--->> การอุทิศบุญให้ถึงแน่นอน รวดเร็ว ฉับพลัน <<---

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย wisarn, 10 พฤษภาคม 2007.

  1. ปัชฌา

    ปัชฌา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    292
    ค่าพลัง:
    +1,428
    เป็นกระทู้ที่ดียิ่ง
    ขอบคุณสำหรับคุณ wisarn it
    ที่ให้ความรู้ดีๆ และจะมีอีกหลายท่านนำไปปฏิบัติ..กันต่อไป


    [​IMG] ขออนุโมทนาด้วยครับ สาธุ..สาธุ..สาธุ [​IMG]
     
  2. wisarn

    wisarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    727
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +2,503
    --------------------------------------------------------------------------------
    หัวข้อ: Re: คุยกันสบายๆ กับ sky และ ธง
    เริ่มหัวข้อโดย: sky ที่ 10 พฤศจิกายน 2005, 10:33:22
    --------------------------------------------------------------------------------

    กราบขอบพระคุณและขอโมทนาบุญใน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 ตุลาคม 2007
  3. wisarn

    wisarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    727
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +2,503
    --------------------------------------------------------------------------------
    หัวข้อ: Re: คุยกันสบายๆ กับ sky และ ธง
    เริ่มหัวข้อโดย: sky ที่ 14 พฤศจิกายน 2005, 16:57:39
    --------------------------------------------------------------------------------

    กราบสวัสดีพี่ ๆ เพื่อน ๆ น้อง ๆ ชาว “ลานวัด” อีกเช่นเคยค่ะ

    หายไปนาน ด้วยเพราะมีธุระส่วนตัวที่สำคัญมากที่ต้องจัดการ ซึ่งตอนนี้เรียบร้อยดีแล้วค่ะ ได้อาการไข้กลับมาเต็มที่เลย ทั้งตัวร้อน, ไอ, น้ำมูกไหล, ขมปาก เป็น ๆ หาย ๆ อยู่ตลอด ก็ทานยาไปด้วย-อุทิศบุญไปด้วยน่ะค่ะ และก็ไม่ลืมที่จะพิจารณาความเจ็บป่วยไปด้วยในตัวค่ะ

    “วันนี้คุณได้เปิดบุญ-เบิกบุญ-โอนบุญ หรือยังคะ” คำถามสุดฮิต….

    “ญาติเยอะใครว่าไม่ดี ญาติสองข้างทางนี้แหล่ะคือ “ตัวช่วย” ที่ดีนักแหล่ะ”

    วันนี้ขึ้นต้นประโยคแปลก ๆ แต่คงไม่ทำให้ทุกท่านเป็นงงกันนะคะ หลวงปู่ท่านเคยบอกอยู่เสมอว่า “มีญาติในโลกทิพย์มากน่ะดีนะ ไม่ใช่ไม่ดี” ดิฉันก็เห็นดีด้วยเป็นอย่างยิ่งค่ะ แรก ๆ ก็ไม่อยากมี “ญาติเยอะ” หรอกค่ะ เพราะขนาดญาติทางโลกก็ปวดหัวจะแย่อยู่แล้ว ถ้ามีญาติในโลกทิพย์มากอีก สง-กะ-สัยจะปวดหัวหนักไม่แพ้กันแน่เลย แต่ที่ไหนได้คะ พอมีญาติในโลกทิพย์มากแล้วเนี่ย ทำให้การ “ส่งบุญ” ส่งได้ไวขึ้น กว้างขึ้น เก็บรายละเอียดได้มากขึ้น และ “มีตัวช่วย” มากขึ้น (แม้ไม่ได้เอ่ยบอกกล่าวให้ช่วยเหลือก็ตาม)

    ที่กล้าการันตีเช่นนี้ด้วยเพราะพบเห็นกับตัวเองมาแล้วค่ะ จึงนำมาเล่าสู่กันฟัง (ตามประสบการณ์ของดิฉัน) ก็ขอรบกวนทุกท่านอ่านด้วยสติและวิจารณญาณอีกเช่นเคยนะคะ กราบขอบพระคุณค่ะ _/|\_

    ทุกครั้งที่ดิฉัน “เดินทาง” ไม่ว่าจะไปไหนก็ตาม จะไม่เคยลืม “เบิกบุญ” ให้กับสิ่งลี้ลับสองข้างทางที่ดิฉันเดินทางผ่านไป-มาเลยค่ะ โดยจะเน้นบอกเสมอว่า “ขออำนาจพุทธ ธรรม สงฆ์ ได้บันดาลบุญที่ข้าพเจ้าได้สร้างสมไว้ตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบัน ส่งบุญนี้ถึงแก่สิ่งลี้ลับทั้งฝ่ายดีและฝ่ายไม่ดีที่อยู่สองข้างทาง ที่ข้าพเจ้ากำลังเดินทางผ่านไปมาอยู่นี้ และหากท่านใดมุ่งหวังจะได้รับบุญอย่างต่อเนื่องจากข้าแล้ว ขอจงตั้งจิตอธิษฐานเป็นญาติข้าซะ ด้วยเพราะบุญข้ามีให้กับญาติข้าเท่านั้น ดังนั้นหากท่านเป็นญาติข้า ท่านก็จะได้รับบุญของข้า “ทุกเมื่อ” ที่บุญของข้าเกิดขึ้น”

    (เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่แล้วค่ะ) ปกติเวลานั่งรถตู้ดิฉันจะไม่ชอบหลับค่ะ ไม่ว่าจะง่วงขนาดไหนก็ตามจะไม่ยอมหลับเป็นอันขาด ด้วยเพราะไม่อยากเสี่ยงต่อเหตุการณ์อันไม่พึงประสงค์เกิดขึ้น (มากมายในสังคมบ้านเรา) แต่วันนั้นไม่รู้เป็นเพราะอะไร อาจเหนื่อยจากงานมากมั้งคะ พอขึ้นรถตู้ปุ๊บ เบิกบุญให้กับเทวดาประจำรถและเทวดาประจำตัวคนขับแล้วปั๊บ ก็เบิกบุญไล่ให้กับญาติในโลกทิพย์ของดิฉัน ของพ่อแม่ พี่น้อง ฯลฯ จนครบ และก็ไม่ลืมสิ่งลี้ลับสองข้างทางด้วย ตั้งใจว่าเบิกบุญให้ครบถ้วนแล้ว (อย่างที่เคยทำทุกวัน) ก็จะทำสมาธิต่อไปเรื่อย ๆ แต่ไม่รู้ว่าทำสมาธิอีท่าไหนค่ะ หลับเฉยเลย หลับยาวเลยค่ะ หลับแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวเลย ซึ่งไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน

    ไม่ทันใดก็ได้ยินเสียงเรียกอย่างดัง “ตื่นได้แล้วท่าน จะถึงบ้านท่านแล้ว” เป็นเสียงเรียกที่บอกได้เลยค่ะว่า ไม่ใช่แค่หนึ่ง และไม่ใช่แค่ 10 แต่เป็นประมาณหลักร้อยขึ้นไปค่ะ เป็นเสียงที่ดังมาก ๆ จนสะดุ้งตื่น ในรถตอนนั้นเหลือดิฉันอยู่คนเดียว ตาของดิฉันกับตาของคนขับที่มองมาทางกระจกหลังก็ประสานกันพอดี พร้อม ๆ กับคำถามที่ถามขึ้นมาจากคนขับรถว่า “ไม่ทราบว่าจะลงไหนครับ” ดิฉันก็รีบตอบไปแบบลุกลี้ลุกลนว่า “จอดซอยหน้าด้วยค่ะ” พอก้าวเท้าลงจากรถยังเบลอไม่หายเลยค่ะ มันต้องโดนตบที่หัวสักทีมั้งคะ จึงจะตาสว่าง ก่อนจะปิดประตูรถก็ได้ถามคนขับไปว่า “พี่ ๆ เมื่อกี้พี่ปลุกหนูหรือป่าวคะ” คนขับยิ้มค่ะ (เค้าไม่ด่าให้ก็บุญแล้วค่ะ) “เปล่าครับ ผมกะว่าหากถึงตรงเซเว่นด้านหน้าแล้วจะปลุกอยู่เหมือนกัน ว่าคุณจะลงซอยไหน” ดิฉันกล่าวขอบคุณและรีบปิดประตูรถไปตามระเบียบค่ะ ในใจก็อดงงไม่ได้ว่า “แล้วเมื่อกี้ใครเรียกเรานะ เรียกซะสะดุ้งโหยงเลย“ ยังไม่ทันสิ้นความคิดก็ปรากฎเลยค่ะ เพียบเลย พร้อมใจกันปรากฎ และพร้อมใจกันบอกกล่าวทันทีว่า “เราเอง เราบอก เราก็บอก เราด้วย เราก็เหมือนกัน เราด้วยท่าน เราก็ด้วยนะ เราบอกก่อนเลยหล่ะ เราก็บอกตามมาติด ๆ ฯลฯ” เป็นประโยคที่เสมือนหนึ่งแย่งกันพูด-แย่งกันบอกกล่าว

    ดิฉันได้ย้อนถามกลับไปว่า “พวกท่านคือใคร” ก็ได้รับคำตอบว่า “พวกเราคือญาติท่าน พวกเราได้ตั้งใจเป็นญาติท่านตามที่ท่านเชื้อชวนไง เราได้รับบุญเราก็ช่วยท่านในสิ่งที่เราจะพึงช่วยได้ หรือพึงจะช่วยกันเป็นกลุ่มได้”

    “พวกท่านคือพวกที่อยู่สองข้างทางใช่หรือไม่” (ตอนนั้นจิตลึก ๆ คิดว่าต้องเป็นกลุ่มพวกนี้แน่นอน) ก็ได้รับคำตอบกลับมาจากพวกเค้าว่า “ใช่” แล้วก็ได้รับการบอกกล่าวเพิ่มเติมจากเทวดาผู้มีบุญญาธิการประจำตัวของดิฉันว่า “พวกนี้กตัญญูยิ่งนักท่าน ได้บุญแล้วทำงานทันทีเลย แม้ไม่ได้เอ่ยใช้ก็จะทำ แต่อย่างไรก็ดีท่านต้องสอนให้พวกเขา “ช่วยกันทำงาน” ไม่ใช่ “แย่งกันทำงาน” ด้วยเพราะเมื่อได้บุญแล้วก็มีจิตอยากจะทำงานตอบกลับ ตรงนี้อาจส่งผลให้เกิดการทะเลาะกันในการแย่งกันทำงานได้นะท่าน”

    ได้รับทราบเช่นนี้แล้ว ดิฉันก็เบิกบุญให้กับพวกเขาในทันที และสอนให้พวกเขา “ช่วยกันทำงาน ไม่แย่งกันทำงาน ไม่เกี่ยงกันทำงาน กลุ่มใดทำงานอยู่ อีกกลุ่มหนึ่งก็รออยู่ก่อน หรือช่วยกันทำงานให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี และหรือโมทนาบุญในงานที่กลุ่มอื่น ๆ กำลังทำอยู่” และคิดว่าคงต้องนำไปเพิ่มเติมในการบอกกล่าวกับกลุ่ม “สองข้างทาง” นี้ให้ชัดเจนขึ้นด้วยนั่นเอง

    นี่แหล่ะค่ะ อย่างที่ครูบาอาจารย์ได้บอกกล่าวไว้ “การมีญาติเยอะใครว่าไม่ดี ยิ่งมีมากยิ่งดี สำคัญคือควรจะเน้นสอนในเรื่องของ
    1. การเข้ารับบุญ
    2. สอนเรื่องลักษณะของบุญ
    3. สอนเรื่องการโมทนาบุญ
    4. สอนเรื่องการแปลงบุญ
    5. สอนเรื่องการเลื่อนภพภูมิ
    6. สอนเรื่องการตั้งจิตอธิษฐานเป็นญาติ
    7. สอนเรื่องการทำงาน

    โดยสอนสิ่งเหล่านี้ให้ “ชัดเจน” กับพวกเขาซะเป็นหลักสำคัญก่อน เท่านั้นก็สบาย ๆ ในการ “ส่งบุญ” ให้กับพวกเขาแล้วค่ะ

    โมทนาบุญค่ะ _/|\_ _/|\_ _/|\_
     
  4. wisarn

    wisarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    727
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +2,503
    --------------------------------------------------------------------------------
    หัวข้อ: Re: คุยกันสบายๆ กับ sky และ ธง
    เริ่มหัวข้อโดย: sky ที่ 16 พฤศจิกายน 2005, 10:24:03
    --------------------------------------------------------------------------------

    กราบสวัสดีพี่ ๆ เพื่อน ๆ น้อง ๆ ชาว “ลานวัด” ทุกท่านค่ะ

    วันนี้คุณได้เปิดบุญ-เบิกบุญ-โอนบุญ หรือยังคะ …………..โมทนาบุญค่ะ _/|\_

    ก่อนอื่นเลยดิฉันต้องขอกราบขอบพระคุณพี่ธงและพี่ลี่เป็นอย่างสูงค่ะ ที่ได้ไปเยี่ยมดิฉันที่บ้านเมื่อคืนนี้ ได้เมตตานำวิตามินเสริม (ช่วยบรรเทาอาการไข้), น้ำผลไม้ มาให้ทาน และที่สำคัญไปกว่านั้นคือ ได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุมาให้ดิฉันและคุณพ่อด้วยค่ะ ต้องกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงค่ะ ความเมตตาใดที่พี่ธงและพี่ลี่มอบให้แล้วนั้น ดิฉันก็ขอให้ผลบุญผลกุศลนี้ได้ย้อนกลับถึงแด่ “นายเวร” ที่ก่อกวนพี่ธงและพี่ลี่อยู่ และถึงแด่ “สิ่งลี้ลับทั้งฝ่ายดีและฝ่ายไม่ดีที่เป็นญาติในโลกทิพย์ของพี่ธงและพี่ลี่” ให้ได้รับผลบุญนี้โดยทั่วถึงกัน นำมาซึ่งการ “อโหสิกรรมและการกลายกลับมาเป็นญาติมิตรที่ดีที่จะคอยสนับสนุนค้ำชูให้พี่ธงและพี่ลี่ได้เจริญทั้งทางโลกและทางธรรมยิ่ง ๆ ขึ้นไปค่ะ” _/|\_

    “กรรม” คำ ๆ นี้ หลาย ๆ ท่านคงจะเข้าใจดีแล้วว่ามันคืออะไร คงไม่ต้องมีการอธิบายอะไรกันมากมาย สำหรับดิฉันแล้ว คำ ๆ นี้ ตั้งแต่เกิดมาและจำความได้ ก็ได้สัมผัสมาโดยตลอด ได้เรียนรู้ ได้ทำความเข้าใจกับมันมาค่อนของชีวิตแล้วค่ะ และเชื่อมั่นเหลือเกินว่า “ชีวิตคนเรานั้นเกิดมาเพื่อชดใช้กรรม หน้าที่แห่งการเกิดมาก็คือการชดใช้กรรม” นั่นเอง

    “กรรม” จึงเป็นผู้ลิขิตให้เราได้มาเกิดในครอบครัวนี้ ได้เจอบุคคลเหล่านี้ ได้มีรูปร่างหน้าตาเช่นนี้ ได้มีสติปัญญาแบบนี้ และอีกมากมายที่ต้องได้สัมผัส ได้เกี่ยวเนื่อง ได้ผูกพัน ฯลฯ กับหลาย ๆ สิ่งรอบข้างเราทั้งในทางที่ดีและไม่ดีต่อกันก็ตาม

    ดิฉันจึงค่อนข้างจะเชื่อและศรัทธาในเรื่องของกรรม เพราะมันคือการกระทำที่ “เรา” ได้สร้างสมไว้ตั้งแต่อดีต ทั้งในภพชาติปัจจุบันและภพชาติที่ผ่านมา ดังนั้นหลาย ๆ ครั้งที่ดิฉันจะต้องพานพบกับ “ความเสียใจ” “ความผิดหวัง” “ความทุกข์” ต่าง ๆ ที่สะพัดเข้ามาในชีวิต ทั้งที่บางครั้งเหตุการณ์เหล่านั้นดิฉันไม่ได้เป็นผู้กระทำเลยก็ตามที แต่หาก ณ วันนี้ดิฉันไม่มีความเชื่อหรือศรัทธาในเรื่องของ “กรรม” แล้ว ดิฉันก็คงจะต้องตัดพ้อต่อว่าผู้อื่นอยู่นั่น ไม่เลิกลาสักที กล่าวว่าแต่ผู้อื่นที่กระทำสิ่งไม่ดีกับดิฉันไว้ กล่าวหา-ค้นหาแต่ข้อผิดพลาดของผู้อื่นอยู่ร่ำไป จนลืมระลึกถึงสิ่งที่ตนเองเคยสร้าง-เคยกระทำมา และนำมาซึ่งความท้อแท้ หดหู่ต่อชะตากรรม และปล่อยชีวิตให้เป็นไปตามกรรมโดยไม่คิดจะแก้ไขสิ่งใดเลย แม้แต่การแก้ไขจิตใจตนเองก็ตาม
    แต่เมื่อได้มีความเชื่อหรือศรัทธาในเรื่องของ “กรรม (การกระทำ)” แล้วนั่นเอง จึงเปรียบได้กับการ “หัดตั้งลำเรือใหม่” อีกครั้ง ด้วยการตั้งมั่นที่จะ “แจวหนี” ด้วย และ “ชดใช้กรรม” ไปด้วยอย่าง “มีทางเลือก”

    หากท่านไม่ได้มุ่งหวังที่จะ “หลุดพ้น” ในภพนี้ภพไหน ก็คงไม่ยาก หากชีวิตนี้จะตั้งมั่นอยู่ในศิล 5 ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และดำรงชีวิตแบบไม่เบียดเบียนใคร มีโอกาสก็ช่วยเหลือสังคมคนรอบข้างบ้างไปตามกำลัง แต่หากท่านที่พบเห็น “ทุกข์” แล้ว รู้แล้วว่าทุกข์มันอยู่ตรงไหน จนนำมาซึ่งความคิดที่อยากจะแจวหนีอย่างเต็มที่แล้ว ก็แน่นอนว่า “การปฏิบัติธรรม” คงเป็นเรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่งที่ท่านจะนำมาใช้ในการดำเนินชีวิตของท่าน

    สำหรับดิฉันเองแล้ว ชีวิตในทุกวันนี้ได้บอกกับตัวเองแล้วค่ะว่า “เราเกิดมาในชาตินี้เพื่อชดใช้หนี้กรรมคืนเค้าซะ แต่จะคืนด้วยบุญที่เรากำลังจะตั้งใจสร้างอย่างดีที่สุด อย่างต่อเนื่องที่สุดนี้เอง ซึ่งการตั้งใจสร้างอย่างดีที่สุดและอย่างต่อเนื่องที่สุดนี้เอง มันจะช่วยทำให้เราไม่ก่อกรรมใหม่ได้อีกโดยง่ายเหมือนที่ผ่านมา”

    สำหรับการปฏิบัติธรรมของดิฉันนั้น ตลอดทั้งวันของดิฉันจึงไม่คิดจะหนี “ฐาน” ของตัวเองไปไหนอีกแล้ว “ปักหลัก” มันอยู่ที่ฐานเดียว (ที่ได้สอบถามครูบาอาจารย์มาแล้ว ที่ท่านได้ช่วยตรวจสอบให้แล้ว) ไม่ว่าจะมีสิ่งใดมากระทบก็ตาม ก็จะรู้มันอยู่ที่ “ฐาน” นี้ฐานเดียว ไม่เคลื่อนไปไหน

    จากประสบการณ์นั้น การกำหนด “จิต” ให้มันอยู่ที่ “ฐาน” เดียวนั้น มันทำให้จิตไม่ซนนาน ไม่หายไปนานค่ะ เสมือนหนึ่งมีเชือกคล้องมันไว้ ไม่ได้ผูกมันแน่นหรอกค่ะ เพราะรู้ดีว่า “มันไม่ชอบ” ด้วยเพราะพื้นฐานของมันนั้น มันไม่อยู่นิ่ง ก็แค่จะคล้องมันไว้ให้มันไม่ไปเที่ยวไกลเท่านั้นเอง

    การกำหนดอยู่ที่ “ฐานเดียว” ยังมีประโยชน์ในการก่อให้เกิด “สมาธิมากขึ้น” อีกด้วย สมาธิเมื่อมีมากขึ้นก็จะเป็นเสมือนแม่เหล็กที่จะช่วยดูด “สติ” ที่มันอยู่รอบ ๆ จิตอยู่แล้วนั้น ให้มารวมอยู่กับสมาธิได้มากขึ้น เป็นปึกแผ่นขึ้น และเมื่อสมาธิประสานกับสติอย่างเหนียวแน่นแล้ว มันก็จะเป็นเชือกที่แข็งแกร่งมากในการคล้องจิตนั่นเองค่ะ

    ทีนี้แหล่ะค่ะ ไม่ว่าอะไรจะมากระทบตรงไหนก็แล้วแต่ (ตา-หู-จมูก-ลิ้น-กาย-ใจ) มันจะพบเห็นการเกิด-ดับได้ชัดเจนมากขึ้น นำไปสู่การพิจารณา “ความเป็นจริง” ของกายและจิตของเราได้อย่าง (แจ่ม) เลยค่ะ ข้อธรรมต่าง ๆ ผุดขึ้นมากมาย สอนตัวสอนใจได้ดีนักแล ไม่ต้องไปเสียเวลาดูใคร แค่ดูตัวเองก็ดูแทบไม่หมดแล้ว จึงไม่แปลกใจเลยว่า “ทำไมครูบาอาจารย์ท่านจึงเน้นให้มีฐานเดียว”

    ทั้งหมดนี้ดิฉันก็ยังลุ่ม ๆ ดอน ๆ อยู่นะคะ มิได้เก่งกาจหรือดีเลิศอะไรเลย เพียงได้แค่เรียนรู้ “กว้างคืบยาวศอก” ของตัวเองอยู่ตลอดเวลาเท่าที่จะทำได้ ก็ถือว่าไม่เสียชาติเกิดกับเค้าบ้างแล้วค่ะ และตัวตรวจสอบที่ดีที่สุดของดิฉันก็คงจะเป็น “นิสัย ณ วันนี้” กับ “นิสัยที่ผ่านมา” ว่ามันปรับ “ดีขึ้น” หรือ “แย่ลง” หรือ “เท่าเดิม” เมื่อถูกสิ่งต่าง ๆ เข้ามากระทบ นี่แหล่ะค่ะตัวตรวจสอบที่สำคัญมากสำหรับดิฉัน
    ดิฉันเชื่อมั่นอย่างหนึ่งค่ะว่า “ความเพียร” เป็นกุญแจสำคัญของการปฏิบัติธรรม ถ้าเรามีความเพียรซะอย่างแล้ว ไม่นานค่ะเราก็จะค้นหา “ความเป็นจริง” ของกายและจิตเราได้ในที่สุด ด้วยแนวการปฏิบัติตามจริตที่เรามีอยู่ ที่เราปฏิบัติอยู่นั่นเอง

    เมื่อได้ฐานอย่างชัดเจนแล้ว ต้องไม่ลืมนำการปฏิบัติธรรมนั้น ๆ มาใช้ในชีวิตประจำวันด้วยนะคะ หลวงปู่เคยบอกกับดิฉันว่า “อย่าเก่งเฉพาะตอนนั่งสมาธิเท่านั้น ต้องเก่งให้ได้ตลอดทั้งวัน ยืน-เดิน-นั่ง-นอนด้วย”

    แหม……วันนี้วิชาการน่าดูเลย ปกติดิฉันจะไม่ค่อยมีวิชาการอะไรกับเค้าเท่าไหร่หรอกค่ะ ประมาณว่าความรู้ทางธรรมนั้นยังเท่า “หางอึ่ง” อยู่เลย ทั้งหลายทั้งปวงนี้ก็ใคร่ขอความกรุณาทุกท่านอ่านด้วยสติและวิจารณญาณนะคะ ถือเป็นประสบการณ์เล็ก ๆ น้อย ๆ ของผู้รู้น้อยเล่าสู่กันฟังละกันนะคะ เป็นประสบการณ์ของตัวเองที่วันนี้นึกอย่างไรไม่ทราบ ตัดสินใจนำมาเล่าสู่กันฟังเป็น “ธรรมทาน” น่ะค่ะ _/|\_

    หลายคนเคยถามดิฉันว่า ได้อ่านบทความที่ผ่านมาของดิฉัน ตรงส่วนที่ว่า “ดิฉันเน้นส่งบุญให้กับนายเวรแยกเป็นกลุ่ม ๆ” เค้าก็บอกว่าเค้าไม่เคยเห็นอดีตชาติของตัวเองเหมือนดิฉัน เค้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเค้ามีนายเวรอะไรบ้าง

    ไม่ยากค่ะ……. ถึงจะเห็นอดีตชาติหรือไม่เห็น นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญเลย (อย่างที่เคยกล่าวไว้ในบทความที่ผ่านมา) วิธีค้นหานายเวรก็คือ “เรื่องอะไรล่ะคะที่เราทุกข์กับมันอยู่ตลอด ประเดี๋ยวก็ทุกข์ ประเดี๋ยวก็ทุกข์ นั่นแหล่ะค่ะ เรื่องเหล่านั้นแหล่ะ คือ “กรรมที่เราเคยทำไว้หล่ะ” พวกนี้นำมาระบุเป็น “นายเวรแยกตามกลุ่มได้เลย” เช่น ปฏิบัติธรรมแล้วง่วงมันอยู่นั่น ก็เอาเลย “ขออำนาจพุทธ ธรรม สงฆ์ได้บันดาลบุญที่ข้าพเจ้าได้เคยสร้างสมไว้ตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบันส่งบุญนี้ถึงแด่นายเวรที่ข้าพเจ้าเคยขัดขวางการปฏิบัติธรรมของพวกท่านมาตั้งแต่อดีตชาติ ขอท่านจงรับซึ่งผลบุญนี้ด้วยเถิด นี้คือบุญแห่งการขอขมา ข้าพเจ้าได้สำนึกผิดแล้วกับกรรมที่เคยล่วงเกินพวกท่านไว้ (ขอให้ตั้งจิตสำนึกผิดจริง ๆ นะคะ) ขอพวกท่านจงรับบุญแห่งการขอขมานี้ด้วยเถิด เมื่อรับแล้ว ขอได้โปรดอโหสิกรรมให้กับข้าพเจ้าด้วย ชาตินี้ข้าพเจ้ามุ่งหวังแล้วที่จะพ้นทุกข์ ขอพวกท่านจงกลายกลับจากศัตรูมาเป็นญาติมิตรที่ดีต่อข้าเถิด พร้อมทั้งช่วยสนับสนุนการปฏิบัติธรรมของข้าให้สำเร็จอย่างที่ข้าได้ตั้งหวังไว้ อานิสงส์ตรงนี้จะทำให้พวกท่านได้รับการหลุดพ้นไปพร้อม ๆ กับข้า หรือหากยังไม่หลุดพ้นไปซะทีเดียวก็ตาม ข้าให้สัญญาว่าถ้าข้าได้หลุดพ้นแล้ว ข้าจะกลับมาช่วยพวกท่าน ข้าให้สัญญา” ก็กล่าวไปประมาณนี้น่ะค่ะ

    ดังนั้นในวันหนึ่ง ๆ ตัวท่านเองก็จะรู้ได้เองว่า “นายเวร” ของพวกท่านมีกลุ่มเรื่องอะไรบ้าง ทั้งหลายทั้งปวงนั้นเมื่อรู้แล้วก็ต้องส่งบุญให้บ่อย ๆ นะคะ อาจให้ธรรมทานเสริมไปกับการส่งบุญด้วยก็ได้ หรือส่งบุญให้ไปพร้อม ๆ กับการตั้งจิตสำนึกผิดคิดขอขมาด้วยใจไปด้วยก็ได้ค่ะ (อย่างที่เคยเขียนไว้แล้วในกระทู้นี้)

    พูดเรื่องนายเวรมาตั้งนานแล้ว ก็ขอนำเข้าสู่ประสบการณ์สด ๆ ร้อน ๆ เมื่อคืนนี้เอง เพื่อเล่าสู่กันฟังสักหน่อยนะคะ และก็เช่นเคยค่ะ คือต้องขอความกรุณาทุกท่านอ่านด้วยสติและวิจารณญาณอีกเช่นเคย ……..กราบขอบพระคุณค่ะ _/|\_

