การฝึกจิตแบบพลังจักรวาล

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย เพชรฉลูกัน, 19 เมษายน 2010.

  1. เพชรฉลูกัน

    เพชรฉลูกัน ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    18,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    24
    ค่าพลัง:
    +23,163
    การฝึกจิตแบบพลังจักรวาล

    ระบบพลังเหล่านี้ มาจากแพทย์ชาวเวียดนาม
    ซึ่งท่านเรียนมาจากพระชาวอินเดีย มีหลักการเช่นเดียวกับ
    พลังจักรวาลทั่วไป แต่วิธีการละเอียดกว่ามาก

    รูปแบบการเรียนการสอน แตกต่างเป็นอย่างมาก
    ไม่สอนเป็นการทั่วไป
    และเมื่อรับเป็นศิษย์แล้ว ก็จะสอนตั้งแต่ต้นจนจบ
    โดยไม่ได้แบ่งเป็นระดับๆ แต่ดูตามความพร้อมและความสำเร็จ
    ของผู้ปฏิบัติเป็นสำคัญ และศิษย์กับอาจารย์ต้อง
    ปฏิบัติต่อกันแบบโบราณ โดยไม่มีการเก็บเงินใดๆ ทั้งสิ้น

    หลักการพลังจักรวาล

    หลักสำคัญของพลังจักรวาลคือ การเพิ่มพลังให้กับร่างกาย
    ทั้งกายธาตุและกายทิพย์ เพื่อเพิ่มพลัง หรือ
    ชำระให้สะอาดหมดจด หรือทั้งสองอย่าง

    ความจริงแล้วไม่ใช่วิชาพลังจักรวาลเท่านั้นที่ใช้หลักการนี้
    พวกเทวปูชาก็ใช้หลักการนี้มาแต่ดึกดำบรรพ์
    พวกฤาษีก้ใช้ แม้พระสงฆ์องค์ เจ้าจำนวนไม่น้อยก็ใช้
    หลักการวิชาธรรมะเปิดโลก ก็เป็นหลักการเดียวกัน
    เพียงแมเป้าหมายที่สูงกว่า คือเพื่อรู้แจ้งโลกและหลุดพ้น

    ส่วนพลังจักรวาลที่ใช้ๆ กันทั่วไปนั้น ต้องการเพียงเพื่อ
    ผลทางสุขภาพกาย สุขภาพใจ เป็นสำคัญ
    แหล่งพลังงาน

    พลังทุกอย่างต้องมีที่มา เช่นพลังแม่เหล็กโลก
    ก็มาจากแกนโลก พลังดวงอาทิตย์ ก็มาจากพระอาทิตย์
    พลังหลุมดำ ก็มาจากศูนย์กลางแกแลกซี่
    พลังจักรวาลก็มีที่มาเหมือนกัน
    ผู้ที่ฝึกระดับสูงตั้งแต่ระดับ 6 ขึ้นไป
    จะได้รับการบอกเล่าว่า พลังที่ได้รับมาจากไหน

    ขอบอกเพียงสั้นๆว่า เป็นพลังสิ่งศักดิ์สืทธิ์
    จะศักดิ์สิทธิ์มากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับผู้อัญเชิญเป็นสำคัญ

    จักรา


    หากบอกว่าจักรา คือจุดหมุนของพลังงาน
    อย่างที่หลายสำนักบอกกัน พวกแพทย์เป็นต้อง งง แน่
    เพราะแพทย์ผ่าศพมาหลายศพ ก็ไม่พบจักรา
    หรือร่องรอยของจักราแต่อย่างใด

    แท้ที่จริงแล้ว จักรา คือตำแหน่งที่ใกล้เคียงกลุ่มอวัยวะสำคัญหลักๆ
    ของร่างกายที่ง่ายต่อการจะมอบพลังให้
    เพราะเชื่อมโยงกันด้วยระยะทางอันสั้น
    นิยามแพทย์จะเข้าใจได้ง่ายกว่าและตรงความจริงด้วย

