กิเลสตัวอิจฉาริษยา (ทำให้เป็นมาร)

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย plaspirit, 5 ตุลาคม 2016.

  1. plaspirit

    plaspirit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2008
    โพสต์:
    367
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,118
    [​IMG]

    ★ กิเลสตัวอิจฉาริษยา (ทำให้เป็นมาร)
    อิจฉาริษยา คือ "อยากจะดีแต่เพียงผู้เดียว หรือว่าไม่อยากให้ใครได้ดีเกินกว่าตัวเอง"


    พวกมาร คือ พวกมิจฉาทิฏฐิที่ซ่า และคะนองไปเรื่อย ทำหน้าที่
    ขัดขวางคนดีและขวางมนุษย์ไม่ให้พบสิ่งดีๆ
    บางทีก็มาแอบอยู่
    ในหมู่คนดี สร้างความดีพอประมาณแล้วก็ทำให้หมู่คณะปั่นป่วน
    แตกแยก เช่น พระเทวทัต เป็นต้น

    แต่เมื่อพูดถึงมารนั้น ไม่ได้มีเฉพาะมารในมิติต่างๆเท่านั้น
    มารหรือผู้ขวางความสุขนี่มี ๕ จำพวกด้วยกัน ที่พระพุทธองค์ทรง
    จำแนกไว้คือ

    ๑. กิเลสมาร มารคือกิเลสของเราเอง ขวางความสุข ความสำเร็จ
    ของเราเอง

    ๒. ขันธมาร มารคือรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณของเรา
    เองที่หลอกตัวเอง ให้หลงผิดเรื่อยมา

    ๓. อภิสังขารมาร คือระบบกรรมโดยรวมที่เราเคยทำไว้ ซึ่งนับ
    ไม่ถ้วนที่คอยปิดกั้นเราบ้าง ขวางให้เราสะดุดบ้าง เมื่อวิบาก
    กรรมชั่วมาทวงแล้วทำให้เราสูญเสียบ้าง

    ๔. เทวปุตตมาร คือพวกวิญญาณมิจฉาทิฏฐิทั้งหลายซึ่งกระจาย
    อยู่ในทุกมิติในทุกโลก คอยแกล้งผู้อื่น กวนผู้อื่นตามอำนาจกิเลส
    ในตน

    ๕. มัจจุมาร คือ ความตายที่ท่านพระยายมทั้งหลายนำมาหยิบยื่น
    ให้ตามจังหวะกรรมและสภาพขันธ์

    ดังนั้นมารที่อยู่กับเราเกือบตลอดและบางทีพวกเราก็เผลอเลี้ยง
    มันไว้ คือกิเลสมารในใจของเราเองซึ่งล่อหลอกให้เราวิ่งไปหา
    ความทุกข์หรือสุขระคนทุกข์ หรือสุขแล้วก็ทุกข์อยู่เนืองๆ
    อีกตัวหนึ่งคือขันธมาร ที่บังอาจข่มขี่ทำตัวเป็นนายเรามาตลอด

    ที่เราดิ้นรนกันอยู่ทุกวันนี้ก็หาสิ่งต่างๆ มาปรนเจ้านายขันธ์เหล่านี้
    ใช่ไหมไม่ใช่เพื่ออย่างอื่นเลย เราเป็นทาสของขันธมารมานานแสนนานและอาจ
    ต้องเป็นต่อไปตราบเท่าที่ยังไม่ประกาศอิสรภาพเสียที

