อย่างแรกนะคุณไม่รู้จักความจริง
อย่างที่2นะ ที่พูดมามันไม่ใช่ความจริงมันเป็นความหลงของตัวคุณเอง
การปฏิบัติสมาธิและวิปัสสนากรรมฐาน เพื่อเข้าถึงความเป็นพุทธะ
ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย พลน้อย, 11 กรกฎาคม 2009.
หน้า 4 ของ 9
-
-
พวกตาบอดก็อย่างนี้
มองไม่เห็นตาคนอื่น
เลยคิดว่าเค้าบอดเหมือนตัวเอง -
ท่าเห็นจริงจะพูดจาซี้ซั่วแบบนี้หรอ สนับสุนการตีความผิดๆเนี่ยนะ
ถึงตาผมไม่เห็นผมก้รู้ว่าคนตาดีมี แต่คนตาดีน่ะมันบอกได้ชัดได้ตรง
ไม่ใช่คนตาบอดมาบอกอย่างคุณ อย่าหลงไปเลยว่ามีความเป็นอริยะแล้ว
คุณเกส สักกายยะทิฐิยังตัดไม่ได้เลย ยังคิดแค่ว่าไม่หลงกาย แต่ จิตยังหลงอยุ่เลย ทั้งกายและจิตเป็น ขันธ์ สิ่งเหล่านี้เพราะยึดว่าเป็นตนเป็นอัตตา จึง หลง และ โง่ ขันธ์ ยังมองไม่ออกจะบอกว่าเป็นอริยะ อีกไกลอยู่นา -
ผมเคยพูดเหรอว่าผมละสักกายะทิฏฐิได้แล้ว
นี่ล่ะ คนเ้พ้อเจ้อ ในอกุศลกรรมบถ 10 ไปศึกษาดูนะ
ว่าตัวคุณมีอะไรผลักดันอยู่
ผลักดันให้คุณเพ้อเจ้ออยู่เดี๋ยวนี้นะ
อะไรเป็นเหตุ
ถ้าเห็นเหตุก็ให้ดับที่เหตุนะ
จะได้หายเพ้อเจ้อซะที
มันเป็นอกุศลรู้มั้ย -
นี่ๆๆ คุณ เกส ละความพอใจในสิ่งที่ชอบเพียงอย่างเดียวซะนะ และ ความ ไม่พอใจที่จะประสบพบเจอด้วย ทุกๆๆสิ่ง มันเป็นเพียงผ่านมาและผ่านไปไม่ยึดไว้ก้ไม่ ทุข เพราะไม่ต้องทน ไง เพราะสภาวะของทุขมันทนอยู่ไม่ได้
-
ธรรมใดยังไม่เห็นเนี่ย ก้อย่ารีบตีความ ตีความด้วยความคิดตัวเองน่ะคนอื่นเค้ารับฟังได้ แต่การที่จะ มาพูดว่าคนอื่นไม่เห็นตัวเองเห็นมากกว่าอย่างนั้นอย่างนี้เนี่ย
ก้บอกออกมาเองแล้วนะว่ายังไม่เห็น อย่ากลับคำล่ะ -
มีวิธีแก้ 2 ทาง
1.ใช้ปัญญาพิจารณา เมื่อเข้าถึงธรรมแล้ว เวทนาจะดับนะ
2.ตามดูมันไปนะ แต่ต้องมีหลักใจนะ เช่นหลักธรรม
อย่าเชื่ออารมณ์ความรู้สึกตัวเอง มันอยากคิดอยากปรุงอะไรดูไปก่อน
แต่ต้องมีหลัก ปล่อยให้มันแสดงตัวเต็ม เมื่อมันเกิดแล้ว มันต้องดับจนได้ล่ะ
น่า แล้้้วจะเห็นนะว่ามหาเหตุ ของความพอใจไม่พอใจนี่มาจากไหนนะ
เอ้า....ลองเอาไปพิจารณานะ -
เหตุ ที่พลักดัน คือ ครั้งหนึ่งผมคิดว่าคุณๆๆๆ ทั้งหลายที่เห็นผิดเข้าใจเรื่องจิตผิดนี้ น่าจะมีคนบอก หรือยกสิ่งที่ น่าจะอ่านแล้วเกิดปัญญา มาไห้ แต่ มันเป็นความคิดที่เริ่มจาก กุศลจิตไม่ใช่อกุศลจิต แต่การคบพาลๆย่อมนำมาแต่ความเสรื่อม อเสวนา จพาลานัง
สิ่งนี้พระพุทธเจ้าก้เคยตรัสไว้
