การทำสมาธิแบบพระอาจารย์เสาร์(หลวงปู่พุธ ฐานิโย)

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย วิษณุ12, 7 เมษายน 2012.

  1. ต้นปลาย

    ต้นปลาย Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    629
    ค่าพลัง:
    +69
    เล่าปังเดือดร้อน ในการปฏิบัติผมเหรอ หงุดหงิดหรือเปล่า

    ไหนลองตอบมาซิ
     
  2. <Q>

    <Q> Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2011
    โพสต์:
    1,907
    ค่าพลัง:
    +80
    แปลว่า ลมร้อน เกิดจากจิตก็ได้ เกิดจากอุณหภูมิก็ได้ เกิดจากอาหารก็ได้ เกิดจากกรรมก็ได้

    เข้าเย็น ออกร้อน เข้าร้อน ออกเย็น มันก็เป็นเรื่องของลมกระทบ



    ใครกันที่หายใจ ใครกันที่รู้ลม ใครกันที่ไม่ร้อนรน ^^
     
  3. <Q>

    <Q> Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2011
    โพสต์:
    1,907
    ค่าพลัง:
    +80
    อ่อ เขาเดือนร้อนอยู่กับความไม่เที่ยง อยากให้ชาวบ้านไม่เที่ยงด้วยดังใจเขา ^^
     
  4. รักคนอ่าน

    รักคนอ่าน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +94
    เฉียวฟงเชื่อหลวงพ่อพุธ จะลองเอาวิธีดูสวรรค์ไปใช้กับแฟนดูบ้าง ก็รู้นะว่าถึงเห็นก็ไม่ใช่ของจริง แต่อยากให้เห็น ใครมีอะไรเป็นเคล็ดลับพิเศษแนะนำบ้างมั๊ยคับ
     
  5. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,801
    ค่าพลัง:
    +7,939
    โง่ นี่หว่า

    ยัง เอาเรื่อง ตัวบุคคล สอดเสือก เข้ามารับลูกอีก

    ไหนบอกว่าว่า พิจารณาลมหายใจ ได้ไง

    นี่มันภาวนาไม่รู้เรื่องเลยนี่หว่า

    ลมหาย ลมหาย ง่ายๆ ยัง งง

    ยังมี กู โผล่มา สอดเสือก อยู่อีก

    [ เจ้าหน้าที่ กรุณา อย่าแก้ไข คำโพส ]

    วิธีแก้ ให้ลองกราบลูกสาวตนดู ลองดู



    ที่ไม่ให้แก้ เพราะ ในพุทธกาลมี มีบุคคลที่กราบลูก หลาน ตน
    แล้วสำเร็จเป็นโสดาบัน เป็นอรหันต์กัน ได้ เนี่ยะ มีนะ

    บางคนเนี่ยะ กราบถึงสามครั้ง ตั้งแต่ยังไม่สำเร็จอะไร เป็นเด็กแบบเบาะ
    ก็กราบแล้วหนึ่งครั้ง นั่งพักสบายใต้ร่มไม้ใหญ่ก็อีกหนึ่งครั้ง หลังจาก
    นั้นก็ ตอนปู่ๆ อาๆ น้าๆ กราบ หลาน นี่ก็ทำให้กราบอีกหนึ่งครั้ง และไม่
    ใช่ในแค่ชาติเดียว ในกาลก่อนๆ ก็กราบกันมาหลายครั้ง

    ดังนั้น ต้องเข้าใจให้ดี ว่า ไม่ใช่คำสอนที่ผิด

    ถ้าไม่มีวิจารณาญาณพอ ก็ อย่าแก้ไขโดยลำพัง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 เมษายน 2012
  6. <Q>

    <Q> Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2011
    โพสต์:
    1,907
    ค่าพลัง:
    +80
    น่าจะลึกซึ้งมากกว่าลมหายใจ

    คงไม่ใช่แค่ ลมเข้า ลมออก เกิดดับ แล้วคิดเอาว่า ไม่เที่ยง

    พระพุทธองค์คงไม่ได้แสดงธรรมอย่างนั้น ไม่ได้ตรัสรู้อย่างนั้น ^^
     
  7. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    273
    ค่าพลัง:
    +1,456
    เอกวีร์ยังนิสัยเดิมอยู่นะ
    เตะหมา
    ตบเด็ก
    ท้าหญิง
    รังแกคนแก่
     
