธิ ย่อมไม่คิดไปเองว่าจิตเป็นอนัตตา

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 12 มิถุนายน 2010.

  1. บุญพิชิต

    บุญพิชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    686
    ค่าพลัง:
    +418
    รู้อะไรครับ ผมเห็นดีแต่โม้รู้ไปหมด ปฏิบัติดีเลิศ มีมรรคมีมหาสติ
    แล้วในความเป็นจริง มันเป็นอย่างที่ท่านโม้หรือเปล่า
    มีศีลมีสัตย์มั้ย ควบคุมอารมณ์ตัวเองในการสนทนาได้หรือเปล่า
    เอะอะโวยวาย งุดงิดเมื่อจนมุมต่อคำถาม พูดอะไรในที่สาธาระ
    แล้วก็ทำไม่ได้ แบบนี้เรียกว่ามีศีล มีมหาสติหรือครับ

    ผมไปแสดงลูกเล่นอะไรครับ ผมว่าเป็นท่านเองที่แสดง แต่โดนผมจับได้
    เลยต้องแก้เกี่ยว ว่าคนอื่นลูกเล่น หลักฐานก็เห็นอยู่ทนโท่

    ใครจะบอกออกหรือใครโดนเปิดเผย สมาชิกในนี้ เขารู้กันดี
    มันมีหลักฐาน มันหลายกระทู้แล้วที่ท่านแสดงอะไรไว้ ชนิดที่เรียกว่า
    ผมเป็นคู่แย้ง ยังรู้สึกสงสารและสมเพศกับการแสดงออกของท่าน
    .....พูดแต่ละอย่างพูดแต่ครั้งเหมือนตัวเองสำเร็จมรรคผล
    แต่ดูการกระทำแล้วที่ไหนได้ ศีลก็แย่ โม้เรื่องสมาธิ สติตัวเองยังควบคุม
    ไม่อยู่ แล้วจะไปสำมะหาอะไรกับสมาธิ ยิ่งปัญญาไกลสุดกู่
    .......ท่านว่าผมสายไปแล้ว แต่สำหรับตัวท่านผมว่ายังไม่สาย
    ผมและทุกคนในนี้ ให้อภัยท่านเสมอครับ ถึงแม้ท่านจะอวดศักดา
    แสดงความอหังการ์ไว้หลายกระทู้ พูดหรือแสดงอะไรไว้แล้วทำไม่ได้
    เพราะผมคิดเสียว่า สิ่งที่ท่านพูดมันไม่จริง เพียงแต่เป็นนิสัยที่ติดมาตั้งแต่
    เกิด การที่ใครจะไปเปลี่ยนมันอยากแม้กระทั่งธรรมะ
     
  2. poppykun

    poppykun Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2010
    โพสต์:
    47
    ค่าพลัง:
    +82
    ใจเย็นครับคุณบุญฯ ผมคนหนึ่งแหละครับ ที่รู้จักคุณบุญฯดีขึ้นเยอะเลย
    คุณบุญฯ มีสองบุคคลิก ... บุคคลิกนึงพุทโถ่ บุคลิกนึงพุทโธ
    ...
    ไม่ลองตามไปเสวนาต่อที่ antiwimutti.net/forum หน่อยหรือครับ???
     
  3. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    คุณโลกุตตระครับ

    คุณไม่รู้จริงๆหรือครับที่คุณยกมานั้นเป็นของอรรถกถาจารย์ ที่รจนาขึ้นมาในภายหลังครับ

    ผู้มีปัญญาเค้าก็รู้ทั้งนั้นแหละครับว่า อรรถกถาจารย์กับพระพุทธพจน์ มีที่แตกต่างกันในหลายแห่ง

    ในพระสูตรชั้นต้นๆนั้น มีพระพุทธพจน์ตรงไหนครับ??? ที่พระองค์ทรงกล่าวจิตเกิดดับ

    ของแบบนี้คิดเองเออเองไม่ได้นะครับ หรือเชื่อแบบตามๆกันมาโดยไม่ลืมหูลืมตาทั้งที่ขาดเหตุผลครับ

    พระพุทธองค์ทรงสอนไว้ในโอวาทปาฏิโมกข์ว่า

    ๑.ละชั่ว ๒.ทำดี ๓.ชำระจิตให้หมดจดจากเครื่องเศร้าหมอง

    มีตรงไหนครับที่พระองค์ทรงกล่าวว่า ชำระจิตที่เกิดดับครับ???

