[การทดลอง]-ต้องการช่วยเหลือผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายด้วย healing hand กั๊บ ...

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย amu, 22 พฤษภาคม 2007.

  1. amu

    amu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    178
    ค่าพลัง:
    +149
    พี่ๆ (ที่สนับสนุนอามู) ทุกท่านกั๊บ

    คือว่า อามู พร้อมที่ลองทดสอบกับการรักษาคนอื่น ที่ไม่รุ้จักอามูบ้างแล้ว

    อามูไปอ่านเจอมาที่นี่

    http://webboard.mthai.com/44/2007-05-04/319722.html

    จะมี พี่ๆคนใหนในนี้ ที่สามารถ contact กับทางครอบครัวเค้าจนเค้าวางใจให้อามู "ทดลอง" ช่วยเหลือเค้ามั่งฮะ * * * *

    ปล. สำหรับผู้ที่มีปัญหาขาดเลือด สามารถติดต่ออามูได้นะกั๊บ (แต่ถ้าอามูจะบริจาคเลือด ขออามู พิจารณาอาการของคุณก่อน)

    เพราะอามู มีเลือด O rh- ( O negative )

    ที่สามารถให้เลือดได้กับเลือดทุกกรุ๊ปบนโลกฮะ

    (ถ้าต้องการ เลือดก็ติดต่อ 0858133383 หรือ 029344066 นะกั๊บ)

    * * * *

    แต่ก่อนอื่น - - - ใครก็ได้ ติดต่อ ครอบครัวของพี่น้องหนูคนนี้ที อยากให้เค้าอณุญาติให้อามูทดลอง รักษาเค้าด้วย สิ่งที่อามูทำดูกั๊บ

    ขอบคุณล่วงหน้ากั๊บ ...

    * * * * *

    "เมื่อเจ้ามีพลัง เจ้าจงช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์"
     
  2. สิกขิม

    สิกขิม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,310
    ค่าพลัง:
    +6,034
    http://www.komchadluek.net/2007/02/25/t006_93910.php?news_id=93910


    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width=567 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top>"Wishing Well" ความตายที่สวยงาม



    </TD></TR><TR><TD class=Text_Story vAlign=top><!-- [​IMG] เราทุกคนรู้ว่า "ความตาย" คือ ปลายทางของชีวิต แต่ไม่อาจรู้ได้ว่ามันจะมาถึงเมื่อไร ตรงกันข้ามมีเด็กกลุ่มหนึ่งที่รู้ตัวดีว่า พวกเขากำลังเดินไปสู่ความตายและอยู่ใกล้มันขนาดไหนทุกวินาทีที่ผ่านไป


