ในวงปฏิบัติของท่านทั้งหลาย เมื่อท่านเจอกิเลสแล้วอย่างหยาบ
ท่านมีวิธีการกำจัดกิเลสอย่างไร ของแต่ละท่าน
ยกตัวอย่างเช่น
กิเลสทางรูปเมื่อเดินทางไปผ่านของสักชิ้นหนึ่ง
รุ้ว่ากิเลสเกิด .ว่าอยากดูของชิ้นนั้น
ท่านจะมีวิธีการกำจัดกิเลสอย่างไรครับ.
อนุโมทนาสาธุทุกท่านครับ..
กำจัดกิเลสอย่างไร
ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย สราวุธ ลำพูน, 16 มกราคม 2009.
หน้า 1 ของ 2
-
-
กิเลสทางรูป(ความคิดเห็นเห็น...กิเลสไม่ใช่รูป รูปเป็น บ่อเกิดกิเลส(บ่อเกิดก็เหมือนเครื่องกระตุ้น)... พอมากระทบทางตาเกิดผัสสะ(สัมผัสทางตา)ก็เกิดที่ใจ(กิเลสเกิดที่ใจ ใจเป็นธาตุรู้) และ กิเลสตือตัณหา (สมุทัย)ประกอบไปด้วย ราคะ โลภะ โทษะ โมหะ ) หาก ดูรูปละเอียดจะดู ในสมาธิ ดูจิตในจิต รูปในจิตก็เป็นบ่อเกิดกิเลส เมื่อเดินทางไปผ่านของสักชิ้นหนึ่ง
รุ้ว่ากิเลสเกิด(ถ้ารู้ว่ากิเลสเกิดแสดงว่ามีสติ..แล้ว อยู่ที่ว่า สติเป็น สัมมาสติหรือเปล่า หรือเป็นสติที่ประกอบไปด้วยกุศล หรือเป็นสติที่ประกอบไปด้วยอกุศล หากเกิดสติที่ประกอบกับกุศล ก็จะสะสมกรรมดี หากเป็นสติที่ประกอบไปด้วยอกุศลก็จะสะสมกรรมชั่ว หากเป็นสติที่ประกอบไปด้วยปัญญา ก็จะเป็นแนวทางการพ้นทุกข์ ).ว่าอยากดู( กิเลสเกิดตรงนี้..อยากดู)ของชิ้นนั้น
ท่านจะมีวิธีการกำจัดกิเลสอย่างไรครับ.(ความคิดเห็น...สำหรับผม วิธีการ ก็คือ ระลึกรู้ไปเรื่อยๆ เวลาเกิด อยาก รู้ ความอยาก คอยดูห่างๆ...ช่วงฝึกแรกๆ จะยังตัดไม่ขาดเพราะเริ่มฝึก แต่หาก สติเกิด จน เป็นเอง เห็น สภาวะอยาก มันจะเริ่มเบา ๆ รู้สึกถึงความสงบๆเป็นขณะๆ จะดูความอยากด้วยความสงบด้วยขณะจิตนั้น)รูป เกิด จาก ธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นรูป ที่จับต้องได้ ทางสัมผัสทางกาย รูป ที่เกิด จาก นาม เกิด จาก จิตสังขาร คือจิตปรุงแต่ง เป็นรูป ในจิต เช่น นิมิต ในสมาธิ...จะเห็นรูป จาก รูปที่เกิดจากรูป หรือจะเห็นรูปที่เกิดจากนาม ก็เป็น บ่อเกิด(อายะตนะ) กิเลสทั้งนั้น......อนุโมทนาสาธุทุกท่านครับ.. -
เราก็พิจารณาว่า
ของชิ้นเนี้ย มันสวย แต่มันก็สวยอยู่ไม่นาน
เดี้ยวมันก็ต้องพังทลาย แตกสลายไป แล้วพอมันพังไปแล้ว มันก็ดูไม่สวย
เราก็ไม่อยากได้มันอีกต่อไป
แล้วก็ย้อนมาดูร่างกายของเรา
ว่าเดี้ยวมันก็พังทลายไปไหม
เดี้ยวมันก็พังจริงไหม
แล้วเราจะไปยึดในมัน ให้เกิดความทุกข์ เพื่อประโยชน์อะไร
เราก็ไม่ยึดทั้งในร่างกายของเรา และของที่เราเห็น
-
-
ไม่ดู แต่พิจารณาดูด้านวิปัสนา
หรือ ดูก็ได้ ไม่ดูก็ได้ แล้วหันมาด้านปัญญา
หรือ ท่าน ปฏิบัติยังไง สาธุ -
เก็บไปพิจารณา หรือ พิจารณาทันที..สาธุ -
วิธีกำจัดกิเลสเมื่อเราเห็นก็อย่าไปคิด ใช้จิตวางเฉยอย่างเดียว ไม่ว่าจะเข้าทางอายตนะใดก็ให้วางเฉยอย่าไปคิดให้จิตไปปรุงแต่งต่อยอดให้มันเกิดกิเลสให้เป็นทุกข์...เมื่อไม่คิดมันก็ไม่ทุกข์
;aa26 -
สาธุ..