    เมื่อคืนนี้ประมาณเที่ยงคืนได้มั้งคะ ขณะที่ดิฉันนอนหลับอยู่ดี ๆ นั้นเอง จู่ ๆ ก็ปวดท้องขึ้นมาอย่างรุนแรง ปวดแบบตัวงอหงิกเลยค่ะ เหงื่อออกเต็มหัว เต็มหน้า เต็มตัวไปหมดเลย ชุดนอนที่ใส่อยู่นั้นเต็มไปด้วยเหงื่อ สักครู่มันจะเป็นลมเอาน่ะสิคะ ยิ่งผอม ๆ อยู่แล้วยังมีเหงื่อออกมากอีกจะเหลือเหรอคะ ไฟก็ดับหมดแล้ว จะเอื้อมมือไปเปิดไฟก็ไม่ไหวซะงั้น คราวนี้ก็จะอาเจียนแล้วหล่ะสิ (อาการประมาณจะหน้ามืดเป็นลมน่ะค่ะ) ก็ตั้งสติ+สมาธิ+จิตไว้ที่ฐานแล้วนี่คะ จะกลัวอะไร รู้ว่าท้องปวด รับรู้แล้ว ว่าท้องมันปวด มันบิด เมื่อรับรู้แล้ว ก็ดึงจิตกลับสู่ฐาน ดูซิว่าจิตมันเป็นอย่างไร ปรากฎว่ามันเฉย ๆ ค่ะ มันไม่ทุรนทุรายเหมือนการเจ็บป่วยที่ผ่านมาที่เคยเป็น จากนั้นมือก็ค่อย ๆ ควานหายาดมค่ะ จะเรียกคุณแม่ที่นอนอยู่ห้องข้าง ๆ ก็เกรงใจท่าน เพราะดึกมากแล้ว คว้ายาดมได้ก็ดมเต็มกำลังเลย ค่อย ๆ หายใจทีละนิด ช้า ๆ กำหนดดูลมหายใจเข้าออกไปเรื่อย ๆ อาการปวดที่ท้องทวีคูณเพิ่มขึ้นค่ะ ดิฉันก็เอาเลย ส่งบุญให้กับผู้ที่ส่งสัญญาณเข้ามาเลย สลับกับการดูความเจ็บปวดไปเรื่อย ๆ ฐานก็ยังคงอยู่ที่เดิม สลับไปมาอยู่อย่างนั้น

    คือถ้าให้จิตมันอยู่กับฐานแล้วเนี่ย มันเจ็บน้อยลงค่ะ แต่เมื่อมากำหนดดูที่ท้องปุ๊บมันก็เจ็บมากปั๊บ สักครู่หนึ่งดิฉันก็เอ่ยขึ้นในใจว่า “หากข้าเคยสร้างกรรมไว้กับผู้ใด แล้วหากการทำให้ข้าตายไปในครั้งนี้ ทำให้ท่านสำริดผลแห่งการเอาคืนแล้วฉันนั้น ข้าก็ยินยอม ข้ามิได้มีห่วงอะไรกับร่างกายแล้ว ข้ามิได้มีห่วงใด ๆ กับพ่อแม่ข้าแล้ว เชิญมาเอาชีวิตข้าไปได้เลย แต่จะมีประโยชน์อันใดเล่า หากทำให้ข้าตายไปในขณะที่ข้าได้มีความตั้งมั่นแล้วว่าจะตั้งใจปฏิบัติธรรมอย่างเต็มที่ในชีวิตนี้ ท่านลองคิดดูให้ดี ดังนั้นหากบุญที่ข้าพเจ้าได้เคยสร้างสมมาตั้งแต่อดีตชาติจะช่วยทดแทนกรรมที่เคยกระทำต่อท่านไว้ได้ ข้าก็ขอยินดีที่จะชดใช้คืนให้ด้วยผลบุญเหล่านี้ ณ เวลานี้ข้ารับรู้แล้วถึงความเจ็บปวดของร่างกาย รับรู้แล้วถึงความทุกข์ที่ได้รับ ขอพวกท่านจึงได้พิจารณาการชดใช้ด้วยเถิด”

    กำลังจะเอ่ยต่อค่ะ แต่ยังไม่ทันได้เอ่ย เค้าก็มาปรากฎตัวให้เห็นเลย เป็นผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ค่ะ แต่งชุดเหมือนนักโทษสมัยโบราณ มีตรวนผูกที่ข้อเท้าด้วย ยืนสีหน้านิ่ง ๆ ไม่พูดอะไร ดิฉันก็รีบเบิกบุญให้เลย หลังจากเบิกบุญให้แล้วก็ได้สัมผัสว่าอดีตชาติที่ผ่านมานั้น ดิฉันไปทำอะไรกับท่านนี้ไว้

    ทุกท่านคงรู้จักเลื่อยดีใช่มั้ยคะ (ดิฉันก็อธิบายไม่ถูก) มันเป็นเลื่อยที่มีที่จับอยู่สองด้านน่ะค่ะ ประมาณว่าต้องใช้คนสองคนจับ ภาพที่เห็นนั้นเป็นตัวของดิฉันกำลังใช้เลื่อยนี้อยู่ ซึ่งปลายอีกด้านหนึ่งนั้นมีเชือกผูกโยงไว้กับเสาใหญ่อันหนึ่ง และปลายเลื่อยอีกด้านหนึ่งดิฉันจับมันอยู่ กำลังเลื่อยท้องของชายผู้นี้อย่างเมามันส์เลยค่ะ เลื่อยจนเค้าสิ้นใจ ……….มีอีกมากนะคะแต่ท่านอย่ารับรู้ความเลวทรามต่ำช้าของดิฉันเลยค่ะ (ระอายที่จะพิมพ์ให้อ่านน่ะค่ะ)

    อึ้งค่ะ บอกได้เลยค่ะว่า “อึ้งไปเลย” ชายผู้นั้นหายไปพร้อม ๆ กับการเบิกบุญให้อีกรอบ จากนั้นดิฉันทำสมาธิต่อทันที (นอนทำในสภาพหงิกงออยู่บนเตียงนั่นแหล่ะค่ะ) แล้วอุทิศบุญตรง ๆ ให้เค้าเลย ได้ผลค่ะ ได้ผลแบบชนิดที่ไม่รู้จะบอกอย่างไรดี อาการปวดท้องหายเป็นปริดทิ้ง งงมากเหมือนกัน มันเรียกได้ว่า “หายสนิท” น่ะค่ะ ดิฉันนอนดูอาการอยู่แป๊บนึง ก็รับรู้ได้ว่าเป็นปกติไม่ได้ปวดอะไรแล้ว จึงค่อย ๆ ลุกลงมาเข้าห้องน้ำ ล้างหน้าล้างตา แล้วขึ้นไปนั่งสมาธิต่ออีกประมาณ 30 นาทีเพื่ออุทิศบุญส่งให้กับท่านผู้นั้นอีกครั้ง

    ทั้งหลายทั้งปวงนี้ ดิฉันบอกได้เลยค่ะว่า “กรรมมีจริง” และใครทำสิ่งใดไว้ก็ต้องได้รับการชดใช้เช่นนั้น “แต่…แต่…และแต่….” เราสามารถแก้ไขสถานการณ์เหล่านั้นก่อนที่มันจะเกิดขึ้นได้ค่ะ ได้ด้วยการ “ส่งบุญ (เบิกบุญ-โอนบุญ-เปิดบุญ)” ให้กับพวกเขาค่ะ

    นี่แหล่ะค่ะ มันคือกำลังใจอย่างหนึ่งที่ทำให้ดิฉันไม่ย่อท้อต่อการปฏิบัติธรรม และไม่ย่อท้อต่อการส่งบุญอย่างต่อเนื่อง เพราะเราทำเค้ามา เราจะดื้อแพ่งหนีอย่างเดียวโดยไม่คิดจะคืนเค้าเลย มันเห็นแก่ตัวเกินไปค่ะ ดังนั้นหากมีโอกาสคืนด้วยบุญแล้ว จงทำเถอะค่ะ จงชดใช้คืนเถอะค่ะ ทุกลมหายใจเข้าออกของเราเป็นบุญได้เสมอ ขอเพียงให้คิดดี พูดดี ทำดี นี่ก็คือการปฏิบัติธรรมอย่างหนึ่งแล้วนั่นเอง

    โมทนาบุญค่ะ _/|\_ _/|\_ _/|\_

    ขอบุญจากการให้ธรรมทานในครั้งนี้จงสำริดผลแด่ "นายเวร" ของทุกท่าน _/|\_
     
  5. wisarn

    wisarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    727
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +2,503
    --------------------------------------------------------------------------------
    หัวข้อ: Re: คุยกันสบายๆ กับ sky และ ธง
    เริ่มหัวข้อโดย: sky ที่ 19 พฤศจิกายน 2005, 16:39:49
    --------------------------------------------------------------------------------

    สวัสดีค่ะพี่ ๆ เพื่อน ๆ น้อง ๆ ชาว “ลานวัด” ทุกท่าน

    อีกเช่นเคยนะคะ กับคำถามยอดฮิต “วันนี้คุณได้เปิดบุญ-เบิกบุญ-โอนบุญ ให้กับญาติในโลกทิพย์และนายเวรของคุณ แล้วหรือยังคะ” ;)

    ก่อนอื่นเลย …… ดิฉันต้องขอกราบขอบพระคุณพี่ธง, พี่ลี่ และพี่ ๆ ทุกท่าน ที่ได้เมตตานำพาไปกราบพระผู้มากด้วยเมตตาและบารมี (หลวงปู่ทา) เมื่อสองวันที่แล้วนี้ค่ะ ได้กราบท่านแล้ว ได้เห็นท่านแล้ว จิตเกิดปิติเหลือเกินค่ะ เสมือนหนึ่งได้รับซึ่งกระแสแห่งความเมตตาขององค์ท่านอย่างหาที่สุดมิได้เลยจริง ๆ

    นี่แหล่ะค่ะ “ความเมตตาของครูบาอาจารย์” แม้ท่านไม่ได้พูดสิ่งใดมาก เพียงแค่มองหน้าเรา ยิ้มให้เรา ทักทายเรา ก็เป็นพระคุณอย่างสูงส่งแล้วจริง ๆ ค่ะ ก่อให้เกิดกำลังใจสำหรับพวกเราทุกคน ในการพากเพียร มุ่งมั่น สร้างสรรคุณงามความดีกันอย่างต่อเนื่อง _/|\_

    จึงต้องขอโมทนาบุญกับพี่ธงและพี่ลี่ ที่ได้เมตตานำพาพวกเราทุกคนได้ไปสร้างความดีร่วมกันในครั้งนี้ ขออานิสงส์ครั้งนี้ได้เป็นผลบุญผลกุศลถึงแก่ “นายเวรของพี่ธงและพี่ลี่ ในทุกกลุ่ม ในทุกประเภท ที่กำลังห้อมล้อมอยู่ก็ดี จ่อคิวอยู่ก็ดี มองดูอยู่ก็ดี คิดหาหนทางส่งสัญญาณอยู่ก็ดี จงได้กลายกลับจากการจ้องเป็นศัตรูร้ายหันกลับกลายมาเป็นญาติมิตรที่ดีงามต่อพี่ธงและพี่ลี่ ช่วยกันคุ้มครอง ป้องกันภัย ขจัดปัดเป่าโรคภัยที่เป็นอยู่ก็ดี กำลังรวมตัวอยู่ก็ดีเหล่านั้น ให้สลายหมดสิ้นไปด้วยบุญบารมีที่พี่ทั้งสองได้ปฏิบัติอย่างต่อเนื่องแล้วทั้งภพชาตินี้และภพชาติที่ผ่านมาด้วยเถิด” ……สาธุ _/|\_

    “เทวดาหมอ” ช่วยได้จริง ๆ หรือนี่

    วันนี้ต้องขอยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดกันสักหน่อย เผื่อประสบการณ์เล็ก ๆ น้อย ๆ ตรงนี้ของดิฉันจะพึงมีประโยชน์กับทุกท่านบ้างไม่มากก็น้อย ในการพากเพียรสร้างสรรคุณงามความดีกันอย่างต่อเนื่องทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ และเพื่อ “การเป็นคนดีที่ไม่เหนียวหนี้ต่อญาติของตนและนายเวรของตนอีกต่อไป” และก็เหมือนเดิมนะคะ ต้องขอให้ทุกท่าน "อ่านด้วยสติและวิจารณญาณ" อีกเช่นเคยค่ะ .....กราบขอบพระคุณค่ะ _/|\_

    ในทุก ๆ คืนก่อนนอน นอกจากการเบิกบุญให้กับส่วนอื่น ๆ แล้ว (เป็นกิจวัตร) ดิฉันก็ไม่เคยลืมที่จะ “เบิกบุญ” เพื่อส่งให้กับ “เทวดาผู้เฝ้าอยู่ประจำตัวของดิฉัน ของคุณพ่อ ของคุณแม่ ของพี่สาว ของน้องชาย ของญาติมิตรบริวาร ของครูบาอาจารย์ ของผู้มีพระคุณ และของเหล่ากัลยาณมิตรทางธรรมของดิฉัน” เพื่อให้เทวดาประจำร่างของท่านนั้น ๆ ได้อนุญาติให้ “เทวดาหมอ” ที่เก่งในการรักษาโรคภัยต่าง ๆ ได้รับการอนุญาตให้ได้มีโอกาสเข้าไปในร่างกายของแต่ท่านที่ดิฉันได้เอ่ยกล่าวนามไปแล้วนั้น เพื่อทำการรักษาโรคภัยที่บุคคลเหล่านั้นเป็นอยู่ เพื่อให้อาการของโรคเหล่านั้นเจือจางลง ทุเลาลง และหายลงไปในที่สุด (คือประมาณว่าอุทิศบุญให้กับเทวดาประจำร่าง เพื่อให้เค้าเปิดทางให้เทวดาหมอเข้าทำการรักษาน่ะค่ะ)

    “เทวดาหมอมาจากไหน” คำตอบก็คือ มาได้ทั้งจากที่เค้าอยู่กับเราอยู่แล้ว และเราเชิญมาจากข้างนอกตัวเราน่ะค่ะ

    “สำหรับเทวดาหมอที่อยู่นอกตัวเรานั้น” เทวดาหมอเหล่านี้ ดิฉันอันเชิญมาดังนี้ค่ะ

    ด้วยการเบิกบุญจ่ายให้ก่อนเลยในการเชิญ ซึ่งจะระบุดังนี้ว่า “ขออำนาจพุทธ ธรรม สงฆ์ ได้บันดาลบุญที่ข้าพเจ้าได้สร้างสมไว้แล้วตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบัน ส่งกระแสแห่งบุญเหล่านี้เป็นเสียงทิพย์ให้ดังก้องกังวาล ถึงแด่ เทวดาหมอที่มีอยู่ทุกชั้นฟ้า ท่านใดเคยสร้างบุญสร้างกุศลกับข้าพเจ้ามาในกาลก่อนก็ดี หรืออยากจะร่วมสร้างบุญสร้างกุศลกับข้าพเจ้าในภพนี้ ชาตินี้ กาลนี้ก็ดี จงได้มาประชุมรวมกัน ณ บัดนี้ (ทำจิตสงบสักครู่) บุคคลต่าง ๆ ที่ข้าพเจ้าจะเอ่ยนามเหล่านี้ก็ดี ตัวของข้าพเจ้าเองก็ดี ต่างมีความมุ่งหวังแล้วที่จะมีชีวิตอยู่เพื่อสร้างสรรคุณงามความดีให้ถึงพร้อมที่สุดเท่าที่จะทำได้ทั้งด้วยกาย ด้วยวาจาและด้วยใจ แต่ด้วยเพราะกรรมนำพาให้ต้องเจ็บป่วยอยู่ในขณะนี้ อันเป็นการขัดขวางต่อการสร้างความดีให้ถึงพร้อมยิ่งนัก แม้ท่านได้เมตตาตรวจสอบดูแล้วเห็นควรที่จะช่วยรักษาให้กับข้าพเจ้าและท่านเหล่านั้น ให้มีอาการความเจ็บป่วยของโรคที่ลดลง เจือจางลง หายลงก็ดี ด้วยบุญที่ข้าจะพึงมอบให้นี้แล้ว ก็ขอจงได้ดำเนินการกระทำด้วยเถิด หรือหากแม้มิสามารถรักษาให้หายได้ฝ่ายเดียว ก็จงได้ดลจิตดลใจ ดลนิมิตร ดลความนึกคิด ให้ข้าพเจ้าและบุคคลเหล่านั้นได้มีโอกาสพบแพทย์ พบยา (ทั้งแผนไทย-แผนปัจจุบัน) พบแนวทางการรักษาที่จะนำมาซึ่งการรักษาโรคเหล่านั้นให้บรรเทาลง เจือจางลง และลดลงไปได้ในที่สุดด้วยเถิด”

    จากนั้นดิฉันก็จะไล่ชื่อและระลึกหน้าทีละคนค่ะ (ของแต่ละท่านที่ดิฉันจะพึงให้หมอเทวดาได้ช่วยรักษาให้)

    และทุกเช้าที่ตื่นขึ้นมา ดิฉันก็มิลืมที่จะเบิกบุญให้กับเทวดาประจำตัวของดิฉันและของแต่ละท่านที่ดิฉันได้เอ่ยนามไป รวมถึงเบิกบุญส่งให้กับ “เทวดาหมอทุกท่าน” ที่ได้ลงมือรักษาแล้วก็ดี ได้ร่วมมือกันรักษาก็ดี ได้ร่วมมือกันปรึกษาหารือบอกกล่าว-แนะนำ-ดลใจให้เจ้าของร่างนั้น ๆ รวมถึงดิฉันเองได้มีโอกาสไปพบแพทย์ พบยา พบแนวทางการรักษา จะโดยเร็วก็ดี จะโดยช้าก็ดี ตามบุญตามกุศลของแต่ละท่าน

    ดิฉันจะทำอย่างนี้ทุกคืนและทุกเช้าค่ะ

    แรก ๆ ทำไปอย่างนั้นแหล่ะค่ะ (ทุกคืน-ทุกเช้า) มิได้มุ่งหวังอะไร ทำไปด้วยเพราะลึก ๆ แล้วในใจนั้น “ดิฉันมุ่งเพียงต้องการจะอุทิศบุญให้เท่านั้นเอง” และก็อยากให้เทวดาหมอได้มีโอกาสมาร่วมบุญ-ร่วมกุศลกับดิฉันและมีโอกาสร่วมสร้างบุญในการรักษาให้กับดิฉันและแต่ละท่านที่ดิฉันเอ่ยนามเท่านั้นเอง ด้วยเพราะรู้ดีว่า “สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม” ดิฉันจึงมิได้คาดหวังอะไรมากมายให้ต้องเกิดทุกข์ขึ้นที่ใจของตัวเองเกี่ยวกับผลที่จะพึงเกิด หรือไม่พึงเกิดขึ้นเหล่านั้น

    สำหรับผลที่บังเกิดขึ้นอย่างชัดเจนนั้นก็เห็นผลได้กับคุณย่า-คุณพ่อค่ะ ทั้งสองท่านนี้ค่อนข้างเห็นผลชัดเจนทีเดียว หลาย ๆ ครั้งที่มักจะได้ยินท่านบอกอาการของโรคว่าท่านดีขึ้น หลาย ๆ ครั้งที่ได้รับการบอกกล่าวจากท่านว่าได้พบยาที่ถูกกับโรคของท่านเฉยเลย (มีคนพาไปเอายาบ้าง มีคนเอายามาให้บ้าง) แต่สำหรับท่านอื่น ๆ นั้น ก็ส่วนใหญ่จะแข็งแรงกันดีไม่ได้เจ็บป่วยอะไรมากมายนัก ดิฉันเองก็มีหน้าที่ทำ (อุทิศบุญด้วยการเบิกบุญอย่างที่กล่าวมาแล้ว) อย่างเดียว ไม่ได้คาดหวังอะไรอยู่แล้ว โดยเฉพาะ “ผลที่จะพึงเกิดกับตัวเอง”

    และวันนี้……ก็ไม่น่าเชื่อว่า “เทวดาหมอจะมีจริง” และช่วยได้จริง ๆ สำหรับ “ตัวดิฉันเอง”

    เรื่องของเรื่องคือเมื่อวานนี้ดิฉันไม่สบายค่ะ (รู้สึกเพลีย ๆ อาจเพราะเพิ่งหายจากอาการไข้มั้งคะ) เลยต้องลางาน 1 วัน เพื่อขอพักผ่อนอย่างเต็มที่ เมื่อนอนพักเต็มอิ่ม ร่างกายก็เริ่มแข็งแรงขึ้น (เมื่อวานตื่นนอนประมาณ 10 โมงเช้าน่ะค่ะ) เมื่อตื่นมาหลังจากทำกิจวัตรทางโลก และกิจวัตรทางธรรม (เปิดบุญ-เบิกบุญ-โอนบุญ) แล้ว ก็เสมือนหนึ่งมีอะไรบางอย่างดลใจให้นึกถึงพี่สาวขึ้นมาเฉยเลย แต่ในใจก็คิดว่าวันนี้เป็นวันทำงาน ป่านนี้พี่สาวคงไปทำงานแล้วมั้ง คิดอยู่ไม่ทันเท่าไหร่คุณพ่อเดินมาพอดี ก็เลยถามท่านไปว่า “พี่สาวไปทำงานแล้วเหรอคะ” ท่านก็บอกกลับมาว่า “วันนี้พี่เค้าหยุดน่ะลูก เค้าจะไปต่างจังหวัด ไปเยี่ยมแม่แฟนเค้า” เมื่อได้ฟังก็รู้สึกแปลก ๆ ตอนแรกกะว่าจะไม่สนใจอะไรหรอกค่ะ รู้แค่ว่ามันแปลกก็จบ เพราะเป็นคนที่ไม่สงสัยอะไรมากนักอยู่แล้ว

    แต่เอ……ทำไมมันไม่หยุดสงสัยหว่า คิดอยู่ไม่เท่าไหร่ก็มาเลยค่ะ “เทวดาท่านหนึ่ง ที่อยู่ประจำตัวของดิฉัน” บอกขึ้นมาว่า “วันนี้ไปกับพี่สาวเถอะท่าน มีสิ่งลี้ลับของพี่สาวท่านและของแฟนพี่สาวท่านต้องการให้ท่านช่วย และมีบางสิ่งรอท่านอยู่ที่นั่น มีเทวดาหมอเค้าต้องการช่วยท่าน เค้าหาทางช่วยท่านอยู่เกี่ยวกับเรื่องสุขภาพของท่าน” เมื่อสื่อจบแล้วก็หายไป ดิฉันก็ตามสไตล์ค่ะ สื่อจบก็จบ ไม่สงสัย ปล่อยวางไปตามระเบียบ

    หลังทานข้าวเสร็จจึงตัดสินใจ “ขอไปด้วย” ซึ่งสร้างความประหลาดใจให้กับพี่สาว คุณพ่อ คุณแม่ และแฟนพี่สาวเป็นอย่างยิ่ง ด้วยเพราะนิสัยส่วนตัวของดิฉันแล้วเนี่ย “ไม่ชอบไปไหน ไม่ชอบพูดคุยกับใครนาน (คือคุยได้แต่ไม่นาน) ไม่ชอบพบปะใคร (คือพบได้แต่ไม่พบนาน) ไม่ชอบผู้คนมากมาย” ประมาณว่าแค่ไม่ชอบเท่านั้นแหล่ะค่ะ แต่ที่สุดหากต้องพบปะคน เข้าสังคม หรือพูดคุยแล้ว ก็มิได้มีอะไร ปกติค่ะ มันแค่รู้สึกว่าหากเลี่ยงได้จะเลี่ยงเท่านั้นเอง

    แต่คราวนี้ดิฉันกลับเป็นคนเอ่ยปากขอไปเอง ทั้งที่ยังไม่มีใครชวนแท้ ๆ

    เมื่อไปถึงบ้านแฟนพี่สาวแล้ว (อยู่ต่างจังหวัดน่ะค่ะ แต่ขอไม่ระบุจังหวัดนะคะ) นั่งพักพูดคุยกับคุณพ่อ คุณแม่ของแฟนพี่สาวแล้ว (ที่นั่นเป็นธรรมชาติมากเลยค่ะ เป็นทุ่งข้าว ได้เห็นต้นข้าวสวยงามเป็นธรรมชาติมากเลย ดิฉันชอบมากเพราะพื้นฐานเป็นคนชอบธรรมชาติอยู่แล้ว) ระหว่างที่ยืนดูทุ่งข้าวอยู่นั้น พี่สาวก็มาตามบอกว่าแม่แฟนจะพาไปกราบพระแถว ๆ นี้ ดิฉันก็เลยตกลงเลยทันทีค่ะ ยินดีที่จะไปด้วยอย่างไม่ขัดข้อง เพราะชอบไปวัดและชอบกราบพระเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

    เมื่อไปถึงวัด และได้กราบพระที่แม่แฟนพี่สาวบอกไว้ ก็รู้สึกดีค่ะ เป็นวัดเรียบ ๆ ดูสะอาดงามตามาก ไม่มีโบสถ์เพราะอยู่ระหว่างการหาเงินมาก่อสร้าง สำหรับพระที่ว่านี้ดูท่านใจดีและมีเมตตามากค่ะ ได้พูดคุยกับท่านหลายเรื่อง ท่านบอกกล่าวในสิ่งที่ดิฉันอึ้งอยู่หลายประโยคค่ะ

    “ท่านรู้ได้อย่างไร” ประโยคนี้เวียนอยู่ในหัวตลอดเวลา ด้วยเพราะแต่ละอย่างที่ท่านพูดเกี่ยวกับดิฉันนั้น มันตรงอะไรเช่นนั้น ท่านพูดตรงแทบทุกเรื่อง หน้าที่การงาน การเงิน ความรัก สุขภาพ แม้แต่เรื่อง “สิ่งลี้ลับกับการมองเห็นของดิฉัน” ซึ่งพอมาถึงเรื่องตรงนี้ทำให้คุณแม่แฟนของพี่สาวก็ดี แม่ของดิฉันเองก็ดี แฟนของพี่สาวก็ดี พี่สาวของดิฉันก็ดี ต่างอึ้งกันไปเลยเหมือนกันค่ะ (เพราะพวกเค้าไม่ค่อยรู้มากนักเกี่ยวกับเรื่องนี้ ด้วยเพราะดิฉันจะไม่ค่อยพูดเรื่องเหล่านี้ให้ใครได้รับรู้มากนักโดยไม่จำเป็น)

    ทุกเรื่องที่พระท่านนี้เอ่ยขึ้นบอกกับดิฉันนั้น มันช่างเสมือนหนึ่งดิฉันเล่าให้พระท่านนี้ฟังอย่างไงอย่างงั้น ท่านบอกได้ละเอียดมาก ทั้งที่ยังไม่เคยได้เอ่ยเล่าเลยด้วยซ้ำไป “แล้วท่านรู้ได้อย่างไร” เป็นคำบอกกล่าวจากท่านเองโดยแทบไม่ต้องเอ่ยถามเลยจากปากของดิฉัน
    “อึ้งอีกแล้ว” :eek: (ช่วงนี้เจอแต่เรื่องอึ้ง ๆ บ่อยเหลือเกินค่ะ) จึงเป็นที่มาและที่ไปที่เกิดการสนทนากันนานเป็นชั่วโมงกับท่าน ท่านยังเมตตาพูดแนะเรื่องการปฏิบัติธรรมให้กับดิฉันด้วยอีกต่างหากค่ะ และที่สุดท่านก็เมตตามอบยาสมุนไพรในการรักษาโรคให้กับดิฉัน (ดิฉันตอนนี้ผอมมากค่ะ น้ำหนักไม่ขึ้นเลย แต่น้ำหนักไม่ลดนะคะ ทั้งที่ทานอาหารได้ตามปกติ แต่น้ำหนักกลับไม่ขึ้น) ท่านได้เมตตาบอกสาเหตุและบอกแนวทางการรักษาให้ด้วยค่ะ (อย่างละเอียด)

    อือ…..อย่างนี้นี่เองที่เทวดามาสื่อให้เมื่อเช้า ว่าให้ตามพี่สาวมาต่างจังหวัดด้วย รู้สึกขอบคุณเทวดาเหลือเกินค่ะ ทั้งเทวดาที่มาบอก และเทวดาหมอผู้แนะนำให้มาพบพระท่านนี้

    ตอนนี้อยู่ระหว่างการทานยาสมุนไพรนี้อยู่ค่ะ ได้ผลประการใดจะนำมาบอกกล่าวเป็นธรรมทานกันสืบต่อไปนะคะ

    นี่แหล่ะค่ะ “บุญ” มันมีจริง เมื่อทำบุญแล้ว แม้มิได้สิ่งใดตอบแทนกลับมาเลยก็ตามที แต่อย่างน้อยเราก็ได้รับความปิติใจ-เป็นสุขใจที่ได้ “ทำบุญ” สำหรับผลพลอยได้ในการทำบุญนั้น ก็คงต้องปล่อยไปตามบุญตามกาลที่จะเป็นไปนั่นเอง