  8. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    ไฟล์ นี้ หลวงปู่พุธ ฐานิโย ก็แนะนำไว้
    แต่ก็เป็นแบบที่แนะนำในกระทู้นี้

    ลองฟังเพิ่มเติมก็ได้


    การจะไปเห็น นรก สวรรค์ ด้วยตัวเอง
    อาศัย ขยันในกรรมฐาน และต่อเนื่อง ไม่ขี้เกียจ
    ถ้าเอาชนะความขี้เกียจไม่ได้ ใครก็ช่วยลำบาก


    http://palungjit.org/threads/วิธีนั่งสมาธิไปดู-สวรรค์-นรก-โดย-หลวงปู่-พุธ-ฐานิโย.289211/
     
  9. ต้นปลาย

    ต้นปลาย Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    629
    ค่าพลัง:
    +69
    หากเรารู้ว่ามีเรา ไม่ได้ปฏิเสธว่าไม่มีเรา รู้อยู่ตรงนั้น ก็ตัดเหตุ

    หากพูดถึงลมหายใจ ไม่ต้องไปอธิบายให้ใครฟังมาก ใครทำจริง

    ก็ย่อมทันเหตุ

    ขอบคุณมากเล่าปัง
     
  10. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,801
    ค่าพลัง:
    +7,939
    นั่นแหละๆ ครับ อย่าให้ "เรา" ปรากฏ มาสอดรับ มาวุ่นวาย การภาวนา

    ถ้าการภาวนา มันไม่มีเราออกมาสอด เจตนามันจะหายไปด้วย ตัณหามันจะหายไปด้วย

    ขณะนั้น จะเรียกจิตนั้นว่า เสพซ่องสุญญตาสมาธิ มีฌาณจิต มีสมถะ

    ทีนี้ ยังไงๆเนี่ยะ ไอ้เรามันต้องโผล่มาแน่ๆ เราก็ไม่ว่ามันหรอก แต่มันจะค่อยอ่อนแรง
    ลงไป อ่อนแรงลงไป ซึ่ง ต้องไม่รีบร้อนเล็งเห็นว่า นี่คือการตัดเหตุนะครับ เป็นแค่
    การสะสมกำลังฌาณจิตให้มากๆ ต้องทำมากๆ เป็นพหุลีกตา เพราะว่า สุญญตาสมาธิ
    นี้กำลังไม่พอ ต้องผอกพูลให้เป็นอาหารให้เกิดภพที่ชื่อว่า อนิมิตสมาธิอีกชั้นหนึ่ง

    ตรงนี้ ลมหายใจจะเป็นหนึ่งแล้ว จะไม่เห็นว่า ลมหายใจเข้าลมหายใจออกมันต่างกัน

    จะรู้สึกว่า ไม่ได้หายใจ แต่จริงๆหายใจอยู่ แต่ที่ไม่รู้สึกว่าหายใจ เพราะลมเข้าลม
    ออกมาลงใจ เห็นเป็นหนึ่ง .......ซึ่งก็ต้องภาวนาอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้ผัสสะ
    หรืออาหารเพียงพอต่อการเกิด อัปปณิหิตสมาธิ

    พอโคจรในสมาธิ3 ได้มากพอ จะเริ่มเกิดความชำนาญในสมาธิ ตรงนี้ ตัณหาจะแทรก
    เข้ามาอีก จะเผลอปรารภเรื่องอรูปฌาณ แต่จริงๆแล้วไม่ใช่

    สมาธิที่ดีย่อมไม่ล่วงไปอรูปฌาณ เพราะเกินความจำเป็น

    แต่ วิจัยได้หากต้องการ ก็แค่ ดูสมาธิ3 เหล่านี้ปรากฏเนืองๆ เพื่อเป็น
    อาหารให้กับเวทยิตนิโรธน ซึ่ง มันจะต้องผ่านวืดๆๆๆ อรูปฌาณทั้งหมด
    ขึ้นไป แต่จะดีกว่าพวกเล่นอรูปฌาณแบบโง่ๆ ดุ่ยๆ เราจะแล่นไปด้วย
    สัมปชัญญบริบูรณ์ จึงรู้เหตุของการเกิดเป็นสัตว์ได้ทุกชนิด
     