    อวัยวะสำคัญๆ ในร่างกายมีอะไรบ้าง.-

    สมอง ใช้ตำแหน่งยอดศีรษะ
    ตา หู จมูก ลิ้น ใช้ตำแหน่งหลังศีรษะ
    คอ หลอดลม กระเดือก ใช้ตำแหน่งคอด้านหลัง
    หัวใจ ปอด ใช้ตำแหน่ง หลังตอนบน
    กระเพาะ ใช้ตำแหน่ง หลังตอนกลาง
    ตับ ไต ม้าม ใช้ตำแหน่งหลังตอนกลางล่าง(ตรงกับสะดือ)
    ลำไส้ กระเพาะปัสสาวะ รังไข่ ใช้ตำแหน่งหลังตอนล่าง
    ทวารหนัก ใช้ตำแหน่งก้นกบ (ซึ่งในตำแหน่งนี้ มักให้เจ้าตัวทำเอง)

    ดังนั้น จักรา ไม่จำเป็นต้องมีเจ็ด อาจจะมีเท่าไรก็ได้
    แล้วแต่ความละเอียดในการจัดแบ่ง
    ซึ่งพวกหมอและพยาบาล จะแบ่งได้แม่นยำกว่าคนทั่วไปมาก

    ที่แบ่งจักรากันเป็นเจ็ดจุดทั่วไปนั้น เป็นการแบ่งคร่าวๆ
    เพื่อให้เป็นมาตรฐานเบื้องต้นทั่วไป
    ซึ่งจัดแบ่งกันมาตั้งแต่สมัยก่อนยุคฮินดู
    และยังเป็นที่นิยมกันอยู่แม้ในปัจจุบัน เพราะง่ายดี
    กระนั้นผู้รู้โครงสร้างสรีระ ก็สามารถพัฒนาให้ละเอียดขึ้นได้

    วิธีปฏิบัติแบบพลังจักรวาล

    ดังกล่าวมาแล้วว่า วิธีการรับพลังจากเบื้องบน
    เป็นวิธีการที่ปฏิบัติกันมานาน

    แท้ที่จริงแล้ว การเพิ่มพลังให้กับร่างกาย
    ทั้งกายธาตุและกายทิพย์นั้น
    นักปฏิบัติผู้สามารถอาจทำให้ตนเองก็ได้
    หรือจะรับจากศาสดา หรือครูบาอาจารย์ของตนโดยตรงก็ได้
    หรือจะรับจากเพื่อนมนุษย์ด้วยกันก็ได้ ดังนี้


    การเพิ่มพลังให้ตนเอง
    สมัยโบราณนั้นนักปฏิบัติ ได้ทำการเพิ่มพลัง
    ให้แก่อวัยวะสำคัญต่างๆของตนด้วยพลังจิตของตนเอง
    โดยทำจิตให้เข้มข้นด้วยการกำหนดสติ แล้วเคลื่อนไปยัง
    ตำแหน่งที่ใกล้เคียงอวัยวะสำคัญเหล่านั้น เพื่อกระตุ้นให้
    ทำงานดีและมีพลังโดยสมควร

    การฝึกจิตแบบนี้เป็นการฝึกจิตแบบดั้งเดิมของมนุษยชาติ
    ปรากฏอยู่ในคัมภีร์ ไบโตลา ซึ่งชนโบราณได้ค้นพบว่า
    จุดต่างๆ ในร่างกายนั้น ถ้าเรารู้จักใช้ จะเป็นประโยชน์
    ต่อความรู้สึก ต่อจิตใจ และต่อร่างกายมาก ดังนี้.-
    จุดกลางกระหม่อม

    จุดกลางกระหม่อม หรือส่วนบนสุดของศีรษะ
    จุดนี้เป็นจุดที่คลายอารมณ์คลายความตึงตัวที่ดี
    เป็นจุดที่ทำให้เกิดปฏิภาณและสติปัญญาฉับไว
    เกิดความปีติแจ่มใสได้ง่าย
    ให้กำหนดความรู้ตัวที่นี่ให้แจ่มชัด