    แต่สำหรับสิ่งลี้ลับกับบุญที่เราได้ให้พวกเค้าไปนั้น “เค้าไม่รอช้าในการช่วยเราหรือตอบแทนบุญคุณให้เราหรอกค่ะ” เค้าช่วยจริง ไม่วันนี้ก็วันหน้า ไม่เร็วก็ช้า เค้าช่วย-เค้าหาหนทางอยู่ตลอดที่จะช่วย ขอเพียงเรามีจิตที่จะเป็นผู้ให้กับเค้าอย่างไม่มุ่งหวังผลหรือไม่มีข้อแลกเปลี่ยนมากมายนักเท่านั้นเองค่ะ นั่นหมายความว่าเมื่อขอร้องให้พวกเค้าช่วยแล้ว หากยังไม่เห็นผลก็มิใช่จะหยุดให้บุญกับพวกเค้านะคะ ไม่ควรทำเช่นนั้นค่ะ จงระลึกไว้เถอะค่ะ ว่า “จงเป็นผู้ให้แบบไม่หวังผลจะดีที่สุดค่ะ”

    ขากลับกรุงเทพ จึงเป็นที่มาและที่ไปให้แฟนพี่สาวและพี่สาวของดิฉัน (ซึ่งทั้งสองคนนี้ เป็นผู้ที่ดิฉันเคยบอกกล่าวเรื่องการเปิดบุญ-เบิกบุญ-โอนบุญไปแล้ว แต่พวกเค้ากลับขำและไม่สนใจที่จะทำกันเลย) แต่ ณ วันนี้ เค้ากลับเอ่ยขอให้ดิฉันช่วยให้ธรรมทานเกี่ยวกับเรื่องของ “กรรม” “สิ่งลี้ลับ” “การอุทิศบุญ (เปิดบุญ-เบิกบุญ-โอนบุญ) ให้พวกเขาฟังกันหน่อย”

    ดิฉันใช้เวลาสักครู่ในการทำจิตให้สงบเพื่อเอ่ยเชิญหมดเลย (สิ่งลี้ลับทั้งฝ่ายดีและฝ่ายไม่ดีรวมถึงนายเวรของทุกคนที่อยู่ในรถขณะนั้น) ให้มาร่วมฟังธรรมทานนี้ไปพร้อม ๆ กันด้วย จากนั้นดิฉันก็เริ่มเลยค่ะ พูดง่าย ๆ ก็คืออธิบายอย่างละเอียดในทุกเรื่อง พูดจนถึงบ้านเลยน่ะค่ะ

    ก่อนลงจากรถพี่สาวมากระซิบบอกว่า “เชื่อแล้วว่าเธอเห็นจริง” ขอบคุณมากนะที่ช่วยทำให้พี่ทั้งสองตาสว่างและเห็นทางธรรมมากขึ้น ดิฉันยิ้มและบอกกลับไปว่า “ขอบคุณนะที่ทำให้หนูเจ็บคอ ด้วยเพราะใช้เวลาพูดชนิดแทบไม่หยุดเลยเกือบสองชั่วโมงครึ่ง ขอบคุณจริง ๆ ค่ะพี่” :))
    โมทนาบุญนะคะ แล้วดิฉันจะนำผลจากการทานยาสมุนไพรดังกล่าวมาบอกกล่าวเป็นลำดับต่อไปค่ะ

    สาธุและโมทนาบุญอย่างที่สุดค่ะ _/|\_
     
  6. wisarn

    wisarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    727
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +2,503
    --------------------------------------------------------------------------------
    หัวข้อ: Re: คุยกันสบายๆ กับ sky และ ธง
    เริ่มหัวข้อโดย: sky ที่ 22 พฤศจิกายน 2005, 14:43:50
    --------------------------------------------------------------------------------

    สวัสดีค่ะพี่ ๆ เพื่อน ๆ น้อง ๆ ชาว “ลานวัด” ทุกท่าน

    วันนี้คุณได้ “เปิดบุญ-เบิกบุญ-โอนบุญ ให้กับญาติในโลกทิพย์ของคุณ และนายเวรของคุณหรือยังคะ” โมทนาบุญค่ะ _/|\_

    นายเวรกับความพอใจใน “ธรรมทาน”

    วันนี้มีประสบการณ์เล็ก ๆ น้อย ๆ มาร่วมเล่าสู่กันฟังค่ะ เผื่อจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยกับทุกท่าน และก็เช่นเคยนะคะ ใคร่ขอความกรุณาทุกท่านใช้สติและวิจารณญาณในการอ่านประสบการณ์ของดิฉันด้วยเช่นเคยค่ะ……กราบขอบพระคุณค่ะ _/|\_

    วันนี้จึงใคร่ขอเน้นเกี่ยวกับเรื่องของ "นายเวร" เป็นหลักสำคัญก่อนนะคะ

    หลาย ๆ ครั้งที่ดิฉัน “เสวยวิบากกรรม” อยู่นั้น ไม่ว่าจะได้รับ “ทางกาย” หรือ “ทางใจ” ก็ตามที สิ่งแรกที่ดิฉันจะพึงระลึกถึงอยู่เสมอก็คือ “คำสอนของหลวงปู่” ที่ว่า “ส่งบุญไปก่อนเลย อะไรก็แล้วแต่ที่ส่งสัญญาณเข้ามา ไม่ว่าจะทางกายหรือทางใจก็ตาม ส่งบุญให้ก่อนเลยทันที (ท่านเน้นว่า “ทันที”)”

    ดังนั้นไม่ว่ามีสิ่งใดก็แล้วแต่กระทบมาที่กายหรือใจก็ตาม สิ่งแรกที่ดิฉันจะกระทำทันทีก็คือ “ส่งบุญ” (ส่วนใหญ่จะส่งในลักษณะของการเบิกบุญให้น่ะค่ะ) และเมื่อส่งบุญให้ไปแล้ว ก็มิลืมที่จะทำการ “พิจารณากาย-ใจ” (อยู่ ณ ฐานตามจริตของดิฉัน) ประกอบเข้าไปด้วยน่ะค่ะ (นี่แหล่ะค่ะคือการปฏิบัติธรรมของดิฉันในแต่ละวัน)

    นั่นหมายความว่า “เมื่อมีสิ่งต่าง ๆ กระทบเข้ามาแล้วที่กายก็ดีหรือที่ใจก็ดี หลังจากส่งบุญให้แล้ว ก็จะทำการพิจารณา (ดู) ไปเรื่อย ๆ ในสิ่งที่เกิดขึ้นกับกาย-ใจ” เช่น หากกระทบกาย ก็ดูความเจ็บปวดเหล่านั้นไปเรื่อย ๆ ปวดตรงไหน บริเวณไหน ลักษณะการปวดเป็นอย่างไร (หนัก-เบา) แล้วไม่ลืมที่จะเลยไปดูที่ใจด้วยว่าเมื่อกายมันเจ็บอยู่นั้น แล้วใจมันเจ็บตามไปด้วยมั้ย มันสั่นสะท้านไปด้วยมากน้อยขนาดไหนหรือไม่ อย่างไร ดูมันไป สอนมันไปตามปัญญาและสติที่จะพึงมี เป็นต้น
    หรือหากมันกระทบเข้าที่ใจ ก็จะดูตรงใจซิว่า มันสับสน วุ่นวาย ฟุ้งซ่าน ฯลฯ อย่างไร มากน้อยขนาดไหน อย่างไร ก็จะ (ดู) ความสับสน วุ่นวาย ฟุ้งซ่าน ฯลฯ เหล่านั้นไปเรื่อย ๆ ดูซิว่ามันมีการเริ่มต้นมาแบบไหน (เหตุมันมาจากไหน) เกิดขึ้นอยู่อย่างไร (สับสน วุ่นวาย ฟุ้งซ่าน ฯลฯ) และเสร็จสิ้นไปตรงไหน เมื่อไหร่ อย่างไร (ประมาณว่าอะไรเป็นตัวทำให้มันเคลื่อนไป ดับไป) เป็นต้น (ขอเรียนให้ทราบว่าอันนี้เป็นประสบการณ์เฉพาะตัวของดิฉันเกี่ยวกับการดูสิ่งที่มากระทบกาย-ใจนะคะ อาจเหมือนหรือไม่เหมือนท่านอื่นอย่างไร ต้องกราบขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ) _/|\_

    และแทบไม่น่าเชื่อค่ะว่า การพิจารณาดูกาย-ดูใจ ขณะที่มีสิ่งต่าง ๆ เข้ามากระทบเหล่านี้นั้น “นายเวรเค้าชอบมากค่ะ” เค้าชอบเหลือเกิน เค้ามีความสุขกับการพิจารณาของดิฉันอย่างมากค่ะ ด้วยเพราะเค้าได้รับบุญไปเต็ม ๆ จากการ “เปิดบุญ” ที่ดิฉันกล่าวเรียกไว้แล้วตั้งแต่เช้า

    เดิมทีดิฉันไม่รู้หรอกนะคะว่าพวกเค้าชอบบุญในลักษณะนี้ และบุญในลักษณะการพิจารณานี้จะเป็นบุญที่ยิ่งใหญ่สำหรับพวกเค้า

    มาทราบอีกทีก็มีอยู่ครั้งหนึ่งค่ะ นั่งพิจารณา (ดู) สิ่งที่มากระทบใจไปเรื่อย ๆ จู่ ๆ ก็เห็นสิ่งลี้ลับมาปรากฎมากมายเหลือเกิน และแสดงการเปลี่ยนรูปร่างให้เห็นด้วย ก็งงว่า “เอ…..เรายังไม่ได้ทำอะไรเลยนี่หว่า ทำไมจู่ ๆ พร้อมใจกันเปลี่ยนรูปร่างดีขึ้น” เมื่อพิจารณาด้วยสติไปเรื่อย ๆ เพื่อดูว่ามันเกิดบุญอะไรขึ้นนะ สิ่งลี้ลับเหล่านี้ถึงได้พร้อมใจมาโชว์การเปลี่ยนรูปร่างที่ดีขึ้นให้เราเห็น

    พิจารณาไปสักครู่ จึงรับรู้ว่า “อ๋อ…บุญจากการพิจารณา (ดู) กาย-ใจนี้เอง เป็นบุญที่ทำให้พวกนี้เปลี่ยนรูปร่างได้รวดเร็ว” นั่นหมายความว่าการเปิดบุญและระบุการเข้ารับบุญอย่างชัดเจน รวมถึงการสอนตั้งแต่เรื่องของลักษณะบุญ การสอนเรื่องการตั้งจิตอธิษฐานต่าง ๆ ไว้เมื่อเช้าในช่วงเปิดบุญนั้น มีผลต่อการเข้ารับบุญของพวกเค้ามากนี่เอง

    นอกจากนี้ยังมีบุญจากการให้ “ธรรมทาน” ซึ่งถือเป็นบุญที่เหล่า “นายเวร” ทั้งหลายชอบกันมากอีกด้วยเช่นกันค่ะ ยิ่งธรรมทานที่สอนตัวเราเองนี้ด้วยแล้ว พวกเขาชอบนัก (ประมาณว่าสอนผู้อื่นก็ไม่ดีเท่าสอนตัวเองน่ะค่ะ) พวกนายเวรจะชอบบุญพวกนี้ค่อนข้างมาก

    นายเวรพวกนี้เป็นพวก “กลุ่มดี” ค่ะ มิใช่นายเวรที่โหดร้ายจนเกินขอบเขต นั่นคือ เมื่อได้รับบุญแล้ว ยินดีอโหสิกรรมให้ และยินดีไปจากเราแบบ “ถาวร” พวกนี้จะชอบ “ธรรมทาน” อย่างมาก บางครั้งแค่เห็นเรา “พิจารณาทุกข์ที่เกิดขึ้นอยู่นั้น” ประมาณว่าบุญจากการพิจารณาเกิดขึ้นปุ๊บ ข้อธรรมเกิดขึ้นปั๊บ พวกเขาจะได้รับบุญอย่างอัตโนมัติเลย (จากการเปิดบุญของดิฉันในทุกเช้า) หรือเมื่อมีการ "ให้ธรรมทาน" ทั้งให้ตัวเองหรือให้ผู้อื่นปุ๊บ บุญเกิดขึ้นปั๊บ พวกเขาก็จะได้รับบุญทันทีเช่นกัน (จากการเปิดบุญไว้ตอนเช้า)
    จึงเป็นที่มาและที่ไป ที่ดิฉันมักจะชอบให้ “ธรรมทานกับตัวเอง” เป็นหลักสำคัญ และเลยไปถึงการเล่าสู่กันฟังให้เป็นธรรมทานกับท่านอื่น ๆ

    ดังนั้น “อย่าคิดนะคะว่าการรู้ทุกข์นั้นจะเป็นประโยชน์เฉพาะปัญญาที่เกิดขึ้นกับเราเท่านั้น บุญตรงนี้หากมีการอุทิศให้กับนายเวรแล้วหล่ะก็ ถือว่าเป็นการให้อย่างค่อนข้างถูกจุดเลยหล่ะค่ะ ด้วยเพราะมันเป็นบุญที่หอมหวลสำหรับพวกเขามากเหลือเกิน นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงจากศัตรูร้ายมาเป็นญาติมิตรที่ดีกับเราได้เลยทีเดียวค่ะ"

    หากคุณไม่ได้เปิดบุญในช่วงเช้าไว้ล่ะก็ เมื่อมีการพิจารณาทุกข์ที่กาย-ใจ หรือมีการให้ธรรมทานในยามใด ก็จงอย่าลืมรีบอุทิศบุญนี้ให้กับ "นายเวร" ของคุณด้วยนะคะ

    ดิฉันเคยกำหนดสอบถามไปทางเทวดาประจำตัวเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวนี้ ก็มักจะได้รับคำตอบอยู่บ่อยครั้งว่า “พวกกลุ่มนายเวรมักชอบบุญที่เกี่ยวกับธรรมทาน”

    คำว่า “ธรรมทาน” ในที่นี้ไม่ได้หมายรวมแต่เฉพาะการมอบให้กับผู้อื่นเท่านั้นนะคะ เราสอนตัวเอง เรามอบให้กับตัวเอง ในขณะคิดอยู่ก็ดี พูดอยู่ก็ดี ทำอยู่ก็ดี ในสมาธิก็ดี ในขณะยืน-เดิน-นั่ง-นอนอยู่ก็ดี ในชีวิตประจำวันก็ดี บุญเหล่านี้สามารถส่งให้กับนายเวรได้เลยทันทีค่ะ

    ระบุไปเลยก็ได้ค่ะว่า “บุญจากการพิจารณาทุกข์ที่เกิดขึ้นที่กายก็ดี-ที่ใจก็ดีนี้ ขอให้ถึงแก่นายเวรที่ต้องการบุญในลักษณะนี้ เมื่อท่านได้รับแล้ว ขอได้โปรดอโหสิกรรมให้กับข้าพเจ้าที่ได้เคยล่วงเกินต่อท่านมาแล้วในอดีตชาติ และขอให้ท่านได้ปรับเปลี่ยนจากศัตรูร้ายกลับกลายมาเป็นญาติมิตรที่ดีงามที่จะคอยสนับสนุนให้ข้าพเจ้าได้บังเกิดซึ่งปัญญาในการพิจารณาทุกข์สืบต่อไปด้วยเถิด”

    หลาย ๆ ครั้งที่ดิฉันประสบกับทุกข์ทางใจ (ส่วนใหญ่จะเจอกรรมด้านนี้เยอะค่ะ) เพราะเท่าที่สังเกตแล้วเนี่ย หากไปได้รับทางกายจะสบาย ๆ ในการพิจารณา แต่หากลงที่ใจแล้วเนี่ย คลายตัวยากค่ะ แม้จะตามดูไปเรื่อย ๆ ก็เถอะ แต่จะระงับและคลายตัวยากเหลือเกิน ทำให้ปัญญาไม่เกิดสักที ได้แต่ตามดูมันไปเรื่อย ๆ อยู่อย่างนั้น ดีไม่ดีสติขาดปุ๊บ ก็เผลอไปช่วยมันปรุงต่ออย่างเมามันส์อีกแน่ะ หลงไปไหนต่อไหนไม่รู้เรื่องเลย ขาดสติอย่างย่อยยับ

    แต่เมื่อมีการส่งบุญในลักษณะธรรมทานให้กับนายเวรมากขึ้น บ่อยขึ้น ถี่ขึ้น เช่น มีการสอนตัวเองเกี่ยวกับทุกข์ที่เกิดขึ้นที่ใจ (คือไม่ได้ดูอย่างเดียว หัดพิจารณาตาม และหัดสอนตัวเองไปด้วยเมื่อมีสติ) เท่านั้นแหล่ะค่ะ มันเพลาตัวลงเลย ไอ้ที่ว่าคลายตัวยากนั้น มันเพลาลงเลย โอกาสในการเข้าไปช่วยผสมโรงอย่างเมามันส์นั้นมันมีน้อยลงค่ะ

    เมื่อการถูกก่อกวนจากนายเวรลดน้อยลง สมาธิและสติก็เริ่มรวมตัวกันมากขึ้น คราวนี้การพิจารณาทุกข์ที่ใจก็ชัดขึ้นค่ะ เห็นเหตุของทุกข์นั้น ๆ ได้ชัดขึ้น คราวนี้เกิดการสอนตัวสอนใจได้ง่ายขึ้น ชัดขึ้นกว่าตอนแรก เห็นเกิด-ดับได้มากขึ้นอีกด้วยในที่สุด

    คราวนี้เลยได้กุศโลบายขึ้นมากับตัวเลยค่ะว่า วันไหนว่าง ๆ รู้แล้วว่า “ธรรมทานเรื่องนี้นะ เหมาะกับนายเวรกลุ่มนี้นะ” ดิฉันก็เอาเลยค่ะ ให้ธรรมทานทันทีเลย ให้ตัวเองบ้าง แนะนำให้กับคนอื่น ๆ บ้าง แล้วส่งบุญจากการให้ธรรมทานเรื่องนั้น ๆ ถึงแก่นายเวรกลุ่มนั้น ๆ เลยทันที เช่น ธรรมทานเกี่ยวกับเรื่องของความรัก เมื่อสอนตัวสอนใจตัวเองแล้ว ก็อุทิศเลย ส่งบุญเลยทันที ส่งให้กับนายเวรที่เกี่ยวข้องกับดิฉันในเรื่องของความรัก เป็นต้น

    ได้ผลมากค่ะ พวกเค้าจะยินดีรับทันที (มันเหมือนจะให้ตรงกับเรื่องของเค้า หรือกับสิ่งที่เค้ากำลังต้องการมั้งคะ) เมื่อได้รับแล้วก็เกิดการอโหสิกรรมให้เราง่ายขึ้น ก่อกวนเราน้อยลง ปล่อยให้เราได้พิจารณาทุกข์ที่เกิดขึ้นกับกายก็ดี กับใจก็ดี ด้วยสติ ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญาที่เรามี โดยไม่เข้ามาวุ่นวายกับเรามากเกินไป

    ดังนั้นจะว่าไป ว่าง ๆ คุณอาจลองแบ่งกลุ่มนายเวรของคุณแยกออกมาเป็นจำพวก ๆ บ้างก็ดีนะคะ เช่น กลุ่มนายเวรเรื่องหนี้สิน กลุ่มนายเวรเรื่องความรัก กลุ่มนายเวรเรื่องการปฏิบัติธรรม กลุ่มนายเวรเรื่องการเงิน กลุ่มนายเวรเรื่องการงาน กลุ่มนายเวรเรื่องเพื่อน กลุ่มนายเวรเรื่องสุขภาพ ฯลฯ

    เมื่อแยกกลุ่มนายเวรออกเป็นกลุ่ม ๆ แล้ว ก็ดำเนินการ “ให้ธรรมทานตามกลุ่มนายเวรนั้น ๆ” จะด้วยการค้นหาข้อความธรรมะของครูบาอาจารย์ หรือจากประสบการณ์ของตัวเองก็ได้ นำไปมอบเป็นธรรมทานให้กับผู้อื่น หรือนำมาอ่านเพื่อสอนตัวสอนตนก็ได้ จากนั้นก็ทำการ “ส่งบุญจากการให้ธรรมทานนี้” ให้กับนายเวรกลุ่มนั้น ๆ ที่คุณกำหนดไว้แล้วทันที เป็นต้น

    จากประสบการณ์ของดิฉันนั้น เมื่อทำการแยกนายเวรออกเป็นกลุ่ม ๆ แล้ว จะง่ายในการส่งบุญอย่างมากค่ะ เพราะที่ผ่านมาเมื่อส่งบุญไปแล้วและทำการตรวจสอบปุ๊บ ก็จะรับรู้ทันทีว่าเค้าจะได้รับบุญกันอย่างค่อนข้างทั่วถึงและตรงกับที่พวกเค้าต้องการ เกิดการอโหสิกรรมต่อกันมากขึ้น

    ธรรมทานจึงถือเป็น

    1. การเพิ่มพูนปัญญาให้เกิดขึ้นกับตัวเรา (คือเมื่อสอนผู้อื่น เมื่อแนะผู้อื่น ก็เหมือนสอนตัวสอนใจตัวเองไปด้วย)
    2. เพิ่มพูนปัญญาให้เกิดขึ้นกับผู้ที่รับธรรมทานของเรา (คนที่เรานำไปสื่อให้อ่าน ให้ฟัง)
    3. เป็นการส่งบุญให้กับนายเวรกลุ่มที่ต้องการการหลุดพ้น (ส่วนใหญ่เป็นพวกกลุ่มดี)
    4. เป็นการเพิ่มพูนปัญญาให้เกิดขึ้นกับ “นายเวร” ได้ตรงตามกลุ่มและตามประเภทอย่างชัดเจน
    5. เกิดการอโหสิกรรมด้วยบุญจากปัญญาที่มอบให้ทั้งตัวเขาและตัวเรา

    ดังนั้น “ธรรมทาน” จะว่าไปแล้วก็ถือว่าเป็นบุญที่สำคัญสำหรับสิ่งลี้ลับทั้งประเภทที่เป็นญาติเราก็ดี และเป็นนายเวรเราก็ดี (แต่ส่วนใหญ่กลุ่ม "นายเวร" เค้าจะชอบบุญในลักษณะนี้ค่อนข้างมากกว่ากลุ่มอื่น ๆ น่ะค่ะ) แต่ทั้งนี้ท่านต้องเปิดบุญและบอกกล่าวเค้าให้ชัดเจนเกี่ยวกับบุญประเภทดังกล่าวนี้ด้วยนะคะ

    หรือไม่ก็เมื่อให้ธรรมทานเสร็จปุ๊บ ก็อุทิศส่งบุญปั๊บ หรือเปิดบุญบอกไว้เลยว่า “จะให้ธรรมทานแล้วนะ เตรียมมารับบุญนะ พวกนายเวรกลุ่ม.............เตรียมมารับบุญนะ” เป็นต้น

    และไม่ต้องกลัวนะคะ กลุ่มญาติในโลกทิพย์ของเรา (กลุ่มอื่น ๆ) ก็จะสามารถได้รับบุญจากธรรมทานนี้ด้วยเช่นกัน แต่พวกเค้าจะรับบุญดังกล่าวนี้ในลักษณะของการเข้ารับแบบ "โมทนาบุญ" น่ะค่ะ (ซึ่งเราได้เอ่ยบอกไว้แล้วตั้งแต่ช่วงเปิดบุญนั่นเอง)

    จะว่าไปแล้ว "การเปิดบุญ" ในช่วงเช้านั้นถือว่าสำคัญมากนะคะ หากเราเอ่ยเรียกครบ สอนแนะการเข้ารับบุญ, สอนแนะลักษณะของบุญว่ามีรูปร่างลักษณะอย่างไร, สอนแนะการแปลงบุญกับพวกเขา, สอนแนะวิธีการโมทนาบุญ (โดยอธิบายให้เค้าได้รับรู้ว่ามันมีผลดีอย่างไรในการโมทนนาบุญ), สอนแนะวิธีการตั้งจิตอธิษฐานต่าง ๆ เช่น การเลื่อนภพภูมิ และการขอเป็นญาติเรา (อธิบายอย่างละเอียดให้เค้าเห็นถึงประโยชน์ที่พวกเขาจะได้รับจากการอธิษฐาน)

    รวมถึงการสอดแทรกไปด้วยว่าบุญจากการพิจารณาดูกาย-ใจของเรานี้ หรือบุญจากการให้ธรรมทานของเรานี้ จะอุทิศส่งให้กลุ่มใด และกลุ่มอื่น ๆ จะเข้ารับบุญดังกล่าวนี้ได้ในลักษณะไหนนั่นเอง

    ท่านต้อง "ละเอียด" สักนิดน่ะค่ะในการบอกกล่าว ยอมเสียเวลาในช่วงเช้าสักหน่อย แต่มันคุ้มค่ามากนะคะกับสิ่งลี้ลับ หรือหากไม่บอกในช่วงเปิดบุญ ก็ต้อง "ขยัน" สักหน่อยในการอุทิศทันทีที่มีการ "ให้" และการ "พิจารณาทุกข์"

    เหมือนเราน่ะค่ะ หากเราเรียนคณิตศาสตร์ไม่เก่ง แล้วมีครูคอยแนะคอยสอนเรา (อย่างละเอียด) แนะบ่อย ๆ เข้าเราก็จะฉลาดในการเรียนรู้ได้เองในที่สุด เมื่อฉลาดในระดับหนึ่งแล้ว คราวนี้ครูก็เบาแล้วค่ะ ไม่ต้องพร่ำต้องสอนละเอียดแล้ว เราพัฒนาสมองเองได้แล้ว เราก็ปรื๋อเลยงานนี้ ลุยเอง อ่านเอง ค้นคว้าเองได้แล้วในที่สุดค่ะ

    จงมาทำหน้าที่ของ "ผู้ให้" อย่างละเอียดกันสักนิดเถอะค่ะ เสียเวลาสักหน่อย แต่มันคุ้มค่าเหลือเกินกับญาติ ๆ ของเราในโลกทิพย์ที่เค้าไม่รู้จะไปพึ่งพิงขอบุญจากใครแล้ว ซ้ำยังเป็นการ "ชดใช้" คืนในสิ่งที่เราเคยทำผิดทำพลาดมาแล้ว ให้กับ "นายเวร" ที่เค้ายอมแล้วนะคะ ยอมที่จะให้เราได้มีโอกาสเลือกเอาบุญที่เรามีอยู่นั้นมาชดใช้คืนพวกเขา แทนการลงโทษเราอย่างสาสม เค้ายอมให้เราแล้ว ดังนั้นเราต้อง "ขยัน" และ "ละเอียด" ในการส่งบุญกันสักหน่อยน่ะค่ะ

    โมทนาบุญค่ะ _/|\_ _/|\_ _/|\_
     
  7. wisarn

    wisarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    727
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +2,503
    --------------------------------------------------------------------------------
    หัวข้อ: Re: คุยกันสบายๆ กับ sky และ ธง
    เริ่มหัวข้อโดย: sky ที่ 26 พฤศจิกายน 2005, 16:28:38
    --------------------------------------------------------------------------------

    สวัสดีค่ะ พี่ ๆ เพื่อน ๆ น้อง ๆ ชาว “ลานวัด” ทุกท่าน

    เช่นเคยนะคะ “วันนี้คุณได้เปิดบุญ-เบิกบุญ-โอนบุญให้กับญาติในโลกทิพย์และเหล่านายเวรของคุณแล้วหรือยังคะ” โมทนาบุญค่ะ _/|\_

    ต้องขอกราบขอบพระคุณพี่ธง, พี่ Widcha และทุก ๆ ความคิดเห็นที่มีเข้ามาถึงดิฉันนะคะ ….กราบขอบพระคุณค่ะ _/|\_

    ดิฉันเคยคิดว่า “ประสบการณ์ชีวิต” นอกจากมันจะมีประโยชน์สำหรับตัวเราเองแล้ว ในการบอกกล่าว-สอนเตือนให้เราได้พึงระลึกถึงว่า “สิ่งนี้นะ ….ไม่ดีนะ…เคยทำมาแล้วนะ….อย่าทำอีกนะ” หรือ “สิ่งนี้นะ …ดีมากนะ….เคยทำมาแล้วนะ….จงทำอีกนะ” และมันอาจจะมีประโยชน์กับหลาย ๆ คนบ้างก็เป็นได้ หากเค้าได้เข้ามารับรู้ในประสบการณ์ชีวิตของเรา

    จึงเป็นที่มาที่ไปที่ดิฉันคิดว่า หลายครั้งที่ดิฉันท้อแท้ สิ้นหวัง หดหู่กับปัญหาต่าง ๆ ที่มันรุมล้อมเข้ามาในชีวิต และเนื่องจากพื้นฐานแล้วเป็นคนที่ไม่ชอบบอกกล่าวความทุกข์กับใคร มีสิ่งใดเข้ามาก็จะคิดแก้ไขเอาเองซะส่วนใหญ่ แต่เมื่อมีโอกาสได้ไปพบ ไปอ่าน ไปพูดคุยกับหลาย ๆ คนที่เค้าเคยมีความทุกข์เฉกเช่นเดียวกับดิฉันมาก่อน มันทำให้ดิฉันมีกำลังใจที่จะต่อสู้กับทุกปัญหาค่ะ ด้วยเพราะพึงระลึกถึงว่า “เขาเจอทุกข์ เขายังอยู่ได้ ยังสู้ได้ เราเจอทุกข์ เราก็ควรอยู่ได้ และสู้ได้บ้างสิ”

    วันนี้ก็เป็นอีกหนึ่งวันค่ะ ที่ดิฉันจะใคร่ขอนำเอาประสบการณ์ชีวิตเล็ก ๆ น้อย ๆ กับสิ่งลี้ลับที่ดิฉันได้สัมผัส ซึ่งมันอาจจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยกับทุกท่านที่ได้แวะเวียนกันเข้ามาอ่านนะคะ และเช่นเคยค่ะ ต้องขอความกรุณาทุกท่านอ่านด้วยสติและวิจารณญาณด้วยนะคะ ……….กราบขอบพระคุณค่ะ _/|\_

    วันนี้เป็นวันทำงานของดิฉันค่ะ อาการไข้ยังคงมีอยู่ แต่อาจไม่มากเท่าไหร่ จิตใจก็ปกติดีกับการพิจารณาความเจ็บป่วยที่ได้เผชิญอยู่ ดูกายแล้วก็มิลืมที่จะย้อนไปดูใจด้วยว่า มันสัมพันธ์ มันผูกพัน มันใกล้ชิด มันสนิทสนมกันขนาดไหน ระหว่างกายกับใจ
    และวันนี้ก็เหมือนเป็นวันแห่งความโชคดีของดิฉันค่ะ ที่ดิฉันมีโอกาสได้สัมผัสกับสิ่งลี้ลับท่านหนึ่ง ที่มาปรากฎตัวให้เห็น

    เธอเป็นผู้หญิงสวยมากค่ะ ผมสั้น ใส่เสื้อผ้าเหมือนคนโบราณในยุคสมัยอยุธยา (เป็นประมาณผ้าคาดที่หน้าอกน่ะค่ะ) ผมสั้น เธอมาปรากฎตรงหน้า จ้องมองดิฉันด้วยสีหน้าเศร้ามากเหลือเกิน

    เมื่อได้พบเธอผู้นี้ มันทำให้ดิฉันรู้สึกแปลก ๆ เข้าที่หัวใจ รู้สึกผูกพันมากอย่างบอกไม่ถูก ดิฉันอึ้งอยู่ชั่วครู่ จากนั้นจึงรีบเบิกบุญให้กับเธอผู้นี้ทันที

    เธอส่ายหน้า เสมือนหนึ่งไม่ต้องการบุญ แต่ต้องการจะมาบอกกล่าวอะไรบางอย่างกับดิฉัน

    ดิฉันจึงได้เอ่ยถามไปว่า “ท่านคือใคร มีสิ่งใดที่จะให้เราได้ช่วยเหลือหรือไม่”

    เธอร้องไห้ในทันที และก็แสดงภาพให้ดิฉันได้เห็นว่า เธอคือใคร……….

