ก็ย้อนไปที่เดิมที่บอก
การฝึกกสิณ
ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย นายสงบ แสงจันทร์, 29 สิงหาคม 2019.
หน้า 2 ของ 3
-
-
ต้องระวัง อย่าคิดว่าตัวเองบรรลุธรรมอริยเจ้า คิดเองเออ มีคนพยากรณ์มารับรอง เอง ครับ
-
-
ยูว่าถ้าใครบางคนเขามีจริง สมมุตินะว่ามีจริง เขาจำเป็นด้วยเหรอต้องให้ใครมารับรองเขา ว่าเขาต้องเป็นนั่นแน่ๆ เป็นนี่แน่ๆ ยูควรคิดใหม่นะ
-
-
-
ยูว่าจิตไม่ใช่ไฟ แล้วยูรู้ไหมทำไมถึงต้องทำเหมือนว่ามันเป็นไฟ ทำจนประหนึ่งว่าคือไฟ แต่ที่ยูตอบว่ามันไม่ใช่เพราะว่ายูไม่สามารถที่จะยอมรับมันได้ อันนี้เขาเรียกเป็นบัญญัติไว้เยอะ จิ้มเยอะเจ็บนิ้ว
-
-
สัญญาสองประการ
-
-
-
-
นี่คิดจริงๆเหรอว่าผมจะหาข้อมูลแบบนี่ไม่ได้ เลยยกมาให้อ่าน คิดผิดคิดใหม่ได้นะ สัจจะ คือ สัจจะ แปลว่า ความจริง ผมถามยูนี่ยังไม่ไปถึงไหนเลย ตัวยูเองใจยูเอง ยังไม่ยอมรับ จะเอาไปรวมกับนั้นกับนี่ แล้วคำถามที่ยูถาม จะเจอไหมละ ต่อให้ยูยกมาหมด 84000 ยูจะเห็นมันจริงๆ เหรอ อันนี้มันเรื่องของยูนะ ไอกระผมไม่เกี่ยว
-
ธรรม
ที่นำไปสู่ความหลุดพ้น
เล่มที่ ๖
พระราชพรหมยานมหาเถระ หลวงพ่อฤาษีวัดท่าซุง
รวบรวมโดย : พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน
สามารถดูสารบัญหัวข้อธรรมะจากในเล่มได้ที่ลิ้งค์นี้นะครับ
รวบรวมโดย : พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน
-
บอกไปไม่รู้จะเข้าใจไหม ครูบาอาจารย์ที่เทศน์สอนผมมา จะเห็นอริยสัจจะ ด้วยมรรคญาณ สัจจะความจริงในศาสนา
ต้องเข้าไปเห็นใน สัมมาสมาธิ สมาธิในสัมมาสมาธินี่ มันเข้าอริยสัจ เข้ามาก็เห็นทุกข์ เห็นสมุทัยด้วยมรรคญาณ
ไม่ใช่ เห็นแบบคิดทางโลกๆ ต้อง เวลามันไปเข้าอริยสัจ เข้าตั้งแต่ความสงบของใจเข้ามา เข้าตั้งแต่เริ่มเห็นทุกข์ เห็นสมุทัย เห็นนิโรธ มรรค มันเป็นเรื่องอริยสัจ สัจจะความจริงในศาสนา
ไม่ได้เห็นคิดเข้าใจแบบคุณแน่นอน -
เพราะมันเป็นกรรมฐานของ อิทธิฤทธิ์ ผมชอบแนวนี้
ส่วนใครจะเอาไปต่อยอด ของ อภิญญาข้อที่ หก ก็แล้วแต่ ว่า จะมีไหวพริบ มากน้อย แค่ไหน -
-
+++ กสิณ เป็นเรื่องของ "การกำหนดอารมณ์ (อารมณ์กสิณ)"
+++ ท่านวาง "รูปแบบ" เอาไว้ 10 อย่าง "แต่ เนื้อหาจริง ๆ มีอย่างเดียว คือ อารมณ์กสิณ เท่านั้น"
+++ รูปแบบ 10 อย่าง คือ "ดิน น้ำ ลม ไฟ (ธาตุ 4)"
+++ "นีล เหลือง แดง ขาว (วรรณะ 4)"
+++ "อากาศ (ว่าง 1)" "อาโลกะ (สว่าง 1)"