    หากใครมีโอกาสขึ้นไปบนชั้น 16 ตึก สก รพ.จุฬาลงกรณ์ จะพบเด็กๆ โกนหัวจนล้านเลี่ยนนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยเรียงราย เขาและเธอเหล่านี้เป็นโรคมะเร็งที่แตกต่างกันไป เมื่อรักษาไปได้ระยะหนึ่งแพทย์วินิจฉัยแล้วว่า ไม่สามารถรักษาต่อไปได้ จะแนะนำพ่อแม่ผู้ปกครองถึงทางเลือก 2 ทาง คือ หยุดการรักษาทางเคมีการแพทย์แล้วกลับไปอยู่บ้าน แต่ยังอยู่ในความดูแลของแพทย์และใช้ชีวิตตามปกติ
    แต่ถ้าหากพ่อแม่เด็กตัดสินใจทางเลือกใหม่ คือ การหยุดรักษาทางเคมีแพทย์ แล้วให้รักษาแบบประคับประคอง โดยให้เด็กมีคุณภาพจิตที่ดี ทำให้มีความสุขก่อนจากโลกนี้ไป แพทย์จะส่งต่อมาที่ Wishing Well หรือ โครงการส่งชีวิตสุขสมหวังก่อนสิ้นลม แทนที่จะนอนรอความตายอยู่กับยาพาราแก้ปวดหรือสิ้นลมในห้องไอซียูอย่างเดียวดาย
    "เม่น" เด็กผู้ชายวัย 6 ขวบ ป่วยเป็นมะเร็งเยื่อหุ้มปอดมานาน 2 ปีแล้ว เขามีอาการครั้งแรกเมื่อปลายปี 2547 ขณะเดินถือหม้อหุงข้าวอยู่เขาหันมาบอกแม่ว่า "ขอพักก่อน เหนื่อย เดินไม่ไหว" หลังจากนั้นแม่ก็พาไปหาหมอที่คลินิกประจำ และได้รับคำแนะนำให้ไปที่ รพ.บางพลี รพ.ศิครินทร์ ก่อนจะส่งต่อไปยัง รพ.จุฬาฯ ตรวจวินิจฉัยโรค บังเอิญว่าเป็นช่วงปีใหม่และเกิดพิบัติภัยสึนามิ จึงต้องรอผลการตรวจ ระหว่างนี้แพทย์จะเจาะน้ำออกจากปอดทุกวันๆ ละ 500-800 ซีซี
    1 ทุ่มตรง วันที่ 4 มกราคม 2548 ครอบครัวน้องเม่นจึงรู้ว่า แท้ที่จริงแล้วโรคที่เด็กชายวัย 6 ขวบกำลังเผชิญอยู่ คือ มะเร็งเยื่อหุ้มปอด ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นได้เพียง 1 ในล้าน โอกาสรักษาหายมีเพียง 80% ขณะนอนรักษาตัวอยู่ที่ตึก สก ชั้น 18 น้องเม่นต้องทำเคมีบำบัด 3 สัปดาห์ครั้งและครั้งละ 3-5 วัน มากถึง 17 ครั้งด้วยกัน และครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ปีที่แล้ว
    หลังจากเอกซเรย์ด้วยคอมพิวเตอร์หมอไม่พบมะเร็งอีก จึงให้พักฟื้น 3 เดือน น้องเม่นกลับไปใช้ชีวิตตามปกติอีกครั้ง ไปโรงเรียนได้ วิ่งเล่นได้เหมือนกับเด็กคนอื่นๆ
    แต่แล้วอีก 6 เดือนต่อมา เมื่อหมอนัดตรวจอีกครั้ง น้องเม่นและครอบครัวก็ต้องพบกับข่าวร้ายยิ่งกว่าครั้งไหนๆ เด็กชายในวัยซุกซนจะมีชีวิตอยู่ได้อีกเพียง 3 เดือนเท่านั้น หมอจึงแนะนำทางเลือกให้ 2 ทาง คือ รักษาต่อซึ่งโอกาสหายน้อยมาก กับการหยุดรักษาแล้วใช้ชีวิตตามปกติ ไปโรงเรียนตามปกติ พาไปเที่ยวที่เด็กอยากไป
    ครอบครัวและน้องเม่นเลือกวิธีที่ 2 คือ การอยู่ท่ามกลางความรักความอบอุ่นของคนในครอบครัว ในวาระสุดท้ายของชีวิต เที่ยวทะเลบางแสน สวนสนุกดรีมเวิลด์ สยามโอเชี่ยน เวิร์ล และไปทำบุญตามวัดต่างๆ
    "โหน่ง ชะ ชะ ช่า" คือ ดาวตลกในดวงใจของน้องเม่น ก่อนช่วงสุดท้ายของชีวิตจะมาถึง เจ้าหน้าที่มูลนิธิสายธารแห่งความหวัง โทรศัพท์ติดต่อไปยังตลกชื่อดัง โหน่งกำลังทำงานอยู่ต่างจังหวัดบอกกับ "นิลอุบล จันทร์โหนง" เจ้าหน้าที่ให้หามือถือที่เปิดเสียงได้ "จะเล่นตลกให้น้องฟัง" ก่อนจะบอกลาน้องเม่นให้หลับให้สบายเมื่อการแสดงสั้นๆ จบลง
    ในขณะที่ทุกคนในห้องหัวเราะกับเสียงของโหน่ง ชะ ชะ ช่า น้องเม่นหลับสบายไปพร้อมกับเสียง "พี่โหน่ง...มาแว้วววว"
    ในขณะที่ "น้องรุ้ง" เด็กผู้หญิงอีกคนอยากเพ้นท์เล็บเจ้าหน้าที่ก็พาช่างมาเพ้นท์เล็บถึงเตียงผู้ป่วย หลังจากนั้น 1 สัปดาห์ น้องรุ้งก็จากโลกใบเล็กๆ นี้ไปอย่างสงบ พร้อมกับเล็บที่เพ้นท์ด้วยสีสันสวยงาม และรอยยิ้มที่เปี่ยมสุข
    แต่สำหรับ "น้องซี" วัย 7 ขวบ ป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย แม้จะต้องทนทุกข์ขนาดไหน น้องซีก็ยังมอบความสุขให้กับเพื่อนๆ พี่ๆ ในมูลนิธิสายธารแห่งความหวัง ด้วยการร้องเพลงให้ฟัง กลายเป็นบ่อเกิดแห่งความหวังเล็กๆ ให้เจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ ระดมเงินมาช่วยเหลือและก็ได้ครบในวันที่น้องซีจากไป
    ด้าน "น้องเจมส์" เด็กฉลาดที่อยากไปพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ เจ้าหน้าที่มูลนิธิสารธารแห่งความหวัง แอบทำเซอร์ไพรส์เล็กๆ ด้วยการให้ "อ้อม พิยดา อัครเศรณี" ไปกับเขาด้วย น้องเจมส์กึ่งตกใจกึ่งดีใจ และวันที่น้องเจมส์จากไปนางเอกสาวชื่อดังถึงกับหลั่งน้ำตา
    เด็กผู้หญิงอีกรายวัย 12 ปี มีความหวังสุดท้ายของชีวิต คือ การเสริมดั้งจมูก เพื่อจะได้พบกับ "แอนดริว เกร้กสัน" แต่การตามตัวดาราดังไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้นเจ้าหน้าที่จึงหาวิธีเข้าไปโพสต์ในอินเทอร์เน็ตบอกว่า มีคนไข้ต้องการเจอตัว และเขาใกล้จะเสียชีวิตแล้ว
    ไม่นานต่อมา กลางดึกคืนหนึ่งแอนดริวในสภาพหนวดเคราเฟิ้ม เพราะกำลังถ่ายละครเรื่อง "คนระลึกชาติ" ก็โผล่เข้ามาให้กำลังใจเด็ก สร้างความประทับใจกับทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กที่ป่วย แล้วอีก 2 วันต่อมา เด็กก็เสียชีวิตลง
    "ความฝันของเด็กๆ มีหลากหลาย ทำง่ายและทำได้ทันที เช่น เด็กคนหนึ่งอยากกินไก่ทอดเคเอฟซี เราก็สั่งมาให้ตอนนั้นได้เลย เด็กบางคนอยากไปเดินเล่นสวนลุมฯ เราก็พาไป" นิลอุบล จันทร์โหนง สรุป
    ก้าวเข้าปีที่ 4 แล้ว สำหรับโครงการ Wishing Well ซึ่งมีความหมายอยู่ 2 ประการ คือ การรักษาให้หายกับคำอธิษฐานสุดท้ายที่เป็นจริง ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาได้ต่อชีวิตและส่งชีวิตเด็กๆ ไปแล้ว 35-40 ราย เฉลี่ยมีคนไข้เสียชีวิต 3-5 คนต่อปี โดยเด็กๆ หลายคนสุขสมหวังกับปรารถนาสุดท้ายของชีวิต จากไปด้วยรอยยิ้มอย่างสงบสุข ถึงแม้จะรู้ล่วงหน้าว่า มีเวลาเหลืออยู่บนโลกกลมๆ ใบนี้อีกนานแค่ไหน
    หลังจากนั้นพวกเขาก็จะจากไป ไม่มีวันกลับมาอยู่ดูความศิวิไลซ์บนโลกใบนี้อีกต่อไป !!!