    อย่าลืมเอาหลักฐานที่เป็นพระพุทธพจน์มาแสดงด้วยนะครับ

    ผมถามคุณนะครับ ที่คุณบอกว่า"จิตเกิดดับสืบเนื่องกันไป( 17 ขณะ)"

    ขณะนั้นคุณรู้มั้ยว่าจิตกำลังเกิดดับอยู่??? อย่าบอกนะครับว่ารวดเร็วมาก

    ถ้าบอกว่าเกิดดับรวดเร็วมากจนตามไม่ทัน แล้วรู้ได้ยังไงครับว่ามีถึง๑๗ขณะ???

    อย่าบอกนะครับว่าเดาๆเอาเองเท่านั้น หาความถูกต้องไม่ได้

    ใครเห็นจิตที่เกิดดับอยู่ในขณะนั้นครับ????

    ถ้าอยากรู้ว่าจิตเกิดดับหรือไม่นั้น ควรลงมือปฏิบัติสัมมาสมาธิในอริยมรรคครับ จึงจะรู้ความจริง

    ไม่ใช่เชื่อแบบตามๆกันมา โดยขาดการสมาทานเพื่อให้เข้าถึงความรู้ยิ่งเห็นจริงครับ

    คำว่า "เกิด" หมายถึง สิ่งนั้นไม่เคยมีมาอยู่ก่อนหน้านี้ เกิดขึ้นมา

    คำว่า "ดับ" หมายถึง สิ่งที่มีอยู่ก่อนหน้านี้ ดับหายไป

    คุณลองเอาหัวที่มีไว้กั้นหูตรองดูสิครับว่า เป็นไปได้มั้ยว่า มีการส่งต่อเชื้อกัน

    ในขณะที่จิตดวงหนึ่งยังไม่ดับไป แล้วอีกดวงหนึ่งจะเกิดขึ้นมาได้ยังไงครับ

    ท่านอรรถกถาจารย์ ท่านก็กล่าวไว้เองชัดๆว่า จิตจะเกิดพร้อมกันทีเดียวสองดวงไม่ได้

    เมื่อเป็นแบบนี้แล้วเอาเวลาตรงไหนครับมาถ่ายทอดเชื้อให้กัน โดยเหตุผลแล้วเป็นไปไม่ได้เลยใช่มั้ยครับ???

    ;aa24
     
  4. โลกุตตระ

    โลกุตตระ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    448
    ค่าพลัง:
    +2,624
    มิจฉาทิฏฐิครับ คำเดียวสั้นๆไม่ต้องอธิบายมาก

    และอีกประการหนึ่งคือ ท่านใช้คำพูดที่ไม่เหมาะ(เสียดสี ดูหมิ่น)
    ไม่สมกับการที่ท่าน เป็นผู้ที่ผ่านฝึก และที่ปฏิบัติมาดี...............
    ขอให้โชคดี นะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 มิถุนายน 2010
  5. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    273
    ค่าพลัง:
    +1,456
    ขอให้คุณเชื่อผมเถอะ
    ผมจะพาไปสวรรค์ พรหมโลก นิพพาน ไม่หลงทางหรอก

    พุทโธนี่สุดยอดแล้วนะ
    กระเทือนถึงพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์

    พอจิตสงบแล้วคุณอยากดูจิตก็ค่อยดูไป

    เอ้า!!!!!...หาสติธรรมให้ได้ สติที่สืบเนื่อง
    ไม่ใช่สติแบบตื่นตัวชั่วขณะ

    หรือเมื่อเกิดสติแบบตื่นตัวชั่วขณะ เกิดขึ้นมา
    อย่าปล่อยทิ้งไปเฉย ๆ ให้เอาสติที่เกิดมาชั่วขณะนั้น
    จับที่พุทโธเลย
    แล้วจะเห็นเองว่าสติที่เกิดมาชั่วขณะนั้น
    สืบเนื่องกันได้

    เอ้า...ลองดูสิ
     
  6. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    คุณโลกุตตระครับ

    คุณก็ควรต้องศึกษาใหม่ซะแล้วหละครับ

    อนัตตาแปลตรงๆตัวเลยก็แปลว่า ไม่ใช่ตัวตน

    นิรัตตา แปลว่า ไม่มีตัวตน

    คำว่าไม่ใช่ตัวตน กับไม่มีตัวตนนั้น คนละเรื่องเลยนะครับ

    ในอนัตตลักขณสูตร ก็แปลไว้ชัดเจนอยู่แล้วครับว่า

    นั่นไม่ใช่ของเรา ไม่เป็นของเรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา ดังนี้

    ยกตัวอย่างเช่นนาย ก.ไม่ใช่พ่อ(อนัตตา)นาย ข. แสดงว่านาข.มีพ่อ แต่ไม่ใช่นาย ก.ใช่มั้ยครับ???