จริงๆก้ใช้การพูดจายกตัวอย่างดีๆๆนี่หล่ะ แต่เพราะมีคนเช่นคุณ การพูดจาหรือยกตัวอย่าใช้ไม่ได้ จึงมีการ ด่า และ ต่อว่าต่อขาน ตรงนี้จะรับรึเปล่าหรือ ด้าน
การใช้คำพูดแรงๆๆจริงๆแล้วนั้นมันอยู่ที่เจตนา พระบางท่านก้ใช้คำแรงๆๆด่าลุกสิษ
โง่บ้าง ปัญญาทึบบ้าง หรือด้าน มันเป้นคำธรรมดาแต่ มันถูกกับจริตอย่างคุร หากไปพูดกับคนดี ก้คงต้องเปลี่ยนแปลง
เหล่านี้เป็นคำอทิบายหากใช้ไม่รู้เรื่องก้คงต้องใช้ภาษาที่เหมาะกับจริตเช่นคุณ
ถึงจะถึงบางอ้อได้บ้าง -
สิ่งที่ผมไม่รู้ไม่เห็นผมจะไม่กล่าว
ถ้าต้องพูดผมจะอิงตำรา หรือ คำของพระอริยะ
แต่สิ่งที่ผมกล่าวมาด้วยตัวเองนี่
ผมเห็นหมดแล้วนะ
ผมจะบอกให้นะพระอริยบุคคล นี่มี 7 ประเภทนะ
ไปศึกษาเอา ยังไม่ต้องละสักกายะทิฏฐิได้ก็เป็น อริยะได้นะ -
จะตามดูใจผมก้ตามดูใจตัวคุณด้วย การดูไม่ใช่การบังคับ เห้นบ่อยๆๆมันจะเกิดอาการที่เรียก ว่า รู้ พอรู้ตัวี้เกิดมันจะไม่หลงไปกับ ความพอใจและความไม่พอใจอีก
อีกนิด ความพอใจ และไม่พอใจนี้ มันเกินกว่าเวทนา เวทนานั้นยังเป็น เพียงขั้นดู จิตในส่วนนาม ความพอใจนี้รวมทั้งหมด รวมทั้งความพอใจ ใน สุข ทุข อสุขทุข เวทนา ความไม่พอใจ ใน สุข ทุข อสุขทุข เวทนา ตรงนี้ดู มาต่อจากดูจิต
ก้จะเกิดอาการเห็นเด่นชัด แตกแยกออกดั่งเห็นกายแยกจิต เห็นจิตแยกรับรู้จดจำก่อเกิด ดูตอนนี้เป็นดูที่ชัดลงไป -
นำพุทธพจมาไห้พิจารนา ดีกว่าเอาความเห็นมานั้นดีแล้ว เพราะการเห็นแต่ละคนไม่เท่ากันตามปัยญา
ตรงนี้ผมพูดเสมอไม่ได้หมายความว่าไปด่าคนๆๆนั้น แต่หมายถึงมันเข้าใจตามปัญญาจริงๆ
หากเป็จริงนี้มันชัด มันไม่ต้องให้ใครมายืนยัน มันมีข้อพิสูจได้ คุรไม่ต้องกลัวคนเค้าจะว่าหรอก คนอวดอุตริกับคนที่เป็นจริงนั้นมันแยกได้อย่างชัดเจน -
ถึงคอยจ้องยกโทษ ยกกรณ์ คนนั้นคนนี้
เห็นคนอื่นผิดหมด
แต่ไม่ยอมดูหัวใจตัวเองว่ามันสกปรกขนาด
คุณไปทำความสะอาดใจตัวเองก่อนดีกว่า
ใจสกปรกอย่างคุณ
มาคุยกับใครคนนั้นเค้าก็แปดเปื้อนไปด้วย
เห็นมั้ยอย่างคุณธรรมภูติ ตามระรานเค้าอย่างไม่มีเหตุมีผล
แสดงแต่ความสกปรกออกมา แปดเปื้อนเค้า
ถ้ายังพอมีสติสตังอยู่ให้หยุดนะ
มันจะจมไปมากกว่านี้นะผมจะบอกให้
ถ้ายังไม่หยุด -
การฝึกจิต เหตุที่ควรยกก็ต้องยก ควรปล่อยก็ต้องปล่อย ควรกดก็ต้องกด
ท่านอุปมาจิต เหมือนเด็ก ฝึกเด็กยังไง ฝึกจิตอย่างนั้น
ปล่อยไปตลอด ไม่ดุ ไม่ด่า ไม่สั่ง ไม่สอน เด็กมันจะได้ดีเหรอ