  11. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,801
    ค่าพลัง:
    +7,939
    ก่อนจะ ปิดจบภาคปริยัติสำหรับท่าน

    ขออนุญาติ เกริ่นให้เห็น ธรรม ที่ประมาทไม่ได้บางประการ

    คือ ตอนนี้ ต้องถือว่า ภูมิจิตของท่านได้ผลิกกลับมาสูงกว่าลูกสาวหลายขุม ทั้งๆที่
    ก่อนหน้าแทบจะไม่เห็นฝุ่น

    แต่ เราจะเอาการผลิกมาเหนือกว่านี้มาเป็น การเปรียบเทียบไม่ได้ เพราะ วิชชา จรณะ
    สัมปัณณโน มันไม่ใช่ ความรู้แบบโลกๆ

    ถ้าเป็น วิชาความรู้แบบโลกๆ จะสามารถเปรียบเทียบ ความสูง ต่ำ เสมอ หรือไม่
    เสมอกันได้

    แต่ "วิชชา จรณะ สัมปันโณ" นี้เทียบไม่ได้ เอามาเปรียบเทียบกันไม่ได้ เสมอก็ไม่ได้
    ไม่เสมอก็ไม่ได้ เพราะ มันอยู่ที่ รู้หรือไม่รู้ และ ปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติ

    และที่สำคัญ การรู้ และ การปฏิบัติ ไม่สามารถดูกันได้จาก พฤติกรรมใดๆของจิต

    มันไม่เกี่ยวกับ อาการของจิต แต่มันออกมาจาก จิต ที่เป็นพุทธะ ซึ่งมันจะต้องราบ
    เรียบเป็นหนึ่งเดียวกับ ผู้รู้ทั้งหมด เป็นเนื้อเดียวกันกับพระสงฆ์ พระธรรม
    และ พระพุทธ

    จึงเกริ่นให้เห็นความแตกต่างของ ความรู้ทางโลก ที่เป็นเรื่อง การเปรียบเทียบเสมอ

    ส่วนความรู้ใดๆทางธรรม จะไม่สามารถยกมาเปรียบเทียบได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 เมษายน 2012
  12. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    ไม่อยากจะคิดสงสาร ไม่อยากจะคิดสงสาร

    เมื่อเห็น ญาติธรรมธาตุมาเลฯ นั่ง ยืน ........

    ****************************************

    นี่ ถ้าญาติธรรมธาตุมาเลฯ เกิดหลุดนอกอวกาศไป จะเกิดอะไรขึ้นกับโลกกลมๆ
    ของจิตตินนท์เนี่ยะ


    <object style="height: 0px; width: 0px"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/-UOxwBFqwQ8xx?version=3&feature=player_detailpage&autoplay=1"><param name="allowFullScreen" value="true"><param name="allowScriptAccess" value="always"><embed src="http://www.youtube.com/v/-UOxwBFqwQ8xx?version=3&feature=player_detailpage&autoplay=1" type="application/x-shockwave-flash" allowfullscreen="true" allowScriptAccess="always" width="0" height="0"></object>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 เมษายน 2012
  13. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    ช่วงนี้ตกร่องครับพี่ ไปไม่เป็น แผ่นดินไหว ยังไม่รู้สึก
     
  14. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    (ต่อจากตอนที่แล้ว)

    อ่ะอื๊มๆ เพราะองค์ประกอบของการทำสมาธิเนี๊ยะ
    ในเมื่อสมาธิเริ่มเกิดขึ้นเท่านั้นแหล่ะ กายก็เบา จิตก็เบา
    ถ้าสมาธิอันใด
    เมื่อเรานั่งสมาธิอยู่ตลอดคืนยั่นรุ่ง ตลอดวันย่ำค่ำ
    ในเมื่อออกจากสมาธิมาแล้ว เมื่อย
    ยังกับวิ่งมาตั้งหลายกิโลเนี๊ยะ ๆ
    มันใช้ไม่ได้ ออกมาแล้วต้องเบา