เมื่อเห็นและรู้เดี๋ยวนั้นด้วยกำลังของสติที่เหมือนดังคอยเคาะระฆัง ก๊องๆๆๆๆ!!! นั่นไม่ใช่นะ มันเกิดขึ้นแล้วๆๆๆ กิเลสมันโพล่แล้วๆๆๆ..ต่อด้วยปัญญาแทงเข้าไปว่านั่นไม่ใช่นั่นไม่ควรไปเอา
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นหมายถึงเห็นสิ่งของนั้นๆคืออะไรล่ะครับ ?
ก็แล้วแต่สถานการณ์อีกนั่นแหละ แล้วแต่ความจำเป็นอีกนั่นแหละ แยกย่อยไปอีก..ฯล -
-
แล้วรู้ได้อย่างไร ว่า เราหลุดพ้นจากสิ่งที่มากระทบ อายตนภายนอก ทางรูป(เด่นชัดสุด)
เมื่อสติกับสัมปชัญญะ ติดกับลมเข้าออก บวก ใช้ปัญญา วิปัสนาด้าน ไตรลักษณ์ก็ดี รูปขันธ์ก็ดี แยกธาตุก็ดี สิ่งไดที่ท่านเรียกว่า หลุดพ้นจากรูป ทั้งแบบหยาบ แบบกลาง และแบบขั้นละเอียด..
หรือ
ถ้ารวมเข้าเป็นสักกายทิฐฏิ(เขียนถูกหรือเปล่าไม่แน่ใจ) พูดเฉพาะรูป (ส่วนนามยังไม่พิจารณา) สิ่งไดพูดได้ว่าเราละได้แล้ว สิ่งไดเรียกว่ายังติดส่วนหยาบก็ดี ส่วนกลางก็ดี ส่วนละเอียดก็ดี..สาธุ -
-
ก็เห็นด้วยตา ก็เห็นไปแล้วสักแต่ว่าเห็น
หรือถ้าเดินๆไปก็รู้ ก็กำหนดรู้อริยบทนั้นๆครับ
ถ้าเดินๆไปแล้วจิตไปคิดที่เรื่อง มันก็จะส่งผลอย่างที่ว่าอยากนั่นแหละครับ
คือขาดสติ หรือจิตส่งออกไปปรุงแต่งก่อให้เกิดเป็นปัจจัยอื่นตามมาๆ
อนุโมทนาสาธุครับ -
สิ่งที่เรียกว่าหลุดพ้นได้แล้วนั่นคือเราเห็นความ เกิดขึ้นของกิเลส ตั้งอยู่ และดับไป
เพียงแค่ใช้การตามดูตลอด แต่การตามดูจะเห็นเพียงแต่ตอนเกิดหรือตั้งขึ้นอยู่ก่อนแล้ว ไม่ได้ไปเพ่งให้เห็นสิ่งที่อยากจะให้เห็น เมื่อสติระลึุกได้ว่า "โอ้..นั่นอยากได้ขึ้นมาแล้ว" และใช้ตรงจุดนี้ตามดูไปเรื่อยๆ
ดูจนเห็นการ เกิดขึ้น ยังอยู่ ดับไป อย่างกล่าวไว้แต่แรก สำคัญคือตามดูจนถึงดับอย่างมีสติหรืออีกนัยคือมีสติเกาะไว้ และเมื่อดับไปแล้ว