    เรื่อง / ตวงรัตน์ มีศรี mesri@gmail.com
    ภาพ / มูลนิธิสายธารแห่งความหวัง หัวอกพ่อแม่

    "คุณดำ" แม่น้องอ้อม เด็กน้อยวัย 4 ขวบ เล่าว่า ใจหายเมื่อรู้ว่าน้องอ้อมจะจากไป อยากให้มีชีวิตอยู่ต่อก็เป็นไปไม่ได้ ตอนนี้ตื้อไปหมด เพราะยังทำใจไม่ได้ แต่ก็ได้รับสิ่งดีๆ จากพี่ๆ มูลนิธิสายธารแห่งความหวัง ที่เป็นกำลังใจให้อยู่จนถึงทุกวันนี้ ตอนที่ลูกสาวเสียชีวิตมีเงินอยู่เพียง 2,000 บาท มูลนิธิฯ และอาสาสมัครก็ระดมเงิน 20,000 บาท มาช่วยทำศพลูก
    ขณะที่ น้องอ้อมอยู่ในโรงพยาบาล ต้องใส่สายยางให้ยา ปลายสัปดาห์ก่อนจะเสียชีวิต อาการโคม่าลงเรื่อยๆ ระหว่างที่หลับไปด้วยอาการน้ำท่วมปอด น้องอ้อมเริ่มกระตุกหลายครั้ง เพราะเกิดการติดเชื้อทางกระแสเลือด น้องอ้อมรู้สึกตัวตลอดเวลา แต่ตอบสนองไม่ได้ น้ำตาไหลตลอด คุณดำ ต้องจับมือเอาไว้ ปากก็พร่ำบอกว่า "ไม่ต้องร้องไห้นะลูก"
    วันหนึ่งระหว่าง 1 เดือนสุดท้ายของชีวิต คุณดำออกไปซื้อของเพื่อกลับบ้านที่สัตหีบ จ.ชลบุรี "นิลอุบล จันทร์โหนง" อาสาดูแล สิ่งที่เกิดขึ้นคือน้องอ้อมกลับไปร้องไห้อีกครั้ง นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา คุณแม่คนนี้ไม่เคยทิ้งน้องอ้อมให้อยู่คนเดียวบนเตียงคนไข้อีกเลย
    คุณดำ ยังจดจำวันสุดท้ายของนางฟ้าตัวน้อยๆ ของเธอได้ไม่มีวันลืม ตี 5 ฟันน้องอ้อมเริ่มเปลี่ยนจากสีขาวเป็นขาวขุ่น เช่นเดียวกับเล็บที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีเขียว มือเท้าเย็น กระทั่งบ่าย 2 โมง เมื่อพ่อน้องอ้อมมาถึงจึงเริ่มสวดมนต์ที่ข้างหู จากนั้นเครื่องออกซิเจนก็ดับลง หมอบอกว่า น้องอ้อมจากไปแล้ว
    "มาอยู่ที่นี่ได้เดือนมีความหวังว่า ลูกจะตื่น แต่ก็ไม่ตื่น ในแต่ละวันความหวังเริ่มลดลงเรื่อยๆ เหมือนครึ่งหนึ่งของชีวิตมันหายไป พ่อน้องอ้อมจากปกติเป็นคนไกลวัด ตั้งแต่ลูกป่วยก็สวมพระคาถาชินบัญชร ทำบุญใส่บาตรทุกวัน พอน้องอ้อมจากไปเวลาคิดถึงก็จะดูรูปแทน" คุณดำ เล่าทั้งน้ำตา
    ระหว่างเฝ้าปรนนิบัติน้องอ้อม ทำให้คุณดำได้รู้จักกับแม่ของเด็กอีกหลายคน โดยเฉพาะแม่ "น้องเม่น" ที่มีอาการทรุดหนักเหมือนจะจากโลกไปก่อนน้องอ้อมหลายต่อหลายครั้ง คุณดำ บอกว่า น้องเม่นผอมมาก จากอาการป่วยตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ไม่รู้สึกตัว ต้องคอยประคองนั่งตลอด เนื่องจากนอนไม่ได้ พออาการปวดกำเริบหมอก็จะกดมอร์ฟีนที่ใส่ติดไว้ที่แขนไม่ให้ทรมาน เห็นแล้วทรมานใจ ลูกเรา ลูกเขา แต่แล้วน้องอ้อมก็จากไปก่อนน้องเม่น สวดศพคืนแรกแม่น้องเม่นก็มาฟังพระสวด คุณดำ บอกว่า ทำให้รู้สึกว่าได้เพื่อน ได้ความมีน้ำใจ จากคนที่ไม่รู้จักกันมาก่อน และสิ่งเหล่านี้ได้ช่วยสร้างกำลังใจ
    จากใจถึงใจ

