การสังวรในอาสวะทั้งปวง

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย งูๆปลาๆ, 28 กุมภาพันธ์ 2018.

  1. งูๆปลาๆ

    งูๆปลาๆ นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    563
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +412
    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๒ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๔
    มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์

    ๒. สัพพาสวสังวรสูตร
    ว่าด้วยการสังวรในอาสวะทั้งปวง

    [๑๐] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้:-
    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเสด็จประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน
    อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ณ ที่นั้น
    พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคว่า พระเจ้าข้า

    พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้ว่า
    ดูกรภิกษุทั้งหลายเราจักแสดงปริยายว่าด้วยการสังวรอาสวะทั้งปวงแก่พวกเธอ
    พวกเธอจงฟัง จงใส่ใจ
    ให้ดี เราจักกล่าว
    ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคว่า อย่างนั้น พระเจ้าข้า.

    [๑๑] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้ว่า
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    เรากล่าวความสิ้นอาสวะของภิกษุผู้รู้อยู่ เห็นอยู่
    เราไม่กล่าวความสิ้นอาสวะของภิกษุผู้ไม่รู้อยู่ ไม่เห็นอยู่

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ความสิ้นอาสวะจะมีได้แก่ภิกษุผู้รู้อะไร เห็นอยู่อะไร
    ความสิ้นอาสวะจะมีได้แก่ภิกษุผู้ รู้เห็นโยนิโสมนสิการและอโยนิโสมนสิการ

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    เมื่อภิกษุมนสิการโดยไม่แยบคาย
    อาสวะทั้งหลายที่ยังไม่เกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้น
    และที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเจริญขึ้น
    เมื่อภิกษุมนสิการโดยแยบคาย
    อาสวะทั้งหลายที่ยังไม่เกิดขึ้น ย่อมไม่เกิดขึ้น และที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเสื่อมสิ้นไป

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    อาสวะที่จะพึงละได้เพราะการเห็นมีอยู่
    ที่จะพึงละได้เพราะการสังวรก็มี
    ที่จะพึง
    ละได้เพราะเสพเฉพาะก็มี
    ที่จะพึงละได้เพราะความอดกลั้นก็มี
    ที่จะพึงละได้เพราะเว้นรอบก็มี
    ที่จะพึงละได้เพราะบรรเทาก็มี
    ที่จะพึงละได้เพราะอบรมก็มี.



    ว่าด้วยการละอาสวะได้เพราะการเห็น
    [๑๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ก็อาสวะเหล่าไหน ที่จะพึงละได้เพราะการเห็น?
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ปุถุชนในโลกนี้ ผู้ไม่ได้สดับ ไม่ได้เห็นพระอริยะทั้งหลาย
    ไม่ฉลาดในธรรมของพระ
    อริยะ ไม่ได้รับแนะนำในธรรมของพระอริยะ
    ไม่ได้เห็นสัปบุรุษ ไม่ฉลาดในธรรมของสัปบุรุษ
    ไม่ได้รับแนะนำในธรรมของสัปบุรุษ

    ย่อมไม่รู้ทั่วถึงธรรมอันตนควรมนสิการ ย่อมไม่รู้ทั่วถึงธรรมอันตนไม่ควรมนสิการ
    เมื่อเขาไม่รู้ทั่วถึงธรรมที่ควรมนสิการ ไม่รู้ทั่วถึงธรรมที่ไม่ควรมนสิการ
    ย่อมมนสิการธรรมที่ไม่ควรมนสิการ ย่อมไม่มนสิการธรรมที่ควรมนสิการ.
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ธรรมที่ไม่ควรมนสิการ ที่ปุถุชนมนสิการอยู่เป็นไฉน?
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    เมื่อปุถุชนนั้นมนสิการธรรมเหล่าใดอยู่
    กามาสวะก็ดี ภวาสะก็ดี อวิชชาสวะก็ดี
    ที่ยังไม่เกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้น ที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเจริญขึ้น
    ธรรมที่ไม่ควรมนสิการเหล่านี้ ที่เขามนสิการอยู่


    ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ก็ธรรมที่ควรมนสิการที่ปุถุชนไม่มนสิการอยู่ เป็นไฉน?
    เมื่อปุถุชนนั้นมนสิการธรรมเหล่าใดอยู่
    กามาสวะก็ดี ภวาสวะก็ดี

    อวิชชาสวะก็ดีที่ยังไม่เกิดขึ้น ย่อมไม่เกิดขึ้น
    ที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเสื่อมสิ้นไป
    ธรรมที่ควรมนสิการเหล่านี้ ที่เขาไม่มนสิการอยู่
    อาสวะทั้งหลายที่ยังไม่เกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้น
    ที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเจริญแก่ปุถุชนนั้น

    เพราะมนสิการธรรมที่ไม่ควรมนสิการ และเพราะไม่มนสิการธรรมที่ควรมนสิการ

    ปุถุชนนั้นมนสิการอยู่โดยไม่แยบคายอย่างนี้ว่า
    เราได้มีแล้วในอดีตกาลหรือหนอ
    เราไม่ได้มีแล้วในอดีตกาลหรือหนอ
    ในอดีตกาลเราได้เป็นอะไรหนอ
    ในอดีตกาลเราได้เป็นอย่างไรหนอ
    ในอดีตกาลเราได้เป็นอะไรแล้วจึงเป็นอะไรหนอ
    ในอนาคตกาลเราจักมีหรือหนอ
    ในอนาคตกาลเราจักไม่มีหรือหนอ
    ในอนาคตกาลเราจักเป็นอะไรหนอ
    ในอนาคตกาลเราจักเป็นอย่างไรหนอ
    ในอนาคตกาลเราจักเป็นอะไรแล้วจึงจักเป็นอะไรหนอ


    หรือว่า ปรารภกาลปัจจุบันในบัดนี้มีความสงสัยขึ้นภายในว่า
    เรามีอยู่หรือ
    เราไม่มีอยู่หรือ
    เราเป็นอะไรหนอ
    เราเป็นอย่างไรหนอ
    สัตว์นี้มาแต่ไหนหนอ และมันจักไป ณ ที่ไหน.


    เมื่อปุถุชนนั้นมนสิการอยู่โดยไม่แยบคายอย่างนี้
    บรรดาทิฏฐิ ๖ ทิฏฐิอย่างใดอย่างหนึ่งย่อมเกิดขึ้น
    ทิฏฐิโดยจริงโดยแท้ย่อมเกิดขึ้นแก่ปุถุชนนั้นว่า
    ตนของเรามีอยู่ หรือว่า
    ตนของเราไม่มีอยู่
    หรือว่า
    เราย่อมรู้ชัดตนด้วยตนเอง หรือว่า
    เราย่อมรู้ชัดสภาพมิใช่ตนด้วยตนเอง หรือว่า
    เราย่อมรู้ตนด้วยสภาพมิใช่ตน อีกอย่างหนึ่ง


    ทิฏฐิย่อมเกิดมีแก่ปุถุชนนั้นอย่างนี้ว่า
    ตนของเรานี้เป็นผู้เสวย ย่อมเสวยวิบากแห่งกรรมทั้งดีทั้งชั่วในอารมณ์นั้นๆ
    ก็ตนของเรานี้นั้นเป็นของแน่นอนยั่งยืนเที่ยงแท้ ไม่แปรปรวนเป็นธรรมดา
    จักตั้งอยู่อย่างนั้นเสมอด้วยสิ่งยั่งยืนแท้

    ข้อนี้เรากล่าวว่าทิฏฐิ
    ชัฏคือทิฏฐิ
    กันดารคือทิฏฐิ
    เสี้ยนหนามคือทิฏฐิ
    ความดิ้นรนคือทิฏฐิ
    สิ่งที่ประกอบสัตว์ไว้คือทิฏฐิ


    ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    เรากล่าวว่า ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับผู้ประกอบด้วยทิฏฐิสังโยชน์
    ย่อมไม่พ้นจากชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส
    ย่อมไม่พ้นจากทุกข์.


    ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ส่วนอริยสาวกผู้สดับแล้ว ผู้เห็นพระอริยะทั้งหลาย ฉลาดในธรรมของพระอริยะ
    ได้รับแนะนำด้วยดีในธรรมของพระอริยะ ผู้เห็นสัปบุรุษ
    ฉลาดในธรรมของสัปบุรุษ ได้รับคำแนะนำด้วยดีในธรรมของสัปบุรุษ
    ย่อมรู้ทั่วถึงธรรมที่ควรมนสิการ และไม่ควรมนสิการ
    เมื่ออริยสาวกนั้นรู้ทั่วถึงธรรมที่ควรมนสิการ และไม่ควรมนสิการ
    ย่อมไม่มนสิการธรรมที่ไม่ควรมนสิการ และมนสิการธรรมที่ควรมนสิการ.


    ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ก็ธรรมที่ไม่ควรมนสิการเหล่าไหน ที่อริยสาวกไม่มนสิการ?
    เมื่ออริยสาวกนั้นมนสิการธรรมเหล่าใดอยู่
    กามาสวะก็ดี ภวาสวะก็ดี อวิชชาสวะก็ดี ที่ยังไม่เกิดขึ้นย่อมเกิดขึ้น
    ที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเจริญขึ้น ธรรมที่ไม่ควรมนสิการเหล่านี้ ที่อริยสาวกไม่มนสิการ
    .

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ธรรมที่ควรมนสิการเหล่าไหน ที่อริยสาวกมนสิการอยู่?

    เมื่ออริยสาวกนั้นมนสิการธรรมเหล่าใดอยู่
    กามาสวะก็ดี ภวาสวะก็ดี อวิชชาสวะก็ดี
    ที่ยังไม่เกิดขึ้น ย่อมไม่เกิดขึ้น ที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเสื่อมสิ้นไป
    ธรรมที่ควรมนสิการเหล่านี้
    ที่อริยสาวกมนสิการอยู่อาสวะทั้งหลายที่ยังไม่เกิดขึ้น จะไม่เกิดขึ้น
    และที่เกิดขึ้นแล้ว จะเสื่อมสิ้นไปแก่อริยสาวกนั้น
    เพราะไม่มนสิการธรรมที่ไม่ควรมนสิการ และเพราะมนสิการธรรมที่ควรมนสิการ.


    อริยสาวกนั้น ย่อมมนสิการโดยแยบคายว่า
    นี้ทุกข์
    นี้เหตุให้เกิดทุกข์
    นี้ความดับทุกข์
    นี้ปฏิปทาให้ถึงความดับทุกข์

    เมื่ออริยสาวกนั้นมนสิการอยู่โดยแยบคายอย่างนี้
    สังโยชน์ ๓ คือ
    สักกายทิฏฐิ
    วิจิกิจฉา
    สีลัพพตปรามาส ย่อมเสื่อมสิ้นไป


    ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    อาสวะเหล่านี้เรากล่าวว่า จะพึงละได้เพราะการเห็น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มีนาคม 2018
  2. งูๆปลาๆ

    งูๆปลาๆ นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    563
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +412
    [๑๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ก็อาสวะเหล่าไหน ที่จะพึงละได้เพราะการสังวร?
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ พิจารณาโดยแยบคายแล้ว
    เป็นผู้สำรวมแล้วด้วยความสำรวมในจักขุนทรีย์อยู่
    ก็อาสวะและความเร่าร้อนอันกระทำความคับแค้นเหล่าใด
    พึงเกิดขึ้นแก่ภิกษุนั้นผู้ไม่สำรวมจักขุนทรีย์
    อาสวะและความเร่าร้อนอันกระทำความคับแค้นเหล่านั้น
    ย่อมไม่มีแก่ภิกษุนั้น ผู้สำรวมจักขุนทรีย์อยู่อย่างนี้.