ก็จะเห็นการเกิดดับนี้จากเหตุปัจจัยอะไร สิ่งที่เข้ามากระทบทางตาก็ดี ทางหูก็ดี ทางลิ้นก็ดี ทางจมูกก็ดี ทางกายก็ดี เฉกเช่นเวลาขับรถเราเห็นเส้นทางเราเห็นรถคันข้างหน้าเราก็รู้ว่าต้องเลี้ยวตรงไหนๆ แต่พอเรามานั่งข้างหลังไม่ได้เป็นคนขับแต่แ่ค่เห็นคนขับกำลังขับและใช้ปัญญาในการขับขี่ก็ฉันนั้น ขออุปมาอย่างนี้ก็แล้วกัน ส่วนระดับการเห็นในขั้นหยาบ กลาง ละเอียดนั้นก็เช่นกัน
ฉนั้น..เมื่อสติปัญญาแกล้วกล้าพอที่จะเล็งเห็นทุกสิ่งอย่างทั้งหลายทั้งปวงด้วยพระไตรลักษณ์ ว่าของทุกอย่างมันไม่เที่ยง มันเป็นของมันอยู่แล้ว เป็นมาอย่างนั้นอยู่ก่อนแล้ว เพียงแต่เราไม่เคยโงหัวขึ้นมาดูในมุมมองที่ไกลว่าทุกครั้ง ถอนจิตออกมาจากสิ่งที่เพ่งอยู่ จากสิ่งที่ยึดมั่นถือมั่นอยู่ จึงเป็นเหตุให้มองอะไรไม่เห็น ไม่เห็นในเรื่องของธรรมชาติที่ละเอียด ไม่เคยฉุกคิดในเรื่องของการเกิดดับ เพียงเพราะเราเข้าไปเอา เข้าไปยึดเหนี่ยวไว้เท่านั้นเอง
ส่วนเรื่องการละวางได้แล้วทางรูปนั้นก็อย่างสมมติว่้า่ รูปเข้ามากระทบทางตา หรือตาไปกระทบที่รูปก็ได้นะ ใจมันสั่น มันมีอาการอยากได้ เพราะเราเข้าไปขีดเส้นแบ่งแดนระหว่าง ชอบ ไม่ชอบ พอใจ ไม่พอใจ ไว้ก่อนหน้านั้นด้วยความเคยชิน พอชั่งน้ำหนักดูมันก็เอียงๆไปทางชอบ พอใจ
อยากจะได้ อยากเข้าไปยึด ในที่นี้คือใจต่างหากที่อยากได้ไม่ใช่ตาอยากได้สิ่งที่เห็นนั้น เมื่อใจมันอยากได้แล้วมันก็ร้อนรุ่มหัวใจเต้นแรงลมหายใจสั้นและถี่ เกิดอาการกระสับกระส่ายตามมา หรือเรียกสภาวะที่ทนอยู่ได้ยากนี้ว่า "ทุกข์" เมื่อทุกข์มันเกิดขึ้นที่ใจเพราะตาเป็นแค่เครื่องเห็นแต่ใจเข้าไปปรุงแต่งโดยขาดสติไว้คอยดึง ฉุดรั้ง หรืออีกนัยคือขาดสติ กำหนดรู้ ที่ความอยากของใจ ไม่เอาสติกระตุกจิตให้เฝ้าดูอารมณ์ "อยาก" มันก็หนีไปเที่ยว หรือจิตส่งออก
ทั้งนี้ทั้งนั้น ปัจจัยในการเกิดความอยากส่งผลให้ทุกข์ตามต่างๆนา่ๆนี้ ก็เพราะขาดสติกำกับ แทนที่จะสติกำหนดรู้ที่จิต รู้ที่อริยาบทนั้นๆก็เลยทำให้จิตส่งออกนอกรู่นอกทาง ..