    ศ.เกียรติคุณ น.พ.ชัยเวช นุชประยูร ประธานมูลนิธิสายธารแห่งความหวัง และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยบำบัดโรคมะเร็ง สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ กล่าวว่า สายธารแห่งความหวังเกิดขึ้นด้วยศรัทธาของผู้ที่มาทำงานร่วมกันทุกคน และจากแรงศรัทธาของพ่อแม่เด็กที่ลูกเสียชีวิตมาช่วยต่อๆ กันไป เด็กๆ เหล่านี้น่ารัก หลายคนมีความรู้ก็มาช่วยจัดทำเวบไซต์บ้าง เป็นสิ่งที่น่าประทับใจควรค่าแก่การที่จะทำ
    ด้าน "นิลอุบล จันทร์โหนง" บอกว่า ตั้งแต่ได้สัมผัสกับเด็กกลุ่มนี้ สามารถรับรู้ได้ถึงการต่อสู้อย่างเต็มกำลังจริงๆ ของเด็กน้อย พร้อมกับความฝันและการฟันฝ่าโรคมะเร็งอย่างมีความสุข ถึงแม้ต้องต่อสู้กับความตาย เด็กทุกคนที่เสียชีวิตจะรู้ตัว เราจะทำอย่างดีที่สุด คือ เช็ดตัวให้ คอยคุยกับเด็กๆ ทำให้เขาทุกอย่าง ให้เขาหมดห่วงก่อนจะจากไป
    "เราจะคอยบอกพวกเขาเสมอว่า หลับให้สบาย ไปคอยป้านะ ไม่ต้องห่วง จะดูแลแม่และน้องๆ หนูเอง หนูเหนื่อยแล้ว สู้มาพอแล้ว เด็กก็ฟัง บางคนมีน้ำตาซึม แล้วก็หลับไปตลอดกาล"
    นิลอุบล บอกว่า รายที่สะเทือนใจที่สุด คือ น้องเปา วัย 10 ขวบ ป่วยเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ก่อนเสียชีวิตได้เห็นเหงื่อเม็ดโป้งๆ เต็มหัวล้าน เกิดจากธาตุไฟแตก จึงบอกไปว่าให้น้องเปาหลับเถิดก็ได้ยินเสียงตอบกลับมาว่า
    "ผมอยากเจอพ่อ พ่อมาเร็วๆ ผมไม่ไหวแล้ว"
    สุดท้ายพ่อน้องเปาก็มาไม่ทัน !?!
    น.พ.อิศรางค์ นุชประยูร แพทย์เจ้าของไข้ของเด็กๆ บอกว่า ดีใจที่มีความก้าวหน้าเกิดขึ้นใน Wishing Well โดยเฉพาะเรื่องอาสาสมัคร น่าภูมิใจ เพราะการให้ เป็นประโยชน์กับทุกคน ไม่เฉพาะกับคนไข้ใน Wishing Well แต่รวมไปถึงคนไข้อื่นๆ ด้วย ปีนี้เราทำงานได้มากขึ้น ทำให้ความสุขเกิดขึ้นกับทุกฝ่าย โดยเฉพาะกับครอบครัวคนไข้ ภูมิใจที่ทุกคนตั้งใจทำงาน และด้วยความตั้งใจที่ดีของพวกเขา ก็สามารถชักจูงเพื่อนและคนในครอบครัวมาเป็นแนวร่วม ช่วยกันทำสิ่งดีให้มันขยายวงกว้างออกไปได้
    "ผมเชื่อว่าทุกคนต่างก็มีความสุข ที่ได้ใช้ความสามารถของตัวเอง เพื่อช่วยเหลือคนอื่น และนี่เป็นสิ่งที่เราเล็งเห็นว่า สังคมไทยมีลักษณะพิเศษเฉพาะตัว ที่เปิดโอกาสให้ทุกคนได้ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากจะทำ และทำสิ่งที่เราหาไม่ได้ทั่วไป นอกจากเราจะเริ่มต้นการให้นี้ด้วยตัวเอง" กาญจนา คุณาวุฒิ อาสาสมัคร อายุ 49 ปี อาชีพพนักงานรัฐวิสาหกิจ บริษัท วิทยุการบิน จำกัด เป็นอาสาสมัครมาได้ปีกว่าแล้ว บอกว่า เวลาไปเยี่ยมเด็กๆ ตอนพักเที่ยง เพราะโรงพยาบาลอยู่ใกล้ที่ทำงาน รู้สึกชื่นใจ เหมือนกับว่าได้ทำบุญ ไปป้อนอาหาร ไปพูดเล่น หยอกล้อ ทุกครั้งจะมาเล่น จับมือ ตบหลังเบาๆ 3 ที จูบได้ก็จูบ "น้องแบงก์ อายุ 15 ปี เป็นมะเร็งสมอง ผ่าไปผ่ามาจนตาบอด เคราะห์ซ้ำกรรมซัด พ่อแม่มาแยกทางกันอีก วันที่ 12 สิงหาคม เป็นวันแม่ก็เลยปลอมตัวเป็นแม่ มาหาเขา โอบกอดเขา เขาก็รู้สึกรักแล้ว พอแม่เขามาก็บอกกับแม่ว่า ถ้าแม่ไม่มาวันเสาร์นี้จะมีแม่คนใหม่แล้วนะ ทำให้น้ำตาคลอ ปลื้มใจ แต่ก็น่าเห็นใจแม่ เพราะเขาทำงานโรงงานอยู่ไกลถึงกาญจนบุรี น้องแบงก์ชอบให้ลูบมือและยิ้มสวยมาก"
    หมายเหตุ : มูลนิธิสายธารแห่งความหวัง Wishing Well หมายเลขโทรศัพท์ 0-2677-4117