    จุดหว่างคิ้ว

    จุดหว่างคิ้วนี้เป็นจุดตื่น ทำให้ตื่นตัวได้ง่าย
    และมีประโยชน์ในการโฟกัสพลังส่งไปให้ผู้อื่น
    กำหนดจิตไว้ที่นี่อย่างนุ่มเบาและมั่นคง
    อย่าเพ่งแรง ถ้าเพ่งแรงจิตจะตึง
    อาจมึนศีรษะได้ อย่าลืมขอให้ปฏิบัตินุ่มเบาและมั่นคง

    จุดที่ตา

    จุดที่ตา เป็นจุดที่หากประคองความรู้ตัวมาไว้โดยไม่เพ่ง
    ไม่บีบ จุดนี้จะทำให้เกิดจิตตานุภาพ ตานี้จะเป็นประตู
    หรือหน้าต่างของจิตใจ อาการทางตาเป็นอย่างไร
    จิตมักจะเป็นอย่างนั้น สังเกตดู ถ้าที่ตารู้สึกตึง
    แสดงว่าจิตใจของเรายังตึงตัวอยู่
    ให้แผ่เมตตาออกไป จนกระทั่งรู้สึกเย็นสบาย

    จุดปลายจมูก

    จุดปลายจมูกนี้ เป็นจุดที่ทำให้เกิดปิติ ซาบซ่านได้ง่าย
    แต่ควรระมัดระวัง อย่าใช้ตาไปเพ่งดู
    ให้ใช้ความรู้ตัว รู้อยู่ตรงนั้น


    จุดเหนือลูกกระเดือก 2 นิ้ว

    จุดนี้จะใกล้จุดที่รับรสต่างๆของลิ้นมาก
    เวลาหิวถ้าทำจุดนี้ให้สงบ ความหิวจะหายไป


    จุดใต้ลูกกระเดือก 2 นิ้ว

    ฐานนี้เป็นภวังค์ของการหลับ
    ใครมีปัญหาเรื่องการนอนไม่หลับ
    ให้ประคองความรู้ตัวไว้ที่นี้ จนเป็นที่สบาย
    ค่อยๆผ่อนคลายกำหนดตัวเองให้หลับไป
    จะทำให้หลับได้ง่าย สังเกตดูเมื่อประคองจิต
    มาไว้ตรงนี้จะรู้สึกเคลิ้ม


    จุดหทัยวัตถุ

    จุดต่อไปที่สำคัญและจะใช้เป็นหลักเสมอคือ
    หทัยวัตถุ ที่หัวใจ จุดนี้เป็นจุดแห่งความรู้แจ้ง
    ใหม่ๆ จะเห็นการเต้นของหัวใจได้ชัด
    ผ่อนคลายอาการที่หัวใจนั้น ให้สงบระงับแล้วประคองสติ
    ให้อยู่ในจิตเอง ให้มีสติสัมปชัญญะ จิตรู้จิต จิตรู้ใจ
    เมื่อมาอยู่ตรงนี้คราใด จะมีความเบิกบานแจ่มใส
    มีแสงสว่างไสวอยู่ตรงนั้น ประคองไว้ให้มั่น
    ฐานนี้เป็นฐานที่สำคัญที่สุด
    เพราะเป็นฐานที่ตั้งของใจโดยตรง
    ไม่ว่าจะฝึกจิตในอิริยาบถใดก็ตาม
    ให้สังเกตและตั้งความรู้ตัวไว้ตรงนี้เสมอๆ


    จุดเหนือสะดือ

    จากนั้นขยับมาที่จุดเหนือสะดือประมาณ 2 นิ้ว
    หรือจุดก้นปอดนั่นเอง จุดนี้เป็นจุดที่ให้ความกระปี้กระเปร่า
    ความสดชื่นได้ดี เพราะเมื่อกำหนดจุดนี้ จะทำให้หายใจทั่วปอด
    เป็นจุดที่ทำให้เกิดปิติ จึงเป็นจุดที่พวกฤาษีชีไพรติดกันมาก
    เชื่อว่าเป็นจุดที่นำไปสู่ความสำเร็จ แต่จริงๆแล้วยังไม่ใช่
    เพียงเป็นจุดที่ให้ความสุขอันละเอียด
    พึงระวังอย่าเพ่ง อย่าบีบจิต ฐานนี้จะทำให้ดิ่งเข้าไปสู่ความสงบ
    ปล่อยให้คลายไปเลย
    จุดสะดือ