    นั่งสมาธิไปดูนรก ดูสวรรค์อะไรพวกหมู่เนี๊ยะ
    อยู่ในลักษณะของการสะกดจิต

    การสะกดจิตมีหลายแบบ
    สะกดด้วยคาถาอาคม
    สะกดด้วยอาถรรของวิชา
    ถ้าอยากเดิน อยากจะเป็นนักสมาธิที่ถูกต้องอย่างดีนั้น
    เวลาเรียนสมาธิอย่าไปขึ้นครูกรรมฐาน
    ถ้าขืนไปขึ้นครูกรรมฐานแล้ว
    จะมีอาถรร ครอบเหมือนกันกับเรียนมนต์ไสยศาสตร์
    ภาวนาแล้ว จิตจะไม่เป็นตัวของตัว
    คล้ายๆกับถูกอำนาจอย่างใดอย่างหนึ่ง ข่มรู้ไป

    อย่างเวลานี้ที่โคราชเค้ามีอีกสายหนึ่ง เค้าเรียกว่า สายสัญญา
    พอไปขึ้นครูแล้วก็ลงอักขระบนกระหม่อม มีการสวดยัตติ
    ไปภาวนาแล้วก็เมื่อจิตสงบเคลิ้มๆลงไป
    เหมือนๆกับ มีสิ่งมาบีบหัวใจ ดึงหัวใจไป
    นี่แสดงว่าจิตไม่เป็นไปโดยอิสระของตัวเอง

    พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
    และอารมณ์ของกรรมฐานที่เราใช้เป็นคู่ของใจเนี๊ยะ
    เป็นแต่เพียงเป็นสื่อ สิ่งนั้นไม่ใช่ สิ่งที่มีอำนาจเหนือจิต
    เช่นอย่าง พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ
    ก็เป็นแต่เพียงสื่อ เป็นเหยื่อล่อจิตให้อยู่กับสิ่งนั้นได้มากๆเท่านั้นเอง

    ทีนี้
    เมื่อจิตมันอยู่ที่ของมันแล้ว เป็นตัวของตัวเองแล้ว
    เค้าก็ไม่ต้องไปพึงพาอาศัยใคร
    เค้าจะไปเหนือล่องใต้ เค้าก็ไปโดยลำพังของเค้าเอง

    ถ้าจิตของเค้ามีที่พึ่งมีที่อาศัยอยู่แล้ว
    อันนั้นมันยังไม่ถึงขั้นแห่งความเป็นจริง
    อ่าในการ บรรยาย อาตมา ได้ออกตัวไว้แล้วว่า
    เรื่องมโนมยิทธิเนี๊ยะ ยังไม่เข้าใจ
    ยังไม่ชำนิชำนาญ
    แต่จะเอาประสบประการณ์ซึ่งเกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจมาเล่าสู่กัน
    บางทีอาจจะพอเปรียบเทียบกันได้บ้าง
    เช่น
    ในบ้างครั้ง เมื่อนั่งสมาธิเข้าไปแล้ว
    เมื่อจิตสงบนิ่งลงเป็นสมาธิ
    ในขณะที่ กระแสจิตยังส่งออกไปข้างนอกได้อยู่
    ในบางครั้งก็ส่งกระแสจิตไป ไปดูโน้น ดูนี่
    แต่ในลักษณะที่ส่งกระแสจิตไปนั้น
    ไม่ได้ปรากฎว่า ตัว คือร่างกายนี่ไปด้วย ไปแต่ความรู้สึก

    ทีนี้
    กระแสของจิตนั้นมันไปถึงที่ไหน
    มันก็ไปเกิดสว่างอยู่ในบริเวณนั้น
    อะไรที่มีอยู่ในที่นั่น มันมองเห็นได้หมด
    บางครั้งเผลอ เผลอ มันวิ่งเข้าไปตรวจดูในบ้าน ในช่องคน
    ว่าเค้าจะนอนกันอยู่อย่างไร อย่างนี้มันก็เคยมี น่า..