    -->
    เราทุกคนรู้ว่า "ความตาย" คือ ปลายทางของชีวิต แต่ไม่อาจรู้ได้ว่ามันจะมาถึงเมื่อไร ตรงกันข้ามมีเด็กกลุ่มหนึ่งที่รู้ตัวดีว่า พวกเขากำลังเดินไปสู่ความตายและอยู่ใกล้มันขนาดไหนทุกวินาทีที่ผ่านไป

    หากใครมีโอกาสขึ้นไปบนชั้น 16 ตึก สก รพ.จุฬาลงกรณ์ จะพบเด็กๆ โกนหัวจนล้านเลี่ยนนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยเรียงราย เขาและเธอเหล่านี้เป็นโรคมะเร็งที่แตกต่างกันไป เมื่อรักษาไปได้ระยะหนึ่งแพทย์วินิจฉัยแล้วว่า ไม่สามารถรักษาต่อไปได้ จะแนะนำพ่อแม่ผู้ปกครองถึงทางเลือก 2 ทาง คือ หยุดการรักษาทางเคมีการแพทย์แล้วกลับไปอยู่บ้าน แต่ยังอยู่ในความดูแลของแพทย์และใช้ชีวิตตามปกติ

    แต่ถ้าหากพ่อแม่เด็กตัดสินใจทางเลือกใหม่ คือ การหยุดรักษาทางเคมีแพทย์ แล้วให้รักษาแบบประคับประคอง โดยให้เด็กมีคุณภาพจิตที่ดี ทำให้มีความสุขก่อนจากโลกนี้ไป แพทย์จะส่งต่อมาที่ Wishing Well หรือ โครงการส่งชีวิตสุขสมหวังก่อนสิ้นลม แทนที่จะนอนรอความตายอยู่กับยาพาราแก้ปวดหรือสิ้นลมในห้องไอซียูอย่างเดียวดาย

    "เม่น" เด็กผู้ชายวัย 6 ขวบ ป่วยเป็นมะเร็งเยื่อหุ้มปอดมานาน 2 ปีแล้ว เขามีอาการครั้งแรกเมื่อปลายปี 2547 ขณะเดินถือหม้อหุงข้าวอยู่เขาหันมาบอกแม่ว่า "ขอพักก่อน เหนื่อย เดินไม่ไหว" หลังจากนั้นแม่ก็พาไปหาหมอที่คลินิกประจำ และได้รับคำแนะนำให้ไปที่ รพ.บางพลี รพ.ศิครินทร์ ก่อนจะส่งต่อไปยัง รพ.จุฬาฯ ตรวจวินิจฉัยโรค บังเอิญว่าเป็นช่วงปีใหม่และเกิดพิบัติภัยสึนามิ จึงต้องรอผลการตรวจ ระหว่างนี้แพทย์จะเจาะน้ำออกจากปอดทุกวันๆ ละ 500-800 ซีซี

    1 ทุ่มตรง วันที่ 4 มกราคม 2548 ครอบครัวน้องเม่นจึงรู้ว่า แท้ที่จริงแล้วโรคที่เด็กชายวัย 6 ขวบกำลังเผชิญอยู่ คือ มะเร็งเยื่อหุ้มปอด ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นได้เพียง 1 ในล้าน โอกาสรักษาหายมีเพียง 80% ขณะนอนรักษาตัวอยู่ที่ตึก สก ชั้น 18 น้องเม่นต้องทำเคมีบำบัด 3 สัปดาห์ครั้งและครั้งละ 3-5 วัน มากถึง 17 ครั้งด้วยกัน และครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ปีที่แล้ว

    หลังจากเอกซเรย์ด้วยคอมพิวเตอร์หมอไม่พบมะเร็งอีก จึงให้พักฟื้น 3 เดือน น้องเม่นกลับไปใช้ชีวิตตามปกติอีกครั้ง ไปโรงเรียนได้ วิ่งเล่นได้เหมือนกับเด็กคนอื่นๆ

    แต่แล้วอีก 6 เดือนต่อมา เมื่อหมอนัดตรวจอีกครั้ง น้องเม่นและครอบครัวก็ต้องพบกับข่าวร้ายยิ่งกว่าครั้งไหนๆ เด็กชายในวัยซุกซนจะมีชีวิตอยู่ได้อีกเพียง 3 เดือนเท่านั้น หมอจึงแนะนำทางเลือกให้ 2 ทาง คือ รักษาต่อซึ่งโอกาสหายน้อยมาก กับการหยุดรักษาแล้วใช้ชีวิตตามปกติ ไปโรงเรียนตามปกติ พาไปเที่ยวที่เด็กอยากไป

    ครอบครัวและน้องเม่นเลือกวิธีที่ 2 คือ การอยู่ท่ามกลางความรักความอบอุ่นของคนในครอบครัว ในวาระสุดท้ายของชีวิต เที่ยวทะเลบางแสน สวนสนุกดรีมเวิลด์ สยามโอเชี่ยน เวิร์ล และไปทำบุญตามวัดต่างๆ

    "โหน่ง ชะ ชะ ช่า" คือ ดาวตลกในดวงใจของน้องเม่น ก่อนช่วงสุดท้ายของชีวิตจะมาถึง เจ้าหน้าที่มูลนิธิสายธารแห่งความหวัง โทรศัพท์ติดต่อไปยังตลกชื่อดัง โหน่งกำลังทำงานอยู่ต่างจังหวัดบอกกับ "นิลอุบล จันทร์โหนง" เจ้าหน้าที่ให้หามือถือที่เปิดเสียงได้ "จะเล่นตลกให้น้องฟัง" ก่อนจะบอกลาน้องเม่นให้หลับให้สบายเมื่อการแสดงสั้นๆ จบลง