    เมื่อประคองความรู้ตัวไว้จนได้ความสงบพอสมควรแล้ว
    ต่อไปค่อยๆประคองความรู้ตัวมาไว้ที่สะดือ
    ที่สะดือนี้ เป็นจุดเริ่มต้นที่นำอาหารและอากาศมาหล่อเลี้ยงร่างกาย
    สมัยเป็นทารกอยู่ในครรภ์มารดา
    ดังนั้นประคองความรู้ตัวให้แจ่มใส เมื่อแจ่มใสได้ดีแล้ว
    จะเห็นขบวนการต่างๆของร่างกายภายในได้ชัดเจน


    จุดใต้สะดือ

    จุดต่อไปคือจุดใต้สะดือ 2 นิ้ว เอาความรู้ตัวไปอยู่ที่นั่น
    อย่างสงบ นุ่มนวลและแผ่วเบา
    อย่าเพ่ง อย่าบีบจิต ฐานนี้จะทำให้ดิ่งเข้าไปสู่
    ความสงบ ปล่อยดิ่งไปเลย จนเป็นที่สบาย


    จุดก้นกบ

    จุดต่อไปคือกำหนดความรู้ตัวไว้ที่ก้นกบ
    จุดนี้เป็นจุดรับน้ำหนักของเราในขณะนี้

    เป็นจุดที่สร้างความรู้สึกทางกายได้ชัด
    จะเกิดความเสียวซ่านไปยังประสาทส่วนต่างๆ
    ทำให้กำหนดความรู้ตัวทั่วพร้อมได้ง่าย

    จุดท้ายทอย

    ให้ประคองความรู้ตัวจากก้นกบขึ้นมาตามกระดูกสันหลัง
    ถึงตรงรอยต่อของกระดูกสันหลังกับสมองใกล้ Medulla Oblongata
    ภาษาฤาษี เรียกว่า ศูนย์วิสุทธิจักร
    จุดนี้เหมือนกับหัวเทียนในร่างมนุษย์
    จะ spark พลังต่างๆ มากมาย
    ถ้าทรงสติ ณ จุดนี้ให้มั่นคงต่อเนื่องจนเป็นสมาธิ
    และผ่อนคลายให้โปร่งว่างสบายแล้ว
    กระบวนการสร้างพลังจะราบรื่นและสามารถดูดซับพลังละเอียด
    ในบรรยากาศมาบริโภคได้ เช่น อีเธอร์ หรือโอโซนในบรรยากาศ
    หรือรังสีทิพย์ในมิติทิพย์ เป็นต้น

    นั่นคือเทคนิค การเพิ่มพลังในตนด้วยตัวเอง
    ซึ่งนักปฏิบัติตามพงไพร นิยมใช้กันเป็นประจำ

    แต่หากพลังของตนมีไม่พอ เพราะดูแลตัวเองไม่ดี ไม่บริหารเลย
    ก็อาจเชิญพลังของศาสดา หรือครูบาอาจารย์ ที่ตนนับถือ
    (ศาสนาไหนก็ได้) มาโปรดตนก็ได้

    การอัญเชิญมหาปรมาจารย์เปิดจักราและเพิ่มพลังให้

    หากนักปฏิบัติมีจิตใจสะอาด ก็สามารถอัญเชิญครูบาอาจารย์
    หรือแม้พระศาสดาของตนมาโปรดได้ และหากท่านเห็นว่าสมควรโปรด
    ก็อาจได้รับการอนุเคราะห์เป็นพลานุภาพ ตามแต่พระศาสดาหรือ
    อาจารย์ท่านนั้นๆทรงอยู่

    ในการเชิญนั้น ให้สวดมนต์นั่งสมาธิให้เรียบร้อย
    แล้วอัญเชิญในใจก็ได้ ด้วยถ้อยความที่ตนเข้าใจ
    ท่านแต่งของท่านได้เองเลย

