การสร้างบารมีของพระอริยะ(พระสาวก)

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย กัณฑกะ, 10 กันยายน 2012.

  1. กัณฑกะ

    กัณฑกะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    595
    ค่าพลัง:
    +1,427
    การสร้างบารมีของพระอริยะ(พระสาวก)

    [​IMG]

    การสร้างบารมีขงอพระอริยะ นั้นมีหลายแบบ ระยะเวลาในการสร้างบารมีก็ไม่เท่าเทียมกัน และการสร้างบารมีของพระอริยะ ก็คือการสร้างสมทศบารมี(บารมี 10 ทัศ)เหมือนกัน แต่ไม่ได้มากมายเท่ากับพระพุทธเจ้า เมื่อจัดลำดับการสร้างบารมีของพระสาวกก็สามารถจัดได้ดังนี้
    1.พระอริยะปกติสาวก
    2.พระอรหันต์ผู้ทรงอภิญญา
    3.พระอรหันต์ผู้ทรงปฏิสัมภิทาญาณ
    4.พระอรหันต์ผู้ทรงอภิญญาและปฏิสัมภิทาญาณ
    5.พระอรหันต์ผู้เป็นมหาสาวก
    6.พระอริยะผู้เป็นพระอเสติ หรือเป็นเอกคทัคคะ
    7.พระอรหันต์ผู้เป็นพระอเสติ
    8.พระอรหันต์ผู้เป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายและขวา
    9.คำปทานของพระเถราที่สำคัญ
    10.คำปทานของพระเถรีที่สำคัญ ตอนที่ 1
    11.คำปทานของพระเถรีที่สำคัญ ตอนที่ 2

    1.พระอริยะปกติสาวก นั้นระยะเวลาการสร้างบารมีไม่แน่นอน เช่นบางท่านตั้งความปรารถนาถึงซึ่งพระนิพพาน แต่ไม่ได้บำเพ็ญบารมีอย่างดี ก็ย่อมวนเวียนในวัฏสังขารเป็นเวลายาวนานหลังจากตั้งความปรารถนาไว้ จนจำไม่ได้ แต่บางท่านเมื่อตั้งความปรารถนาถึงซึ่งพระนิพพานแล้วได้บำเพ็ญบารมีอย่างดี ก็ย่อมวนเวียนในวัฏสังขารเป็นเวลาไม่นาน หลังจากที่ตั้งความปรารถนาไว้ บางท่านก็บรรลุเป็นพระอริยะเลยในชีวิตนั้น บางท่านก็บรรลุในชาติถัดๆ ไป บางท่านก็บรรลุในสมัยของพระพุทธเจ้าองค์ถัดๆ ไป ในเวลาอันไม่ไกลกันนัก
    ต่อไปขอยกคำตรัสของพระพุทธองค์ ที่ชี้ให้เห็นว่าผู้ที่ตั้งความปรารถนานิพพานในปัจจุบัน และสามารถบรรลุนิพพานในปัจจุบันชาติดังนี้