    ถ้าเราพูดว่า นาย ข.ไม่มีพ่อ(นิรัตตา) ก็แสดงว่านาย ข.ไม่มีพ่อ ไม่ต้องพูดถึงพ่อนาย ข.ใช่มั้ยครับ???

    แล้วคำถามต่อมาก็เกิดขึ้นว่า ถ้านาย ข.ไม่มีพ่อแล้ว นาย ข.เกิดมาได้อย่างไรครับ???

    อย่าลืมใช้หัวที่มีไว้กั้นหูให้เกิดประโยชน์นะครับ ผมเองก็ใช้อวัยวะในส่วนนี้พิจารณาหาเหตุผลเป็นประจำครับ

    คุณไปปรุงแต่งเอาเองว่า เป็นคำส่อเสียด ส่อเสียดตรงไหนครับ เป็นความจริงทั้งนั้น มีใครบ้างที่มีหัวไว้กั้นอย่างอื่นครับ???

    หรืออะไรที่เป็นความจริง มีเหตุ มีผล คุณยอมรับไม่ได้เพราะไม่เหมือนที่คุณรู้มา

    คุณเองก็ชอบปรุงแต่งไปเรื่อยเฉื่อย เห็นใครพูดเพาะ พูดดี ก็คิดเองว่านั่นเป็นคนดีซะแล้ว

    ส่วนคนที่ชอบพูดตรงไปตรงมา แต่ไม่เข้าหู ล้วนเป็นคนที่มีกิเลสหนาทั้งนั้นใช่มั้ยครับ???

    คุณเองก็เอานิสัยที่ชอบกล่าวร้ายคนอื่นไว้ก่อน เก็บเอาเข้าตู้เซฟ แล้วไม่ต้องนำมาใช้อีกนะครับ

    ถ้าผมไม่เมตตาคุณ โดยมีคำถามกลับไป เพื่ออะไร? เพื่อให้คุณนำเอาไปตริตรองให้เกิดประโยชน์มั้ยครับ???

    คุณอย่าอ้างปัจจัตตังเลยครับ ผมเห็นมานักต่อนักแล้วครับ เวลาตอบไม่ได้ก็ยกให้เจ้าปัจจัตตังผิดไปกันหมด

    ถ้าพระบรมครูเราอ้างบ้างแล้วอะไรจะเกิดขึ้นครับ ต่างคนต่างรู้ต่างคนต่างทำ โดยไม่มีบรรทัดฐานใช่มั้ยครับ???

    ในเมื่อคุณรู้ได้เฉพาะตน คุณต้องบอกคนอื่นได้สิว่า ที่คุณรู้เห็นอะไรมาบ้างใช่มั้ยครับ???

    ส่วนปัจจัตตังที่ถูกต้องนั้น เกิดจากการที่เรารู้มาแล้ว นำมาปฏิบัติอีกที

    แล้วเกิดผลขึ้นมาเฉพาะกับตัวเรา ไม่ใช่เกิดผลขึ้นกับคนอื่น

    เราจึงเรียกว่าปัจจัตตัง อย่าพยายามโยนความผิดให้เจ้าปัจจัตตังอีกเลยนะครับ

    ตอบได้ก็ควรตอบ ตอบไม่ได้ก็ถาม คงไม่เสียหายอะไร แต่ควรยืนอยู่บนหลักเหตุผลเท่านั้นเองครับ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มิถุนายน 2010
  7. โลกุตตระ

    โลกุตตระ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    448
    ค่าพลัง:
    +2,624
    อนัตตา แปลว่าไม่ใช่ตัวตน ถูกแล้วครับ

    เราได้สนทนาธรรม และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน
    พอสมควรแล้ว ผิดถูกอย่างไร ทุกท่านที่เข้ามาดู
    คงจะไปพิจารณากันเองได้ ด้วยปัญญาของท่านเอง

    ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรมครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มิถุนายน 2010
  8. วจีทุจริต

    วจีทุจริต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2010
    โพสต์:
    46
    ค่าพลัง:
    +263
    รู้จักที่เกิดที่ดับแล้ว ก็ให้เบื่อ ให้รู้ว่าไม่ใช่เรา ของที่เราที่ไปหลงอยู่ ไม่ใช่ของเรา ....
    ความเปลี่ยนแปลงของวัตถุธาตุทั้งหลาย และอาการทางกาย ก็พาให้ใจไปเกาะเกี่ยวกับอาการทั้งหลาย มาเป็นอารมณ์ปรุงแต่งอารมณ์ของใจ .....