    ทุกท่านคะ…. ภาพเหตุการณ์ที่ดิฉันได้สัมผัสนั้น มันก็ทำให้ดิฉันแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้เหมือนกันค่ะ

    เธอคือเมียของดิฉันในภพชาติหนึ่ง ดิฉันทอดทิ้งเธอไปมีเมียใหม่ ดิฉันทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจของเธออย่างมาก เธอร้องไห้และตรอมใจตายไปในที่สุด ก่อนสิ้นใจเธอได้ตั้งจิตอธิษฐานว่า “จะตามดิฉันไปทุกภพทุกชาติ เพียงเพื่อให้ดิฉันได้สำนึกในสิ่งที่เคยกระทำกับเธอไว้ ด้วยใจที่สำนึกแล้วจริง ๆ”

    ซึมค่ะ ซึมแบบบอกไม่ถูกเลย ทั้งซึมทั้งอึ้งค่ะกับภาพเหตุการณ์ที่ได้สัมผัส ดิฉันตั้งสติใหม่อีกครั้ง ได้เบิกบุญและได้กล่าวขอขมากับเธอผู้นั้นด้วยใจที่สำนึกผิดจริง ๆ ค่ะ ได้เห็นภาพความชั่วช้าของตัวเองแล้ว ได้ระลึกแล้ว ได้สำนึกแล้วจริง ๆ

    เธอบอกกับดิฉันว่า “ที่มาในวันนี้ จะมาบอกว่า จะไปแล้ว ได้รับบุญอยู่ทุกวันจากท่าน ได้รับบุญจนเราลืมแล้วซึ่งความแค้นที่เคยมีต่อกัน วันนี้แค่จะมาบอกให้รู้ว่า ครั้งหนึ่งท่านเคยทำอะไรกับเราไว้ และวันนี้เรารับรู้ดีแล้วว่าท่านรับรู้แล้ว และสำนึกผิดด้วยใจที่บริสุทธิ์แล้วจริง ๆ เราจะมาลา”

    เธอยังกล่าวกับดิฉันเพิ่มเติมว่า “การเบิกบุญ-โอนบุญ-เปิดบุญ นั้น มีผลกับทุกสิ่งแม้กระทั่งนายเวรผู้ตามก่อกวน พึงระลึกไว้เถิดว่า เมื่อสิ้นเราแล้ว ก็ยังมีนายเวรเฉกเช่นเดียวกับเราที่รอการเข้าคิวก่อกวนท่านอีก ดังนั้นจงเร่งให้บุญกับพวกเขาก่อนที่เขาจะเข้ามาก่อกวนเถิด บุญระงับได้ซึ่งวิบากกรรม ด้วยเพราะบุญทำให้ท่านสำนึกได้ ระลึกได้ถึงกรรมที่กระทำลงไป เป็นผลให้ท่านคิดที่จะไม่สร้างกรรมนั้นขึ้นมาอีก มันระงับกันได้ตรงนี้แหล่ะท่าน ดังนั้นการเป็นผู้ให้บุญ จึงเปรียบเสมือนกับการตั้งใจแล้วที่จะระงับกรรมนั่นเอง”

    ดิฉันได้ถามกลับไปอีกครั้งว่า “เหตุอันใดท่านถึงยอมอโหสิกรรมให้กับเรา”

    เธอผู้นั้นตอบมาว่า “ก็ท่านให้บุญเราทุกวัน ท่านได้ระบุแยกประเภทนายเวรออกมาเป็นกลุ่ม ๆ และให้บุญกับเราอยู่ตลอด เราได้รับบุญอย่างมาก จนก่อให้เกิดซึ่งการอโหสิกรรมกับท่านไปในที่สุด”

    ดิฉันนั่งคิดอยู่สักครู่ก็พอจะรับรู้ว่า เธอผู้นี้คือนายเวรกลุ่มไหน ทั้งนี้เนื่องจากในแต่ละวัน ดิฉันจะมีตารางในการอุทิศบุญเป็นช่วง ๆ ว่าช่วงเวลานี้ให้กับใคร-นายเวรกลุ่มไหน บุญจากสิ่งนี้ให้กับใคร-นายเวรกลุ่มไหน ซึ่งส่วนใหญ่ญาติในโลกทิพย์นั้นดิฉันจะเน้นสอนให้พวกเขาเข้ารับบุญด้วยการ “โมทนาบุญ” อยู่แล้ว แต่พวกนายเวรนั้นดิฉันจะมีช่วงเวลาในการอุทิศและแยกเป็นกลุ่ม ๆ อย่างชัดเจน มีการให้บุญไปพร้อม ๆ กับการกล่าวขอขมาด้วย ให้ธรรมทานด้วยอยู่ตลอด จะเน้นให้บุญค่อนข้างถี่อย่างมาก แยกเป็นกลุ่มอย่างชัดเจน

    ดิฉันได้ถามเธอผู้นั้นไปอีกว่า “เรายังมีนายเวรกลุ่มประเภทนี้รอการเข้าคิวก่อกวนเราอยู่อีกใช่หรือไม่”

    ผู้หญิงท่านนั้นได้เมตตาบอกกล่าวมาว่า “มีอยู่แน่นอน แต่ท่านไม่ต้องกลัวหรอก มีนายเวรจำนวนมากที่ได้รับบุญจากท่านแล้ว ยอมอโหสิกรรมไปแล้วมากมาย เฉกเช่นเดียวกับเราที่เมื่อได้รับบุญ ได้รับธรรมทานจากท่านแล้ว เราก็เกิดการอโหสิกรรมขึ้นมาโดยทันทีในที่สุด และต้องการจะตอบแทนท่านด้วยการมาบอกกล่าวให้ท่านเร่งอุทิศบุญให้มากเถิด เพื่อลดการก่อกวนจากเหล่านายเวร ท่านจะได้มีเวลาลุยกับการปฏิบัติธรรมของท่านอย่างต่อเนื่องและสมบูรณ์มากขึ้น เราโมทนาบุญด้วยกับสิ่งที่ท่านทำ”

    ก่อนจากไป เธอยังเมตตาด้วยการสอนสิ่งต่าง ๆ กับดิฉันมากมาย ส่วนหนึ่งที่สำคัญคือเธอสอนให้เห็นถึง “ความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตน เห็นแก่ความสุขของตัวกู ของกู ที่อดีตชาติดิฉันได้สร้างไว้ ทำไว้ ซึ่งมันก่อให้เกิดความทุกข์กาย-ทุกข์ใจของผู้ที่ได้รับผลจากการกระทำของดิฉัน”

    ดิฉันฟังเธอสอนไป น้ำตาก็อดไหลไม่ได้ค่ะ มันเป็นน้ำตาแห่งความสำนึกผิดจริง ๆ เพราะคำว่า “ตัวกู” นี้เอง มันจึงต้องทำให้เกิดความทุกข์กับผู้อื่นได้มากขนาดนี้

    เกิดการระอายต่อบาป ต่อเวร ต่อกรรมจริง ๆ ค่ะ

    ดิฉันได้เบิกบุญอย่างเต็มที่ (เน้นว่าเต็มที่) นั่นคือระลึกถึงบุญได้ก็ดี ระลึกไม่ได้ก็ดี อุทิศให้เธอหมดเลย ด้วยใจที่สำนึกผิดจริง ๆ

    เธอมองหน้าดิฉันเสมือนหนึ่งว่าจะไม่ได้พบ-ไม่ได้เจอกันอีกแล้วนะ เธอร้องไห้ค่ะ ดิฉันก็น้ำตาซึมเหมือนกัน สักครู่เธอก็ค่อย ๆ หายไป

    วันนี้ดิฉันคิดว่า มันเป็นวันที่มีค่ามากสำหรับดิฉันค่ะ เป็นวันที่ดิฉันได้มีโอกาสรับรู้ถึงความชั่วช้าของตัวเอง และเป็นอีกหนึ่งวันที่ทำให้ดิฉันรู้สึกระอายและเกรงกลัวต่อบาปเหลือเกิน

    ที่สำคัญมันเป็นอีกวันหนึ่ง ที่จะทำให้ดิฉันมีกำลังใจที่จะเปิดบุญ-เบิกบุญ-โอนบุญ ให้กับนายเวรและญาติในโลกทิพย์ ที่ถึงแม้เค้าจะไม่มาปรากฏให้เห็นก็ตาม แต่เสมือนหนึ่งมันเป็นหน้าที่ที่ดิฉันควรจะ “ชดใช้” คืนให้กับพวกเขา จนกว่าจะหมดซึ่งลมหายใจ

    โมทนาบุญค่ะ และขอเป็นกำลังใจให้กับทุกท่าน ในการสร้างความเพียรของการเป็น “ผู้ให้” ที่พร้อมแล้วด้วยใจค่ะ

    และขอบุญแห่ง “ธรรมทาน” จากประสบการณ์ครั้งนี้ของดิฉัน จงเป็นบุญเป็นกุศลที่ยิ่งใหญ่ส่งถึงแด่เธอผู้เมตตา ที่แม้จะเคยเป็นนายเวรต่อกัน แต่ที่สุดก็ยังเมตตามาชี้แนะและให้ข้อธรรมกับดิฉันในครั้งนี้ ขอให้เธอได้หลุดพ้นเข้าสู่ภพภูมิที่ดีงามที่เธอได้ปรารถนาแล้วในที่สุด

    โมทนาบุญค่ะ _/|\_ _/|\_ _/|\_
     
  8. wisarn

    wisarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    727
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +2,503
    --------------------------------------------------------------------------------
    หัวข้อ: Re: คุยกันสบายๆ กับ sky และ ธง
    เริ่มหัวข้อโดย: sky ที่ 07 ธันวาคม 2005, 18:46:48
    --------------------------------------------------------------------------------

    สวัสดีค่ะพี่ ๆ เพื่อน ๆ น้อง ๆ ชาว “ลานวัด” ทุกท่าน _/|\_

    อีกครั้งนะคะ กับคำถามที่ยังคงเวียนมาถามกันอยู่อย่างต่อเนื่อง “วันนี้คุณได้เปิดบุญ-เบิกบุญ-โอนบุญให้กับญาติในโลกทิพย์และนายเวรของคุณแล้วหรือยังคะ” โมทนาบุญอีกเช่นเคยค่ะ _/|\_

    วันนี้หลังจากทานอาหารกลางวันเสร็จแล้ว ดิฉันได้มีโอกาสขึ้นไปที่ห้องพระของที่ทำงานเพื่อทำสมาธิเหมือนเช่นทุกครั้งที่พอจะมีเวลาค่ะ

    เมื่อนั่งสมาธิไปได้สักครู่ ก็ได้รับสัญญาณจากสิ่งลี้ลับท่านหนึ่งค่ะมาปรากฎ (เป็นผู้หญิงค่ะ) ดิฉันได้ทำการเปิดบุญไว้แล้วก่อนการนั่งสมาธิ จึงมิได้กังวลใด ๆ ว่าสิ่งลี้ลับจะได้รับบุญกันหรือไม่ ด้วยเพราะเราได้บอกกล่าวพวกเค้าไปแล้วอย่างละเอียดถึงวิธีการเข้ารับบุญและวิธีการอื่น ๆ ฉไหนเลยจะต้องมาหนักใจในการพะว้าพะวงว่าเขาจะได้หรือไม่ได้ ให้ต้องเสียสมาธิ

    อย่างที่เคยเรียนให้ทราบน่ะค่ะว่า เมื่อทำการเปิดบุญอย่างละเอียดแล้ว อย่างชัดเจนและถูกต้องแล้ว สิ่งที่ก่อให้เกิดผลดีกับดิฉันและสิ่งลี้ลับก็คือ
    1.) ดิฉันไม่ต้องพบเห็นสิ่งลี้ลับบ่อยขึ้นเหมือนเมื่อก่อน (ด้วยเพราะพวกเค้ารู้วิธีในการรับบุญแล้ว พวกเค้าก็ไม่จำเป็นที่จะต้องแสดงตัวเพื่อขอบุญ)
    2.) สิ่งลี้ลับไม่ต้องใช้พลังมากในการรวมตัวเพื่อให้ดิฉันได้สัมผัสกับพวกเค้า ในการขอบุญ

    ถือเป็นประโยชน์ทั้งกับดิฉันและสิ่งลี้ลับอย่างเห็นได้ชัดค่ะ และที่สำคัญไปกว่านั้นคือ เมื่อพวกเขามีช่องทาง หรือรู้ช่องทางในการรับบุญแล้ว ก็จะทำการส่งสัญญาณเข้าสู่กายสู่ใจเราน้อยลง เมื่อการส่งสัญญาณมีน้อยลง เราก็เกิดการสบายตัวมากขึ้น ไม่ถูกขอบุญแบบก่อกวนมากเหมือนเมื่อก่อนนั่นเอง

    (เล่าต่อนะคะ) สิ่งลี้ลับท่านนั้นไม่ไปไหนค่ะ ยังคงรอจนกว่าดิฉันจะพูดคุยด้วย เวลาผ่านไปสักครู่ดิฉันออกจากสมาธิ สิ่งลี้ลับท่านนั้นก็ยังคงอยู่ไม่ไปไหน ดิฉันได้ทำการเบิกบุญให้ ก็ยังไม่ไปไหนอีกเช่นเคย ดิฉันจึงได้สอบถามไปว่า “ท่านมีสิ่งใดที่ต้องการ และมีสิ่งใดที่เราพอจะสามารถช่วยท่านได้”

    ก็ได้รับคำตอบกลับมาว่า “ เราเองเป็นผู้ที่เคยได้รับบุญจากท่าน และได้ขอเป็นญาติต่อท่านแล้ว ที่ผ่านมาเราเคยเห็นพวกเดียวกับเรานี้มันเอาบุญด้วยการบอกกล่าวสิ่งลี้ลับอื่น ๆ ให้มารู้จักท่าน ให้ได้ยินเสียงของท่านในการ “ให้บุญ” เราเห็นพวกที่บอกนั้นมันได้บุญกันมากโข เราเลยอยากได้บ้าง เราจึงเลียนแบบด้วยการไปบอกกล่าวกับสิ่งลี้ลับที่เราพบเห็นให้มันมารู้จักท่าน มาฟังเสียงท่าน มารับบุญจากท่าน แต่คราวนี้เราทำไม่สำเร็จอย่างพวกนั้นเขา เราเลยจะมาถามท่านว่าเราควรทำเช่นไร ให้กิจของเราสำเร็จผล”

    ดิฉันได้ถามไปว่า “อะไรคือสำเร็จ อะไรคือไม่สำเร็จ” :-\

    ก็ได้รับคำตอบกลับมาว่า “พวกสิ่งลี้ลับที่เราพยายามไปบอกให้มันมาพบท่าน เราบอกพวกมันอยู่นาน แต่พวกมันไม่ได้ยินเราพูดในประโยคที่เกี่ยวกับท่าน นั่นหมายความว่าหากเราพูดประโยคอื่น ๆ พวกมันจะเข้าใจเรา แต่หากเราพูดเรื่องการเข้ารับบุญเท่านั้นเอง พวกมันจะไม่ได้ยินเราพูดเลยทันที แม้ได้ยินก็จะได้ยินไม่ตรงกับข้อความที่เราพูด”

    ดิฉันเองได้ฟังในตอนแรกก็เกิดอาการ “งง งง และยิ่ง งง” พยายามทบทวนคำกล่าวทั้งหมดของสิ่งลี้ลับท่านนั้นอีกครั้ง สักครู่จึงเข้าใจว่าหมายถึงอะไร

    เมื่อเข้าใจว่าอะไรคืออะไรแล้ว ดิฉันก็อดถอนหายใจไม่ได้ค่ะ ……..นี่แหล่ะนะเขาเรียกว่า “กรรม”

    ได้บอกกับสิ่งลี้ลับท่านนั้นไปว่า “ท่านเห็นหรือยังล่ะ กรรมนั้นสำคัญขนาดไหน บางจำพวกกรรมน้อย-การรับรู้รับทราบเรื่องบุญของพวกเขาก็อาจดูง่ายในการบอกกล่าว แต่บางจำพวกมีกรรมมาก-การรับรู้รับทราบเรื่องบุญของพวกเขาก็ย่อมจะยากตามไปด้วยนั่นเอง ขอท่านอย่าได้วิตกไปเลย การกระทำของท่าน ถึงแม้จะเป็นการเลียนแบบสิ่งลี้ลับอื่น ๆ ที่เคยกระทำมาแล้วบ้างก็เถอะ เราถือว่าประเสริฐยิ่งนักที่ท่านจะเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยให้สิ่งลี้ลับอื่น ๆ ได้พ้นทุกข์ ข้าขอโมทนาบุญกับท่านด้วย แต่ทั้งนี้สิ่งใดที่ท่านยังช่วยไม่ได้ก็อย่าไปวิตก จงช่วยผู้ที่ช่วยเหลือได้ก่อน ส่วนผู้ที่ช่วยเหลือไม่ได้ก็ค่อยว่ากัน”

    จากนั้นดิฉันก็สอนสิ่งลี้ลับท่านนั้นไปว่า “พระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งของเราและเป็นที่พึ่งของทุกสรรพสิ่ง เมื่อท่านมีจิตที่เมตตาที่จะช่วยเหลือสิ่งลี้ลับด้วยกัน ก็ขอให้ท่านระลึกถึงความเมตตานี้ไว้เป็นที่ตั้ง พร้อมกับระลึกถึงพระพุทธเจ้าเพื่ออัญเชิญมาเป็นประธานแห่งความเมตตาของท่านในครั้งนี้ ให้บังเกิดผลบุญอันจะแปลงเป็นข้อความที่สามารถสื่อสารให้กับสิ่งลี้ลับที่ท่านต้องการบอกกล่าว ให้ได้เข้าใจอย่าง “ถูกต้อง” ในสิ่งที่ท่านจะสื่อสารออกไป”

    “ตัวข้าเองนี้ก็มิใช่ผู้มีปัญญามากแต่ประการใด เพียงข้าอาศัยความเพียรและความเมตตาในการสร้างความดี เฉกเช่นเดียวกับที่ท่านกำลังกระทำอยู่ ข้ากระทำในโลกของข้า ส่วนท่านก็กำลังสร้างความดีในโลกทิพย์ของท่าน ข้าขอให้ท่านได้ลองนำเอาวิธีนี้ไปใช้เถิด ได้ผลอย่างไรก็ขอโมทนาบุญในการมาบอกกล่าวต่อกันด้วยนะท่าน”

    หลังจากพูดคุยจบแล้ว ดิฉันก็มิลืมที่จะโมทนาบุญกับสิ่งลี้ลับท่านนี้ พร้อมกับเบิกบุญให้กับสิ่งลี้ลับท่านนี้ด้วยอีกครั้งหนึ่ง อดคิดไม่ได้ว่า “สิ่งลี้ลับนั้นฉลาดยิ่งนัก ขอเพียงให้พวกเขาได้ก่อเกิดปัญญาด้วยตัวเองแล้ว พวกเขาก็สามารถสานต่อปัญญาด้วยตัวเองไปได้อย่างไม่ใช่เล่นๆ เลย” น่าโมทนาบุญยิ่งนัก _/|\_

    เมื่อลงมาทำงานต่อในภาคบ่ายไม่นานนัก ก็ได้รับการติดต่อจากสิ่งลี้ลับท่านนั้นว่า “อำนาจพระพุทธเจ้ายิ่งใหญ่นัก พวกสิ่งลี้ลับที่ไม่เคยเข้าใจหรือไม่เคยได้ยินข้อความการบอกบุญของข้ามาก่อน พวกเขาได้ยินแล้ว และเข้าใจแล้วในสิ่งที่ข้าสื่อออกไปด้วยอำนาจของพระพุทธเจ้านี้เอง หมดหน้าที่ข้าแล้ว ข้าได้รับบุญแล้ว ข้าขอให้ท่านช่วยให้บุญพวกเขาต่อด้วย ข้าขอลาเพื่อไปบอกกล่าวกลุ่มอื่น ๆ ต่อ เพื่อทำบุญของข้าต่อ”

    บอกได้คำเดียวค่ะว่า “ปิติมากเหลือเกินเมื่อได้ยิน ได้สัมผัสเช่นนี้” ดีใจต่อปัญญาที่เพิ่มขึ้นของพวกเขาน่ะค่ะ พวกเขามิได้เป็นภาระของดิฉันเลย และนอกจากจะไม่ได้เป็นภาระแล้ว พวกเขายังมีส่วนช่วยสิ่งลี้ลับในโลกทิพย์ของพวกเขาให้ได้มีโอกาสหลุดพ้นด้วยอีกต่างหาก ถือว่าพวกเขาได้ช่วยดิฉันและช่วยครูบาอาจารย์แล้วอีกช่องทางหนึ่งค่ะ น่าโมทนาบุญยิ่งนักค่ะ _/|\_

    ทั้งหลายทั้งปวงที่พวกเขาพามาเป็นญาติของดิฉันนั้น (ในปริมาณที่ไม่ใช่น้อย) ดิฉันพึงระลึกไว้เสมอค่ะว่า ดิฉันคงต้องเพิ่มความละเอียดในการบอกกล่าวการเข้ารับบุญให้ชัดเจนและถูกต้องมากขึ้นค่ะ ซึ่งตรงนี้มิได้ถือเป็นภาระของดิฉันเลย ตรงกันข้ามถือเป็นการตอบแทนความดีของพวกเขาที่ได้คิดดีแล้ว และทำดีแล้วในที่สุดต่างหากค่ะ

    และที่สำคัญไปกว่านั้นคือ “การมีญาติในโลกทิพย์เยอะ จะทำให้ดิฉันมีความเพียรในการคิดดี พูดดี ทำดีมากขึ้นอีกต่างหากค่ะ” พวกเขาถือเป็นแรงกระตุ้นในการสร้างความดีและความเพียรให้กับดิฉันมากเหลือเกิน

    นี่แหล่ะค่ะทุกท่าน แม้กระทั่งสิ่งลี้ลับในโลกทิพย์ เขาก็ยังมีหน้าที่แห่งการ “ให้” ที่มิได้แตกต่างจากพวกเราเลย เขายังมีความเพียรที่จะทำความดี เพิ่มพูนบุญ เพิ่มพูนปัญญา เพิ่มพูนความเมตตาให้กับตัวของเขาเอง ถึงแม้การบอกกล่าวการเข้ารับบุญของพวกเขาจะเป็นการทำงานเพื่อหวังบุญก็ตามที แต่พวกเขาก็ยังฉลาดที่จะเลือก “หวังบุญ” มากกว่าจะเลือก “หวังบาป” นั่นคือเลือกทำดีก่อนเป็นหลักสำคัญ

    แล้วเราล่ะค่ะ……………….. ;)

    โมทนาบุญค่ะ _/|\_ _/|\_ _/|\_
     
  9. wisarn

    wisarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    727
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +2,503
    --------------------------------------------------------------------------------
    หัวข้อ: Re: คุยกันสบายๆ กับ sky และ ธง
    เริ่มหัวข้อโดย: sky ที่ 16 ธันวาคม 2005, 13:51:45
    --------------------------------------------------------------------------------

    สวัสดีค่ะ พี่ ๆ เพื่อน ๆ น้อง ๆ ชาว “ลานวัด” ทุกท่าน

    เช่นเคยค่ะ “วันนี้คุณได้เปิดบุญ-เบิกบุญ-โอนบุญ ให้กับญาติในโลกทิพย์และนายเวรของคุณ แล้วหรือยังคะ” โมทนาบุญค่ะ _/|\_

    สองวันมานี้ดิฉันมีโอกาสได้ฟังซีดีชุด “คืนแว่นแตก” ชุด “สอนอธิการบดี” และ ชุด “สอนคนป่วย” อยากเรียนให้ทราบว่า ทั้ง 3 ชุดนี้ หลวงปู่ท่านได้เทศน์สอนอย่างครอบคลุมมาก ๆ ค่ะ เรียกได้ว่ารวมเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยไว้มากมายเหลือเกิน เช่น เรื่องสุขภาพ เรื่องความรัก เรื่องครอบครัว เรื่องการปฏิบัติธรรม เรื่องคาถาอาคม เรื่องเทวดา ฯลฯ

    ดิฉันเองฟังไปก็อุทิศบุญไปค่ะ เพราะหลวงปู่ท่านบอกว่า ท่านได้อธิษฐานแล้วว่า “เสียงของท่านนั้น ขอให้ถึงแก่เหล่าสิ่งลี้ลับทั้งมวล” ดังนั้นการเปิดฟัง CD คำสอนของท่าน ก็เท่ากับเราเป็นตัวแทนให้กับเหล่าสิ่งลี้ลับได้รับฟังธรรมไปด้วยนั่นเอง (ถือเป็นบุญที่ยิ่งใหญ่มากนะคะ) _/|\_

    ดิฉันใคร่ขอนำเอาเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเท่าที่จะพอนำมาสรุปได้ จาก CD ทั้ง 3 ชุดข้างต้น ขออนุญาตนำมาบอกกล่าวเป็นธรรมทานต่อกันสักเล็กน้อยนะคะ เผื่อจะเป็นประโยชน์ต่อกัลยาณมิตรทางธรรมที่สนใจค่ะ (ขออนุญาตพิมพ์เป็นลักษณะสรุปคร่าว ๆ นะคะ)