    [๓๐๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้
    อย่างนี้ ตลอด ๗ ปี เขาพึงหวังผล๒ ประการอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ
    พระอรหัตผลในปัจจุบัน ๑ หรือเมื่อยังมีอุปาทิเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี ๑ ๗ ปี
    ยกไว้ ผู้ใดผู้หนึ่งพึงเจริญสติปัฏฐาน๔ นี้ อย่างนี้ตลอด ๖ ปี ... ๕ ปี ... ๔ ปี ... ๓ ปี ...
    ๒ ปี ... ๑ ปี เขาพึงหวังผล๒ ประการอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ พระอรหัตผลใน
    ปัจจุบัน ๑ หรือเมื่อยังมีอุปาทิเหลืออยู่เป็นพระอนาคามี ๑ ๑ ปียกไว้ ผู้ใดผู้
    หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐาน๔ นี้ อย่างนี้ตลอด ๗ เดือน เขาพึงหวังผล ๒ ประการ
    อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ พระอรหัตผลในปัจจุบัน๑ หรือเมื่อยังมีอุปาทิเหลืออยู่
    เป็นพระอนาคามี ๑ ๗ เดือนยกไว้ ผู้ใดผู้หนึ่งเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ อย่างนี้
    ตลอด ๖ เดือน ... ๕ เดือน ... ๔ เดือน ... ๓ เดือน ... ๒ เดือน ... ๑ เดือน ... กึ่ง
    เดือน เขาพึงหวังผล ๒ ประการอย่างใดอย่างหนึ่งคือ พระอรหัตผลในปัจจุบัน
    ๑ หรือเมื่อยังมีอุปาทิเหลืออยู่เป็นพระอนาคามี ๑ กึ่งเดือนยกไว้ ผู้ใดผู้หนึ่ง
    พึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้ อย่างนี้ตลอด ๗ วัน เขาพึงหวังผล ๒ ประการอย่างใด
    อย่างหนึ่ง คือ พระอรหัตผลในปัจจุบัน๑ หรือเมื่อยังมีอุปาทิเหลืออยู่ เป็น
    พระอนาคามี ๑ ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย หนทางนี้เป็นที่ไปอันเอก เพื่อความบริสุทธิ์ของเหล่า
    สัตว์ เพื่อล่วงความโศกและปริเทวะ เพื่อความดับสูญแห่งทุกข์โทมนัส เพื่อ
    บรรลุธรรมที่ถูกต้อง เพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพานหนทางนี้ คือ สติปัฏฐาน ๔
    ประการ ฉะนี้แล คำที่เรากล่าว ดังพรรณนามาฉะนี้ เราอาศัยเอกายนมรรคกล่าว
    แล้ว พระผู้มีพระภาคตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้น ยินดี ชื่นชมภาษิต
    ของพระผู้มีพระภาคแล้ว ฉะนี้แลฯ

    ตัวอย่าง พระเจ้าพิมพิสาร ที่ท่านได้เป็นพระโสดาบัน ตามพระอรรถกถากล่าวไว้ว่า ท่านได้สร้างบารมีตั้งแต่เริ่ม 90 กัปมาแล้ว

    ดังนั้นจำนวนของพระอริยะปกติสาวก จึงมีมากมายมหาศาลเป็นอย่างยิ่ง ในแต่ละพุทธสมัยก็จะมีจำนวนพระอริยะปกติถึงจำนวน อสงไขยๆ สัตว์ที่บรรลุนิพพาน และในยามที่พระพุทธเจ้าปรินิพพาน(สิ้นพระชนชีพ) ก็มีเห่ลาพระอริยะปกติสาวกนี้เหละ เป็นผู้สืบทอดต่ออายุของพระพุทธศาสนา ดำเนินต่อไปเป็นเวลายาวนานตามยุคตามสมัย

    2.พระอรหันต์ผู้ทรงอภิญญา ผู้ที่ปรารถนาเป็นพระอรหันต์ผู้มีอภิญญาก็ต้องสร้างสมบารมีมากกว่าปกติ คือต้องสร้างบารมี 10 ทัศ แล้วต้องสร้างสมสมถะจนเชี่ยวชาญ จนได้อภิญญา ซึ่งต้องสร้างสมกันเป็นเวลาหลายๆ ชาติ จนข้ามกัป หรือใช้เวลาหลายๆ กัป จากที่ทราบมา ผู้ปรารถนาเป็นพระอรหันต์ผู้ทรงอภิญญาเพื่อประโยชน์แก่สัตว์ทั้งหลาย ต้องสร้างสมบารมีเป็นเวลาถึง หนึ่งหมื่นกัป (10,000 กัป) โดยประมาณ

    3.พระอรหันต์ผู้ทรงปฏิสัมภิทาญาณ ผู้ที่ปรารถนาเป็นพระอรหันต์ผู้มีปฏิสัมภิทาญาณ ก็ต้องสร้างสมบารมีมากกว่าปกติ คือต้องสร้างบารมี 10 ทัศแล้ว ยังต้องสร้างสมปฏิสัมภิทาญาณต่างๆ เพิ่มขึ้น ซึ่งจะต้องสร้างสมกันเป็นเวลาหลายๆ ชาติจนข้ามกัป หรือใช้เวลาหลายกัป จากที่ทราบมา ผู้ที่ปรารถนาเป็นพระอรหันต์ผู้ทรงปฏิสัมภิทาญานเพื่อประโยชน์แก่สัตว์ทั้งหลาย ต้องสร้างสมบารมีเป็นเวลาถึง หนึ่งหมื่นกัป(10,000 กัป) โดยประมาณ