    ในขณะที่ทุกคนในห้องหัวเราะกับเสียงของโหน่ง ชะ ชะ ช่า น้องเม่นหลับสบายไปพร้อมกับเสียง "พี่โหน่ง...มาแว้วววว"

    ในขณะที่ "น้องรุ้ง" เด็กผู้หญิงอีกคนอยากเพ้นท์เล็บเจ้าหน้าที่ก็พาช่างมาเพ้นท์เล็บถึงเตียงผู้ป่วย หลังจากนั้น 1 สัปดาห์ น้องรุ้งก็จากโลกใบเล็กๆ นี้ไปอย่างสงบ พร้อมกับเล็บที่เพ้นท์ด้วยสีสันสวยงาม และรอยยิ้มที่เปี่ยมสุข

    แต่สำหรับ "น้องซี" วัย 7 ขวบ ป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย แม้จะต้องทนทุกข์ขนาดไหน น้องซีก็ยังมอบความสุขให้กับเพื่อนๆ พี่ๆ ในมูลนิธิสายธารแห่งความหวัง ด้วยการร้องเพลงให้ฟัง กลายเป็นบ่อเกิดแห่งความหวังเล็กๆ ให้เจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ ระดมเงินมาช่วยเหลือและก็ได้ครบในวันที่น้องซีจากไป

    ด้าน "น้องเจมส์" เด็กฉลาดที่อยากไปพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ เจ้าหน้าที่มูลนิธิสารธารแห่งความหวัง แอบทำเซอร์ไพรส์เล็กๆ ด้วยการให้ "อ้อม พิยดา อัครเศรณี" ไปกับเขาด้วย น้องเจมส์กึ่งตกใจกึ่งดีใจ และวันที่น้องเจมส์จากไป นางเอกสาวชื่อดังถึงกับหลั่งน้ำตา

    เด็กผู้หญิงอีกรายวัย 12 ปี มีความหวังสุดท้ายของชีวิต คือ การเสริมดั้งจมูก เพื่อจะได้พบกับ "แอนดริว เกร้กสัน" แต่การตามตัวดาราดังไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้นเจ้าหน้าที่จึงหาวิธีเข้าไปโพสต์ในอินเทอร์เน็ตบอกว่า มีคนไข้ต้องการเจอตัว และเขาใกล้จะเสียชีวิตแล้ว

    ไม่นานต่อมา กลางดึกคืนหนึ่งแอนดริวในสภาพหนวดเคราเฟิ้ม เพราะกำลังถ่ายละครเรื่อง "คนระลึกชาติ" ก็โผล่เข้ามาให้กำลังใจเด็ก สร้างความประทับใจกับทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กที่ป่วย แล้วอีก 2 วันต่อมา เด็กก็เสียชีวิตลง

    "ความฝันของเด็กๆ มีหลากหลาย ทำง่ายและทำได้ทันที เช่น เด็กคนหนึ่งอยากกินไก่ทอดเคเอฟซี เราก็สั่งมาให้ตอนนั้นได้เลย เด็กบางคนอยากไปเดินเล่นสวนลุมฯ เราก็พาไป" นิลอุบล จันทร์โหนง สรุป

    ก้าวเข้าปีที่ 4 แล้ว สำหรับโครงการ Wishing Well ซึ่งมีความหมายอยู่ 2 ประการ คือ การรักษาให้หายกับคำอธิษฐานสุดท้ายที่เป็นจริง ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาได้ต่อชีวิตและส่งชีวิตเด็กๆ ไปแล้ว 35-40 ราย เฉลี่ยมีคนไข้เสียชีวิต 3-5 คนต่อปี

    โดยเด็กๆ หลายคนสุขสมหวังกับปรารถนาสุดท้ายของชีวิต จากไปด้วยรอยยิ้มอย่างสงบสุข ถึงแม้จะรู้ล่วงหน้าว่า มีเวลาเหลืออยู่บนโลกกลมๆ ใบนี้อีกนานแค่ไหน หลังจากนั้นพวกเขาก็จะจากไป ไม่มีวันกลับมาอยู่ดูความศิวิไลซ์บนโลกใบนี้อีกต่อไป !!!



    เรื่อง / ตวงรัตน์ มีศรี mesri@gmail.com
    ภาพ / มูลนิธิสายธารแห่งความหวัง




    หัวอกพ่อแม่

    "คุณดำ" แม่น้องอ้อม เด็กน้อยวัย 4 ขวบ เล่าว่า ใจหายเมื่อรู้ว่าน้องอ้อมจะจากไป อยากให้มีชีวิตอยู่ต่อก็เป็นไปไม่ได้ ตอนนี้ตื้อไปหมด เพราะยังทำใจไม่ได้ แต่ก็ได้รับสิ่งดีๆ จากพี่ๆ มูลนิธิสายธารแห่งความหวัง ที่เป็นกำลังใจให้อยู่จนถึงทุกวันนี้ ตอนที่ลูกสาวเสียชีวิตมีเงินอยู่เพียง 2,000 บาท มูลนิธิฯ และอาสาสมัครก็ระดมเงิน 20,000 บาท มาช่วยทำศพลูก