+++ รวมเป็น 10 รูปแบบ เพื่อให้ "เข้าถึงเนือหา ที่แท้จริง"
+++ จะยกตัวอย่าง "กสิณไฟ" ก็แล้วกัน
+++ ของดั้งเดิม คือ "กองกูณฑ์" แบบก่อ กระโจมไฟ camp fire นั่นแหละ
+++ ให้นั่ง ดู "กระแส การเคลื่อนไหว" ของ "ปรากฏการณ์ ที่เรียกว่า เปลวไฟ ทั้งกอง"
+++ ให้ "ดูแบบเพลิน ๆ ห้าม ดูแบบเพ่ง" แล้วจะ "รับรู้ รับทราบ" ถึงกระแสที่ "ไหลขึ้น" ของไฟกองกูณฑ์
+++ ให้ดูแบบ "เพลิน ๆ" ต่อไป ไม่นาน ด้วยวิถีตาม "ธรรมชาติของจิต"
+++ จิตมันจะทำ "โอปนยิโก คือ น้อมกระแสไหลขึ้นของกองกูณฑ์ เข้ามาเป็นตน"
+++ จากนั้นจึง "รู้สึกว่า กระแสการไหลขึ้นจากกองกูณฑ์ กับตนนั้น เหมือนกัน"
+++ ตรงนี้เท่านั้น จึงเรียกว่า "เข้าถึง อารมณ์กสิณ" จากนั้น จึง "เข้าที่อารมณ์กสิณ โดยตรง"
+++ เมื่อได้ "อารมณ์กสิณ" แล้ว การฝึก จะ เข้า/ออก ที่ "อารมณ์กสิณ" โดยตรง
+++ ในขั้นนี้ จะไม่ต้อง "ก่อกองกูณฑ์ใด ๆ อีก" สามารถ "เข้าถึงอารมณ์กสิณ" ได้เลย
+++ เมื่อ "อยู่/ได้" อารมณ์กสิณจริง ๆ แล้ว "ความรู้สึกตน แห่ง อารมณ์กสิณ" จะปรากฏเอง
+++ ตรงนี้จะเข้าสู่ "โภชฌงค์ 7" ได้ด้วย "ความรู้สึกตน (สัมปชัญญะ)" ที่แท้จริง
+++ หากยังฝึก กสินอื่นอยู่ เช่น ดิน/น้ำ/ลม ต่าง ๆ ก็จะได้ "อารมณ์กสิณ" ที่ แปรธาตุ ไปตามการกำหนด
+++ ณ ขณะที่ยังฝึกอยู่นี้ "สติ" จะล่วงรู้ ความแปรปรวนไปของ "ธาตุกาย ตาม อารมณ์กสิณ" ที่กำหนดอยู่
+++ ตรงนี้จะ "ข้าม" ไปยังหมวดของ "ธัมมานุปัสสนา สติปัฏฐาน" ใน สติปัฏฐาน 4 โดยตรง
+++ การมี "สติ" รู้/อยู่ กับ "ธาตุ/อารมณ์ กสิณ" เป็น "สติสัมโภชฌงค์"
+++ การ "รู้/กำหนด/เปลี่ยน" อารมณ์กสิณ ไปตามสภาพธาตุต่าง ๆ เป็น "ธัมมัวิจัยสัมโภชฌงค์"
+++ การฝึกฝนจนชำนาญเป็น วิริยสัมโพชฌงค์ จนเข้าใจ "แจ่มแจ้ง" จึงเป็น "ปีติสัมโพชฌงค์"
+++ จะกล่าวไว้เพียงแค่นี้นะ
+++ คำศัพท์เพียงคำเดียวที่ "ผิด" จะทำให้การฝึกทั้งหมด "ผิด" ไปตลอดสาย ซวย จนเป็นอสงไขย
+++ ตัวอย่างเช่น "ตั้งจิตมั่น VS ตั้งสติมั่น" "ดูลมหายใจ VS รู้ลมหายใจ" คำ ๆ เดียวแท้ ๆ
+++ ถ้าเลือกผิด รับประกันว่า "ซวยนาน" แน่นอน
+++ ให้เปลี่ยนจาก "เพ่งกสิณ มาเป็น เพลินกสิณ" "เพ่ง VS เพลิน" ก็จะ รู้ผลลัพธ์ได้เอง
+++ เปลี่ยนมาเป็น "เพลินกสิณ" ก็แล้วกัน
+++ รวมทั้ง "อารมณ์กสิณ แตกต่างกัน"
+++ มันให้ "วรรณะ (สี)" ต่างกันไปในตัวนั่นแหละ
+++ หรือว่าจะ "ใบ้หวย" ก็บอกมานะ -
หน้า 2 ของ 3