จูเฬกสาฎกเป็นตัวอย่างของคนที่ทำบุญช้า บางรายโยมเขามาทำบุญตรงนี้ ก็เข้าแถวรอหรือนั่งรอเพื่อนก่อน นั่งรอครอบครัวก่อน เป็นอาตมาไม่รอหรอก ใครทำบุญก็เอาด้วย ฝากเขาร่วมทำบุญทันที
จูเฬกสาฎกเป็นพราหมณ์ มีฐานะยากจน จริง ๆ แล้วพราหมณ์ไม่ใช่รวยนะ พราหมณ์ที่รวยส่วนใหญ่แล้วก็คือพราหมณ์ที่ได้ทำพิธีในวัง หรือทำพิธีให้กับมหาเศรษฐี และที่เขาบูชายัญกันครั้งละมาก ๆ นั่นเป็นอุบายหลอกกินของพราหมณ์ เพราะสัตว์ที่เอามาฆ่าบูชายัญ พราหมณ์จะเอาไปกินหมด บางทีก็เอาไปขาย เอาไปให้ลูกให้เมียบ้าง
จูเฬกสาฎกแกจน มีผ้านุ่งผืนเดียว พูดง่าย ๆ ว่าผัวกับเมียมีผ้านุ่งคนละผืน แต่ผ้าห่มมีผืนเดียว ถ้าจะออกจากบ้านต้องผลัดกันห่มออกไป ถ้าเปรียบกับสมัยนี้ก็คือมีกางเกงคนละตัว แต่ไม่มีเสื้อ พอออกจากบ้านต้องผลัดกันใส่เสื้อ
จูเฬกสาฎกได้ข่าวว่าพระพุทธเจ้ามาโปรดก็เลยไปฟังธรรม ปรากฏว่าพระพุทธเจ้าเทศน์ถูกใจจูเฬกสาฎกเหลือเกิน คนนั้นก็มีสิ่งของถวายพระพุทธเจ้า คนนี้ก็มีสิ่งของถวายพระพุทธเจ้า ส่วนจูเฬกสาฎกไม่มีของถวาย ก็เลยอยากจะปลดผ้าห่มตัวเองถวาย แต่ก็นึกขึ้นได้ว่ายาย (ภรรยา) ยังอยู่ที่บ้าน
พระพุทธเจ้าเทศน์ดีขนาดนี้ ถ้าปลดผ้าถวายไป ยายจะมาไม่ได้ ทำให้อดฟังพระพุทธเจ้าเทศน์ ยามที่หนึ่งผ่านไป....
พอยามสอง พระพุทธเจ้าเทศน์ถูกใจอีก จะถวายก็ตัดใจไม่ได้อีก ห่วงยายที่บ้าน....
พอยามสาม ตัดสินใจยายมาได้หรือไม่ได้ ไม่สนใจแล้ว ขอปลดถวายเลย
พอแกถวายได้ก็ดีใจ คือสามารถตัดความโลภได้อย่างที่พระพุทธเจ้าสอน เอาชนะใจตัวเองได้ ท่านก็เลยร้องมาด้วยความปลื้มใจว่า "ชิตัง เม ชิตัง เม" แปลว่า เราชนะแล้ว เราชนะแล้ว
พระเจ้าปเสนทิโกศลกลับจากการศึกสงครามพอดี เพิ่งรบชนะมาจากชายแดน มาเฝ้าพระพุทธเจ้า พอได้ยินเสียงจูเฬกสาฎกก็ว่า "อะไร ? เรารบชนะมายังไม่ดีใจเท่านี้เลย" ก็เรียกตัวพราหมณ์มาถาม จูเฬกสาฎกก็เล่าว่าสามารถเอาชนะความตระหนี่ได้ พระเจ้าปเสนทิโกศลจึงพลอยยินดีด้วย สั่งให้เอาผ้ามามอบให้พราหมณ์สองผืน เป็นผ้าสาฎกอย่างดี ผัวเมียจะได้มีไว้ใช้
จูเฬกสาฎกกำลังปลื้มอยู่ก็ถวายพระพุทธเจ้าอีก พระเจ้าปเสนทิโกศลให้ไปอีกสี่ผืน จูเฬกสาฎกก็ถวายพระพุทธเจ้า ให้ไปแปดผืนก็ถวายพระพุทธเจ้าอีก พระเจ้าปเสนทิโกศลเห็นว่าถ้าให้หมดคลังจูเฬกสาฎกก็ถวายหมดคลัง ก็เลยยกบ้านส่วยให้หนึ่งหมู่บ้าน ปกติหมู่บ้านเขาต้องส่งภาษีเข้าคลังหลวง แต่ว่าพอยกหมู่บ้านให้จูเฬกสาฎก ก็แปลว่าจูเฬกสาฎกได้เก็บภาษีไว้ใช้เอง นอกจากนั้นแล้วก็ยังให้ข้าทาสช้างม้าอย่างละ ๘ ก็เลยกลายเป็นคหบดี เป็นคนรวยไปเลย
พระพุทธเจ้าตรัสว่า จูเฬกสาฎกทำบุญช้า ถ้าทำบุญยามแรกจะได้เป็นมหาเศรษฐีมีทรัพย์ ๘๐ โกฏิ ถ้าทำบุญยามสองจะได้เป็นอนุเศรษฐีมีทรัพย์ ๔๐ โกฏิ แต่นี่ทำช้าไป ทำบุญยามสาม สุดท้ายเลยได้เป็นแค่คหบดี ก็คือเศรษฐีธรรมดา ไม่ได้รับการแต่งตั้งยกย่องจากพระเจ้าแผ่นดิน
สมัยก่อนจะเป็นเศรษฐีได้ ต้องมีฉัตรสามชั้นประจำตระกูลด้วย ถ้าไม่มีลูกชายสืบต่อ พระราชาจะริบทรัพย์เข้าคลังหลวงหมด ถ้ามีลูกชายจะตั้งให้เป็นเศรษฐีต่อจากพ่อ
ดังนั้น สรุปว่า ตุลิฏะ ตุลิฏัง สีฆะ สีฆัง จะทำอะไรให้เร็ว ๆ ไว ๆ การทำบุญถ้าทำง่าย ๆ ไว ๆ ถึงเวลาได้ก็จะได้ง่าย ๆ ไว ๆ ถ้ามัวแต่ช้าอยู่จะไม่ทันกิน
...................................
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. วัดท่าขนุน
www.watthakhanun.com
การทำบุญให้เร็ว ๆ ไว ๆ ทำให้ตอนบุญส่งผลก็จะเร็ว ๆ ไว ๆ เช่นกัน
ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 7 กุมภาพันธ์ 2023.