    ขณะที่ น้องอ้อมอยู่ในโรงพยาบาล ต้องใส่สายยางให้ยา ปลายสัปดาห์ก่อนจะเสียชีวิต อาการโคม่าลงเรื่อยๆ ระหว่างที่หลับไปด้วยอาการน้ำท่วมปอด น้องอ้อมเริ่มกระตุกหลายครั้ง เพราะเกิดการติดเชื้อทางกระแสเลือด น้องอ้อมรู้สึกตัวตลอดเวลา แต่ตอบสนองไม่ได้ น้ำตาไหลตลอด คุณดำ ต้องจับมือเอาไว้ ปากก็พร่ำบอกว่า "ไม่ต้องร้องไห้นะลูก"


    วันหนึ่งระหว่าง 1 เดือนสุดท้ายของชีวิต คุณดำออกไปซื้อของเพื่อกลับบ้านที่สัตหีบ จ.ชลบุรี "นิลอุบล จันทร์โหนง" อาสาดูแล สิ่งที่เกิดขึ้นคือน้องอ้อมกลับไปร้องไห้อีกครั้ง นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา คุณแม่คนนี้ไม่เคยทิ้งน้องอ้อมให้อยู่คนเดียวบนเตียงคนไข้อีกเลย

    คุณดำ ยังจดจำวันสุดท้ายของนางฟ้าตัวน้อยๆ ของเธอได้ไม่มีวันลืม ตี 5 ฟันน้องอ้อมเริ่มเปลี่ยนจากสีขาวเป็นขาวขุ่น เช่นเดียวกับเล็บที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีเขียว มือเท้าเย็น กระทั่งบ่าย 2 โมง เมื่อพ่อน้องอ้อมมาถึงจึงเริ่มสวดมนต์ที่ข้างหู จากนั้นเครื่องออกซิเจนก็ดับลง หมอบอกว่า น้องอ้อมจากไปแล้ว

    "มาอยู่ที่นี่ได้เดือนมีความหวังว่า ลูกจะตื่น แต่ก็ไม่ตื่น ในแต่ละวันความหวังเริ่มลดลงเรื่อยๆ เหมือนครึ่งหนึ่งของชีวิตมันหายไป พ่อน้องอ้อมจากปกติเป็นคนไกลวัด ตั้งแต่ลูกป่วยก็สวมพระคาถาชินบัญชร ทำบุญใส่บาตรทุกวัน พอน้องอ้อมจากไปเวลาคิดถึงก็จะดูรูปแทน" คุณดำ เล่าทั้งน้ำตา

    ระหว่างเฝ้าปรนนิบัติน้องอ้อม ทำให้คุณดำได้รู้จักกับแม่ของเด็กอีกหลายคน โดยเฉพาะแม่ "น้องเม่น" ที่มีอาการทรุดหนักเหมือนจะจากโลกไปก่อนน้องอ้อมหลายต่อหลายครั้ง คุณดำ บอกว่า น้องเม่นผอมมาก จากอาการป่วยตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ไม่รู้สึกตัว ต้องคอยประคองนั่งตลอด เนื่องจากนอนไม่ได้ พออาการปวดกำเริบหมอก็จะกดมอร์ฟีนที่ใส่ติดไว้ที่แขนไม่ให้ทรมาน เห็นแล้วทรมานใจ ลูกเรา ลูกเขา

    แต่แล้วน้องอ้อมก็จากไปก่อนน้องเม่น สวดศพคืนแรกแม่น้องเม่นก็มาฟังพระสวด คุณดำ บอกว่า ทำให้รู้สึกว่าได้เพื่อน ได้ความมีน้ำใจ จากคนที่ไม่รู้จักกันมาก่อน และสิ่งเหล่านี้ได้ช่วยสร้างกำลังใจ



    จากใจถึงใจ

    ศ.เกียรติคุณ น.พ.ชัยเวช นุชประยูร ประธานมูลนิธิสายธารแห่งความหวัง และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยบำบัดโรคมะเร็ง สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ กล่าวว่า สายธารแห่งความหวังเกิดขึ้นด้วยศรัทธาของผู้ที่มาทำงานร่วมกันทุกคน และจากแรงศรัทธาของพ่อแม่เด็กที่ลูกเสียชีวิตมาช่วยต่อๆ กันไป เด็กๆ เหล่านี้น่ารัก หลายคนมีความรู้ก็มาช่วยจัดทำเวบไซต์บ้าง เป็นสิ่งที่น่าประทับใจควรค่าแก่การที่จะทำ

    ด้าน "นิลอุบล จันทร์โหนง" บอกว่า ตั้งแต่ได้สัมผัสกับเด็กกลุ่มนี้ สามารถรับรู้ได้ถึงการต่อสู้อย่างเต็มกำลังจริงๆ ของเด็กน้อย พร้อมกับความฝันและการฟันฝ่าโรคมะเร็งอย่างมีความสุข ถึงแม้ต้องต่อสู้กับความตาย เด็กทุกคนที่เสียชีวิตจะรู้ตัว เราจะทำอย่างดีที่สุด คือ เช็ดตัวให้ คอยคุยกับเด็กๆ ทำให้เขาทุกอย่าง ให้เขาหมดห่วงก่อนจะจากไป

    "เราจะคอยบอกพวกเขาเสมอว่า หลับให้สบาย ไปคอยป้านะ ไม่ต้องห่วง จะดูแลแม่และน้องๆ หนูเอง หนูเหนื่อยแล้ว สู้มาพอแล้ว เด็กก็ฟัง บางคนมีน้ำตาซึม แล้วก็หลับไปตลอดกาล"

    นิลอุบล บอกว่า รายที่สะเทือนใจที่สุด คือ น้องเปา วัย 10 ขวบ ป่วยเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ก่อนเสียชีวิตได้เห็นเหงื่อเม็ดโป้งๆ เต็มหัวล้าน เกิดจากธาตุไฟแตก จึงบอกไปว่าให้น้องเปาหลับเถิดก็ได้ยินเสียงตอบกลับมาว่า

    "ผมอยากเจอพ่อ พ่อมาเร็วๆ ผมไม่ไหวแล้ว"

    สุดท้ายพ่อน้องเปาก็มาไม่ทัน !?!