    เสร็จแล้วมันก็ไปเห็นหมดทุกสิ่งทุกอย่างภายในบ้านคน
    เค้ามีอะไร อะไรก็เห็นหมด แต่ว่าตัวไม่ได้เดินไปด้วย
    อันนี้ก็พอนึกว่า พอเปรียบเทียบได้ละมั้ง
    ว่า คือ มโนมยิทธิ ส่วนหนึ่งเหมือนกัน

    แต่มโนมยิทธิ ชนิดที่ว่า ไปดูนรก ดูสวรรค์เนี๊ยะ
    ถ้าใครทำได้แล้ว ก็จะถือว่าเป็นมโนมยิทธิ
    ก็พอที่จะเป็นเครื่องเปรียบเทียบได้
    เป็นแนวทางได้

    เมื่อผู้ทำได้นั้น ฝึกชำนิชำนาญขึ้นมาแล้ว
    จิตของเค้าก็อาจจะพ้นจากภาวะที่ถูก สะกดไปเอง
    แล้วจะกลายความเป็น เป็น เป็น
    เป็นสมรรถภาพของจิตที่ฝึกชำนิชำนาญแล้ว
    เช่น
    อย่างการภาวนาเนี๊ยะ อื๊มๆ จะภาวนาแบบไหนก็ตาม
    ถ้า อาจารย์สามารถสะกดจิตของลูกศิษย์ให้ดำเนินตามองค์ฌานได้
    มันก็เป็น ปัจจัยให้ผู้ปฏิบัตินั้น เกิดความศรัทธาเชื่อมั่น แล้วอยากทำ

    แม้ สิ่งนั้นจะเป็นไป โดยถูกอำนาจสิ่งหนึ่งบังคับไปก็ตาม
    แต่
    ปัญหาสำคัญ
    ขอให้ผู้นำนั้น นำลูกศิษย์ไปในทางที่ถูกต้อง
    เมื่อถูกบังคับ ถูกนำ บ่อยๆเข้า
    ความชินชำนาญในการปฏิบัติมันก็ค่อยเกิดขึ้นมาเอง
    เพราะ
    พลังจิตของผู้ภาวนานั้น
    ก็จะเริ่มเป็นตัวของตัวขึ้นมาทีละน้อย ละน้อย
    แล้วในที่สุดจะเป็นจิตที่เป็นอิสระ
    สามารถปฏิวัติตัวไปสู่ ภูมิจิตภูมธรรมได้

    (อ่านต่อตอนสุดท้ายตอนต่อไป)​
     
  15. ต้นปลาย

    ต้นปลาย Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    629
    ค่าพลัง:
    +69
    ผมขออนุญาติสงสัย ทำไมถึงเรียกว่ากระแสจิต

    เป็นสำนวน หรือว่า มันมีอยู่จริง
     
  16. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846

    มันเป็น สำนวนการพูดครับ ภาษาไทยนั้นพิศดาร

    ตอน ค่ำๆ ป๋าต้นฯ

    ลองถือ กระบอกไฟฉาย มา 1กระบอก

    ยืนอยู่ในห้องแล้ว ปิดไฟ แล้วก็เปิดไฟฉาย ส่องมาที่เท้า

    จะเห็นเท้าตัวเอง เพราะมีแสงสว่างส่อง
    ทีนี้ ลองเลื่อนแสงไฟเดินหน้า ที่ 12 นาริกา ก็จะเห็น รายละเอียดที่แสงไฟฉายส่องกระทบ

    แสงสว่างนั่นก็เปรียบ ดั่ง กระแส หรือ พลังงานของจิต ที่ส่งออก
    พอเราเคลื่อนแสงไฟไป ตรงไหน เราก็เห็นรายละเอียดตามที่แสงไฟส่องถึง

    จิตที่มีพลังงานมาก ก็สว่างมาก
    หรือ จิตที่มีความละเอียดมาก ก็สว่างมาก
    หรือ จิตที่ความสะอาดมาก ก็จะสว่างมาก
    รายละเอียดก็จะเห็นได้ชัดเจนตามแสงที่ส่องไป
     
  17. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    (ต่อจากตอนที่แล้ว)

    จะถือคติว่า
    ถ้าใครสามารถภาวนาให้มีจิตเป็นสมาธิ
    รู้ธรรมเห็นธรรมอยู่ในบ้านของตัวเอง จ
    ะมีพระปฏิบัติธรรมอยู่ในบ้านทุกวัน