    คนที่ไม่ดี (ไม่ว่าจะเป็นสามีเรา ภรรยาเรา ลูกเรา พี่น้องเรา ฯลฯ หรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรา) เราสามารถทำให้เค้าเป็นคนดีได้ ด้วยการ “ทำบุญ แล้วส่งบุญ (โอนบุญ หรืออาจเบิกบุญก็ได้ค่ะ) ให้กับสิ่งลี้ลับในโลกทิพย์หรือเทวดาผู้เฝ้าอยู่กับคน ๆ นั้น” ให้เทวดาได้ช่วยดลจิตดลใจให้คน ๆ นั้นเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมใหม่ที่ดีขึ้น (หมายเหตุ : ต้องส่งบุญบ่อย ๆ ถี่ ๆ สม่ำเสมอด้วยนะคะ) หรืออาจจะบอกเทวดาที่อยู่กับคนผู้นั้น ให้ช่วยดลใจให้คนผู้นั้นให้ความสนใจในการโอนบุญ-เบิกบุญ-เปิดบุญ ก็ได้ค่ะ (ถือว่ายิ่งดีใหญ่เลย เพราะให้คน ๆ นั้นได้เป็นผู้ให้บุญด้วยตนเอง)

    คาถาบางอย่างที่ปลุกเสกมา ไม่ว่าจะที่สร้อย สายสิญจน์ ฯลฯ ที่เรามีติดตัวกันอยู่นั้น จะทำให้เหล่าภูติ ผี ปีศาจเข้ารับบุญจากเราไม่ได้ เมื่อเข้ารับบุญไม่ได้ก็จะทำการส่งสัญญาณก่อกวนเรา อาจส่งสัญญาณเข้าผู้อื่น เพื่อส่งมากระทบต่อตัวเราก็ได้ ดังนั้นผู้ที่มีอยู่จะต้องทำการ “คลายคาถา” เหล่านั้นซะ ด้วยการอธิษฐานดังนี้ “ขออำนาจคุณพระรัตนตรัย จงบันดาลอาคมที่เป่าเสกกันสิ่งชั่วร้ายที่จะมากร้ำกราย คาถาเหล่านั้น อาคมเหล่านั้น จงมลาย ด้วยอำนาจพระรัตนตรัย ภูติ-ผี-ปีศาจ ทั้งหลาย จงได้รับอิสระเถิด ด้วยอำนาจพระรัตนตรัย ภูติ-ผี-ปีศาจ ทั้งหลาย จงได้รับอิสระเถิด ด้วยอำนาจพระรัตนตรัย ภูติ-ผี-ปีศาจ ทั้งหลาย จงได้รับอิสระเถิด”

    สำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องรักอยู่บ่อย ๆ ขอให้รับรู้ไว้เถิดว่าท่านเคยสร้างกรรมด้านนี้มาอย่างแน่นอน และมีนายเวรที่เกี่ยวกับเรื่องรักนี้ตามท่านอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นเวลาท่านมีความรัก นายเวรพวกนี้มันจะก่อกวนให้ท่านต้องเลิกรากัน ทะเลาะกันกับคนรัก เพราะมันหวงท่าน การก่อกวนของพวกนี้ หลวงปู่ให้แก้ด้วยการพูดว่า “ใครที่เคยรักข้าอยู่ก็ดี ใครที่กำลังรักข้าอยู่ก็ดี เตรียมตัวนะ เตรียมตัวรับข้า ข้าจะไปกับพวกเจ้า” จากนั้นก็ทำบุญแล้วพูดว่า “บุญนี้จงแปลงเป็นตัวข้าพเจ้าให้กับแฟนเก่าข้าพเจ้า” (แฟนเก่าในที่นี้คือแฟนเก่าในอดีตชาติที่ส่งสัญญาณให้เราต้องมีทุกข์เกี่ยวกับเรื่องความรัก) จากนั้นให้พูดต่ออีกว่า “สิ่งใดที่ข้าเคยรัก สิ่งนั้นจงไปตามส่วนของตัวเองซะ ไปใครไปมัน” จากนั้นให้ทำการส่งบุญให้กับเทวดาผู้เฝ้าอยู่ที่ตัวคนรักของเรา ให้เค้าได้ดลบันดาลให้คนรักของเราเป็นคนดี เข้าใจเรา

    สำหรับผู้ที่เจ็บป่วย เช่น ณ เวลานี้ปวดที่บริเวณหัวเข่า ก็ให้เอามือเคาะไปเบา ๆ ที่หัวเข่า แล้วพูดว่า “อ้าว….ใครที่อยู่ในนั้น ฟังนะ เดี๋ยวข้าจะทำบุญนะ ไปรอรับบุญนะ” จากนั้นก็ให้ทำบุญ แล้วโอนบุญให้กับสิ่งลี้ลับที่เล่นงานที่เข่าเราอยู่ โดยกล่าวว่า “บุญนี้ถึงแก่ผู้ที่กำลังเล่นงานที่หัวเข่าของข้าอยู่ในขณะนี้ รับบุญแล้วจงไปซะ จงไปซะ จงไปซะ” การรักษาโรคนั้นทำได้ทั้ง “ทำทานแล้วอุทิศบุญ” “รักษาศิลแล้วอุทิศบุญ” “ทำภาวนาแล้วอุทิศบุญ” ถือว่าได้หมด

    สำหรับผู้ที่โดนก่อกวน (ถูกส่งสัญญาณเข้าทางกายบ้าง เข้าทางใจบ้างอยู่ตลอด) นั่นหมายความว่าพวกเขาเห็นแล้ว ว่าเราน่ะมีบุญมากโขอยู่ และรู้ด้วยว่าเราสามารถให้บุญเค้าได้ (คือเค้ารู้ว่าเรารู้วิธีโอนบุญ-เบิกบุญ) แต่ว่าเราไม่ยอมให้บุญพวกเขาสักที พวกเขาจึงเข้าก่อวน หลวงปู่ให้เรากล่าวสอนพวกเขาดังนี้ “บุญข้ามีมาก ดังนั้นใครอยากได้บุญจากข้า จงมาอธิษฐานเป็นญาติข้าซะ ด้วยเพราะบุญข้ามีไว้ให้กับญาติในโลกทิพย์ของข้าเท่านั้น ดังนั้นเมื่ออธิษฐานเป็นญาติข้าแล้ว พวกเจ้าอยากได้อะไร ก็จงอธิฐานเอาเลย ข้าอนุญาตให้หมด ขอพวกเจ้าจงกล่าวดังนี้ บุญของท่านผู้นี้จงเป็น ….(อาหาร เสื้อผ้า วิมาร) ให้เราด้วยเถิด” ประโยคที่ว่า “บุญของท่านผู้นี้จงเป็น….(อาหาร เสื้อผ้า วิมาร) ให้เราเถิด” นั้น หลวงปู่ให้เราเป็นผู้สอนให้สิ่งลี้ลับฝึกพูดค่ะ

    หลวงปู่กล่าวไว้ว่า “บุญของมนุษย์นั้น มากมายเหลือเกิน ใช้เท่าไหร่ก็ไม่หมด ไม่มีวันหมด ด้วยเพราะมันโง่ไม่รู้จักนำมาใช้กัน”

    ท่านยังกล่าวอีกว่า “ไม่มีคำว่าบังเอิญเกิดขึ้น ทุกอย่างมีผู้ส่งสัญญาณเข้ามาทั้งสิ้น” เช่น นั่งอยู่ดี ๆ ฉุกคิดเรื่องนู้นเรื่องนี้ ฉุกคิดว่า “เอ……..จะส่งบุญให้กับใครดีนะ” “เอ……ทำไมขนลุกนะ” “เอ….ทำไมเหมือนมีอะไรมาอยู่ข้าง ๆ เรานะ” “เอ…..ทำไมอยากส่งบุญนะ แต่ไม่รู้จะส่งให้สิ่งใดดี” เป็นต้น นั่นคือ มีผู้ส่งสัญญาณเข้ามาทั้งสิ้น ต้องส่งบุญให้กับผู้ที่ส่งสัญญาณเข้ามาทันที เช่น ทำบุญแล้วกล่าวว่า “บุญนี้ถึงแก่ผู้ที่ทำให้ข้าขนลุก” เป็นต้น
    สำหรับเรื่องการปฏิบัติธรรมนั้น ท่านได้กล่าวไว้ว่า หากนายเวรยังก่อกวนไม่เลิก หรือญาติในโลกทิพย์ยังไม่ได้รับบุญ เมื่อนั้นการปฏิบัติธรรมจะเป็นไปได้ยาก เป็นไปแบบลำบาก เป็นไปแบบเหนื่อย ดังนั้นจึงต้องฉลาดในการส่งบุญไปด้วย ปฏิบัติธรรมไปด้วย เพราะพวกในโลกทิพย์เค้าจะมีการส่งสัญญาณแบบเลเซอร์ที่เรามองไม่เห็น เข้าสู่จิตสู่ใจเรา เข้าก่อกวนเราอยู่ตลอด

    เรื่องการทำภาวนานั้น ท่านกล่าวไว้ว่า จริง ๆ แล้วไม่ใช่เรื่องยากเลย จะยากก็ตรงที่ว่า “เราจะบุกไปสู่การภาวนานี้สิ เราจะทำอย่างไร จะบุกให้ตัวเองมีศิล จะบุกให้ตัวเองมีวินัย จะบุกให้ตัวเองมีความตั้งใจจริงที่จะทำภาวนานี้สิถือว่าเป็นเรื่องยาก หากหลุดตรงนี้ไปได้แล้ว การทำภาวนาจะถือว่าเป็นเรื่องง่ายมาก” แต่ถ้าตรงนี้ยังหลุดไม่ได้ การภาวนาจะไปได้ยากมาก เพียรเท่าไหร่ก็ไปไม่ถึง ได้แค่ความสงบ ได้แค่การสะสมบุญบารมีไปต่อยอดเอาชาติหน้าเท่านั้น ถือว่าเสียเวลา

    ท่านยังกล่าวอีกว่า บางครั้งญาติเราในโลกทิพย์ที่เป็นพรหม เห็นลูกหลาน (ตัวเรา) ปฏิบัติธรรมอยู่ อยากจะช่วยให้การปฏิบัติธรรมคืบหน้าขึ้นมาบ้าง พอส่ง “สัญญาณช่วย” เข้ามาปุ๊บ ก็ปรากฎว่าพบ “รูรั่ว” ของเราซะแล้ว ท่านก็ต้องถอนการช่วยเหลือออกไป (รูรั่วในที่นี้ก็คือ ศิลไม่พร้อมบ้าง ความตั้งใจจริงไม่พร้อมบ้าง ฯลฯ ดังที่กล่าวข้างต้นนั่นเอง) ดังนั้นหากมีรั่วรู่ตรงไหน ควรปิดให้หมด ไม่งั้นปฏิบัติภาวนาไป จะเกิดอาการงง ไม่เข้าใจอะไรง่าย ๆ แม้สมาธิจะเกิดง่ายก็ตาม แต่จะไม่ฉลาด พิจารณาอะไรก็ไม่แตกฉาน ต่อเมื่ออุดรอยรั่วได้เมื่อไหร่ จะเกิดความแตกฉาน พิจารณาอะไรก็จะง่ายขึ้นนั่นเอง (ด้วยเพราะสติปัญญาของคนสมัยนี้เชื่องช้าประกอบกับสิ่งลี้ลับที่อยู่เกี่ยวข้องกับคนก็มีมากอีก จึงถูกก่อกวนอยู่ตลอด และทำให้การปฏิบัติไม่คืบหน้า)

    ท่านยังกล่าวอีกว่า “การเบิกบุญ” มาจ่ายบ่อย ๆ นั้นเป็นผลดีมากเหลือเกิน จ่ายมาก ๆ บุญจะล้นขึ้นไปเรื่อย ๆ ไปสู่สวรรค์ชั้นสูง ๆ เวลาตายไป เดินไปไหนก็เป็นที่รักของเทวดา ของพรหม เปรียบได้กับเป็นราชาในสวรรค์เลย นี่แหล่ะคือผลของการเบิกจ่ายบุญบ่อย ๆ มาก ๆ โดยไม่ขี้เหนียวบุญ ยิ่งให้ ยิ่งได้ ยิ่งก่อให้เกิดการสะสม ยิ่งไม่มีหมด แม้ยังไม่ตายไป ก็จะเป็นที่รักของสิ่งลี้ลับทั้งมวล

    วิธีเอาบุญที่เรามีมาจ้างพวกเทพที่เกี่ยวข้องกับเรา (ที่ทำงาน ที่บ้าน ฯลฯ) คือเอาบุญให้เค้า แล้วเราจะใช้งานเค้า เราก็ต้องส่งบุญให้เค้าบ่อย ๆ แล้วบอกให้เค้าช่วย หลวงปู่ท่านเน้นว่า “ต้องให้บ่อย ๆ 1,500 รอบได้ยิ่งดีต่อการให้บุญเพื่อใช้งาน” ดังนั้นบางคนที่มักชอบบ่นว่า “ให้บุญแล้วไม่เห็นเทวดาหรือสิ่งลี้ลับช่วยงานเลย” ดิฉันคิดว่ากลับไปทบทวนการจ่ายบุญก่อนดีกว่ามั้ยคะ ว่าเราให้บุญอย่างจริงจังกับผู้ถูกใช้งานแล้วหรือยัง

    พ่อแม่ก็ส่งบุญให้กับเทวดาของลูกได้ ให้กับสิ่งลี้ลับของลูกได้ ลูก ๆ ก็ส่งบุญให้กับเทวดาหรือสิ่งลี้ลับของพ่อแม่ได้ หรือสามีภรรยาส่งให้แก่กันและกันก็ได้ ได้เหมือนกัน เพราะมีความรัก ความห่วงใย ความผูกพันต่อกัน อันนี้ก็สามารถส่งแทนกันได้ แต่ทางที่ดีส่งให้กับเทวดาผู้ที่เฝ้าอยู่กับคนที่เราผูกพัน แล้วบอกให้เทวดาดลจิตให้คน ๆ นั้น ทำการเบิกบุญ-เปิดบุญ-โอนบุญเองจะดีกว่าค่ะ
    ทุกคนต้องเข้าใจก่อนว่า สิ่งลี้ลับที่เกี่ยวข้องกับเรานั้นมีอยู่ 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ “กลุ่มญาติในโลกทิพย์” และ “กลุ่มนายเวร” ดังนั้นทั้งสองกลุ่มนี้เราต้องให้บุญอยู่สม่ำเสมอและตลอดเวลา ส่งมาก ๆ ส่งถี่ ๆ ส่งบ่อย ๆ

    ยังมีอีกมากนะคะ ที่เป็นคำสอนดี ๆ ที่หลวงปู่ท่านเมตตาชี้แนะ ทุกท่านสามารถดูได้จากซีดีในทุกแผ่นของหลวงปู่ค่ะ และจากข้อความที่ดิฉันได้นำมาสรุปให้เป็นธรรมทานในครั้งนี้ สามารถดูเพิ่มเติมได้จาก ชุด “สอนคณะคนป่วย” ชุด “คืนแว่นแตก” และ ชุด “สอนอธิการบดี” ค่ะ

    โมทนาบุญนะคะ ขอผลบุญนี้จงถึงแด่ “กลุ่มญาติในโลกทิพย์และกลุ่มนายเวร” ของข้าพเจ้า และ “กลุ่มญาติในโลกทิพย์และกลุ่มนายเวร” ของผู้ที่เกี่ยวข้องกับข้าพเจ้าทุกคน ทุกสิ่งมีชีวิต รวมถึงขอถึงแด่ “กลุ่มญาติในโลกทิพย์และกลุ่มนายเวร” ของสุนัขข้างบ้านที่กำลังป่วยอยู่ในขณะนี้ _/|\_ _/|\_ _/|\_
     
  10. wisarn

    wisarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    727
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +2,503
    --------------------------------------------------------------------------------
    หัวข้อ: Re: คุยกันสบายๆ กับ sky และ ธง
    เริ่มหัวข้อโดย: sky ที่ 21 ธันวาคม 2005, 15:20:24
    --------------------------------------------------------------------------------

    สวัสดีค่ะ พี่ ๆ เพื่อน ๆ น้อง ๆ ชาว “ลานวัด” ทุกท่าน

    เช่นเคยนะคะ กับคำถามที่ดิฉันต้องย้อนถามตัวเองอยู่เสมอ และต้องกราบเรียนสอบถามพวกท่านอีกครั้งค่ะ “วันนี้คุณได้เปิดบุญ-เบิกบุญ-โอนบุญ ให้กับสิ่งลี้ลับที่เป็นญาติในโลกทิพย์และนายเวรทุกกลุ่มทุกประเภทของคุณแล้วหรือยังคะ” กราบขอบพระคุณค่ะ _/|\_

    วันนี้ดิฉันมีโอกาสได้หยุดงานค่ะ เลยได้ตื่นสายสักหน่อย อากาศวันนี้ยังดีกว่าเมื่อวานนะคะ “หนาวน้อยลง” แต่ก็ยังคงมีลมหนาวพัดอยู่เป็นระยะ ขอให้ทุกท่านดูแลสุขภาพด้วยนะคะ ;)

    หลายวันมานี้ ดิฉันกระหน่ำส่งบุญให้กับสุนัขข้างบ้านที่นอนป่วยอยู่น่ะค่ะ น่าสงสารมาก ๆ เลย ไม่รู้เหมือนกันว่ามันป่วยด้วยโรคอะไร รู้แต่ว่ามันนอนซม ลุกเดินไม่ได้ และผอมมาก อีกทั้งยังร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดทั้งวัน เจ้าของไม่ได้พาไปหาหมอค่ะ ครั้นคนในซอยจะเข้าไปยุ่งก็เกรงว่าจะไม่เป็นการสมควร เพราะดูแล้วเจ้าของเค้าไม่อยากให้ใครเข้าไปยุ่ง

    ดิฉันสุดวิสัยที่จะยื่นมือเข้าไปช่วยมันจริง ๆ จึงได้แต่ใช้วิธีส่งบุญเพื่อช่วยเหลือมัน (ด้วยการเปิดบุญ-เบิกบุญ-โอนบุญให้กับมันอย่างเต็มที่) ทำบุญอะไรก็ส่งให้กับ “นายเวรและญาติในโลกทิพย์” ของหมาตัวนี้ตลอด

    หนักเข้าชักไม่ได้ผลค่ะ ด้วยเพราะเจ้าของจะออกมาตีมันตลอดเมื่อมันร้องครวญคราง (อาจด้วยเพราะเค้ารำคาญเสียงมันมั้งคะ) ซ้ำร้ายยังให้มันนอนตากยุงและตากลมอยู่นอกบ้านอีก พี่สาวดิฉันแอบเอาผ้าและยากันยุงไปจุดให้มันก็โดนเจ้าของเค้าว่ามาอีกต่างหาก (TT)

    “ปลง” เป็นประโยคเดียวที่ดิฉันบอกกับพี่สาว แต่จะไม่ปลงในการส่งบุญให้กับมันค่ะ ด้วยเพราะเห็นแล้วก็อดเวทนาไม่ได้ต่อกรรมที่มันกำลังได้รับและเสวยอยู่ ป่วยก็ป่วยแถมโดนทำร้ายทุบตีทุกวัน (TT)

    ดิฉันระลึกถึงพระพุทธองค์ ครูบาอาจารย์ ขอพรจากท่าน ให้ท่านได้ช่วยประทานทางออกให้ที ว่าดิฉันจะช่วยมันได้อย่างไรบ้าง _/|\_

    มาเลยค่ะ “เทวดา” มาบอกกล่าวเลยทันที “ตั้งกองบุญขึ้นสิท่าน แล้วให้สิ่งลี้ลับช่วยกันทำงาน”

    ดิฉันก็ด้วยความที่ยังเป็นคนที่จนซึ่งปัญญาเหมือนเคย ไม่ค่อยจะเข้าใจอะไรง่าย ๆ กับเค้า จึงได้สอบถามกลับไปว่า “กองบุญอะไร ตั้งแบบไหน ทำอย่างไร รบกวนท่านบอกให้ละเอียดหน่อยเถอะ”

    เทวดาได้เมตตาชี้แนะมาว่า “ตั้งเป็นกองบุญขึ้นมา แล้วบอกว่าหากสิ่งลี้ลับใดต้องการจะได้บุญเพิ่มเติม ก็ขอให้มาทำงาน แล้วท่านก็บอกงานพวกเขาไปซะ”

    ระหว่างที่เทวดาท่านนั้นกำลังอธิบายอยู่นั้นเอง ดิฉันก็ได้เห็นภาพอดีตที่มีความเกี่ยวเนื่องกับเจ้าหมาตัวนี้ เห็นแล้วก็อดร้อง “อ๋อ” ไม่ได้ค่ะ ว่าแล้วเชียวทำไมถึงเป็นห่วงมันนัก

    เมื่อฟังเทวดาเมตตาบอกกล่าววิธีแล้ว ดิฉันก็รีบดำเนินการเลยค่ะ โดยระลึกถึงคำสอนของหลวงปู่ประกอบเข้าไปด้วย

    “ขออำนาจพุทธ ธรรม สงฆ์ ได้บันดาลบุญที่ข้าพเจ้าได้สร้างสมไว้ตั้งแต่อดีตชาติจนถึงชาติปัจจุบัน แปลงบุญเป็นเสียงของข้าเพื่อสื่อสารให้กับสิ่งลี้ลับทุกกลุ่มได้เข้าใจข้อความอย่างถูกต้องและชัดเจนดังนี้ด้วยเถิด สิ่งลี้ลับเอ๋ย ท่านใดที่ได้ยินเสียงของข้าอยู่ในขณะนี้ จงหันมา จงหันมาฟังอย่างตั้งใจด้วยเถิด ด้วยบุญข้านี้มีอยู่มากโข หากท่านใดต้องการบุญ ขอพวกท่านจงได้เข้ามารับเถิด จงได้เข้ามาอธิษฐานแปลงบุญเพื่อเป็นไปในสิ่งที่พวกท่านต้องการอย่างถูกศิลถูกธรรมเถิด ข้าอนุญาต เมื่อได้รับแล้วขอจงทำงานในสิ่งที่ข้าจะขอดังต่อไปนี้ เพื่อร่วมกันสร้างบุญสร้างกุศล เป็นบุญสนองกลับสู่พวกท่านสืบต่อไปเถิด ขณะนี้มีหมาข้างบ้านข้าอยู่ 1 ตัว กำลังนอนป่วยอยู่อย่างทุกทรมาน ข้ามีจิตที่เมตตาต่อมันยิ่งนัก และขอให้พวกท่านได้เมตตาช่วยกันทำงานนี้อย่างสามัคคีกัน ไม่แย่งกันทำงาน ช่วยกันทำงาน ด้วยการไปตรวจสอบเถิดว่า แม้หากมันใกล้ถึงการดับซึ่งชีวิตแล้ว ก็ขอพวกท่านได้ช่วยกันค่อย ๆ บีบที่บริเวณท้ายทอยของมัน ตรงนั้นมีก้านสมองอยู่ เพื่อให้มันง่วงนอนอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้มันหลับ การหลับของมันจะทำให้มันไม่ต้องทรมานจากแผลที่เป็นอยู่ และไม่ต้องร้องครวญคราง ด้วยเพราะหากมันร้องครวญครางเมื่อใด มันก็จะถูกเจ้าของตีมันอีก ขอให้มันได้หลับพักผ่อนไปจนกว่าร่างกายมันจะดับสลายไปเองตามกรรมของมัน และหากพวกท่านดูแล้วว่ามันยังไม่จบชีวิตลงในช่วงนี้ ก็ขอให้ท่านได้ดลจิตดลใจเจ้าของมัน หรือผู้ที่มีจิตเมตตาที่จะเข้าไปสื่อสารกับเจ้าของเพื่อขอรับตัวมันไปรักษาและเลี้ยงดูเป็นลำดับต่อไปด้วยเถิด แม้หากพวกท่านช่วยทำกาลดังกล่าวให้สำริดผล ข้าก็ขออำนาจพระพุทธองค์ได้เป็นประธานในผลบุญของพวกท่านนี้ เพื่อสะท้อนผลบุญดังกล่าวที่ยิ่งใหญ่ส่งให้กับพวกท่านที่ทำงานให้ได้รับบุญโดยทั่วถึงกัน”

    ดิฉันเบิกบุญและท่องเช่นนี้ทั้งวันค่ะ นั่งทำงานไปก็ท่องไป กินข้าว เดิน ยืน นั่ง แม้แต่จะล้มตัวลงนอน ดิฉันก็ท่องเช่นนี้ตลอด และก็มิลืมที่จะส่งบุญเน้นให้กับ “นายเวร” ของหมาตัวนี้ตลอดด้วยเช่นกัน

    ดิฉันกระหน่ำการส่งบุญเช่นนี้อยู่ประมาณ 3 วันเห็นจะได้ค่ะ หลังจากนั้น..........................