    ภิกษุพิจารณาโดยแยบคายแล้ว เป็นผู้สำรวมด้วยความสำรวมในโสตินทรีย์อยู่ ...
    ภิกษุพิจารณาโดยแยบคายแล้ว เป็นผู้สำรวมด้วยความสำรวมในฆานินทรีย์อยู่ ...
    ภิกษุพิจารณาโดยแยบคายแล้ว เป็นผู้สำรวมด้วยความสำรวมในชิวหินทรีย์อยู่ ...
    ภิกษุพิจารณาโดยแยบคายแล้ว เป็นผู้สำรวมด้วยความสำรวมในกายินทรีย์อยู่ ...
    ภิกษุพิจารณาโดยแยบคายแล้ว เป็นผู้สำรวมด้วยความสำรวมในมนินทรีย์อยู่
    ก็อาสวะและความเร่าร้อนอันกระทำความคับแค้นเหล่าใด
    พึงบังเกิดขึ้นแก่ภิกษุผู้ไม่สำรวมในมนินทรีย์อยู่
    อาสวะและความเร่าร้อนอันกระทำความคับแค้นเหล่านั้น
    ย่อมไม่มีแก่ภิกษุผู้สำรวมในมนินทรีย์อยู่อย่างนี้

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย อาสวะเหล่านี้ เรากล่าวว่า
    จะพึงละได้เพราะการสังวรว่าด้วยละอาสวะได้เพราะการพิจารณาเสพ

    [๑๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ก็อาสวะเหล่าไหน ที่จะพึงละได้เพราะการพิจารณาเสพ?

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ พิจารณาโดยแยบคายแล้ว เสพจีวรเพียงเพื่อกำจัด
    หนาว ร้อน สัมผัส แห่งเหลือบ ยุง ลม แดด และสัตว์เลื้อยคลาน เพียงเพื่อจะปกปิด
    อวัยวะที่ให้ความละอายกำเริบ พิจารณาโดยแยบคายแล้ว

    เสพบิณฑบาตมิใช่เพื่อจะเล่น มิใช่เพื่อมัวเมา มิใช่เพื่อประดับ มิใช่เพื่อตบแต่ง เพียงเพื่อให้กายนี้ดำรงอยู่ เพื่อให้เป็นไป เพื่อกำจัดความลำบาก เพื่ออนุเคราะห์แก่รหมจรรย์

    ด้วยคิดว่า
    จะกำจัดเวทนาเก่าเสียด้วย
    จะไม่ให้เวทนาใหม่เกิดขึ้นด้วย
    ความเป็นไป ความไม่มีโทษ และความอยู่สบายด้วย
    จักมีแก่เราฉะนี้
    พิจารณาโดยแยบคายแล้ว
    เสพเสนาสนะ เพียงเพื่อกำจัดหนาวร้อน

    สัมผัสแห่งเหลือบ ยุง ลม แดด และสัตว์เลื้อยคลาน
    เพียงเพื่อบรรเทาอันตรายแต่ฤดู เพื่อรื่นรมย์ในการหลีกออกเร้นอยู่
    พิจารณาโดยแยบคายแล้ว

    เสพบริขาร คือ
    ยาอันเป็นปัจจัยบำบัดไข้ เพียงเพื่อกำจัดเวทนาที่เกิดแต่อาพาธต่างๆ
    ที่เกิดขึ้นแล้ว เพื่อความเป็นผู้ไม่มีอาพาธเบียดเบียนเป็นอย่างยิ่ง.

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    อาสวะและความเร่าร้อนอันกระทำความคับแค้นเหล่าใด พึงบังเกิดขึ้น
    แก่ภิกษุนั้นผู้ไม่พิจารณาเสพปัจจัยอันใดอันหนึ่ง
    อาสวะและความเร่าร้อนอันกระทำความคับแค้น เหล่านั้น
    ย่อมไม่มีแก่ภิกษุนั้น ผู้พิจารณาเสพอยู่อย่างนี้

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    าสวะเหล่านี้เรากล่าวว่า จะพึงละได้เพราะการพิจารณาเสพ.