    ปกติเมื่ออัญเชิญมา หากเพียงเพิ่มพลัง
    ส่วนใหญ่แล้วท่านจะใช้แค่สองจักราคือ
    ส่วนบนสุดของศีรษะและ หัวใจ
    แต่หากเพื่อชำระทิพยธาตุ จะมีกระบวนการอื่น
    ซึ่งหากท่านได้รับการโปรดก็จะทราบเอง

    การที่จะรับพลังจากเบื้องบนได้นั้น
    ศีลธรรมของท่านต้องมั่นคง
    หากศีลธรรมไม่มั่นคงจะขาดการ connect ทันที
    ดังนั้น นักปฏิบัติ ต้องมั่นคงในจรรยาบรรณและศีลธรรม
    ทั้งฝึกจิตเป็นประจำพอประมาณ เป็นอย่างน้อย
    โดยไม่ได้บังคับว่าจะต้องฝึกวิธีใด
    ให้ปฏิบัติวิธีที่ตนถนัดเสมอๆ

    แต่หากนักปฏิบัติใด จิตใจยังไม่สะอาดนัก
    ไม่ได้รับการอนุเคราะห์จากเบื้องบน
    ก็สามารถรับถ่ายพลังจากคนที่สะอาดกว่า
    ที่รับพลังต่อๆกันมาได้
    การกระทำแบบนี้ กำลังเป็นที่นิยมกันอย่างมากในปัจจุบัน
    คือคนหนึ่งรับพลังมาแล้ว ก็ถ่ายให้อีกคนหนึ่ง
    เรียกว่า เปิดจักรา ให้
    จากนั้นก็ให้คนนั้นไปเปิดจักรา หรือถ่ายพลังให้คนอื่น
    ซึ่งวิธีการนี้ ประสิทธิภาพจะน้อยกว่าการรับพลังโดยตรง
    หรือบางครั้ง ก็อาจน้อยกว่าการการกระตุ้นและให้พลังตนเอง
    ก็เหมือนกับการที่ท่านรับข้าวสวยสีขาวสะอาดมา หนึ่งกำมือ
    แล้วส่งต่อๆกันไปเป็นทอดๆ ไม่นานข้าวสวยนั้น ก็จะหกเรี่ยราด
    เหลือน้อยลง และที่เหลือก็ดำ
    เพราะเปื้อนมือคนมาหลายคนมากขึ้นทุกทีๆ

    แต่หากไม่มีทางเลือกอื่น วิธีการนี้ก็เป็นวิธีที่ใช้ได้ยามคับขัน
    เช่นยามเจ็บป่วย


    การให้คนอื่นเปิดจักราและเพิ่มพลังให้

    วิธีการถ่ายพลังให้นั้น แต่ละคนที่ร่ำเรียนมา จะรู้วิธีอยู่แล้ว
    หลักการทั่วๆไปคือ ส่งพลังไปยังจักราตำแหน่งต่างๆ

    สิ่งที่ท่านในฐานะผู้รับพลัง ควรระวังคือ
    ต้องพิจารณาว่า การเกื้อกูลกันนั้นเป็นไปโดยธรรม
    บริสุทธิ์ใจ ไม่มีสิ่งใดเคลือบแฝง
    และมีระบบป้องกันภัยให้ดีคือ.-

    ระบบแผ่จิตสู่ผู้รับ เพื่อป้องกันพลังไหลย้อนกลับ
    ระบบแผ่จิตห้อมล้อมโดยรอบ เพื่อป้องกันวิญญาณอื่นแทรก
    ระบบการเจรจากับเจ้ากรรมนายเวร เพื่อป้องกันความแค้น

    สิ่งที่ท่านในฐานะผู้รับพลัง ควรระวังคือ
    เลือกคนที่มีภูมิธรรมสูงกว่าท่าน
    ร่างกายและจิตใจสะอาดกว่าท่าน
    และอย่าให้เขาแตะด้านหน้าของตัวท่าน
    ให้แตะด้านหลังให้หมด
    สิ่งที่พึงระวังอย่างยิ่ง