    อภิสังขารมารนั้นเป็นสิ่งที่เราสร้างขึ้นมาเอง เราเป็นผู้สร้างมายา
    แห่งกรรมกันขึ้นมาเองแท้ๆ แต่สร้างแล้วมันกลับมากำกับเราเสีย
    จนดิ้นไม่หลุดบางทีก็ขัดขวางเรา บางทีก็ทำลายเรา ทุกกรรมที่ทำแล้วก็จะเกิดผู้เกี่ยวข้อง ๔ กลุ่มทันที
    คือ เจ้ากรรม ลูกกรรม ผู้รับผลต่อเนื่องและนายเวร ทั้ง ๔ กลุ่มบุคคลนี้
    ก็จะเข้ามาในชีวิตของเราเป็นระลอกๆ ถ้าเป็นผลกรรมดีก็ส่งเสริมเรา ถ้าเป็นผลกรรมชั่วก็บั่นทอนเรา
    ถ้าทั้งดีทั้งชั่วก็ได้ทุกขลาภ ทั้งหมดนี้รวมกันเป็นชุดของชะตาชีวิตในแต่ละชาติ

    ดังนั้นต้องมีวิธีบริหารดวงชะตาชีวิตที่มีประสิทธิภาพไปศึกษากันซะให้ดี

    พวกเทวปุตตมารนี่ คือมารที่อยู่ในมิติต่างๆ ของมหามิติมีทั้งที่เป็น
    พรหม เทพ อสุรกาย เปรต มนุษย์ และเดรัจฉาน เทวปุตตมารเอง
    ก็ยังแบ่งเป็น ๒ พวก คือมารขาว กับมารดำ

    มารขาว คือมารที่เป็นเทพพรหมที่ท่านดูแลเราอยู่ ต้องการให้เราฝึกวิชชาก็จัดชุดแบบฝึกหัดหรือแบบทดสอบต่างๆ
    มาให้เราทำโดยไม่มีเจตนาทำลายเรา เวลาส่งมาท่านก็ใช้มนุษย์หรือสัตว์ในคอนโทรลของท่านนั่นแหละทำหน้าที่ต่างๆตามที่ท่านต้องการ

    มารดำ คือพวกที่ต้องการแกล้งจริงๆ มารดำทั้งหมดที่เป็นมารเพราะอำนาจกิเลสตันหาในตน
    กิเลสที่ทำให้คนหรือวิญญาณเป็นมารมากที่สุดคือ ความอิจฉาริษยา ความพยาบาท และความหลงผิด

    พอเป็นมารแล้วก็จะขวางความสำเร็จของผู้อื่นหรือบั่นทอนสิ่งที่เขาสำเร็จแล้ว
    เช่น ตอนที่พระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญเพียรก็เจอหลายชุดแม้ทรงสำเร็จแล้วก็ยังเจออีกหลายชุด
    กระทั่งสุดท้ายก็พวกมารนั่นเองที่มาขอให้พระองค์เข้าพระนิพพานเพื่อไม่ให้มนุษย์ได้รับธรรมะมากไปกว่านี้
    นี่มารเขาขวางทั้งความสำเร็จบุคคลและประโยชน์สังคมโดยรวม หลวงพ่อคงเองท่านสำเร็จช้าข้างบนมาต่ออายุให้เป็น ๑๐๐ ปีเพื่อขยายเวลาสอนธรรมะ
    มารก็มาขอ ๒๐ ปี เหลือ ๘๐ ปี ท่านเล่าให้ฟังแล้วท่านก็ไปตอน ๘๐ จริงๆ ดูซีพระอรหันต์ท่านกรุณาแม้กระทั่งมารนั่นคือมารดำ
    เวลามารดำเข้ามาหวังบั่นทอนหรือทำลาย ท่านมารขาวก็อาจปล่อย เพื่อให้เราได้ใช้วิชาในสถานการณ์จริงก็ได้สำหรับบางคน

    มารชุดสุดท้ายคือมัจจุมาร ซึ่งก็คือความตาย ก็พวกเราไม่เห็นใครอยากตายเลย ทั้งที่ไม่อยากพอถึงเวลาพระยายมก็บังคับให้ตายใช่ไหมจึงเรียกว่าเป็นมารขวางการดำรงชีวิตของเรา