    [๑๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ก็อาสวะเหล่าไหน ที่จะพึงละได้เพราะความอดกลั้น?
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ พิจารณาโดยแยบคายแล้วเป็นผู้อดทนต่อ
    หนาว ร้อน หิว
    ระหาย สัมผัสแห่งเหลือบ ยุง ลม แดด และสัตว์เลื้อยคลาน
    เป็นผู้มีชาติของผู้อดกลั้นต่อถ้อยคำที่ผู้อื่นกล่าวชั่ว
    ร้ายแรงต่อเวทนาที่มีอยู่ในตัว ซึ่งบังเกิดขึ้นแล้ว
    เป็นทุกข์ กล้า แข็งเผ็ดร้อน ไม่เป็นที่ยินดี ไม่เป็นที่ชอบใจ อาจพล่าชีวิตเสียได้.


    ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ก็อาสวะและความเร่าร้อนอันกระทำความคับแค้นเหล่าใด
    พึงบังเกิดขึ้นแก่ภิกษุนั้นผู้ไม่อดกลั้นอยู่ อาสวะและความเร่าร้อนอันกระทำความคับแค้นเหล่านั้น ย่อมไม่มีแก่ภิกษุนั้น ผู้อดกลั้นอยู่อย่างนี้


    ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    อาสวะเหล่านี้ เรากล่าวว่า จะพึงละได้เพราะความอดกลั้น.

    [๑๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ก็อาสวะเหล่าไหนที่จะพึงละได้เพราะความเว้นรอบ?

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ พิจารณาโดยแยบคายแล้ว
    เว้นช้างที่ดุร้าย ม้าที่ดุร้าย โคที่ดุร้าย สุนัขที่ดุร้าย งู
    หลักตอ สถานที่มีหนาม บ่อ เหว แอ่งน้ำครำ บ่อน้ำครำ
    เพื่อนพรหมจรรย์ ผู้เป็นวิญญูชนทั้งหลาย
    พึงกำหนดลงซึ่งบุคคลผู้นั่ง ณ ที่มิใช่อาสนะเห็นปานใด
    ผู้เทียวไป ณ ที่มิใช่โคจรเห็นปานใด
    ผู้คบมิตรที่ลามกเห็นปานใด
    ในสถานทั้งหลายอันลามก
    ภิกษุนั้นพิจารณาโดยแยบคายแล้ว
    เว้นที่มิใช่อาสนะนั้น ที่มิใช่โคจรนั้น และมิตรผู้ลามกเหล่านั้น

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    จริงอยู่ อาสวะและความเร่าร้อนอันกระทำความคับแค้นเหล่าใด พึงบังเกิดขึ้นแก่
    ภิกษุนั้น ผู้ไม่เว้นสถานหรือบุคคลอันใดอันหนึ่ง อาสวะและความเร่าร้อนอันกระทำความคับแค้นเหล่านั้น ย่อมไม่มีแก่ภิกษุนั้น ผู้เว้นรอบอยู่อย่างนี้


    ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    อาสวะเหล่านี้ เรากล่าวว่าจะพึงละได้เพราะการเว้นรอบ

    [๑๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ก็อาสวะเหล่าไหนที่จะพึงละได้เพราะความบรรเทา?