การแก้ไขก็แก้ที่ไขที่จิตใจนั่นแหละ วิธีแก้ไขก็ยังเป็นการมีสติตามดูความอยากนั้นไปตามความเป็นจริง..
ขออนุโมทนากับคำถามครับ -
ท่านเห็นแล้ว พิจารณาตามความเป้นจริงได้แล้ว ในเรื่องนี้
แต่พอสักพัก หรือผ่านมาอีกวัน ผ่านมาอีกเดือน ท่านยังกลับไปพิจารณาเรื่องเดิมที่เคยพิจารณาตามความเป้นจริง อีกหรือไม่.....สาธุ -
ถามเจ้าของกระทู้หน่อย ว่าทำไมต้องกำจัดกิเลส ^-^
-
จากความสุขเหนือความทุกข์ ของผู้พ้นทุกข์..สาธุ -
หรือ รู้ว่ากำลังคิด ...กำลังตอบ
และถ้าการที่กลับไปคิดเรื่องเดิมนั้นเป็นเรื่องของสัญญา แต่ก็แค่รู้ว่าตัวสัญญากำลังทำงาน แล้วสักแต่ว่า ไม่ลงไปหมกมุ่นอยู่กับเรื่องเหล่านั้น เป็นแค่ตัวรู้ ตัวสติคือตัวรู้คอยทักว่ากำลังทำอะไรอยู่นั่นเอง..
สาธุ -
-
แล้วท่านอื่นๆ ผมขอนอบน้อมทุกคำตอบครับ..
-
วิมุตติ คือ
ความหลุดพ้น, ความพ้นจากกิเลส มี ๕ อย่าง คือ
๑.ตทังควิมุตติ พ้นด้วยธรรมคู่ปรับหรือพ้นชั่วคราว
๒.วิกขัมภนวิมุตติ พ้นด้วยข่มหรือสะกดได้
๓.สมุจเฉทวิมุตติ พ้นด้วยตัดขาด
๔.ปฏิปัสสัทธิวิมุตติ พ้นด้วยสงบ
๕.นิสฺสรณวิมุตติ พ้นด้วยออกไป;
๒ อย่างแรก เป็น โลกิยวิมุตติ คือ การหลุดพ้นจากกิเลส แบบอย่างหยาบ หรือแบบปุถุชน คนทั้งหลาย
๓ อย่างหลังเป็น โลกุตตรวิมุตติ คือ การขจัดอาสวะแห่งกิเลสในระดับอริยะบุคคล ตั้งแต่ชั้นโสดาบัน เป็นต้นไป
สรุปแล้วคุณจะกำจัดกิเลส ซึ่งก็คือ ความโลภ ความหลง ความโกรธ อันเกิดจากการได้สัมผัสทางอายตนะภายใน จากอายตนะภายนอก ได้ ก็ขึ้นอยู่กับ ความรู้ ความเข้าใจ ซึ่งก็คือ ปัญญา หรือจะเรียกว่า ญาณ อันนับเข้าในวิปัสสนาก็ได้ และข้อสำคัญคือ สมาธิ
ถ้าขาดสมาธิ สติ และ สัมปชัญญะคงด้อยลงกว่าปกติ
ให้อ่านกระทู้ ของข้าพเจ้าในหมวดนี้ เกี่ยวกับ สติ คงทำให้ท่านทั้งหลายได้เกิดความเข้าใจมากขึ้น ขอรับ
อนึ่งคุณลองหากระทู้ เรื่อง วิมุตติ ที่ข้าพเจ้าเขียนไว้ในเวบฯนี้น่าจะมีอยู่ขอรับ
หน้า 1 ของ 2