มัวแต่ปล่อยตามใจมัน เด็กมันก็เอาแต่ใจตัวเองจนเคยชินสิ
ปล่อยมาก ๆ มันไปติดยา คบเพื่อนไม่ดีแล้วจะว่ายังไง
นี่ล่ะฝึกจิต ท่านอุปมา เหมือนฝึกเด็ก
ไม่รู้ไม่เคยปฏิบัติ แล้วมาทำเป็นอวด
ไม่รู้สึกอายบ้างเหรอ
หรือว่ามันหยาบ มันหนา มันแก้ไขไม่ได้แล้วนี่ -
และทุกคนยังไม่พ้นจากิเลส
ผมไม่สามารถทำให้ใครแปดเปื้อน จิตใจของบุคคลนั้นเปื้อนอยู่ ผมต้องการจะปัดมากกว่า
หากคุณ ได้อ่าน บ้างคุนจะเข้าใจได้ว่าจุดประสงค์ของการดพสนั้นของธรรมภูติ ตีความ บิดเบือนหลักธรรม ผมเห็นว่า มันเป็นการทำให้คนอ่านเข้าใจผิดได้
จึงเข้ามายกหลักธรรมแสดง
เรื่องการกล่าวว่าธรรมภูติเป็นมิฉฉาทิฐิ นั้น ก้เค้ามีความเห็นผืด เค้าเห็นว่าจิตเที่ยง เห็นว่า เป็นอัตตา
ผมก้ระบุชัดทุกครั้งเวลาโพสว่าพูดถึงเรื่องอะไร
คุณล่ะได้เคยอ่านรึเปล่า
ท่าไม่แล้วมาตีความมั่วว่าเป็นการใส่ร้ายป้ายสี มันก้เป็น ความขุ่นมัวของใจคุณเอง คนที่เค้าอ่านแล้วเห็น ว่าจิต ไม่เที่ยง จิตเป็นอนัตตา ก้มีเยอะ
ตรงนี้คือประเดน และสิ่งที่เค้ากล่าวคือ วิญญาณไม่ใช่จิต ตรงนี้ผมก้ยกมาแสดงว่า วิญญาน นั้นเป็น ส่วนนึงของจิต ทำหน้าที่รักรู้
คุณมาแย้ง คุณ เห็นว่าวิญญานไม่ใช่จิต และจิตเป็นอัตตา จิตเที่ยงอย่างนั้นหรือ -
-
ไม่เคยเข้าใจอะไร สักที
มองตัวเอง ในกระจก บานใหญ่ นะ ^ -
คุณธรรมภูติแกยกแต พุทธพจน์ กับคำเทศน์ พระอรหันต์มาเป็นหลัก
คุณอ่านไป ไม่เข้าใจเอง แล้วรีบตำหนิเค้าด้วยถ้อยคำรุนแรง
อย่างนี้มันถูกเหรอ
ไปคิดดูนะ
แล้ววิญญาณจะเป็นส่วนหนึ่งของจิตได้ยังไง
วิญญาณ เป็นขันธ์ 5 จะเป็นส่วนหนึ่งของจิตได้ยังไง
จิตอาศัยขันธ์ 5 อยู่ ก็แค่นั้น
เช่น ตา กระทบ รูป ก็เกิด จักษุวิญญาณ
แล้วจักษุวิญญาณ เป็นส่วนหนึ่งของจิตเหรอ
อย่างคุณนี่มันผิด
แล้วยังไม่เหตุโทษของตัวอีกเหรอ
แล้วไปตำหนิคนอื่นอย่างนี้มันน่าอายมั้ย -
พูดแบบนี้ไม่เข้าใจหรอกครับ พูดแบบนี้มันพูดจากอุปทานของตัวคุร คือมันพูดจากการปรุงแต่งของจิตคุณที่คุณคิด ผมไม่สามารถเข้าใจครับ -
ทีแรกพูดอย่างนึง พอโดนดักคำพูดได้
ก็แถไปอีกแบบนึง
คุณนี่กลับกลอกนะ
คนพาลนะนี่
แล้วมีหน้าไปตำหนิ คนนั้นคนนี้ว่าผิด
ถ้าเห็นโืืทษของตัวให้หยุดซะนะ
มันจะลงต่ำไปเรื่อยนะ ถ้าไม่กลับเนื้อกลับตัวตั้งแต่ตอนนี้ -
มองตัวเอง ในกระจกเล็กบานใหญ่นะ
แปลไม่ออก จริง ๆ เหรอ มีใครอีกไหม ที่ไม่เข้าใจ ไม่ต้องอายนะ
หน้า 4 ของ 9