    การสัมผัสจักระผิดที่ ผิดวิธี

    ไม่ทราบว่าถ่ายทอดกันอย่างไร หรืออาจจะหลายทอดเกินไป
    เห็นมีการปฏิบัติบางประการ ที่นอกจากจะไม่ยังผลแล้ว
    ยังก่อให้เกิดผลในทางตรงกันข้ามกับที่นักปฏิบัติต้องการอีกด้วย
    คือ การแตะจักระที่หน้าผาก ซึ่งเป็นจุดกระจายพลังงานจุดหนึ่งของชีวิต หากใครไปแตะจุดนั้น จะไปปิดจุดกระจายพลังงาน
    และหากยิ่งพยายามใส่พลังเข้าไป จะทำให้ทั้งระบบพลังงานรวน

    วิธีการทดลองง่ายๆ ท่านลองเรียกเพื่อนที่อยู่ใกล้ตัวมาช่วย
    แล้วยกแขนที่ถนัดไปข้างหน้า ขนานกับพื้น
    จากนั้นให้เพื่อนลองใช้มือข้างหนึ่งกดแขนของท่านลง
    โดยท่านพยายามต้านไว้พอประมาณ
    ไม่ต้องสู้กันสุดแรง ทดลองเพื่อประเมินเฉยๆ
    ไม่ได้ทดลองเพื่อเอาแพ้เอาชนะ

    จากนั้นให้เพื่อนของท่าน ใช้มือข้างที่เขาไม่ถนัด
    ยื่นนิ้วออกมาสักสามนิ้ว ปิดที่จักระหน้าผาก
    แล้วกดแขนท่านอีกครั้ง
    ผล.....
    จะเห็นได้ว่าถ้าไปแตะหน้าผาก พลังในตัวท่านจะลดลงทันที

    ดังนั้นการไปแตะจักระทางด้านหน้า นอกจากไม่ได้ผลแล้ว
    ยังได้ผลตรงข้ามกับที่ต้องการด้วย
    เห็นปฏิบัติผิดกันเกลื่อน
    การแตะจักระทั้งหมด ให้แตะเฉพาะด้านหลังเท่านั้น
    จักระนี้ก็ให้แตะได้ที่ด้านหลังศีรษะเช่นกัน
    การช่วยเหลือคนป่วยด้วยโรคกรรม

    อีกประการหนึ่งซึ่งต้องระวังคือ
    การช่วยคนป่วย ซึ่งเป็นที่นิยมกันมาก

    การป่วยนั้น มีหลายสาเหตุเช่น

    1. ป่วยเพราะเชื้อโรคทั่วไป
    2. ป่วยเพราะความชราปกติ
    3. ป่วยเพราะความประมาทเลินเล่อจนเกิดอุบัติเหตุ
    4. ป่วยเพราะการบริหารตนผิดพลาด
    5. ป่วยเพราะกรรม

    การป่วยในสี่ประเภทแรก ทำนายได้เลย ไม่มีปัญหา
    แต่การป่วยประเภทที่ 5 จะมีเจ้ากรรมและนายเวร
    ควบคุมวาระกรรมอยู่ หากท่านจะช่วยต้องเจรจากับ
    เจ้ากรรมนายเวรก่อน และอุทิศส่วนกุศล
    อันเกิดจากการช่วยนี้ ให้แก่เจ้ากรรมนายเวรด้วย จึงค่อยช่วย
    หากสุ่มสี่สุ่มห้าเข้าไป เจอเจ้ากรรมนายเวรเฮี้ยวๆ หาว่าสอด
    ไม่พอใจขึ้นมา อาจทำให้ท่านต้องรับกรรมนั้นแทนบางส่วน
    ซึ่งก็เคยมีมาแล้ว

    แต่ถ้าคุยกันก่อน สอนธรรมะแก่เจ้ากรรมนายเวรพอประมาณ
    และยืนยันว่าเป็นหน้าที่ของท่าน แล้วอุทิศกุศลให้เขา
    ส่วนใหญ่ก็จะพอใจและเป็นสุขด้วยกันทุกฝ่าย
    การรับพลังจากผู้อื่น