    มันก็น่าแปลกนะคะ ดิฉันไม่ได้ยินเสียงมันร้องอีกเลย ได้โทรกลับบ้านในช่วงที่ทำงาน โทรมาสอบถามคุณแม่ว่าหมาตัวดังกล่าวนี้ร้องบ้างมั้ย เจ้าของตีมันมั้ย ก็ได้รับทราบจากคุณแม่ว่า น่าแปลกมาก คนในซอยยังแปลกเลย มันนอนนิ่ง (แต่ยังหายใจอยู่) หลับแบบไม่ลืมตาเลย ที่สำคัญคือจู่ ๆ เจ้าของก็เอาซุ้มมาครอบกันยุง กันอากาศหนาวเย็นให้กับมัน ป้อนลูกชิ้นให้มัน และไม่ได้ตีมันอีกแล้วเนื่องจากมันไม่ร้อง แม่บอกว่า “แม่ยังอดยกมือท่วมหัวไม่ได้เลยลูก ดีใจกับมันด้วย” :)

    ดิฉันได้สอบถามไปทางเทวดา และกำหนดดูการทำงานของพวกเขา (สิ่งลี้ลับ) ก็อดน้ำตาไหลไม่ได้ค่ะ พวกเขาช่วยกันทำงานจริง ๆ ด้วยค่ะ ดิฉันอดระลึกถึงหลวงปู่ไม่ได้เลย สิ่งที่ท่านบอก สิ่งที่ท่านสอนนั้นมันเป็นได้จริง ๆ ด้วยเพราะท่านได้บอกกล่าวอยู่เสมอว่า “เมื่อตั้งใจใช้งานสิ่งลี้ลับ เราก็ควรจะต้องตั้งใจส่งบุญให้พวกเขาอย่างจริงจังด้วย” พวกเขาทำงานจริง ๆ ค่ะ พวกเขารู้จักที่จะสร้างบุญด้วยตัวเองจริง ๆ ค่ะ มิใช่แต่จะมารอขอบุญจากเราอย่างเดียว

    และที่สุดเมื่อเช้าวานนี้ช่วงสาย ๆ หน่อย เจ้าหมาน้อยตัวนี้มันก็ได้จากไปอย่างสงบ แม่บอกกับดิฉันในช่วงเย็นที่ดิฉันกลับจากทำงานว่า มันไปอย่างสงบ มีอาการกระตุกบ้างนิดหน่อย แล้วก็ค่อย ๆ นิ่งไป ทุกคนในซอยก็ได้แต่สาธุและบอกว่า “มันหมดกรรมซะที”

    ดิฉันไม่ลืมที่จะเบิกบุญให้กับมัน (เจ้าหมาน้อย) และเบิกบุญให้กับสิ่งลี้ลับที่ทำงานดังกล่าวอย่างตั้งใจจริง ดิฉันเบิกให้เรื่อย ๆ ยังคงเบิกให้ต่อไปเรื่อย ๆ ค่ะ

    เมื่อคืนนี้ ระหว่างที่ดิฉันกำลังจะเคลิ้มหลับไป ดิฉันได้ยินเสียงหมาหอนอย่างโหยหวนมาก ชวนให้อดขนลุกไม่ได้ เจ้ามารวย (หมาที่บ้านของดิฉันน่ะค่ะ) มันก็ดันหอนรับซะอีกนี่ ทำให้อดวังเวงไม่ได้
    ชั่วแป๊บเดียวค่ะ มาแล้ว มาปรากฏอีกแล้วจนได้ เป็นชายผู้หนึ่ง ใส่เสื้อเหมือนเสื้อหม้อฮ่อม ขาด ๆ เก่า ๆ ใส่กางเกงสีออกน้ำเงินเข้ม ขาสั้นประมาณเข่า ขาดกระรุ่งกระริ่งอีกเช่นกัน มายืนหน้านิ่ง ๆ จ้องดิฉัน ดิฉันก็เช่นเคยค่ะ ส่งบุญก่อนเลยเป็นหลักสำคัญ ส่งไปเรื่อย ๆ เค้าก็ยังไม่ไปไหน ยังคงยืนมองดิฉันด้วยสีหน้าที่นิ่งมาก ดิฉันจึงต้องกำหนดถามไปว่า “ท่านคือใคร มีสิ่งใดที่เราจะสามารถช่วยท่านได้หรือไม่”

    ก็ได้รับการบอกกลับมาว่า “เรามาขอบคุณที่ช่วยให้เราได้ไปดี ทำให้เรามีสภาพที่ดีขึ้น ขอบคุณท่านมาก” จากนั้นก็ค่อย ๆ จางหายไป

    แต่ก็น่าแปลกที่จิตไม่ได้สงสัยหรือต้องการจะค้นหาคำตอบเลยว่า “ท่านผู้นี้คือใคร” รู้สึกได้ถึงความเย็นที่ปรากฏมาสัมผัสที่จิต ได้เบิกบุญส่งกลับให้จนกระทั่งหลับค่ะ

    อยากเรียนให้ทุกท่านได้รับทราบค่ะว่า การจะใช้ให้สิ่งลี้ลับทำงานนั้น เราต้องตั้งใจจริงในการส่งบุญให้กับพวกเขานะคะ หลวงปู่ท่านยังเมตตาสอนเลยว่าควรจะประมาณ 1,500 รอบในการส่งบุญด้วยซ้ำ

    ดังนั้นเมื่อเราตั้งใจให้บุญ พวกเขาก็จะตั้งใจทำงานให้เรานะคะ

    เฉกเช่นเดียวกัน หากเราให้บุญไปอย่างนั้น ให้ไม่บ่อย ให้แล้วก็หยุดการให้บุญต่อ นั่นก็จะหมายความว่า พวกเขาก็จะทำงานให้เราแบบทำไปอย่างนั้น ทำไม่บ่อย ทำแล้วก็หยุดทำต่อ ทำบ้างไม่ทำบ้าง ฉันใดก็ฉันนั้นค่ะ
    และสิ่งหนึ่งที่ดิฉันจะคิดถึงอยู่เสมอก็คือว่า “บางครั้งการช่วยเหลือกันในสังคมนั้น แม้เราอาจจนซึ่งหนทางในการช่วยเหลือ เช่น เงินเราไม่มากพอที่จะช่วยเหลือเขา ความสามารถหรือสติปัญญาเราอาจยังไม่ถึงพร้อมที่จะช่วยเหลือเขา เวลาเราอาจไม่เอื้ออำนวยต่อการช่วยเหลือเขา ฯลฯ แต่มีสิ่งหนึ่งที่เราพร้อมค่ะ นั่นก็คือ “บุญ” นั่นเอง

    หลวงปู่ท่านได้เมตตาบอกกล่าวอยู่ตลอดว่า “การเกิดมาเป็นมนุษย์นั้น ถือว่ามีบุญกันมากโขอยู่แล้ว” นั่นก็หมายความว่า “บุญ” ของพวกเรานั้นสามารถส่งให้-มอบให้-อุทิศให้ ได้ทุกเมื่อทุกเวลาที่จะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันในสังคม และสะท้อนในการช่วยเหลือไปสู่เหล่าสิ่งลี้ลับในโลกทิพย์ได้อีกอย่างไม่จำกัด”

    “แค่เห็นผู้อื่นทำดี แล้วเรามีจิตกุศลในการคิดโมทนาบุญ เพียงแค่นี้ก็เป็นบุญที่ยิ่งใหญ่แล้วนะคะ”

    โมทนาบุญค่ะ _/|\_ _/|\_ _/|\_
     
  11. wisarn

    wisarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    727
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +2,503
    --------------------------------------------------------------------------------
    หัวข้อ: Re: คุยกันสบายๆ กับ sky และ ธง
    เริ่มหัวข้อโดย: sky ที่ 10 มีนาคม 2006, 09:39:22
    --------------------------------------------------------------------------------

    กราบสวัสดีพี่ ๆ เพื่อน ๆ น้อง ๆ ชาว “ลานวัด” ทุกท่านค่ะ _/|\_

    กับคำถามอีกเช่นเคยนะคะ “วันนี้คุณได้เปิดบุญ เบิกบุญ และโอนบุญ ให้กับเหล่าญาติในโลกทิพย์และนายเวรทุกกลุ่มทุกประเภทของคุณแล้วหรือยังคะ” ขอบพระคุณค่ะ _/|\_

    ช่วงนี้ดิฉันก็ยังคงวนเวียนอยู่กับเรื่องของ “นายเวร” อยู่ไม่เลิกน่ะค่ะ ด้วยเพราะมีหลายท่านสอบถามเข้ามา และก็จากประสบการณ์ของตัวเองที่ได้ประสบพบเจอกับ “ความซ้ำซ้อนและความหลากหลาย” ของเหล่านายเวรด้วยแล้ว ทำให้มีกำลังใจอย่างมากเหลือเกินที่จะส่งบุญให้กับพวกเขาอย่างต่อเนื่อง

    ดิฉันอยากจะเรียนให้ทุกท่านได้รับทราบค่ะว่า นายเวรนั้นเค้าอยู่กับเรามาตั้งแต่เราเกิด อยู่กับเราในทุกลมหายใจ และจะอยู่กับเราไปจนถึงห้วงสุดท้ายของลมหายใจนั่นเอง (อันนี้เฉพาะในชาตินี้เท่านั้นนะคะ เรายังไม่ได้ไปพูดถึงชาติไหน ๆ นะคะ เอากันแค่ชาตินี้เท่านั้นก่อน) ซึ่งสามารถสะท้อนให้เห็นได้เลยว่า “ชีวิตของเราในแต่ละวันนั้นเต็มไปด้วยการชดใช้คืนทั้งสิ้น”

    จะเห็นได้ว่า “พวกเขา (นายเวร)” เปรียบเสมือนเพื่อนที่อยู่เคียงข้างเรามาตลอด ไม่ว่าจะหนีอย่างไรก็ “หนีไม่พ้น”

    แต่…..เรามีวิธีในการหนีอย่าง “ถูกต้อง” ค่ะ

    นั่นก็คือการหนีอย่าง “สมศักดิ์ศรี” หนีด้วย “พลังบุญที่ได้อุทิศออกไปให้กับพวกเขา” นั่นเอง

    ดิฉันมีประสบการณ์จะใคร่ขอนำมาเล่าสู่กันฟังสักเล็กน้อยนะคะ แล้วก็เช่นเคยค่ะ ต้องขอความกรุณาทุกท่านอ่านด้วยสติและวิจารณญาณด้วยนะคะ

    เมื่อเช้าของวันนี้นี่เอง ดิฉันมาถึงที่ทำงานแต่เช้าค่ะ ได้ขึ้นห้องพระ (ที่ทำงาน) เหมือนเช่นทุกวัน หลังจากลงมาจากห้องพระแล้ว เมื่อยังพอมีเวลาเหลืออยู่ก่อนถึงเวลาเข้างาน ดิฉันได้มีโอกาสเปิดอ่านธรรมะใน web site ต่าง ๆ โดยทยอยไล่เปิดอ่านไปเรื่อย ๆ ช่วงที่อ่านอยู่นั้นเองก็ปรากฎเหล่าสิ่งลี้ลับมากมายหลายภพภูมิ หลายกลุ่ม หลายประเภท ต่างมารอรับบุญจากการอ่านธรรมะของดิฉันกันอย่างมากมายเหลือเกินค่ะ

    ด้วยเพราะได้เปิดบุญไว้แล้วในทุกเช้า จึงง่ายในการเข้ารับบุญของพวกเขา และทำให้ดิฉันไม่ต้องพะวงว่าพวกเขาจะได้รับบุญกันหรือไม่อย่างไร

    แต่ที่น่าแปลกใจคือ มีสิ่งลี้ลับอยู่จำนวนหนึ่ง พยายามไม่รับบุญ ดิฉันต้องใช้คำว่า “พยายามไม่รับบุญ” นะคะ ที่ต้องใช้ข้อความนี้ก็เพราะว่า เค้าพยายามที่จะไปจากบริเวณตรงนี้ (บริเวณตรงที่ดิฉันนั่งอยู่) แต่เสมือนหนึ่งเขาไปไม่ได้

    แรก ๆ ดิฉันก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจนะคะ นั่งอ่านธรรมะไปเรื่อย ๆ แต่นานเข้าก็อดที่จะเหลือบไปมองดูไม่ได้ ได้พยายามเหลือบมองดูเป็นระยะ ๆ ด้วยเพราะจริง ๆ แล้วจะไม่อยากเข้าไปข้องเกี่ยวกับพวกเขาสักเท่าไหร่ ด้วยเพราะพึงระลึกอยู่เสมอน่ะค่ะว่า “หน้าที่ของดิฉันคือการส่งบุญออกไปก็เพียงพอแล้ว”

    จนกระทั่งได้สัมผัสเห็นความอึดอัดของพวกเขามากขึ้น ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ จึงต้องกำหนดถามไปว่า “ท่านคือกลุ่มใด เหตุไฉนจึงไม่รับบุญเหมือนผู้อื่นเขา และมีสิ่งใดให้เราได้มีโอกาสช่วยเหลือท่านหรือไม่”

    “เราไม่อยากได้บุญจากท่าน เรามากไปด้วยความโกรธ เกลียด อาฆาต พยาบาท ต่อท่านมากซะจนไม่สามารถจะมีพื้นที่ในการเก็บบุญจากท่านได้เลย”

    อึ้งเหมือนกันนะคะ เมื่อได้ยินข้อความเช่นนี้จากพวกเขา ทั้งอึ้งและทั้งงงในเวลาเดียวกันเลยค่ะ

    ดิฉันตั้งสติโดยทันที แม้เขาจะไม่ได้ฉายให้เห็นว่าอดีตชาตินั้นดิฉันไปสร้างความเลวร้ายอะไรไว้กับพวกเขาบ้าง แต่ด้วยสภาพของเขาที่ดิฉันเห็นนั้น มันก่อให้เกิด “ความสงสาร” ขึ้นมาจับจิต

    ความโกรธทำให้พวกเขามีสภาพที่ไม่น่าดูเลย มีสภาพที่แตกต่างกันออกไป บางรายตัวไหม้เกรียมเหมือนมีเปลวไฟอยู่รอบ ๆ ตัวเขา (แต่เขาไม่ได้ร้อนแบบทุรนทุรายนะคะ ดิฉันแค่เห็นว่ามันมีเปลวไฟอยู่รอบ ๆ ตัวของเขาเท่านั้น) บางรายก็อยู่ในสภาพที่น้ำตาไหลแบบไม่หยุด ไหลไม่เลิก ไหลจนลูกตาของเขาทะลักหลุดออกมา พอหลุดออกมาทีนึง เขาก็หยิบมันขึ้นไปใส่ในตาทีนึง บางรายก็มีน้ำเปียกท่วมทั้งตัว และยืนปาดน้ำให้หยุดไหล แต่น้ำนั้นก็ไม่หยุดไหลไปจากตัวของเขา ไหลตั้งแต่ศีรษะลงไปถึงปลายเท้า และไหลย้อนจากปลายเท้าไล่ขึ้นไปบนศีรษะ วนอยู่อย่างนั้นไม่หยุด

    สภาพต่าง ๆ เหล่านี้นำมาซึ่ง “การสำนึกผิดของดิฉัน” ในใจก็ได้แต่คิดว่า “เห็นไหม เจ้าเห็นหรือยังล่ะ ด้วยเพราะการกระทำอันขาดสติของเจ้าในอดีตชาติที่ได้กระทำต่อพวกเขาไว้ มันนำมาซึ่งความทุกข์ข้ามภพข้ามชาติให้บังเกิดขึ้นกับพวกเขามากมายขนาดไหน” ดิฉันสอนตัวเองไปพร้อม ๆ กับน้ำตาของตัวเองที่ไหลออกมาแบบไม่ได้ตั้งใจ

    “ขออำนาจพุทธ ธรรม สงฆ์ ได้บันดาลบุญที่ข้าพเจ้าได้เคยสร้างสมไว้แล้วตั้งแต่อดีตชาติถึงชาติปัจจุบัน ขอบุญเหล่านี้จงแปลงเป็นปัญญาอันบริสุทธิ์ส่งถึงแก่เหล่านายเวรกลุ่มนี้ให้ได้รับ ให้ได้สัมผัส ให้ได้เข้าใจ ให้ได้มีจิตที่เป็นกุศล เต็มเปี่ยมไปด้วยการระลึกรู้ในสิ่งที่ถูกศิล ถูกธรรม อันธรรมใดที่ได้บังเกิดขึ้นแล้วกับข้าพเจ้า ขอข้อธรรมเหล่านั้นจงได้ไปบังเกิดที่จิตใจของเหล่านายเวรกลุ่มนี้ด้วยเถิด ขอความอาฆาตก็ดี ความพยาบาทก็ดี ความโกรธก็ดีที่มีเนืองนองอยู่ในจิตใจของพวกเขาเหล่านี้ จงได้มลายลงไปด้วยอำนาจพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ มลายลงไป มลายลงไป มลายลงไป ณ บัดเดี๋ยวนี้ และขอบุญกุศลที่ดีงามที่ได้บังเกิดขึ้นแล้วนี้จงได้เข้าแทนที่สู่จิตใจของพวกเขาด้วยเถิด ขอบุญกุศลที่ได้เกิดขึ้นแล้วนี้ จงเป็นแสงสว่างนำทางพวกเขาไปสู่ภพภูมิที่ดี ภพภูมิแห่งศิลแห่งธรรม ภพภูมิแห่งความหลุดพ้นจากบ่วงที่ร้อยรัดพวกเขาอยู่นี้ บัดนี้ข้าพเจ้าได้สำนึกผิดแล้วด้วยกายและใจ สำนึกผิดอย่างบริสุทธิ์ใจแล้ว ข้าพเจ้าขอขมาพวกท่านด้วยบุญเหล่านี้ ขอพวกท่านจงตั้งจิตน้อมรับผลบุญ และจงอโหสิกรรมให้กับข้าพเจ้าด้วยเถิด”

    แทบไม่น่าเชื่อค่ะ สภาพของพวกเขาเปลี่ยนในทันที (แทบทุกตนในกลุ่มนั้นเลย) บางท่านเปลี่ยนสภาพเร็วมาก (เร็วเหมือนเรากระพริบตาน่ะค่ะ) บางท่านก็ค่อย ๆ กลายสภาพ

    “นี่เองพลังแห่งพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ”……“นี่เองพลังแห่งบุญ”……..“นี่เองพลังแห่งการสำนึกผิดของผู้ที่เคยกระทำผิดพลาดมาแล้ว”………”นี่เองพลังแห่งการเป็นผู้ให้ด้วยการส่งบุญออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด”……และ….”นี่เองการหนีนายเวรอย่างมีศักดิ์ศรี” ……

    เป็นสิ่งสะท้อนให้เห็นได้อย่างหนึ่งเลยค่ะว่า “ขอเพียงเราทำหน้าที่เป็นผู้ให้เถิดค่ะ เมื่อเราเป็นผู้ให้อย่างถึงพร้อมแล้ว แน่นอนว่าจะไม่มีผู้รับตนใด-ท่านใดที่จะไม่ยอมรับบุญของเราได้ในที่สุด”

    และนี่เองค่ะ “การหนีนายเวรอย่างมีศักดิ์ศรีด้วยการส่งบุญที่เราได้กระทำแล้วอย่างต่อเนื่องส่งมอบให้กับพวกเขาอยู่ตลอดเวลา ก่อนที่เขาและเราจะหันหลังให้กันอย่างถาวรด้วยบุญ”

    โมทนาบุญค่ะ _/|\_ _/|\_ _/|\_
     
  12. wisarn

    wisarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    727
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +2,503
    --------------------------------------------------------------------------------
    หัวข้อ: Re: คุยกันสบายๆ กับ sky และ ธง
    เริ่มหัวข้อโดย: sky ที่ 29 มีนาคม 2006, 11:05:41
    --------------------------------------------------------------------------------

    กราบสวัสดีพี่ ๆ เพื่อน ๆ น้อง ๆ ชาว “ลานวัด” ทุกท่าน ค่ะ _/|\_

    “วันนี้คุณได้เปิดบุญ เบิกบุญ โอนบุญ ให้กับเหล่าญาติในโลกทิพย์ เหล่านายเวรที่เกี่ยวข้อง เหล่าเชื้อโรคที่อยู่ในกาย และเทวดาที่เฝ้าอยู่กับตัวคุณ อย่างต่อเนื่องแล้วหรือยังคะ” กราบขอบพระคุณกับคำตอบในใจของทุกท่านค่ะ _/|\_

    “พลังแห่งความเมตตานั้นยิ่งใหญ่มากนะคะ” บุญจากการคิดดี ทำดี พูดดีนั้นถือเป็นบุญที่บริสุทธิ์แล้วฉันใด พลังบุญที่เกิดจากการเมตตาผู้อื่น (ไม่ว่าสิ่งนั้นจะมองเห็นหรือมองไม่เห็นก็ตามที) ถือว่าเป็นบุญที่ประเสริฐเหลือเกินนะคะ

    เมื่อคุณมีจิตที่เมตตาต่อคุณพ่อก็ดี คุณแม่ก็ดี พี่น้องก็ดี เพื่อนฝูงก็ดี หรือบุคคลที่น่าสงสารที่คุณได้มีโอกาสพบเห็นอยู่ก็ดี จงอย่ารอช้าในการนำบุญที่เกิดจากจิตที่เมตตานี้ ส่งไปถึงสิ่งลี้ลับใน “ทันที” นะคะ

    ด้วยเพราะบุญที่เกิดจากความเมตตาของคุณนี้ จะส่งผลให้สิ่งลี้ลับในหลายกลุ่ม หลายจำพวกที่เค้ามีบุญของเค้าเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว บุญเหล่านั้นได้มาผนวกกันกับบุญที่เกิดจากความเมตตาของคุณที่ส่งออกไป จะผลักดัน “ปัญญา” ให้บังเกิดขึ้นกับพวกเขา ในการเลื่อนสู่ภพภูมิที่ดีขึ้นนะคะ

    ผู้คนมากมายบนท้องถนน ต่างก็มีบุญเกิดขึ้นกันอยู่ตลอดเวลา มากบ้าง น้อยบ้าง ไปตามเหตุปัจจัยที่เค้ากำลังกระทำกันอยู่ แต่จะมีสักกี่คนที่ยอม “อนุญาต” ให้ญาติในโลกทิพย์ของพวกเขาได้เข้ารับบุญกันอย่างต่อเนื่อง

    เมื่อไม่ได้รับบุญ พวกเขาก็จะทำหน้าที่ก่อกวนเพื่อขอบุญ การก่อกวนก็เพื่อเป็นการบอกให้เราได้รับรู้ว่า “ยังมีพวกฉันอยู่นะ อย่าลืมพวกฉันนะ พวกฉันรอการช่วยเหลืออยู่นะ” นั่นเอง

    ในขณะเดียวกันก็น่าสงสารผู้คนอีกหลายคนที่จะต้องถูกก่อกวนจากเหล่าสิ่งลี้ลับ ด้วยเพราะผู้คนเหล่านั้นไม่รู้ว่า “จะส่งบุญอย่างไร” นั่นเอง

    ในเมื่อทุกท่านที่มีโอกาสได้รับรู้ถึงวิธีในการส่งบุญแล้ว ก็อย่ารอช้าเลยนะคะ จงเร่งในการให้บุญกับพวกเขาอย่างต่อเนื่องเถอะค่ะ เพื่ออย่างน้อยพวกเขาจะได้ไม่ก่อกวนคุณ และเพื่ออย่างน้อยพวกเขาจะได้มีโอกาสในการเติมบุญ เติมปัญญาของตัวเค้าเองให้เต็มไปตามกาลที่ควรเป็นไปของพวกเขา และเพื่อนำไปสู่การคิดดีของพวกเขา นั่นคือ การคิดที่จะเลื่อนตัวเองไปสู่ภูมิที่ดีขึ้นนั่นเอง

    เมื่อการก่อกวนลดน้อยลง ก็จะทำให้คุณได้ปฏิบัติธรรมไปตามจริตของคุณอย่างคล่องตัวมากขึ้น พร้อม ๆ ไปกับการสร้างบุญสร้างกุศลให้กับพวกเขา (สิ่งลี้ลับ) ที่อดีตเคยเป็นพ่อก็ดี แม่ก็ดี พี่น้องก็ดี คนรักก็ดี ผู้มีพระคุณของคุณก็ดี และเกี่ยวเนื่องกับคุณมาก่อนก็ดี ได้มีโอกาสได้เติมเต็มปัญญาแห่งการหลุดพ้นไปพร้อม ๆ กับคุณด้วยนั่นเอง

    และในวันนี้ดิฉันก็มีประสบการณ์เล็ก ๆ น้อย ๆ มาเรียนเล่าสู่กันฟังให้ทุกท่านได้รับรู้อีกเช่นเคยค่ะ และก็เหมือนเคยคือต้องขอความกรุณาทุกท่านอ่านด้วยสติและใช้วิจารณญาณด้วยนะคะ กราบขอบพระคุณค่ะ

    เมื่อสองคืนก่อน ดิฉันค่อนข้างเพลียมากจากการทำงาน พอหัวถึงหมอนเท่านั้นเอง ก็ตั้งใจเลยว่า “จะขอหลับยาวให้สะใจสักหน่อย” แล้วก็ไม่ได้เป็นไปดั่งที่ตั้งใจค่ะ จู่ ๆ มันก็หลับไม่ลงซะอย่างนั้น อดงงไม่ได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น เพราะเมื่อกี้นี้เองยังรู้สึกง่วงนอนสุด ๆ อยู่เลย แต่ทำไมพอหัวจะถึงหมอนมันกลับไม่ง่วงนอนหว่า

    แล้วก็ตามเดิมของนิสัยเสีย ๆ ที่ไม่ชอบสงสัยอะไรของดิฉันน่ะค่ะ ประมาณว่าสงสัยแล้วก็สงสัยไป ขอส่งบุญแทนการสงสัยดีกว่า ได้ส่งบุญให้กับเทวดาหมอ และสิ่งลี้ลับก่อนนอน (เป็นกิจวัตรเหมือนเช่นทุกคืน) และก็ไม่ลืมที่จะส่งบุญไปให้กับผู้ที่กำลังส่งสัญญาณทั้งปวงเข้ามาในขณะนี้ด้วย แต่ทำอย่างไรก็นอนไม่หลับ พยายามเท่าไหร่ก็ไม่หลับ

    และที่น่าแปลกก็คือ วันนี้ทำไมดิฉันถึงได้นึกถึงแต่เชื้อโรค ไวรัส แบคทีเรีย จุลินทรีย์ก็ไม่รู้ แปลกเหลือเกิน

    แต่เหนือความแปลกทั้งปวงก็คือ “การส่งบุญออกไปก่อน” จะแปลกขนาดไหนก็ต้องส่งบุญออกไปก่อน (นี้คือคำสอนของหลวงปู่ที่น่าจดจำเป็นอย่างยิ่ง)

    เมื่อทำการส่งบุญไปเรื่อย ๆ แล้ว สักครู่ดิฉันก็ได้มีโอกาสสัมผัสกับบางสิ่งที่เริ่มจะมาบอกกล่าวอะไรบางอย่างเข้าให้แล้ว

    “เอ้า….เป็นไงเป็นกัน จะขอนอนสักหน่อยก็ไม่ให้นอน ส่งบุญให้ก็แล้ว จะให้รู้อะไรก็ว่ากันมาเลย เอ้า….เชิญเลย”

    ยังไม่ทันจะนึกเสร็จสิ้นเลยค่ะ มาแล้วทีนี้ เขามากันเป็นคู่ ๆ ค่ะ พูดคุยอะไรกันไม่ทราบระหว่างคู่ของพวกเขา พูดคุยเสร็จก็เดินจากดิฉันไปบ้าง มาหยุดตรงบริเวณร่างกายส่วนต่าง ๆ ของดิฉันบ้าง

    ดิฉันดูไปก็ส่งบุญไปค่ะ ไม่มีคำถาม ไม่มีความสงสัยที่จะอยากรู้ คงด้วยเพราะไม่เข้าใจในสิ่งที่ได้สัมผัสเหล่านั้นมั้งคะ เลยไม่อยากรู้

    เมื่อไม่อยากรู้ ก็จะยิ่ง “ต้องรู้” (แปลกดีไหมคะ) เค้าก็ไม่ยอมให้เราหลับสักที ป้วนเปี้ยนให้เราดู เรารู้ เราเห็นอยู่นั่น

    จนที่สุดก็ได้รับความเมตตาจากเทวดาผู้มีบุญญาธิการอีกเช่นเคย เป็นผู้เฉลยในสิ่งที่ดิฉันได้สัมผัส

    “เหล่านี้คือการทำงานของสิ่งลี้ลับที่เลื่อนภพภูมิขึ้นจากการส่งบุญของท่าน พวกเขามีความตั้งใจที่จะสร้างบุญให้บังเกิดขึ้น เพื่อเป็นบุญสะสมกับตัวพวกเขานั่นเองท่าน แล้วที่ท่านเห็นอยู่นั้นก็คือ กลุ่มพวกเชื้อโรคต่าง ๆ ที่มันกำลังถูกกลุ่มพวกนี้ชี้แนะให้เข้าใจถึงผลโทษในการก่อกวนร่างกายท่านอยู่ การพยายามบอกกล่าวนี้เอง ทำให้พวกเชื้อโรคได้เข้าใจและบางส่วนก็เต็มใจที่จะออกไปจากร่างกายท่านแล้วนั่นเอง”

    “เค้าบอกกล่าวกันได้ด้วยเหรอ แล้วเชื้อโรคมีความเข้าใจถึงผลโทษ ผลคุณด้วยเหรอ” ดิฉันถามออกไปด้วยความสงสัยเต็ม ๆ เลยน่ะค่ะ

    “อย่าได้เข้าใจว่าสิ่งลี้ลับจะไม่เข้าใจในเรื่องของบุญของบาปเลยท่าน ทุกกลุ่มทุกจำพวกมีความเข้าใจเรื่องดังกล่าวไปตามบุญตามกรรมของตน เข้าใจมากบ้าง น้อยบ้าง แต่ก็ยังเข้าใจอยู่ บุญที่ท่านส่งออกไปก็ถือเป็นแรงกระตุ้นให้พวกเขาเข้าใจเรื่องของบาปของบุญมากขึ้นนั่นเอง และการชี้แนะของสิ่งลี้ลับที่มีต่อกันนั้น การจะเข้าใจในคำชี้แนะหรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับบุญกับกรรมที่เขาเคยมีต่อกัน เคยผูกพันต่อกันมานั่นเอง”

    “ท่านลองย้อนรำลึกดูสิว่าในระหว่างวันท่านอุทิศบุญให้กับสิ่งใดมากที่สุด” ดิฉันลองย้อนรำลึกไปตามที่เทวดาบอกกล่าว ก็ร้องอ๋อขึ้นมาเลยว่า “ใช่เลย ในระหว่างวันเรามิเคยลืมเคยพลาดในการส่งบุญให้กับเหล่าเชื้อโรค ไวรัส แบคทีเรีย จุลินทรีย์เลย ไม่ว่าจะเข้าห้องน้ำกี่ครั้งก็มิลืมเลือนที่จะส่งบุญให้กับพวกเขาเลย”

    “นั่นแหล่ะท่าน มันมีการให้บุญเกี่ยวเนื่องกันระหว่าง “ตัวท่าน” “เชื้อโรคที่ได้รับบุญจากท่าน” และ “สิ่งลี้ลับที่ตั้งใจจะสร้างบุญด้วยการชี้แนะเหล่าเชื้อโรค” มันเกี่ยวเนื่องกันท่าน จึงทำให้การสื่อสารเป็นไปอย่างเข้าใจได้ง่ายขึ้นนั่นเอง”

    “เทวดามีอยู่ทุกอนูในร่างกายท่าน พวกนี้เมื่อได้รับบุญบ่อย ๆ เข้า จิตใจสูงขึ้น ก็จะเกิดปัญญารับรู้ได้ว่าจะสร้างบุญอะไรให้กับตัวเองได้บ้าง และยิ่งเคยมีความผูกพันต่อกันกับเหล่าเชื้อโรคด้วยแล้ว การทำงานของพวกเขาจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลย”

    กว่าจะถึงบางอ้อ ก็อึ้งไปเหมือนกันค่ะ อะไรมันจะเกี่ยวเนื่อง เกี่ยวพัน และสลับซับซ้อนกันเช่นนี้