    มารนี่เป็นสิ่งที่เราต้องเจอกันแน่ทุกคน เจอทุกประเภทด้วย หลีกเลี่ยงไม่ได้เรามาดูกันหน่อยก็ดีว่า เวลาเจอเราควรจะทำอย่างไร

    เวลาเผชิญมารนั้น อย่าตื่นเต้นตกใจ จงพิจารณาเหมือนกับการเข้าสู่สนามกีฬา ถ้าเกมนั้นน่าเล่นก็เล่น ถ้าเป็นเกมที่ไม่น่าเล่นก็เดินหนีเสีย
    อย่าไปเสียเวลาด้วยและในยามเผชิญมารนั้น ต้องพิจารณาให้ดีว่าเรากำลังเจริญธรรม ดังนั้นควรยกระดับธรรมให้สูงส่งและมั่นคง
    อย่าให้หลงกลมารไปละเลงกรรมล่ะเดี๋ยวก็ได้กรรมแทนธรรมเท่านั้นเอง


    การสู้เพื่อชัยชนะและการสู้เพื่อธรรมะนั้นแตกต่างกันเกือบสิ้นเชิง เราลองมาพิจารณาเทคนิควิธีการที่พระพุทธองค์ทรงใช้เวลาเผชิญมารดีกว่า
    เคยดูบทพาหุงกันไหม ยังจำได้ไหมว่าพระองค์ทรงเจออะไรมาบ้าง ลองสวดซิ

    ชุดที่ ๑ พาหุงสะหัส สะมะภินิมนิมิตะสาวุธันตัง ครีเมขลัง อุทิตะโฆระสะเสนะมารัง ทานาทิธัมมะวิธินา ชิตะวามุนินโท ตันเตชะสา ภะวันตุเตชะยะมังคะลานิ กล่าวถึงตอนพญามารขี่ช้างมาด้วยอาวุธอันน่าสะพรึงกลัวพระองค์ทรงสงบ และไม่ได้โต้ตอบ แต่ด้วยทานบารมีที่พระองค์ทำไว้แล้ว โดยมาก ซึ่งพระแม่ธรณีเป็นพยานมาตลอด พระนางจึงออกมาบีบมวยผมเป็นน้ำไล่เหล่ามารไป

    ชุดที่ ๒ มาราติเรกะมะภิยุชฌิตะสัพพะรัตติง โฆรัมปะนาฬะวะกะมักขะมะถัทธะยักขัง ขันตีสุทันตะวิธินา ชิตะวามุนินโท ตันเตชะสาภะวันตุเต ชะยะมังคะลานิ กล่าวถึงตอนพญามารได้ส่งลูกสาวทั้ง ๓ คือ นางราคะ นางตันหา และอรตี ที่จริงเราเคยเจอมาแล้วทั้ง ๓ มายั่วยวนให้กิเลสของพระองค์กำเริบ พระองค์ทรงเอาชนะด้วยขันติบารมี ไม่ไหลไปตามมารยาของนาง

    ชุดที่ ๓ นาฬาคิริง คะชะวะรัง อะติมัตตะภูตัง ทาวัคคิจักกะมะสะนีวะสุทารุณันตัง เมตตัมพุเสกะวิธินา ชิตะวามุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุเตชะยะมังคะลานิ กล่าวถึงตอนที่พระเทวทัต ปล่อยช้างนาฬาคีรีที่กำลังตกมันมาทำร้ายพระองค์ ทรงแผ่เมตตานุภาพให้ช้างนั้นสงบสิโรราบได้