    อีกประการหนึ่งซึ่งต้องระวัง คือการรับพลังจากคนอื่นนั้น
    ต้องรับจากคนที่มีภูมิธรรมสูงกว่าหรือเท่ากันเท่านั้น

    ครั้งหนึ่งผู้เขียน(อ.อัคร) เคยไปขอแบ่งรับกรรม
    ของคนในความรับผิดชอบคนหนึ่งซึ่งป่วยหนักมา
    อันเป็นเหตุให้ผู้เขียน(อ.อัคร) ล้มป่วยต้องเข้าโรงพยาบาล
    เพื่อนฝูงและลูกศิษย์ลูกหาที่ทราบก็มากัน
    หลายคนก็ห่วงใยและหวังดี ก็พยายามที่จะส่งพลัง
    มาช่วยทั้งโดยตรงบ้าง โดยอ้อมบ้าง
    ปรากฏว่าพลังของหลายคนที่ส่งมายิ่งทำให้
    ผู้เขียน(อ.อัคร) ปวดมากขึ้น

    เมื่อเขากลับต้องรีบรีดพลังนั้นออก อาการปวดก็หาย
    ทั้งนี้เพราะพลังนั้น มีความสะอาดน้อยกว่า
    เมื่อเข้าไปในตัวเรา เลยทำให้เราปวด

    ที่ดีที่สุดในการรับพลัง คือรับจากพระบรมปิตุราจารย์
    และพระองค์ธรรมโดยตรง นั่นสบายที่สุด
    เมื่อได้รับแล้วมีผลทำให้หายโดยรวดเร็ว ไม่กี่นาทีหลังจากได้รับ
    กระบวนการของท่านเหล่านี้ ในการรักษาคนป่วย
    ไม่เพียงแค่ให้พลังเท่านั้น แต่ท่านจะชำระทิพย์ธาตุก่อน
    ก่อนให้พลัง

    ดังนั้น การรับพลังนั้น ต้องรับจากคนที่
    พลังมีความสะอาดเท่า หรือใกล้เคียงกับเรา
    หรือสูงกว่าเท่านั้น
    ห้ามรับจากคนที่มีพลังสกปรกกว่า จะยิ่งทรุด

    ต้องรู้จักโต

    การอาศัยผู้อื่นอยู่ตลอดเวลานั้น จะทำให้เป็นเด็กตลอดกาล
    ปกติเราจะอาศัยผู้อื่นในช่วงที่เรายังไม่แกร่ง
    เพื่อพัฒนาตนเองให้เก่ง แกร่ง เปี่ยมพลัง
    เมื่อมีพลังแล้วก็เลิกอาศัย แต่ต้องสนองคุณท่านโดยสมควร

    แต่ท่านทั้งหลายที่มอบพลังให้ส่วนใหญ่ ไม่ได้ต้องการอะไร
    นอกจากเห็นมนุษย์ทั้งหลายเป็นคนดี อยู่กันอย่างปกติสุข
    และเกื้อกูลกัน

    ดังนั้น เมื่อท่านมีพลังพอสมควรแล้ว
    ก็จงมีเมตตาเกื้อกูลและทำตนให้สะอาดยิ่งๆขึ้นโดยลำดับ
     
  2. yui_61

    yui_61 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    293
    ค่าพลัง:
    +1,285
    เป็นเรื่องที่น่าสนใจมากเลยค่ะ แต่เราสามารถ ฝึกได้ด้วยตัวเองเลยหรือเปล่าค่ะ จะยากไปไหมค่ะสำหรับคนที่เพิ่งจะเริ่มต้น
     
  3. Amine

    Amine เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +114
    โดยส่วนตัวที่อาจจะเคยสัมผัสมาบ้าง คิดว่า ทุกสิ่งอันคือการนำสมาธิไปประยุกต์ใช้แบบต่าง ๆ ในทางโลกนั่นเองครับ แต่ก็เป็นประโยชน์ดีในร่างกายประจำวัน
    หากฝึกสมาธิมาแล้วระดับหนึ่งน่าที่จะพยายามกระทำตามได้ไม่ลำบากนัก
     

แชร์หน้านี้

Loading...