    น.พ.อิศรางค์ นุชประยูร แพทย์เจ้าของไข้ของเด็กๆ บอกว่า ดีใจที่มีความก้าวหน้าเกิดขึ้นใน Wishing Well โดยเฉพาะเรื่องอาสาสมัคร น่าภูมิใจ เพราะการให้ เป็นประโยชน์กับทุกคน ไม่เฉพาะกับคนไข้ใน Wishing Well แต่รวมไปถึงคนไข้อื่นๆ ด้วย ปีนี้เราทำงานได้มากขึ้น ทำให้ความสุขเกิดขึ้นกับทุกฝ่าย

    โดยเฉพาะกับครอบครัวคนไข้ ภูมิใจที่ทุกคนตั้งใจทำงาน และด้วยความตั้งใจที่ดีของพวกเขา ก็สามารถชักจูงเพื่อนและคนในครอบครัวมาเป็นแนวร่วม ช่วยกันทำสิ่งดีให้มันขยายวงกว้างออกไปได้

    "ผมเชื่อว่าทุกคนต่างก็มีความสุข ที่ได้ใช้ความสามารถของตัวเอง เพื่อช่วยเหลือคนอื่น และนี่เป็นสิ่งที่เราเล็งเห็นว่า สังคมไทยมีลักษณะพิเศษเฉพาะตัว ที่เปิดโอกาสให้ทุกคนได้ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากจะทำ และทำสิ่งที่เราหาไม่ได้ทั่วไป นอกจากเราจะเริ่มต้นการให้นี้ด้วยตัวเอง"

    กาญจนา คุณาวุฒิ อาสาสมัคร อายุ 49 ปี อาชีพพนักงานรัฐวิสาหกิจ บริษัท วิทยุการบิน จำกัด เป็นอาสาสมัครมาได้ปีกว่าแล้ว บอกว่า เวลาไปเยี่ยมเด็กๆ ตอนพักเที่ยง เพราะโรงพยาบาลอยู่ใกล้ที่ทำงาน รู้สึกชื่นใจ เหมือนกับว่าได้ทำบุญ ไปป้อนอาหาร ไปพูดเล่น หยอกล้อ ทุกครั้งจะมาเล่น จับมือ ตบหลังเบาๆ 3 ที จูบได้ก็จูบ

    "น้องแบงก์ อายุ 15 ปี เป็นมะเร็งสมอง ผ่าไปผ่ามาจนตาบอด เคราะห์ซ้ำกรรมซัด พ่อแม่มาแยกทางกันอีก วันที่ 12 สิงหาคม เป็นวันแม่ก็เลยปลอมตัวเป็นแม่ มาหาเขา โอบกอดเขา เขาก็รู้สึกรักแล้ว พอแม่เขามาก็บอกกับแม่ว่า ถ้าแม่ไม่มาวันเสาร์นี้จะมีแม่คนใหม่แล้วนะ ทำให้น้ำตาคลอ ปลื้มใจ แต่ก็น่าเห็นใจแม่ เพราะเขาทำงานโรงงานอยู่ไกลถึงกาญจนบุรี น้องแบงก์ชอบให้ลูบมือและยิ้มสวยมาก"



    หมายเหตุ : มูลนิธิสายธารแห่งความหวัง Wishing Well
    หมายเลขโทรศัพท์ 02-677-4117


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 22 พฤษภาคม 2007
  3. amu

    amu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    178
    ค่าพลัง:
    +149
    กรี้ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

    ลืมไปว่ายังไม่ได้จ่ายค่ารายเดือนมือถือ

    5 5 5 5 5 5 5 5 5 5

    โทรเข้าเบอร์บ้านนะ!!!

    >w<
     
  4. amu

    amu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    178
    ค่าพลัง:
    +149
    0-02-2677-4117
    ใช่ปะ พี่สิกกี้ (เรียกคิกขุๆละกัน เอิ้กอ้ากๆ)
     
  5. หมูอวตาร

    หมูอวตาร Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +65
    เมื่อเจ้าเดินบนเส้นทางแห่งความรัก
    เมื่อเจ้าล้มจะมีคนช่วยประคอง
    เมื่อเจ้ามีผองภัยจะมีคนช่วยต้าน
    เมื่อเจ้าผิดพลาดจะมีคนช่วยแก้ไข
     
  6. noone

    noone เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +392
    จะทำอะไร ก็ทำเข้าเถอะครับ ติดต่อเข้าไป ไม่ต้องประกาศรบกวนคนในกระทู้เพื่อติดต่อให้หรอก
    ไม่ทราบโพสต์ไปเพื่ออะไร ผมเห็นกระทู้คุณหลายกระทู้แล้ว เพื่อโชว์ออฟหรือว่าคิกขุอะไรซักอย่างไม่ทราบ
    คนที่ดีที่เก่งกว่าคุณ เค้ามีความถ่อมตนไม่ต้องมาประกาศเป็นไดอารีหวานแหววอย่างนี้หรอกครับ คนเราทำดีเพื่อตนเองเพื่อคนรอบข้างมีความสุขกายสุขใจ อย่าทำดีเพื่อต้องการเป็นที่ยอมรับจากสังคม ไม่โตซักทีครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...