    ชุดที่ ๔ อุกขิตตะขัคคะมะติหัตถะสุทารุณันตัง ธาวันติโยชะนะปะถังคุลิมาละวันตัง อิทธีภิสังขะตะมะโน ชิตะวามุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุเตชะยะมังคะลานิ กล่าวถึงตอนที่องคุลีมาลต้องการปลงพระชนม์ เพื่อเอาหัตถ์ของพระองค์ ทรงใช้ฤทธิ์ที่เหนือกว่า ยังศรัทธาให้เกิดแก่องคุลีมาลและโปรดให้บรรลุธรรม รายนี้ทำได้ เพราะได้ทรงตรวจดูด้วยพระญาณตั้งแต่เช้าตรู่แล้วทรงทราบว่าองคุลีมาลมาเกิดชาตินี้ด้วยอธิษฐานที่จะสำเร็จธรรมกับพระองค์จึงทรงมาโปรดด้วยความตั้งพระทัย

    ชุดที่ ๕ กัตวานะ กัฎฐะมุทะรัง อิวะ คัพภินียา จิญจายะ ทุฎฐะวะจะนังชะนะกายะมัชเฌ สันเตนะโสมะวิธินา ชิตะวามุนินโท ตันเตชะสาภะวะตุเตชะยะมังคะลานิ กล่าวถึงตอนนางมาณวิกากล่าวหาว่าพระองค์หลงรักนางและทำนางท้อง แล้วด่าหาว่าพระองค์ไม่รับผิดชอบ พระองค์ทรงใช้สันติไม่ทำร้ายตอบ สังคมจำนวนมากเข้าใจผิดไป ร้อนถึงพระอินทร์ต้องทรงลงมาช่วยคลี่คลายความเข้าใจผิดของผู้คนในสังคมไม่เช่นนั้นสังคมจะรับกรรมหนัก

    ชุดที่ ๖ สัจจัง วิหายะ มะติสัจจะกะวาทะเกตุง วาทาภิโรปิตะมะนัง
    อะติอันธะภูตัง ปัญญาปะทีปะชะลิโต ชิตะวามุนินโท ตันเตชะสา
    ภะวะตุ เตชะยะมังคะลานิ กล่าวถึงตอนที่พวกนิครนธ์ตั้งขบวนโต้วาทีกับพระพุทธเจ้าเรื่องสัจจะ พระองค์ทรงใช้ปัญญาที่มั่นคงโต้ตอบไปแต่ก็ไม่ได้โปรดให้บรรลุธรรม

    ชุดที่ ๗ นันโทปะนันทะภุชะคัง วิพุธัง มะหิทธิงปุตเตนะ เถระภุชะเคนะทะมาปะยันโต อิทธูปะเทสะวิธินาชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุเตชะยะมังคะลานิ กล่าวถึงพระยานาคมิจฉาทิฏฐิในบาดาล ซึ่งพระองค์ทรงโปรดให้พระโมคคัลลานะไปปราบด้วยอิทธิฤทธิ์ให้หายหลงผิด

    ชุดที่ ๘ ทุคคาหะทิฎฐิภุชะเคนะสุทัฎฐะหัตถังพรหมังวิสุทธิชุติมิทธิพะกาภิธานังญาณาคะเทนะวิธินา ชิตะวามุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เตชะยะมังคะลานิ กล่าวถึงตอนที่พระพุทธเจ้าและเหล่าอรหันตเถระหายตัวขึ้นไปปราบพรหมผู้หลงผิดในพรหมโลกด้วยญาณที่ยิ่งกว่า

    นั่นคือเทคนิควิธีที่พระองค์ทรงใช้เผชิญมารซึ่งทรงใช้คุณธรรมทั้งสิ้นถ้าเห็นว่าโปรดไม่ได้ก็ทรงปล่อยไป แม้เขาทำร้ายอยู่ก็ไม่ทรงทำร้ายตอบคนอื่นต้องมาช่วย แต่ถ้าเห็นว่าพอที่จะโปรดได้ก็จะทรงใช้ฤทธิ์บ้าง
    ปัญญาบ้างโปรดไป