    รู้เท่าทันอาการของธาตุ อาการทางกาย อาการทางใจก็สะท้านหวั่นไหวน้อยลง หดเข้ามาถึงอาการของใจก็ไม่ใช่สิ่งที่หน้ายึดถือ สักแต่ว่าอาการใจ ....
    พิจารณาอาการของใจ ความนึกคิดที่ออกมาก็จะเห็น ว่าใจที่ไปเกาะเกี่ยวกับวัตถุ ธาตุใดอยู่ มาปรุงแต่งเป็นอารมณ์ เผาผลาญตัวให้รุ่มร้อน เผื่อวางสิ่งที่ร้อยรัดกับวัตถุธาตุทั้งหลายลง ....


    อาการเกิดขึ้น เปลี่ยนแปลง ดับสลายหายไป สักว่าอาการ ....
    สักว่าสังขาร ....


    แค่อุปทานทั้งหลายที่ตายตกฉิบหาย ตายเกิดกัน จิตดวงนี้ไม่เคยสลายธรรมชาติฉิบหายไม่มี มีสภาพรู้ มีอาการวิตก วิจาร จดจำ อยู่ทุกกาลสมัย ....
    พิจารณาถึงตัวใจ มันตายตอนไหน ธรรมชาติที่ไม่มีวันฉิบหายสลายสูญ ถึงแม้ลงมหานรกเอวจีก็ไม่สามารถเผาทำลายใจดวงนี้ได้เลย ....
    ทำให้ได้เพียงเศร้าหมองลงไป ก็กลับมาสว่างสดใส ....


    เข้าใจตัว เจอตนแล้ว ก็พากันถนอมรักษาสิ่งประเสริฐ วิเศษ นี้ ให้กลับเป็นสิ่งผ่องใส แล้วให้บริสุทธิ์ หลุดพ้นจากโคลนตมทั้งสิ้นเสียเถิด พากันชำระสิ่งสกปรกโสมมม ออกจากดวงใจนี้ ....
    ผู้ใดรู้จักตัว เข้าใจตน ย่อมเป็นที่พึ่งแห่งตน ได้ทุกกาลทุกเวลา ไม่หลงพึ่งสิ่งใดๆ ข้ามพ้นกาลเวลาสมัยไป ...



    นี้จึงเป็น " ตน เป็น ที่พึงแห่ง ตน " ....

    ********************************************************************
    ทิฐิส่วนตัวจำมา อมมา คิดเองเออเองบ้าง ตามประสา ไม่ใช่ธรรมะ ..








    อัตตา หิ อัตตโน นาโถ
    ************


    มิใยใคร จะพึ่ง ซึ่งพระเจ้า
    แต่พวกเรา ชาวพุทธ- ศาสนา
    ผู้เชื่อฟัง โอวาท พระศาสดา
    พึ่งธรรมา คือพึ่ง ซึ่งตัวเอง
    ประกอบกรรม นำมา ซึ่งโภคผล
    ตั้งแต่ต้น จนปลาย ได้เหมาะเหม็ง
    ทั้งทางโลก ทางธรรม ก็ยำเกรง
    ถือเลบง สร้างตัว อยู่ทั่วกัน
    อัตตา หิ อัตตโน นาโถ แปล
    ว่า "ตัวพึ่ง ตัว" แน่, ถ้าบิดผัน
    เป็นอื่นไป วนเวียน พาเหียรครัน
    พึ่งเขานั้น ไม่ "หนึ่ง" เหมือนพึ่งตัว ฯ

    ******************************
    พุทธทาส ภิกขุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มิถุนายน 2010
  9. peerakul

    peerakul เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    9,428
    ค่าพลัง:
    +33,493
    มาฟังด้วยคนจ้าาาาาาา:cool:
     
  10. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,353
    ค่าพลัง:
    +6,491
    ท่านพูดจาคล้ายเพื่อนข้าพเจ้ามากเลย ท่านน่าจะเรียนมาจากสำนักเดียวกันแน่ๆ ท่านเรียนธรรมะกับอาจารย์ท่านใดหรือ? ข้าพเจ้ารู้สึกคุ้นๆ...
     

แชร์หน้านี้

Loading...