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ พิจารณาโดยแยบคายแล้ว
    ย่อมอดกลั้น
    ย่อมละ ย่อมบรรเทากามวิตกที่เกิดขึ้นแล้ว
    ทำให้สิ้นสูญ ให้ถึงความไม่มี
    ย่อมอดกลั้น ย่อมละ ย่อมบรรเทา พยาบาทวิตกที่เกิดขึ้นแล้ว
    ทำให้สิ้นสูญ ให้ถึงความไม่มี
    ย่อมอดกลั้น ย่อมละ ย่อมบรรเทา วิหิงสาวิตกที่เกิดขึ้นแล้ว
    ทำให้สิ้นสูญ ให้ถึงความไม่มี
    ย่อมอดกลั้น ย่อมละ ย่อมบรรเทาธรรมที่เป็นบาปอกุศลที่บังเกิดขึ้นแล้ว
    ทำให้สิ้นสูญ ให้ถึงความไม่มี

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ก็อาสวะและความเร่าร้อนอันกระทำความคับแค้นเหล่าใด
    พึงบังเกิดขึ้นแก่ภิกษุนั้น ผู้ไม่บรรเทาธรรมอันใดอันหนึ่ง
    อาสวะและความเร่าร้อนอันกระทำความคับแค้นเหล่านั้น
    ย่อมไม่มีแก่ภิกษุผู้บรรเทาอยู่อย่างนี้


    ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    อาสวะเหล่านี้ เรากล่าวว่า จะพึงละได้เพราะความบรรเทา.

    ว่าด้วยละอาสวะได้เพราะการอบรม

    [๑๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ก็อาสวะเหล่าไหนที่จะพึงละได้เพราะอบรม

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ พิจารณาโดยแยบคายแล้ว
    เจริญสติสัมโพชฌงค์ อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ
    น้อมไปในความสละลง
    เจริญธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ ...
    เจริญวิริยสัมโพชฌงค์ ...
    เจริญปิติสัมโพชฌงค์ ...
    เจริญปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ ...
    เจริญสมาธิสัมโพชฌงค์ ...
    เจริญอุเบกขาสัม-*โพชฌงค์
    อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปในความสละลง


    ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ก็อาสวะและความเร่าร้อนอันกระทำความคับแค้นเหล่าใด
    พึงเกิดขึ้นแก่ภิกษุนั้น ผู้ไม่อบรมธรรม อันใดอันหนึ่ง
    อาสวะและความเร่าร้อนอันกระทำความคับแค้นเหล่านั้น
    ย่อมไม่มีแก่ภิกษุนั้น ผู้อบรมอยู่อย่างนี้


    ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    อาสวะเหล่านี้ เรากล่าวว่า จะพึงละได้เพราะอบรม.

    [๑๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ก็เพราะเหตุว่า อาสวะเหล่าใด อันภิกษุใดพึงละได้เพราะการเห็น
    อาสวะเหล่านั้น อันภิกษุนั้นละได้แล้วเพราะการเห็น
    อาสวะเหล่าใดอันภิกษุใดพึงละได้เพราะการสังวร
    อาสวะเหล่านั้น อันภิกษุนั้นละได้แล้วเพราะการสังวร
    อาสวะเหล่าใด อันภิกษุใดพึงละได้เพราะการพิจารณาเสพ
    อาสวะเหล่านั้น อันภิกษุนั้นละได้แล้วเพราะการพิจารณาเสพ
    อาสวะเหล่าใด อันภิกษุใด พึงละได้เพราะความอดกลั้น
    อาสวะเหล่านั้น อันภิกษุนั้นละได้แล้วเพราะความอดกลั้น
    อาสวะเหล่าใด อันภิกษุใดพึงละได้เพราะการเว้นรอบ
    อาสวะเหล่านั้นอันภิกษุนั้นละได้แล้ว เพราะการเว้นรอบ
    อาสวะเหล่าใด อันภิกษุใด พึงละได้เพราะการบรรเทา
    อาสวะเหล่านั้น อันภิกษุนั้นละได้แล้วเพราะการบรรเทา
    อาสวะเหล่าใด อันภิกษุใดพึงละได้เพราะการอบรม
    อาสวะเหล่านั้น อันภิกษุนั้นละได้แล้วเพราะการอบรม


    ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ภิกษุนี้เรากล่าวว่า เป็นผู้สำรวมด้วยความสังวรในอาสวะทั้งปวงอยู่ ตัดตัณหาได้แล้ว ยังสังโยชน์ให้ปราศไปแล้ว ได้ทำที่สุดแห่งทุกข์เพราะความตรัสรู้ ด้วยการเห็นและการละมานะโดยชอบ.