    ดังนั้นการเผชิญมารนี่ไม่ใช่ไปเอาชนะคะคานห้ำหั่นกันให้แหลกลาญเพียงแค่ประคองตนไม่ให้ตกอยู่ใต้อำนาจของมารหรือ
    ไม่ไหลไปตามการหลอกล่อของมารก็ OK แล้ว และถ้าเป็นพวกที่โปรดได้ก็โปรดไป โปรดไม่ได้ก็ปล่อยไป คุยไม่รู้เรื่องก็เฉยไว้ เจริญบารมีตระกูลอุเบกขาขันติไปเลย

    ถ้าทำได้อย่างนี้ แม้มารจะหวังร้ายต่อเรา ยิ่งทำร้ายเรา เรากลับยิ่งได้ดี
    จิตใจยิ่งเจริญขึ้น
    แต่ถ้าเอาชนะคะคานฟาดฟันกัน แม้จะชนะทางโลก
    แต่สภาวะธรรมจะเสื่อม แต่ถ้าสามารถบริหารให้ได้ทั้งสองอย่างนั่นยอด

    แต่ดีกว่าการแก้ปัญหาก็คือการป้องกันปัญหานั่นเอง การสำรวมในศีล
    และการบริหารกรรมทั้งหลายเป็นสิ่งที่ควรจริงจังกับมัน การจัดความสัมพันธ์
    ให้เหมาะสมก็เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง เพราะการป้องกันกรรมนั้นต้อง
    ป้องกันกรรมทั้งเราไม่ทำต่อคนอื่นและไม่เปิดโอกาสให้คนอื่นกระทำต่อเรา เพราะถ้าปล่อยให้ใครทำต่อเราก็ต้องไปพัวพันหรือถูกลากให้ไปพัวพันอีก

    ส่วนพวกที่เป็นมารทั้งหมด ซ่าแล้วก็ต้องรับกรรมไปตามระเบียบ
    อยู่อเวจีกันเป็นแถว พวกที่โปรดแล้วกลับใจได้ก็เข้าอริยะกันเป็นแถวเช่นกัน

    จำไว้นะ เวลาเจอวิญญาณต่างมิติต้องวิปัสสนากำกับโดยทันที หาไม่จะเกิดความกลัวที่เห็นผู้มีอำนาจมากกว่าตน จริงอยู่ขณะที่ยังไม่หลุดพ้น วิญญาณ
    บางพวกอาจจะมีอำนาจมากกว่าเราแต่อำนาจเขาก็ไม่เที่ยง และถ้าเราไม่กลัว เขาก็ทำอะไรเราไม่ได้อย่าลืมว่าใจเป็นประธานของทุกสิ่ง ฝึกมหาสติ
    ใจต้องใหญ่ วิปัสสนาให้เกิดปัญญาแทงตลอดจริงๆ

    ที่มา : หนังสือมหาสติ การปฏิบัติธรรมสำหรับผู้นำและผู้บริหาร (อัคร ศุภเศรษฐ์)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 ตุลาคม 2016
  2. plaspirit

    plaspirit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2008
    โพสต์:
    367
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,118
    ★ วิธีเผชิญการกลั่นแกล้งของมาร

    [​IMG]

    ★ วิธีเผชิญการกลั่นแกล้งของมาร

    ในขณะเจริญมรรคออกจากโลกอยู่นั้น กุลบุตรอาจต้องเจอกับมารขวางทางไปสู่ความสำเร็จเป็นระยะๆ เพราะท่านจะประกาศอิสรภาพจากเขา เขาก็ต้องมาขวางเป็นธรรมดา ซึ่งท่านกุลบุตรก็ต้องผ่านให้ได้ มารเขามาขวางเฉยๆ เขาไม่มีสิทธิ์ห้ามเราหรอก

    หากไม่กล่าวถึงตรงนี้ก็จะทำให้องค์ความรู้การฝึกจิตไม่สมบูรณ์ ยามกุลบุตรเจอปัญหาแล้วจะตั้งรับไม่ทัน แก้ไม่เป็นสติแตกเสียก่อนก็จะเสียหายใหญ่ ดังนั้นจะให้หลักการพอสังเขปไว้เพื่อเป็นคู่มือเตรียมพร้อมสำหรับนักปฏิบัติให้พอเอาตัวรอดได้