    ได้รับรู้ไปพร้อม ๆ กับการโมทนาสาธุกาลในการคิดดี ทำดีของสิ่งลี้ลับและกลุ่มเชื้อโรค ที่ได้กระทำในสิ่งที่ดีงาม สิ่งที่ตั้งใจแล้วว่าจะไม่เบียดเบียนต่อกันอีก

    ถือเป็นอีกแรงใจหนึ่งของดิฉันค่ะ ที่จะสร้างความเพียรให้มากขึ้นในการส่งบุญเพื่อตอบแทนคุณให้กับสิ่งลี้ลับที่ตั้งใจแล้วที่จะก้าวไปสู่ความหลุดพ้นด้วยตัวเอง และด้วยปัญญาของพวกเขาเอง

    นี้เอง ที่หลวงปู่มักจะบอกกับพวกเราอยู่เสมอว่า “ให้ส่งบุญกันบ่อย ๆ ส่งมาก ๆ ส่งถี่ ๆ ส่งทุกวัน” ก็ด้วยเพราะบุญที่เราส่งออกไปนั้น มันมิได้แปลงเป็นแค่อาหาร เสื้อผ้า หรือวิมารเท่านั้น แต่บุญที่ได้รับนั้น พวกเขามีความฉลาดมากพอที่จะนำมันไปสานต่อเป็นปัญญาให้กับพวกเขา เพื่อนำไปสู่การคิดดี ทำดี และเข้าสู่การเลื่อนไปสู่ภูมิแห่งการหลุดพ้นในที่สุดนั่นเอง

    การคิดดีและทำดีของพวกเขา ก็จะนำมาสู่การเข้าใจมากขึ้นว่า “จะเลือกในการก่อกวน หรือจะเลือกในการรับบุญแทนการก่อกวนดี”

    โมทนาบุญอย่างเหลือเกิน “สิ่งลี้ลับเอ๋ย” ที่พวกท่านกำลังสอนให้เรามีความเพียรมากขึ้น ด้วยเพราะพวกท่านยังมีความเพียรในการคิดจะหลุดพ้น แล้วไฉนเลยเราจะนิ่งนอนใจอยู่ได้เล่า _/|\_

    โมทนาบุญค่ะ _/|\_
     
  13. wisarn

    wisarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    727
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +2,503
    --------------------------------------------------------------------------------
    หัวข้อ: Re: คุยกันสบายๆ กับ sky และ ธง
    เริ่มหัวข้อโดย: sky ที่ 07 เมษายน 2006, 10:20:53
    --------------------------------------------------------------------------------

    กราบสวัสดีพี่ ๆ เพื่อน ๆ น้อง ๆ ชาว “ลานวัด” ทุกท่านค่ะ _/|\_

    “วันนี้คุณได้เปิดบุญ เบิกบุญ โอนบุญ อย่างต่อเนื่องให้กับเหล่าญาติในโลกทิพย์ เทวดาผู้เฝ้าอยู่กับคุณ เชื้อโรคที่อยู่ในกายของคุณ และนายเวรผู้เกี่ยวข้องกับคุณแล้วหรือยังคะ” กราบขอบพระคุณสำหรับคำตอบของทุกท่านค่ะ _/|\_

    ตัวของเราเอง ไม่ว่าเราจะกระทำผิดขนาดไหนก็ตาม ถึงแม้จะไม่มีใครรู้ว่าเรากระทำผิด แต่ลึก ๆ ของจิตใจเราแล้ว “เราย่อมรู้ตัวดี” ค่ะ

    และนอกเหนือจากการ “รู้ตัว” แล้ว ลึก ๆ ลงไปอีกก็คือ “เราอยากปรับปรุงตัวของเราให้ดีขึ้น และไม่อยากกระทำความผิดนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าอีก”

    ที่เกริ่นมาซะยืดยาวขนาดนี้ ก็เพราะดิฉันกำลังจะสื่อให้ทุกท่านได้รับทราบว่า………”เราคิดเช่นไร สิ่งลี้ลับก็คิดเช่นนั้นค่ะ แม้กระทั่ง “นายเวร” เขาก็คิดเช่นนั้นเหมือนกันกับเราค่ะ” :-*

    เราเองหากเลือกได้ เราก็คงอยากจะย้อนเวลากลับไปแก้ไขความผิดพลาดใน “อดีตชาติ” กับหลาย ๆ ผู้หลาย ๆ คนที่เราเคยถูกอวิชชาครอบงำ และได้เผลอล่วงเกินให้เกิดเวรเกิดกรรมต่อกันมากมาย ส่งผลให้ในภพนี้ชาตินี้ต้องได้รับการชดใช้และต้องเผชิญกับ “การถูกเอาคืน” กันอยู่ในทุกวันนี้

    เช่นเดียวกันกับ “นายเวร” ค่ะ หากพวกเขาเลือกได้ พวกเขาก็คงจะเลือกย้อนกลับไป ณ อดีตชาตินั้น ๆ จากนั้นก็คงจะพยายามระวังตัว หลีกเลี่ยง หลบหลีก ไม่ให้เราไปเผลอสร้างเวรสร้างกรรมกับพวกเขาอีก เพราะลึก ๆ แล้วเขาก็คงไม่อยากมานั่ง “เอาคืน” แบบนี้กับเราเหมือนกัน ฉันใดก็ฉันนั้นค่ะ

    แต่ “อดีต” คือสิ่งที่ผ่านพ้นมาแล้ว หากการย้อนนึกถึงอดีตแล้วนำมาซึ่งความเกรงกลัว ละอายต่อบาปก็ถือว่าน่าจะเป็นประโยชน์นะคะ แต่หากย้อนไปแล้วไม่ก่อให้เกิดการระลึกรู้บาปชั่วใด ๆ ก็อย่าไปเสียเวลาย้อนมันเลยค่ะ อยู่กับปัจจุบันดีที่สุด และทำปัจจุบันให้ดีที่สุดจะดีกว่า

    เมื่อมีการระลึกรู้แล้วว่าเคยกระทำผิด (ไม่จำเป็นต้องระลึกรู้ในอดีตชาตินะคะ ในชาติที่เกิดมาอยู่นี้แหล่ะค่ะ) เมื่อระลึกรู้แล้วว่า “ฉันเคยกระทำผิดเช่นนี้ ๆ มาแล้วนะ” และอยากจะยุติการกระทำที่ไม่ดีนั้น ๆ เสีย หรือ คิดอยากจะแก้ไข ปรับปรุง ลดละ สิ่งไม่ดีในการกระทำนั้น ๆ ลงเสีย ถามว่าทำได้มั้ย คำตอบก็คือว่า “ได้แน่นอนค่ะ” แต่ว่าก็ต้องอาศัย “ความเพียร” และปัจจัยหลาย ๆ ด้านมาประกอบเพื่อให้การคิดดี ทำดีของเราบังเกิดผลสำริด และเป็นผลสำริดอย่างต่อเนื่อง

    สิ่งลี้ลับก็เช่นกันค่ะ เมื่อเค้าต้องการที่จะให้อภัยเรา และอยากจะยุติการเอาคืนในหนี้กรรมที่เราเคยกระทำต่อเค้าไว้ พวกเขาก็ต้องอาศัย “ความเพียร” และปัจจัยหลาย ๆ ด้านมาประกอบ เพื่อทำให้พวกเขาเกิดการคิดดี ทำดี และให้อภัยเราได้อย่างสำริดผลเช่นกัน

    คำว่า “ปัจจัยหลาย ๆ ด้านที่ว่านั้น” ก็มีมากมายสำหรับเรา และมีมากมายสำหรับพวกเขา (สิ่งลี้ลับหรือนายเวร) ที่จะนำมาพิจารณาให้เกิดการคิดดี ทำดีอย่างสำริดผล

    และปัจจัยอย่างหนึ่งที่อาจจะดูเหมือนกันทั้งของเราและของพวกเขา ก็คือ “ปัญญา” ค่ะ

    ซึ่งต้องเป็นปัญญาที่เต็มเปี่ยมไปด้วย “ความเห็นชอบอย่างถูกต้อง” ด้วยนั่นเองนะคะ (ไม่ใช่ปัญญาที่เต็มไปด้วยความเห็นผิด)

    ปัญญาที่เต็มไปด้วยความเห็นชอบอย่างถูกต้องนั้นเอง ถือเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญอย่างมากทีเดียว ที่จะทำให้เราและพวกเขา (สิ่งลี้ลับหรือนายเวร) หันกลับมาคิดดี และทำดีกันได้ในที่สุด หันมายุติการก่อกรรมก่อเวรต่อกันได้ในที่สุด

    “ปัญญา” มีกันมาตั้งแต่เกิดแล้วใน “ทุกคน” และใน “ทุกสิ่งลี้ลับ” หรือ ใน “ทุกนายเวร”

    แต่จะทำอย่างไรให้ “ทุกปัญญา” เหล่านั้น กลายมาเป็น “ปัญญาด้านสัมมาทิฎฐิ” อันนี้สิ สำคัญเหลือเกิน

    ดิฉันมีประสบการณ์จะขออนุญาตนำมาเล่าสู่กันฟังสักเล็กน้อยในวันนี้ค่ะ และก็เช่นเคยนะคะ คือต้องขอความกรุณาทุกท่านอ่านด้วยสติและวิจารณญาณอีกเช่นเคยค่ะ …………….กราบขอบพระคุณค่ะ

    …………….“ปัญญาของนายเวร”………………….. :-*

    เมื่อหลายวันก่อนมานี้ ดิฉันมีอาการท้อแท้ เหนื่อย หงุดหงิด เศร้าหมองจนบอกไม่ถูกน่ะค่ะ :'(

    ซึ่งอาการต่าง ๆ เหล่านี้ของจิตนั้น ทุกท่านก็คงทราบกันดีอยู่แล้วว่า มันคืออาการ “ปกติ” ที่บังเกิดขึ้นทุกเมื่ออยู่ตลอดเวลากับเรา เพียงแต่ว่าเราจะมีสติระลึกรู้เท่าทันความเป็นธรรมดาหรือความเป็นปกติเหล่านั้นหรือไม่เท่านั้นเอง

    แต่ในวันนั้น………มันบังเกิดอาการต่าง ๆ เหล่านี้หมุนเวียนขึ้นมาพร้อม ๆ กันหลายอาการทีเดียว สิ่งเดียวที่ดิฉันจะพึงกระทำได้ในเวลานั้นก็คือ การดูอาการต่าง ๆ เหล่านั้นไปเรื่อย ๆ ว่ามันจะเกิดอยู่นานมั้ย และมันจะก่อให้เกิดผลกระทบอะไรบ้างกับดิฉันและคนรอบ ๆ ข้างของดิฉัน

    ดิฉันดูอาการเหล่านั้นไปเรื่อย ๆ ประกอบกับการพยายามสำรวมกายและวาจาไม่ให้เผลอไปสร้างผลกระทบให้เกิดขึ้นกับคนรอบข้างของดิฉัน (ประมาณว่าปล่อยให้มันร้อนลุ่มอยู่ในใจพอน่ะค่ะ)

    “เหนื่อยไม่ใช่เล่น ๆ นะคะ แค่ดูไปเรื่อย ๆ นี่ก็เหนื่อยไม่ใช่เล่น ๆ เลย”

    ยอมรับว่าเหงื่อมันออกมากเหลือเกินค่ะ กินน้ำเป็นขวด ๆ เลย (คงด้วยเพราะอาการร้อนลุ่มของสิ่งที่มันเกิดขึ้นที่ใจของดิฉันกระมัง)

    แต่ที่แน่นอนที่ไม่ลืมเลยสำหรับดิฉันก็คือ “การส่งบุญออกไปเรื่อย ๆ” (ทั้งการเบิกบุญก็ดี การโอนบุญก็ดี) ส่งให้กับผู้ที่ส่งสัญญาณต่าง ๆ เหล่านี้เข้ามา ทำเช่นนี้สลับไปกับการดูสิ่งที่เกิดขึ้นกับกายกับใจของตัวเอง

    ทำสลับกันไปเรื่อย ๆ สักพัก มันก็ดีขึ้นบ้างนะคะ เพลาตัวลง (แต่เมื่อมันเพลาตัวลงแล้ว ดิฉันก็ไม่ชะล่าใจค่ะ ก็ดูความเพลาตัวลงของสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นไปเรื่อย ๆ และก็ส่งบุญออกไปเรื่อย ๆ โดยยังไม่หยุดการส่งบุญค่ะ)

    สักครู่ก็ได้ยินเสียงของสิ่งลี้ลับท่านหนึ่ง ดังขึ้นอย่างชัดเจน และชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ (ซึ่งสิ่งลี้ลับท่านนี้ดิฉันบอกได้เลยว่า เสมือนหนึ่งเค้ามองดิฉันอยู่นานแล้ว)

    คำพูดที่ชัดเจนขึ้นนั้นกล่าวว่า “ถ้าแม้เลือกได้ ก็มิอยากจะกระทำเช่นนี้เลย แต่ที่ต้องกระทำเช่นนี้ เพราะเราเลือกไม่ได้”

    ดิฉันก็เช่นเคยค่ะ ได้ยินปุ๊บ ก็ส่งบุญออกไปให้ปั๊บ ไม่ถามด้วยว่าคือใคร ด้วยเพราะ ณ เวลานั้นดิฉันกำลังอยู่ระหว่างการดูอาการต่าง ๆ ที่มันเกิดขึ้นอยู่ สลับไปกับการส่งบุญออกไปเป็นระยะ ๆ อยู่นั่นเอง
    คำพูดดังกล่าว ข้อความดังกล่าวนี้ถูกวนขึ้นมาอีก ซ้ำแล้วซ้ำเล่า (เป็นประโยคเดิมน่ะค่ะ) และชัดเจนขึ้นอยู่เรื่อย ๆ ไม่หยุด

    ดิฉันจึงต้องตัดสินใจถามกลับไปว่า “เลือกไม่ได้ของท่านคืออะไร”

    ก็ได้รับคำตอบกลับมาว่า “เลือกที่จะเข้าใจในสิ่งที่เรากำลังกระทำอยู่นี่ไง”
    “งง” อีกเช่นเคยค่ะ ด้วยปัญญาอันน้อยนิดของดิฉัน จะเหลือเหรอคะ ก็งงซะไปตามระเบียบ

    “ปัญญาไงท่าน ให้ปัญญาสิท่าน ช่วยด้วยปัญญาไงท่าน ปัญญาที่ถูกต้องไงท่าน” เป็นคำชี้แนะจากเทวดาผู้มีบุญญาธิการประจำตัวของดิฉันอีกแล้วเช่นเคย

    ก็เอาเลยค่ะ ไม่ต้องรอช้า “ขออำนาจพุทธ ธรรม สงฆ์ ได้บันดาลบุญที่ข้าพเจ้าได้เคยสร้างสมไว้ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ขอบุญนี้จงแปลงเป็น “ปัญญาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยสัมมาทิฎฐิ เป็นปัญญาแห่งการคิดดี ทำดี อย่างถูกศิล ถูกธรรม เป็นปัญญาที่แม้มิได้ประสงค์จะรับก็จงต้องรับด้วยพลังแห่งบุญ เป็นปัญญาที่จะช่วยถอดถอนอวิชชาที่ได้บังเกิดแล้ว ส่งถึงแก่ผู้ที่ส่งกระแสสัญญาณเข้ามาอยู่ในขณะนี้ ขอให้อวิชชาที่อยู่กับผู้ส่งกระแสสัญญาณเข้ามาเหล่านั้น ได้หมดไปสิ้นไปด้วยพลังแห่งบุญของปัญญานี้ ส่งผลให้เกิดปัญญาสัมมาทิฎฐิในการคิดดี ทำดีในทันทีด้วยเถิด ในทันทีด้วยเถิด ในทันทีด้วยเถิด ในทันทีด้วยเถิด ในทันทีด้วยเถิด”

    ดิฉันเบิกบุญโดยแปลงบุญเป็น “ปัญญาสัมมาทิฎฐิ” ส่งให้กับผู้ที่ส่งกระแสสัญญาณเข้ามาอยู่ในขณะนี้ ให้ได้รับโดยทั่วถึงกัน ดิฉันส่งไปเรื่อย ๆ ไม่หยุดค่ะ

    สักครู่เริ่มได้ผลค่ะ ความกดดันต่าง ๆ เริ่มคลายตัวลงไปเรื่อย ๆ พร้อม ๆ กับได้ยินเสียงของท่านผู้นั้นกล่าวตอบกลับมาว่า……

    “เราได้มีโอกาสเลือกแล้วด้วยบุญแห่งปัญญาที่ได้รับ” แล้วเสียงนั้นก็หายไป

    เมื่อทุกอย่างเริ่มเป็นปกติมากขึ้น ดิฉันจึงเริ่มคิดทบทวน พิจารณาในทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง (อาการท้อแท้ เหนื่อย หงุดหงิด เศร้าหมอง) ว่ามันคืออะไร เกิดขึ้นได้อย่างไร คิดทบทวนไปเรื่อย ๆ แบบไม่ได้เร่งต้องการคำตอบอะไรมากมายนัก จากนั้นก็ค่อย ๆ สอนและแนะนำตัวเองไปเรื่อย ๆ เท่าที่สติปัญญาของตัวเองจะพึงมี

    และสิ่งหนึ่งที่ดิฉันไม่ลืมที่จะสอนหรือแนะตัวเองก็คือ “ความไม่เที่ยงแท้แน่นอนเลยกับการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปของสภาพความกดดันนั้น ๆ”

    สิ่งลี้ลับเองยังเลือกที่จะเติมปัญญาแบบสัมมาทิฎฐิให้ตัวเอง แล้วไฉนเลย ผู้มีปัญญาน้อยอย่างดิฉันจึงไม่คิดจะเติมปัญญาแบบสัมมาทิฎฐิให้กับตัวเองบ้างเล่า

    โมทนาบุญค่ะ _/|\_ _/|\_ _/|\_
     
  14. wisarn

    wisarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    727
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +2,503
    --------------------------------------------------------------------------------
    หัวข้อ: Re: คุยกันสบายๆ กับ sky และ ธง
    เริ่มหัวข้อโดย: sky ที่ 31 พฤษภาคม 2006, 14:56:11
    --------------------------------------------------------------------------------

    กราบสวัสดีพี่ ๆ เพื่อน ๆ น้อง ๆ ชาว “ลานวัด” ทุกท่านค่ะ _/|\_

    อีกครั้งนะคะ สำหรับคำถาม ที่คงต้องเรียนรบกวนถามจากทุกท่านอีกสักครั้งว่า …..”วันนี้คุณได้เปิดบุญ เบิกบุญ โอนบุญให้กับสิ่งลี้ลับที่เป็นญาติในโลกทิพย์ เหล่านายเวรที่เกี่ยวข้อง เหล่าเทวดาผู้เฝ้าอยู่ และเหล่าเชื้อโรคในร่างกายของคุณอย่างต่อเนื่องแล้วหรือยังคะ” กราบขอบพระคุณค่ะ _/|\_

    “พลังพุทธานุภาพ และการย้อนระลึกถึงแต่ผลบุญผลกุศลที่ได้เคยกระทำมานั้นยิ่งใหญ่เหลือเกินค่ะ”

    จากนี้ไป เป็นประสบการณ์ส่วนตัวที่ดิฉันได้สัมผัสแล้วกับตัวเอง และเห็นว่ามันเป็นคุณประโยชน์อย่างยิ่งเหลือเกินกับตัวดิฉัน จึงใคร่ขออนุญาตนำประสบการณ์ดังกล่าว มาเล่าสู่กันฟัง เป็นธรรมทานต่อกันนะคะ ใคร่ขอความกรุณาจากทุกท่านได้อ่านด้วยสติและวิจารณญาณด้วยอีกเช่นเคยค่ะ ………..กราบขอบพระคุณค่ะ _/|\_

    คุณย่าของดิฉันท่านป่วยเป็นโรค “มะเร็งปอด” มาหลายเดือนแล้วค่ะ คุณพ่อ คุณอา และลูก ๆ หลาน ๆ ได้พยายามพาท่านไปรักษาอย่างเต็มที่ เต็มความสามารถแล้ว แต่ด้วยเพราะ “ระยะของโรค” ผนวกกับ “ความชราภาพของท่าน” จึงเป็นเหตุให้อาการป่วยของท่านเป็นไปอย่างทรง ๆ ทรุด ๆ อยู่ตลอดเวลา

    คุณย่าจึงบอกกับคุณพ่อ และอา ๆ ว่า “ท่านไม่ขอไปโรงพยาบาลอีกแล้ว แม้หากจะตายก็ขอตายอยู่ที่บ้าน อยู่ให้ลูก ๆ หลาน ๆ ได้เห็นใจกันเป็นครั้งสุดท้ายจะดีกว่า” จึงทำให้ทุกคนตัดสินใจที่จะไม่พาคุณย่าไปโรงพยาบาลอีกค่ะ โดยได้ช่วยกันดูแลท่านอยู่ที่บ้านไปเรื่อย ๆ ตามที่คุณหมอแนะนำ ไม่ว่าจะเรื่องยา หรือเรื่องอาหารการกิน

    ล่าสุดดิฉันได้เดินทางไปเยี่ยมท่าน (คงราว ๆ เดือนมีนาคมที่ผ่านมาน่ะค่ะ) ได้พบว่าท่านอาการทรง ๆ ทรุด ๆ อยู่เหมือนเดิม ท่านผอมมาก ทานได้น้อยลง ลุกเดินไม่ได้ ต้องมีคนคอยดูแลเรื่องอาหาร และเรื่องการขับถ่ายให้กับท่าน

    ดิฉันได้บอกกล่าวกับญาติ ๆ รวมทั้งคุณพ่อให้พยายามทำใจ และอย่าทำใจอย่างเดียว ขอให้ใช้ช่วงเวลาที่มีอยู่นี้ให้เกิดประโยชน์ที่สุดต่อคุณย่า ด้วยการ “โอนบุญ เบิกบุญ เปิดบุญ” ช่วยท่าน ก็มีญาติบางคนค่ะที่ยอมทำตามที่ดิฉันได้แนะนำไป แต่บางคนก็ยังลังเลสงสัยเรื่องนี้กันอยู่ แต่ที่แน่ ๆ หนึ่งในนั้นที่กระทำการโอนบุญ เบิกบุญ และเปิดบุญอย่างต่อเนื่องให้กับเหล่านายเวรและเทวดาของคุณย่า ก็คงหนีไม่พ้นดิฉันนั่นเองค่ะ
    จนกระทั่ง เมื่อประมาณวันที่ 28 พฤษภาคม 2549 ที่ผ่านมา คุณอาได้โทรมาบอกคุณพ่อว่า คุณย่าคงไม่รอดแล้ว ท่านเริ่มพูดไม่ได้แล้ว และดูเหมือนอยากจะพบลูก ๆ หลาน ๆ ในช่วงเวลานี้

    ดิฉันไม่รอช้าที่จะเป็นกำลังใจให้คุณพ่อก่อนเป็นลำดับสำคัญค่ะ ด้วยเพราะท่านป่วยเป็นโรคหัวใจอยู่ ดิฉันค่อย ๆ บอกท่านให้ทำใจ และเอาหนังสือธรรมะให้ท่านอ่าน โดยมุ่งเน้นหลักธรรมะเกี่ยวกับการเกิด แก่ เจ็บ ตายเป็นหลักสำคัญ เพียงเพื่อหวังให้ท่านได้มีกำลังใจที่เข้มแข็ง เพื่อจะได้มีสติในการช่วยกันส่งบุญช่วยคุณย่า

    และแล้ววันที่พวกเราทุกคนไม่อยากให้มันมาถึง ก็ต้องมาถึงในที่สุดจนได้ค่ะ

    ประมาณ 18.00 น. ของวันที่ 30 พฤษภาคม 2549 ดิฉันได้รับทราบจากคุณพ่อทางโทรศัพท์ว่า ขณะนี้ท่านได้เดินทางไปหาคุณย่าที่ต่างจังหวัดแล้ว และอาการของคุณย่าขณะนี้ค่อนข้างหนักมาก

    ดิฉันรีบบอกกับคุณพ่อทันทีว่า ให้นำเอาพระพุทธรูปมาตั้งให้คุณย่าได้ดู และเปิดเทปธรรมะให้คุณย่าฟัง จากนั้นก็ให้หมั่นกระซิบที่ข้างหูของท่านบ่อย ๆ เป็นระยะ ๆ ให้ท่านได้ระลึกถึงพระพุทธองค์และระลึกถึงบุญกุศลที่ท่านได้เคยกระทำมาในชาตินี้ พร้อมทั้งให้หมั่นบอกให้คุณย่าได้สบายใจไม่ต้องห่วงลูกห่วงหลาน

    ตลอดทั้งวัน ดิฉันจะโทรไปให้กำลังใจคุณพ่อและอา ๆ รวมทั้งคุณปู่เป็นช่วง ๆ เพื่อให้ทุกคนมีกำลังใจที่เข้มแข็ง และช่วยกันทำตามที่ดิฉันแนะนำในข้างต้น

    คุณพ่อโทรมาเล่าให้ดิฉันฟังในตอนหัวค่ำว่า คุณปู่นั่งกอดคุณย่าพร้อมกับสวดมนต์ (คาถาชินบัญชร) ให้คุณย่าฟัง (แต่คุณพ่อได้บอกกล่าวสิ่งลี้ลับที่ไม่สามารถรับฟังคำสวดมนต์ได้ ให้ได้รับรู้แล้ว ตามที่ได้เคยฟังหลวงปู่เกษมท่านแนะนำในซีดี)

    ภาพที่ทุกคนเห็นในขณะนั้นคือ คุณปู่ซึ่งอยู่ในวัยที่ชราภาพมากไม่แตกต่างจากคุณย่าเลย ได้นั่งกอดคุณย่า สวดมนต์ให้คุณย่าฟังไป ก็คุยธรรมะให้คุณย่าฟังไป พูดให้คุณย่าได้ระลึกถึงในช่วงที่ท่านได้เคยไปทำบุญตักบาตรด้วยกัน พร้อม ๆ กับนั่งฟังซีดีธรรมะที่คุณพ่อนำไปเปิดให้ฟังไปพร้อม ๆ กับคุณย่าด้วย ส่วนคุณพ่อก็นั่งสมาธิแล้วแปลงบุญส่งให้กับนายเวรของคุณย่าอีกทางหนึ่ง

    สำหรับดิฉันคงไม่ต้องพูดถึงค่ะ ตลอดทั้งวันของวันดังกล่าวนี้ นั่งทำงานไปก็ฟังธรรมะไปเรื่อย ๆ แปลงบุญ ส่งบุญไปเรื่อย ๆ พิจารณาธาตุสี่ขันธ์ห้า การเกิด แก่ เจ็บ ตายไปเรื่อย ๆ พร้อม ๆ กับการส่งบุญออกไปอยู่ตลอดเวลา โดยมุ่งเน้นส่งไปที่นายเวรที่กำลังก่อกวนคุณย่าอยู่ และให้กับเทวดาผู้เกี่ยวข้องกับคุณย่า
    ประมาณ 3 ทุ่มกว่า ๆ ดิฉันรู้สึกแปลกใจตรงที่ว่าจู่ ๆ จิตก็ไม่ยอมส่งบุญออกไปแล้ว คือจิตมันเฉย ๆ น่ะค่ะ แล้วจู่ ๆ จิตมันก็นำพามาให้พิจารณาถึงแต่การเกิด แก่ เจ็บ ตาย เวียนไปเวียนมา จนกระทั่งดิฉันหลับตาและนอนไปเลย

    เสียงโทรศัพท์ของดิฉันดังขึ้นประมาณเที่ยงคืน 20 นาทีเห็นจะได้น่ะค่ะ และก็ได้รับคำตอบที่ว่า “ย่าสิ้นใจแล้ว”

    ไม่พูดพร่ำทำเพลงค่ะ พอวางสายเสร็จแล้ว ดิฉันได้ทำการนั่งสมาธิทันที จิตระลึกถึงและตั้งมั่นถึงแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในทันที และทำการเบิกบุญส่งถึงคุณย่าในทันทีด้วยเช่นกัน เบิกบุญและส่งไปเรื่อย ๆ ในขณะที่ยังนั่งสมาธิอยู่อย่างนั้น สักระยะหนึ่ง จากนั้นก็แปลงบุญของดิฉัน “เป็นพลังบุญ” ให้ดิฉันได้สามารถสัมผัสกับคุณย่าได้ “ในขณะนี้” โดยทุกขณะจิตดิฉันจะระลึกถึงแต่พระพุทธองค์เป็นที่ตั้งอย่างเดียวเลย