    4.พระอรหันต์ทรงอภิญญาและปฏิสัมภิทาญาณ จากที่ทราบมา พระอรหันต์ทรงอภิญญาและปฏิสัมภิทาญาณ ที่ไม่ได้เป็นมหาสาวกหรือเป็นพระอรหันต์ในสมัยที่ พระพุทธเจ้าทรงปรินิพพานไปแล้ว ต้องสร้างบารมีถึง หนึ่งหมื่นกัป หรือมากกว่านั้น โดยประมาณ และส่วนมากจะเป็นพระอรหันต์สาวกของพระพุทธเจัาในขณะที่พระองค์มีพระชนชีพอยู่

    5.พระอรหันต์ผู้เป็นมหาสาวก พระอรหันต์ผู้เป็นมหาสาวกส่วนมากจะทรงอภิญญาและปฏิสัมภิทาญาณพร้อม และเป็นพระอรหันต์ในขณะที่พระพุทธองค์มีพระชนชีพอยู่ จากที่ทราบมาต้องสร้างบารมีถึง หนึ่งแสนกัป โดยประมาณ ดังเช่นพระอภัยอรหันต์ ผู้เป็นพระโอรสองค์หนึ่งของพระเจ้าพิมพิสาร ก็ยังมีมหาสาวกบางท่านสร้างบารมีมายาวนานมากกว่า อสงไขย ก็มี (มีข้อมูลอ่านข้างล่าง)

    6.พระอริยะผู้เป็นพระอเสติ หรือเป็นเอกคทัคคะ ได้แก่ฆารวาสอริยะที่ยังไม่บรรลุเป็นพระอรหันต์ แต่ได้รับการแต่งตั้งจากพระพุทธเจ้าว่าเป็นเอกหรือเอคทัคคะด้านใดด้านหนึ่ง ดังเช่น นางวิสาขา จิตตะเศรษฐี ซึ่งต้องสร้างสมสมบารมีอย่างน้อยที่สุด หนึ่งแสนกัป (100,000 กัป) หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งในอดีต แต่ก่อนที่จะได้รับพุทธพยากรณ์ครั้งแรกนั้นอาจจะสร้างบารมีมายาวนานแล้ว จึงจะได้รับพุทธพยากรณ์ครั้งแรกได้

    7.พระอรหันต์ผู้เป็นพระอเสติ หรือเป็นเอกคทัคคะ ได้แก่พระอริยะภิกษุหรือพระอรหันต์ภิกษุและพระอรหันต์ภิกษุณี ที่ได้รับแต่งตั้งจากพระพุทธเจ้าว่าเป็นเอกหรือเอคทัคคะด้านใดด้านหนึ่งโดยเฉพาะ ซึ่งต้องสร้างสมบารมีถึง หนึ่งแสนกัป (100,000 กัป) หรือมากกว่านั้น จนถึงอสงไขยกัป หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งในอดีด แต่ก่อนที่จะได้รับพุทธพยากรณ์ครั้งแรกนั้นอาจจะสร้างบารมีมายาวนานแล้ว จึงจะได้รับพุทธพยากรณ์ครั้งแรกได้เช่น พระอานนท์ พระพักกุลละเถระ พระอุบลวรรณาเถรี พระโคตมีเถรี พระอนุรุท ฯลฯ
    ตัวอย่าง พระเถระและพระเถรีที่สร้างบามีเกิน 1
    อสงไขยสมัยของพระสมณะโคตมพุทธเจ้าที่ค้นหาได้ซึ่งมีในพระไตรปิฏกฉบับภาษาไทย ได้นำมาสรุปให้ดู
    เมื่อ 4 อสงไขย แสนกัป

    [​IMG]
     

แชร์หน้านี้

Loading...