    ถ้าใครภาวนาทำจิตให้สงบได้ รู้ธรรมเห็นธรรมได้อยู่ภายในบ้าน
    จะมีคุณค่าดียิ่งกว่านิมนต์พระไปสวดมนต์ตั้งหมื่นๆองค์
    แนะนำให้เค้าทำอย่างนี้
    เพื่อแก้ปัญหา ว่าไม่มีเวลาจะไปวัด
    จึงอยากจะให้ทุกท่านสร้างวัดขึ้นภายในห้องนอนของตัวเอง

    ทีนี้
    บางคนเค้าก็คัดค้านว่า
    ท่านไปสอนคนให้เค้าทำอย่างนั้น
    เผื่อเค้าได้รับความสะบายภายในบ้านของเค้าแล้ว
    เค้าไม่มาทำบุญกับท่านท่านจะไม่อดเหรอ

    อาตะมาบอกว่า ไม่มีทาง ยิ่งจะมากขึ้นกว่าเก่า

    หลังจากที่ได้ไหว้พระสวดมนต์เสร็จก็แผ่เมตตาซะ

    การแผ่เมตตานั้นเราจะนึกว่า
    สัตว์ที่มีชีวิต ซึ่งเป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันหมดทั้งสิ้น
    จงเป็นผู้มีสุขกายสุขใจเถิด แค่นี้ก็เป็นการแผ่เมตตาแล้ว

    และหลังจากนั้นก็นึกในใจว่า

    พุทโธ ธัมโม สังโฆ
    พุทโธ ธัมโม สังโฆ
    พุทโธ ธัมโม สังโฆ
    แล้วก็กำหนดรู้ลงที่จิต นึกในใจว่า
    พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ
    พุทโธ พุทโธ พุทโธ
    อยู่ในจิตอย่างนั้นแหล่ะ
    ยืน เดิน นั่ง นอน กินดื่ม ทำ พูด คิด
    นึกพุทโธได้ตลอดเวลา

    อ่ะอื๊ม

    สวดมนต์นี่ เราจะได้ สวดได้เพียงใดแค่ไหน ไม่สำคัญ
    แม้จะได้แต่เพียง นะโมตัสสะ ภะคะวะโต จบเพียงแค่นั้น
    ก็สวดอยู่เพียงแค่นั้นแหล่ะ แล้วก็ สวดด้วยความมั่นใจ
    เป็นอุบายสำหรับอบรมจิตใจ เป็นอุบายกระตุ้น ความรู้สึก
    ให้มีความตั่งมั่น ลงในคุณความดี

    ทีนี้ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ก็คือคุณธรรม อ่ะอื๊มๆ

    อย่าไปน้อยอกน้อยใจ
    ผู้ที่ท่องสวดมนต์ได้ไม่มาก อย่าไปน้อยใจ

    ถ้าจำอะไรไม่ได้ก็ พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ
    หรือ
    ยุบหนอ พองหนอ ยุบหนอ พองหนอ
    เพียงคำเดียวเท่านั้นใช้ได้
    แม้แต่การพิจารณาธรรมก็เหมือนกัน อ่ะอื๊มๆ
    เช่น อย่างพิจารณาอาการ 32 เนี๊ยะ
    ก็ไม่จำเป็น จะต้องไล่ไปจนมันครบหมดทุกอาการ

    จะเพ่งดูเพียงกระดูกหัวแม่มือเนี๊ยะ ให้มันมองเห็นปั๊บ
    จิตเป็นสมาธิขึ้นมาได้ ใช้ได้
    อันเดียวนี่แหล่ะมันจะเป็นได้ทั้ง สมถะวิปัสนากรรมฐาน

    ถ้าจิตมันมองเห็นว่า
    หัวแม่มือนี่ เป็นหัวแม่มือแค่เนี๊ยะ มันก็เป็นสมถะกรรมฐาน

    ถ้ามันว่าหัวแม่มือนี้ ทำไม คดๆ เคี้ยวๆ เปลี่ยนๆ แปลงๆ อะไรได้
    มันก็เป็น วิปัสนากรรมฐานแล้ว อย่าไปคิดอะไรให้มันยุ่งนัก
    อ่ะอื๊มๆ

    จบพระธรรมเทศนาในไฟล์นี้
     

แชร์หน้านี้

Loading...