    จากนี้ไป เป็นสิ่งที่ดิฉันได้สัมผัสในสมาธิของดิฉันค่ะ ………………

    ดิฉันทำสมาธิไปได้สักระยะหนึ่ง ดิฉันได้สัมผัสเห็นคุณย่าค่ะ เห็นว่าท่านกำลังเดินอยู่ ณ ที่แห่งหนึ่ง โดยที่แห่งนั้นเป็นทางที่ดูแล้วลิบหูลิบตาเหลือเกิน เสมือนหนึ่งเป็นทางที่ไม่มีที่สิ้นสุด (ประมาณว่ามองไม่เห็นปลายทางเลยน่ะค่ะ) ความกว้างของเส้นทางไม่มากนัก หากจับคนมายืนเรียงกัน แบบติด ๆ หรือเบียด ๆ กัน ก็ไม่น่าจะเกิน 3-5 คนค่ะ บริเวณโดยรอบค่อนข้างเย็นและเป็นสีเทา ๆ เหมือนหมอก แต่จะเห็นเป็นสีเทาเข้มชัดเจนมาก

    คุณย่าของดิฉันใส่เสื้อสีขาวกระบอกแขนยาว ผ้าซิ่นสีน้ำตาล (ซึ่งในช่วงเช้าของวันที่ 31 พฤษภาคม ดิฉันลองถามคุณพ่อถึงชุดที่คุณย่าใส่ตอนตาย ก็ปรากฎว่ามีลักษณะชุดที่ตรงกัน) คุณย่าเดินไปเรื่อย ๆ ดิฉันเรียกเท่าไหร่ท่านก็ไม่หันมา ดิฉันวิ่งตามท่านจนรู้สึกเหนื่อยมาก ท่านก็ยังไม่หยุดเดิน และวิ่งไม่ถึงท่านเลยสักที

    ดิฉันได้ทำการขออัญเชิญกระแสพระบารมีและอำนาจของพระพุทธองค์อีกครั้ง ผนวกกับเบิกบุญให้บุญของดิฉันได้แปลงเป็นเสียงของดิฉันส่งถึงคุณย่า ให้คุณย่าได้สัมผัสเสียงและสามารถมองเห็นดิฉันได้ ซึ่งไม่นานนักค่ะ คุณย่าก็หยุดเดินและหันมาตามเสียงเรียกของดิฉัน แต่…..ท่านจำดิฉันไม่ได้ค่ะ ท่านทำท่าขมวดคิ้วในขณะที่มองดิฉันอยู่นาน

    ดิฉันก็ขออัญเชิญอำนาจพระพุทธองค์อีกครั้ง ผนวกกับเบิกบุญให้บุญของดิฉันได้แปลงเป็นเสียงของดิฉันและทำให้คุณย่าจำดิฉันได้อีกสักครั้งนึง ซึ่งก็ไม่น่าเชื่อว่ามันได้ผลอีกแล้วค่ะ คุณย่าเริ่มจำดิฉันได้ และกล่าวกับดิฉันในเวลาต่อมาว่า "มาที่นี่ทำไม" ดิฉันก็ไม่พูดอะไรมากค่ะ รีบบอกท่านไปในทันทีว่า “ย่าจ๋า ย่านึกถึงพระพุทธองค์ไว้นะจ๊ะ และพยายามนะจ๊ะย่า พยายามนึกถึงบุญของย่าที่ได้เคยกระทำมานะจ๊ะ ค่อย ๆ นึกนะจ๊ะย่า นึกไปเรื่อย ๆ นะจ๊ะย่า” ดิฉันพยายามพูดทวนซ้ำแล้วซ้ำอีกไปอยู่อย่างนั้นไม่เลิก พร้อม ๆ กับเบิกบุญให้กับคุณย่าเป็นระยะ ๆ
    ในขณะนั้นเองดิฉันเริ่มเห็นผู้คนมากมายเดินผ่านรอบ ๆ ตัวย่าและตัวของดิฉัน พวกเค้าเดินไปเรื่อย ๆ ไม่พูดคุยทักทายกัน เดินเหมือนหุ่นยนต์ เดินไปตามเส้นทางดังกล่าว มีแต่คุณย่าและดิฉันที่หยุดยืนอยู่

    จนกระทั่งมีเทวดาท่านหนึ่ง ที่เสมือนในตอนแรกจะเป็นผู้เดินนำอยู่หัวแถว ท่านผู้นั้นดิฉันพอจะทราบดีกว่าเค้าคือผู้ทำหน้าที่พาดวงวิญญาณไป แต่เค้ามาปรากฎให้ดิฉันเห็นเป็นลักษณะของเครื่องทรงเทวดา เค้ามายืนมองหน้าดิฉันโดยไม่พูดสิ่งใด ดิฉันรีบก้มลงกราบเค้า และเบิกบุญมาน้อมถวายให้กับเค้า พร้อมกับพูดขึ้นว่า "ข้าพเจ้าขอร้องนะท่าน ขอให้ข้าพเจ้าได้ทำหน้าที่หลานครั้งสุดท้ายให้กับย่าของข้าพเจ้าด้วยเถิดนะท่าน ย่าของข้าพเจ้าเป็นคนดี ขอให้คุณย่าได้มีสิทธิระลึกถึงบุญในขณะนี้ได้และได้ไปสู่ภพภูมิที่ดีกว่านี้นะท่านนะ"

    เมื่อดิฉันพูดจบ ท่านองค์นั้นก็เดินไป ไม่ได้พูดว่ากล่าวอะไรกับดิฉัน จากนั้นดิฉันก็ขอให้คุณย่าระลึกถึงพระพุทธองค์และระลึกนึกถึงบุญอีกครั้ง ในขณะที่บอกกล่าวกับคุณย่าไปนั้น ดิฉันก็ยังไม่ลืมที่จะเบิกบุญมาให้กับคุณย่าอยู่เป็นระยะ ๆ โดยแปลงบุญนั้นเป็น “ปัญญาและสติแบบสัมมาทิฎฐิ ให้คุณย่าได้มีจิตตั้งมั่นอยู่แต่กับพระพุทธองค์และตั้งมั่นอยู่แต่กับผลบุญผลกุศลที่คุณย่าได้เคยกระทำมาในชาติภพนี้ และเท่าที่คุณย่าจะพึงระลึกได้”
    สักครู่ก็เกิดภาพตอนที่คุณย่ากำลังหิ้วปิ่นโตไปวัดปรากฏขึ้น พร้อม ๆ กับภาพที่คุณย่ากำลังนั่งสวดมนต์ทำสมาธิอยู่ และภาพคุณย่ากำลังแกะนุ่นเพื่อเอาเงินไปซื้อข้าวใส่บาตร ภาพเหล่านั้นสะท้อนขึ้นตรงหน้าดิฉันและคุณย่าให้ได้สัมผัส (น้ำตาตอนนั้นมันไหลออกมาแบบไม่รู้ตัวเลยน่ะค่ะ)

    คุณย่ายิ้มและก็นิ่งสงบมาก จากนั้นท่านก็ไม่เดินตามผู้คนกลุ่มนั้นไปแล้ว แต่เลี้ยวไปอีกห้องหนึ่ง ซึ่งมีอีกห้องตรงข้ามที่ดูน่ากลัวมากกว่าที่ห้องที่คุณย่าเดินเลี้ยวเข้าไป ห้องสองห้องที่อยู่ตรงข้ามกันนั้น ดูเหมือนจะเป็นคนละทิศกับความเป็นจริง คุณย่าเลี้ยวเข้าไปทางด้านซ้าย ซึ่งจิตของดิฉันบอกว่ามันคือด้านขวา ส่วนห้องฝั่งตรงข้ามที่คนส่วนใหญ่เลี้ยวเข้าไปนั้นเป็นด้านขวา แต่จิตของดิฉันมันบอกว่าเป็นด้านซ้าย

    เมื่อคุณย่าเลี้ยวเข้าไปที่ห้องด้านซ้าย (ซึ่งจิตดิฉันบอกว่าเป็นด้านขวานั้น) ห้องนั้นเย็นมาก ๆ เลยค่ะ เย็นจนหนาวมาก มีคน ๆ นึงกำลังนั่งเป็นประธานอยู่ แต่งองค์ทรงเครื่องเหมือนเทวดาองค์เมื่อสักครู่นี้เลย และมีคนที่ตายไปแล้วเรียงแถวเข้าไปคุยอะไรไม่ทราบกับเทวดาท่านดังกล่าวนี้ ดิฉันไม่สามารถได้ยินได้เลยค่ะ แต่จิต ณ ขณะนั้นบอกกับดิฉันว่า "นี่คือภาพลวงตา พาย่าออกไปจากที่นี่ซะ"

    ดิฉันก็เลยขออัญเชิญอำนาจพระพุทธองค์ใหม่อีกครั้ง พร้อมกับเบิกบุญต่ออีกครั้งส่งให้กับคุณย่า ให้บุญนี้ทำให้คุณย่ามีสติระลึกถึงบุญและระลึกถึงพระพุทธองค์อีกครั้ง คุณย่าท่านก็ทำตามค่ะ

    ไม่นานนักคุณย่าก็ออกมาจากห้องนั้น และเลื่อนขึ้นไปสู่ที่สถานที่แห่งหนึ่ง ที่ไม่ใช่ถนนเส้นนั้นอีกแล้ว ที่นั่นดิฉันสัมผัสเห็นอย่างไม่ชัดเจนนัก คือไม่ค่อยชัดเจน แต่ก็พอมองเห็นว่าเป็นสมเด็จโต หลวงพ่อทูล และเทวดาอยู่มากมายค่ะ ซึ่ง ณ ที่ตรงนั้นดิฉันไม่สามารถตามคุณย่าเข้าไปได้ค่ะ แต่สัมผัสถึงกระแสแห่งความเย็นและความสงบได้อย่างชัดเจนเลยทีเดียว ดิฉันได้ยืนเบิกบุญให้กับทุกสิ่งที่ดิฉันสัมผัสเห็น และเบิกบุญให้กับคุณย่าอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง

    ได้เห็นคุณย่านั่งสมาธิอยู่ ณ ที่ตรงนั้นแบบไม่ลืมตาเลย ท่านนั่งสมาธิอย่างสงบเหลือเกิน สักครู่ดิฉันได้สัมผัสเสียงของเทวดาท่านนึง ณ ที่แห่งนั้นบอกกับดิฉันว่า "ย่าของท่านเลื่อนสู่ภูมิที่ดีแล้วด้วยบุญของตัวเค้าเอง และด้วยบุญที่ท่านได้ช่วยส่งให้ มิต้องเป็นห่วง ย่าท่านเป็นผู้มีบุญเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ได้หลุดพ้นจากภูมิที่ต่ำแล้ว ขอท่านจงสร้างความเพียรให้ถึงพร้อมเถิดด้วยสติที่มากด้วยสัมมาทิฎฐิ"

    น้ำตาตอนนั้นมันไหลทั้งในและนอกสมาธิเลยน่ะค่ะ มันปิติจนพูดไม่ออก บอกไม่ถูก ได้ก้มลงกราบคุณย่าเป็นครั้งสุดท้าย เมื่อเงยหน้าขึ้นมาได้พบว่าท่านกำลังมองมาแล้วพูดขึ้นว่า “ขอบใจมากหลาน” จากนั้นภาพที่เห็นก็ไม่ใช่คุณย่าของดิฉันแล้ว แต่เป็นเทวดาผู้หญิงท่านนึงที่งดงามมาก แต่จิตรับรู้ได้ในทันทีว่า “นี่คือคุณย่าของดิฉัน” _/|\_ _/|\_ _/|\_

    เมื่อออกจากสมาธิ และตัดซึ่งความปิติทุกอย่างแล้ว เช็ดน้ำตาจนแห้งแล้ว ดิฉันก็นั่งสมาธิต่อค่ะ เพื่อส่งบุญให้กับคุณย่าและทุก ๆ ท่านที่มาสัมผัส และส่งผลให้ดิฉันได้สัมผัสเห็นภาพต่าง ๆ เมื่อสักครู่นี้ทั้งหมดอีกครั้ง ดิฉันหลับไปทั้งสมาธิตอนไหนไม่ทราบค่ะ มาตื่นอีกทีก็ประมาณตี 4 จึงได้ลุกขึ้นทำสมาธิต่อจนถึงเช้า แล้วอาบน้ำไปทำงาน

    มาถึงที่ทำงาน ก่อนเข้างานดิฉันก็ได้ขึ้นทำวัตรเช้า และทำสมาธิ แปลงบุญเป็นปัญญาและสติแบบสัมมาทิฎฐิส่งให้กับคุณย่าอีกครั้ง โดยมุ่งเน้นให้คุณย่าได้ตั้งมั่นอยู่กับพระพุทธองค์และผลบุญผลกุศลไปเรื่อย ๆ

    ได้โทรไปถามคุณพ่อว่า เมื่อวานนี้ได้เปิดซีดีธรรมะชุดไหนให้คุณย่าฟัง ท่านบอกว่า “เป็นซีดีธรรมะของหลวงพ่อทูล”

    ดิฉันอยากจะเรียนให้ทราบเหลือเกินค่ะว่า การตายจากของคุณย่าในครั้งนี้ ได้เป็นการตายจากที่ก่อให้เกิดปัญญาทางธรรมไว้ให้กับดิฉันอย่างหาที่เปรียบประมาณไม่ได้เลยจริง ๆ ค่ะ

    ทุก ๆ ท่านคะ ประสบการณ์ที่ดิฉันนำมาเล่าสู่กันฟังเป็นธรรมทานในครั้งนี้ ดิฉันกำลังจะขออนุญาตเรียนให้ทุกท่านได้รับทราบค่ะว่า “พลังพุทธานุภาพและพลังแห่งผลบุญนั้นยิ่งใหญ่ขนาดไหน”

    คุณไม่จำเป็นต้องมีตาทิพย์ หูทิพย์ หรือมีฌาน มีญาณขั้นไหน ระดับไหนเลยค่ะ ขอเพียงคุณเป็นผู้ที่มีสติระลึกรู้แบบสัมมาทิฎฐิอยู่ตลอด นั่นคือ มีการระลึกถึงบุญถึงกุศลอยู่ตลอดเวลา สิ่งใดที่ได้คิดแล้ว พูดแล้ว กระทำแล้ว อันมีผลไปสู่ความถูกต้องแบบสัมมาทิฎฐิแล้วนั้น นำมาซึ่งการระลึกรู้อยู่สม่ำเสมอ และนำมาซึ่งการกระตุ้นเตือนให้คุณกระทำสิ่งดี ๆ เหล่านั้นให้ได้อย่างต่อเนื่องอยู่ตลอดเลา

    รวมทั้งการระลึกถึงแต่คุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ บิดามารดา อยู่เป็นนิตย์

    เท่านี้เองค่ะ เพียงเท่านี้เองค่ะ คุณก็จะได้มีโอกาสทำหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่อย่างที่ดิฉันที่ได้ประสบพบเจอมาแล้วนี้

    เหตุการณ์ที่ผ่านมา สะท้อนให้ดิฉันเห็นแล้วซึ่งคุณค่าของพลังแห่งพุทธานุภาพ และพลังแห่งสติที่พึงระลึกถึงแต่บุญกุศลอย่างต่อเนื่องนั้น มันก่อให้เกิดคุณค่ามหาศาลแล้วขนาดไหน

    ไม่ว่าคุณจะกำลังมีชีวิตอยู่ หรือกำลังจะจากโลกนี้ไป หรือได้ล่วงลับจากโลกนี้ไปแล้วก็ตาม พลังพุทธานุภาพและพลังแห่งผลบุญผลกุศลของคุณ จะอยู่คู่กับคุณ และช่วยเหลือคุณได้เสมอค่ะ

    ขอบุญกุศลที่ได้บังเกิดขึ้นแล้วกับข้าพเจ้านี้ จะด้วยทางกายก็ดี วาจาก็ดี จิตใจก็ดี ขอผลบุญทั้งปวงนี้จงถึงซึ่งแก่คุณย่าของข้าพเจ้าในทันทีด้วยเถิด ขอคุณย่าจงเป็นผู้ที่ตั้งมั่นในการระลึกรู้อยู่ซึ่งผลบุญผลกุศลที่คุณย่าได้พึงกระทำมาแล้วในชาตินี้และในอดีตชาติ และขอให้คุณย่ามีจิตที่ตั้งมั่นต่อคุณของพระพุทธองค์ ขอการระลึกรู้ของคุณย่าทุกประการนี้จงได้ปรากฎอยู่ตลอดไปกับคุณย่า จนถึงซึ่งเส้นทางแห่งความหลุดพ้นสู่ภพภูมิที่ดีที่สุดแด่คุณย่าในลำดับต่อไปด้วยเทอญ อันภพภูมิใดที่เปี่ยมด้วยอวิชชาความเร่าร้อนจงอย่าพึงได้บังเกิดกับคุณย่าของหลานเลยด้วยอำนาจรักษาของพระพุทธานุภาพและด้วยผลบุญที่ได้ประคองแล้วต่อคุณย่านี้

    กราบลาคุณย่าด้วยความเคารพรักยิ่ง และกราบขอบพระคุณในธรรมที่คุณย่าได้มอบให้กับหลานในครั้งนี้และที่ผ่านมาโดยตลอด _/|\_

    โมทนาบุญค่ะ _/|\_ _/|\_ _/|\_
     
  15. wisarn

    wisarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    727
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +2,503
    การจ้าของบุญ

     
  16. wisarn

    wisarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    727
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +2,503
    ^-^
     
  17. sorapong_raluk

    sorapong_raluk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +318
    การทำความดี แม้เพียงนิดแล้วส่งบุญ เป็นพุทธานุสติว่า ทำดี ทำดี ทำดี ได้ทำดีอีกแล้วทั้งวัน ทำให้จิตมีสติไม่เผลอออกไปจากศีล5 สาธุ
     
  18. koymoo

    koymoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2004
    โพสต์:
    2,067
    ค่าพลัง:
    +7,066
    คุณ wisarn it มีเรื่องดีๆมาเล่าให้ฟังมากมาย แต่ละเรื่องล้วนเป็นประโยชน์และให้คติธรรมที่ดีกับชีวิตทั้งนั้น ดีมากๆเลยค่ะ โมทนาบุญด้วยนะคะ
     
  19. wisarn

    wisarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    727
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +2,503
    --------------------------------------------------------------------------------
    หัวข้อ: Re: คุยกันสบายๆ กับ sky และ ธง
    เริ่มหัวข้อโดย: APINYO ที่ 23 มกราคม 2006, 22:16:34
    --------------------------------------------------------------------------------
    วันนี้มีเรื่องมาเล่าครับ ;D
    คือว่าเมื่อคืนนี้ผมเข้าไปนอนที่บ้าน ปกติจะนอนที่หอพักในมหาวิทยาลัย แล้วพอดีพี่ที่บ้านบอกว่าก่อนปิดบ้าน ให้ดูด้วยว่าแมวเข้าบ้านหรือยัง
    ผมเผลอ หลับไปหน้าทีวี :-\ ตื่นขึ้นมาตอนเที่ยงคืน ผมก็นึกขึ้นได้ว่า ยังไม่เห็นแมว เลยเดินไปดูหน้าบ้าน ก็เห็นว่ามันนั่งอยู่ริมถนน
    ผมเรียกมันเข้าบ้าน มันก็ไม่เข้า ผมเลยเปิดช่องประตูไว้นิดหน่อยพอให้มีเข้าได้ แล้วผมก็ขึ้นนอน
    พอเช้ามา คนในบ้านก็ถามหากันใหญ่ว่าแมวหายไปไหน ผมห็เล่าให้ฟัง แต่ก็ไม่เห็นมัน ในใจห็รู้สึกผิด :( แต่ก็รีบไปเรียน
    พอตอนเย็นกลับมาที่บ้าน เค้าบอกว่าแมวตายแล้ว :eek: เป็นอะไรก็ไม่รู้ นอนตายอยู่ที่ข้างกระถางต้นไม้หน้าบ้าน
    ผมยิ่งรู้สึกผิดใหญ่เลย รีบเบิกบุญให้มันทันที แล้วก็เข้าสมาธิดูเห็นว่าที่มันตายเพราะว่าถูกตะขาบต่อย แล้วตอนนี้มันได้รับบุญเป็นนางไม้
    อยู่ที่ต้นที่มันตายนั่นเอง แล้วผมก็ถามเค้าว่าโกรธไหมที่มีส่วนทำให้ตาย เค้าบอกว่าตั้งแต่ตอนจะตายนั่นโกรธ แต่พอตายแล้ว มีคนๆหนึ่งๆ(เทวดาที่ทำหน้าที่แจกบุญ) มาบอกว่า มานี่ๆ มาเอา(บุญ)นี่ไป เอาไปได้ เขาเปิด(บุญ)ไว้ แล้วมันก็เอาอยู่เลยทั้งวัน จนตอนเย็นนี้(คงเป็นตอนที่ผมเบิกบุญให้แบบเจาะจง) มันได้เยอะมาก จนมาเป็นแบบนี้(นางไม้) ผมเลยบอกว่าถ้าอยากได้บุญอีกก็เอาไปเลยไม่หวง แล้วก็ได้สอนเค้าเรื่องขันธ์ 5 (เน้นที่เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เพราะว่าเค้าไม่มีรูป) โดยตลอดที่สอนให้โมทนาบุญตลอด สอนเสร็จเค้าก็โมทนาบุญกับผมอย่างเต็มที่ _/|\_แล้วเค้าก็เปลี่ยนเลยครับ เปลี่ยนเป็นเทวดารูปร่างสวยงามมาก เค้าบอกว่าเค้าจะอยู่คอยดูแลที่บ้านนี้ให้ ผมก็อนุโมทนาบุญกับเค้า แล้วผมก็ออกจากสมาธิ (เหนื่อยเลยครับ แล้วก็นอนหลับไป ;D ตื่นมาเลยมานั่งพิมพ์นี่แหละครับ พิมพ์ไปส่งบุญให้(แมว)เทวดาไปด้วย)
    ที่เล่ามาก็อยากจะทำเพื่อเป็นการไถ่โทษที่ทำให้มันตายเพราะมันเป็นแมวที่ทุกคนในบ้านรักมันมาก มันแสนรู้มากๆ และอีกอย่างคือว่าอยากให้หำลังใจคนที่ปฎิบัติธรรมไปแล้วท้อแท้ ผมอยากบอกว่าอย่าท้อแท้เลยครับ ขนาดแมวมันยังฟังธรรมแล้วรุ้เรื่องเลย แล้วเราจะยอมแพ้มันเหรอครับ _/|\_ _/|\_ _/|\_
     
  20. wisarn

    wisarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    727
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +2,503
    --------------------------------------------------------------------------------
    หัวข้อ: Re: คุยกันสบายๆ กับ sky และ ธง
    เริ่มหัวข้อโดย: APINYO ที่ 02 กุมภาพันธ์ 2006, 02:31:13
    --------------------------------------------------------------------------------
    ช่วงนี้ไม่ค่อยเห็นพี่ฟ้า :( มาเล่าเรื่องเลยอ่ะครับ
    ผมคอยอ่านอยู่นะครับ
    เอาเป็นว่าวันนี้ผมขอเล่าบ้างนะครับ (หายไปนาน :p)
    พอดีศุกร์-อาทิตย์ที่แล้วผมไปจัดค่ายมาครับ
    ปกติก็จัดเป็นประจำครับ ค่ายเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม
    แต่ครั้งนี้รู้สึกว่าไปถึงสถานที่จัดค่ายมีอะไรแปลกๆครับ :-\
    แต่ก็ไม่ได้เอ๊ะใจอะไรมากมายครับ เพราะเปิดบุญไว้แล้วมีอะไรเค้าคงมาเอาบุญเอง และได้เบิกบุญไว้ล่วงหน้าก่อนที่จะไปแล้ว (ให้กับเทวดาที่ตรงนั้น ;D) พอตกกลางคืนครับประมาณ 00.15 น. ได้ยินเสียงสุนัขหอนมาเป็นทอดๆ ๆ ๆ แล้วพวกเราก็นั่งประชุมเพื่อเตรียมงานพรุ่งนี้กันต่อ
    (ปกติของค่ายครับ ที่ในแต่ละวันจะมานั่งสรุปงานและเตรียมงานของวันต่อไป) เพื่อนก็เริ่มกลัวครับ :-[ ผมเห็นท่าไม่ดีเลยบอกเพื่อนๆคนที่เบิกบุญเป็นให้เบิกบุญช่วยกัน แต่เสียงนั้นก็ไม่หายไป จนประมาณ 3 นาที เสียงสุนัขหอนก็ส่งต่อเป็นทอดๆ ผ่านตรงที่พวกเราอยู่ผ่านไป แต่ยังส่งต่อไปอยู่ วันต่อมาพวกเราก็ลืมไปแล้ว จนกระทั่งทำอะไรเสร็จต้องมานั่งประชุมกันเหมือนเดิม :-[ เริ่มมีคนจำได้ครับ เริ่มกลัวกัน ผมเห้นว่าจะไม่ได้งานเลยกำหนดเข้าตัวนิ่งแล้วดูเลยครับ ว่าเป้นอะไรกันแน่ คำตอบที่ได้ก็คือ เป็นทหารครับ ทหารผีโบราณเป็นกองทัพเลย(นุ่งโจงสั้น ถือดาบด้วย ตัวดำๆ) เค้าเดินตรวจตรา ตรวจเวรครับ เวลานี้ทุกวัน ที่ให้บุญแล้วเสียงสุนัขไม่หยุดหอนเพราะว่าเค้ารับไม่ได้ เค้าไม่มีจิตที่อนุโมทนาบุญที่เราให้ไป จิตเค้ามีแต่อาฆาตแค้น (ลืมบอกไปครับ เค้าตายเวลาที่เค้าเดินตรวจเวรครับ มีข้าศึกยกมาฆ่าเลยรบกันแล้วก็ตาย) น่าสงสารนะครับ :-[ นี่ขนาดเป็นทหารมีใจรักชาตินะครับ ไม่รุ้ตั้งแต่สมัยไหน ยังคงวนเวียนอยู่เลย ตอนแรกคิดว่าจะไปสอนพวกเค้าแต่เห้นเค้าเยอะมากๆ แล้วอีกอย่างก็ใกล้ถึงเวลาประชุมแล้ว เลยได้แต่ให้บุญไปครับ แล้วบอกเทวดาว่าให้ไปบอกวิธีการอนุโมทนาให้พวกผีนี้ที แล้วก็เบิกบุญให้กับเทวดาที่จะทำงานนี้ครับ ตัวผมก็ออกจากตัวนิ่งไปเข้ากลุ่มประชุม พอเวลาเดิม (00.15 น.) มาอีกแล้วครับเสียงหอน แต่ทีนี้เบากว่าเดิมครับ ทุกคนเลยไม่กลัวมาก เป้นอันว่า 2 คืนที่นั่นผ่านไปได้ครับ แล้วก่อนกลับผมก็ได้ไปสอบถามเกี่ยวกับประวัติแถวนั้นครับ เค้าบอกว่าที่นี่เรียกว่าโนนชัย เป็นโนนแห่งชัยชนะของพวกที่มาทำศึกกันตั้งแต่สมัยก่อนๆแล้ว มีคนขุดเจอกระดูกคนแปดศอกด้วยข้างๆก็มี ดาบ เครื่องมือที่ใช้รบในสมัยโบราณ แล้วบางวันก็จะเห็นเป็นพวกนักรบมาเดินเผ่นพ้าน ผมก็เลยถึงบางอ้อครับ ::) รุ้นี้ถามคนแถวนั้นตั้งแต่แรกก็ดี จะได้เตรียมตัวไปถูก 555 :)) งานนี้เลยได้ให้แต่บุญผีทหารโบราณไป ไม่ได้สอนให้เค้าคลายความยึดเหล่านั้นเลย เสียดาย แต่จะให้ไปนั่งสอนในสมาธิคงไม่เอาครับ เพราะผมคิดว่าผมกับเค้าคงมีกรรมที่ต้องชดใช้กันเพียงเท่านี้ ถ้าหากจะได้สอนจริงๆผมต้องได้ไปที่นั่นอีก (ตั้งสัจจะเอาไว้) (ไม่รุ้ว่าผมคิดถูกหรือเปล่าครับ พี่ฟ้าหรือลุงธงช่วยตอบทีนะครับ ???) นี่แหละครับ ความอาฆาตพยาบาลที่เต็มดวงจิต (ถึงแม้ว่าจะแฝงด้วยความรักชาติ) แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลยครับ มีแต่ทุกข์ยึดติดกันไป น่าสงสารนะครับ _/|\_ ขอให้ทุกคนอย่าได้มีความอาฆาตกันเลยนะครับ ขนาดตายไป ถ้ายังอาฆาตอยู่ก็รับบุญไม่ได้ :'( น่าสงสาร
     

แชร์หน้านี้

Loading...