    พระผู้มีพระภาคได้ตรัสสังวรปริยายนี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นชื่นชมยินดีภาษิตของพระผู้มี-*พระภาค ฉะนี้แล.
    จบ สัพพาสวสังวรสูตร ที่ ๒
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กุมภาพันธ์ 2018
  3. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    คำว่ามนสิการ นี่หละครับ
    เป็นเทคนิค ของการไต่ไประดับ
    ปัญญาญานได้.
    ทางกิริยามันคือ เราจะเห็นว่า
    ผู้รู้ จิต ผู้ดู มันเป็นเพียงโปรแกรม
    การทำงานอย่างหนึ่งเท่านั้นเอง
    เช่น รู้ว่าเหล็กกินไม่ได้
    รู้ว่าข้าวทานได้ พวกนี้ไม่ใช่เรารู้
    ที่เจ้าใจว่ารู้ เพราะผัสสะมันเริ่มทำงาน
    ด้วยการส่งตัววิญญานการรับรู้ผ่านตาไปกระทบเหล็กหรือข้าว และด้วยสัญญาในจิต
    ที่รู้ว่าอะไรทานได้ทานไม่ได้
    เราเลยเข้าใจว่า เรารู้ว่าอะไรทานได้และไม่ได้ ทั้งๆที่ไม่มีเราในการรู้ตรงนี้เลย
    หลายดวงจิตเลยคิดว่าตรงนี้เป็นตัวผู้รู้
    โดยเฉพาะดวงจิตที่หนักทางวิปัสสนามากไป
    ทั้งๆที่ตัววิญญาณมันแค่ส่งผ่านอาตนะ
    ไปกระทบเล็อกหรือข้าวเฉยๆบ้างเรียกผู้รู้
    ที่มันรู้แค่สิ่งที่มันกระทบเรียกถูกเพราะมีสัญญาที่เคย ได้อ่าน ได้ยิน ได้ฟังมา
    มันถึงปรุงได้ว่าทานได้หรือไม่ได้จากสัญญาในจิตอีกนั่นหละครับ. แต่มันไม่รู้ว่า
    เหล็กหรือข้าวเกิดจากอะไร ดับได้เพราะอะไร
    ทำไมถึงเกิด(ปัญญาญาน) พูดง่ายๆมันยัง
    ไม่รู้กระบวนการเกิดของข้าวและเหล็กครับ
    ยิ่งหนักสมถะมากไป ที่มีผูดูมองเห็นเห็นจิตได้จะเข้าใจไปอีกว่า
    ที่รู้ว่าเหล็กหรือข้าวกินได้ไม่ได้ เป็นการรู้จากตัวจิต ซึ่งจริงๆยังไม่ใช่ เหมือนที่อธิบายข้างต้น
    ดังนั้นเราควรเข้าใจว่า
    ทำไมควรมนสิการแบบแบบคลายเอาไว้
    เพราะถ้าไม่แบบคลายจะมองกระบวนการ
    ทำงานของมันไม่ออก และไม่เห็น
    ครบทั้งตัว ผู้ดู ผู้รู้ จิต อาจหลงว่า ๓ ตัวนี้
    ตัวใดตัวหนึ่งเป็นตัวเดียวกันได้อย่างคาดไม่ถึงครับ

    ปล เทียบกับอารมย์ จะเข้าใจได้เอง
    แค่เพียงแต่เล่าให้ฟังครับ (^_^)

     
  4. งูๆปลาๆ

    งูๆปลาๆ นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    563
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +412
    เยี่ยมเลยนะท่านนพ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กุมภาพันธ์ 2018

แชร์หน้านี้

Loading...