    ประเภทของมารและการจัดการ

    มารมีทั้งหมดห้าประเภทคือ

    1.กิเลสมาร ได้แก่กิเลสในใจ ซึ่งจะคอยกระซิบให้ท่านคิดผิด พูดผิด ทำผิดอยู่เรื่อย มันกระซิบออกมาจากข้างในจริงๆ กิเลสนี้บางส่วนเป็นสิ่งทีท่านสะสมไว้แต่กาลบรรพ บางส่วนเป็นผลผลิตใหม่ที่โลกยัดเยียดและปลูกฝังมิจฉาธรรมให้ท่านมาตั้งแต่เล็กจนโตและท่านก็ยอมรับซ้ำปั้นแต่งให้มันใหญ่โตแข็งแรง สวยงามอีกต่างหาก เมื่อมันอยู่ในใจท่านแล้ว ได้ชื่อว่ามีศัตรูชั่วอยู่ในตัวคอยยุใจท่านไปสู่หายนะเนืองๆ

    กิเลสประเภทนี้ท่านต้องหามันให้เจอและจับมันประหารให้สิ้นซาก หาไม่จะไม่มีวันพบความสงบสุขแท้จริง ยิ่งเวลานั่งสมาธิมันยิ่งออกมาทำลายสมาธิท่าน ดังนั้นอย่ารีรอที่จะจัดการมันอย่างเฉียบขาด

    คนที่สำเร็จคือคนชนะ ไม่ใช่คนขี้แพ้
    กิเลสเหล่านั้นคือ ตัวโลภ ตัวโกรธ ตัวอาฆาต ตัวเพ่งโทษลบหลู่ดูหมิ่นผู้อื่น ตัวอิจฉา ตัวตระหนี่ ตัวมารยา ตัวโอ้อวด ตัวกระด้างถือดี ตัวแข่งดีไม่ยอมใคร ตัวทะนงตนถือตัว ตัวมัวเมา และตัวประมาท

    นี่คือมารที่ทำลายท่านได้มากที่สุด มากกว่ามารชนิดใดๆ ในโลก เพราะมารชนิดนี้อยู่ใกล้ตัวท่านที่สุดคือแอบอยู่ในใจท่านเอง ดังนั้นอย่าหลงกลมัน อย่าปราณีปราศรัยกับมัน หามันให้เจอ มันมักกบดานอยู่ในความรู้สึกนึกคิดของท่านปั้นเป็นอารมณ์ต่างๆ เมื่อเจอแล้วจ้องดูมัน และจับมันเชือดอย่างเลือดเย็นอย่างไม่ปราณีปราศรัย สมกับที่มันทำให้ท่านทุกข์ร้อนแลหายนะอย่างเลือดเย็นเสมอมา

    2.ขันธมาร ได้แก่ร่างกาย ความรู้สึก ความทรงจำ ความนึกคิด ความรู้ ซึ่งเสื่อมโทรมตามวัย อยากไม่อยากก็แก่ เมื่อแก่หมดแรงกาย(รูป) หมดกำลังใจ(นาม)

    ดังนั้นจะทำอะไรต้องรีบทำแต่เดี๋ยวนี้ หากรอให้แก่จะแย่และจะทำไม่ไหว เวทนาทางกายทางใจจะรุมเร้าเป็นพัลวัน

    เตือนตัวเองเสมอๆ ว่า เราต้องพัฒนาตนไต่ระดับวิวัฒนาการให้ได้โดยเร็วที่สุดก่อนจะพัฒนาไม่ไหว เพราะความเสื่อมกำลังลากท่านลงสู่ความตาย

    จงพัฒนาตนแข่งกับเวลาทุกนาที ให้ธรรมเจริญเร็วกว่าความเสื่อม จึงมีสิทธิ์หลุดพ้น

    3.อภิสังขารมาร ได้แก่ตัวปรุงแต่ง ตั้งแต่คิดปรุงแต่ง ปรุงแต่งปรารถนา ปรุงแต่งกาย ปรุงแต่งความสัมพันธ์ ปรุงแต่งตำแหน่ง ปรุงแต่งระบบ ปรุงแต่งภพชาติ ซึ่งล้วนแล้วไม่ใช่ธรรมชาติ จึงเรียกว่าสมมต การที่มีตัวตนจอมปรุงแต่งจึงชื่อว่าเลี้ยงมารอยู่ในตัวเอง

    ทำไมจึงเป็นมาร ในเมื่อโลกทั้งโลกก็คือการปรุงแต่ง มนุษย์ล้วนวิ่งไปในมายาด้วยกันทุกคน

    มารแปลว่าผู้ขวางความสุข ดังนั้นอะไรที่ขวางความสุขจึงเรียกว่ามาร การปรุงแต่งก็เป็นตัวขวางความสุขประการหนึ่ง มันอาจจะเพลิดเพลินแต่ไม่ใช่ความสุข หยุดปรุงแต่งแล้วจะพบความสงบสุขจริงๆ ให้ได้เชยชม

    โรงงานปรุงแต่งหรือตัวผลิตมายาในตนคือนามรูปหรือใจนั่นเอง หากยังเกาะเกี่ยวยึดถือสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่ก็ต้องดิ้นรนปรุงแต่งให้เป็นโน่นเป็นนี่เพื่อสิ่งที่ตนยึดถือ เป็นอะไรในโลกก็ตามล้วนคือทาสของโลกอนิจจังทั้งสิ้น

    การปรุงแต่งจึงจัดเป็นมารชนิดหนึ่งเพราะหลอกใจให้เป็นทาสของโลกมานับชาติไม่ถ้วน และกำลังหลอกอยู่เรื่อยๆ ดังนั้นตัวนี้ต้องประหาร การประหารตัวนี้ต้องใช้กำลังพอสมควร

    4.เทวปุตตมาร ได้แก่เทพ เทพีที่เป็นมิฉาทิฏฐิ หรือเป็นสัมมาทิฏฐิแล้วแต่มีความริษยาอยู่ เกรงว่าคนอื่นจะได้ดีกว่าตน พอเห็นใครจะได้ดีหรือจะสำเร็จธรรมชั้นดีก็อาจจะมาขวางเพื่อถ่วงไว้มิให้ล้ำหน้าเขาไป

    มารพวกนี้ก็ต้องผ่านไปให้ได้ กุศโลบายการผ่านก็มีมากหลายดังจะกล่าวต่อไป

    5.มัจจุมาร ได้แก่ความตาย เป็นมารที่ไม่มีใครผ่านได้ ทุกคนล้วนกำลังเดินไปหาความตาย ดังนั้นในระหว่างทางก่อนจะถึงความตายก็คว้ากำไรจากการมีชีวิตด้วยการยกระดับวิวัฒนาการจิตใจให้สูงส่งที่สุดเท่าที่จะทำได้ หากสูงส่งขึ้น ตายเที่ยวนี้จะได้ไปดีกว่าเดิม และทำให้ดีขึ้นเรื่อยๆ จนถึงที่สุดแห่งวิวัฒนาการในที่สุด

    เมื่อถึงอรหันตภูมิ จะเจอพระยามัจจุมารเป็นครั้งสุดท้ายจากนั้นพระยามัจจุมารจะหมดสิทธิ์ทั้งจิตวิญญาณท่านไปตลอดนิรันดร์

    กุศโลบายการเผชิญและผ่านมาร

    เพื่อประหยัดเวลา เรามาดูประสบการณ์จริงตั้งแต่ครั้งพุทธกาลกันดีกว่า

    พระพุทธองค์ทรงเผชิญมารและทรงผ่านมาได้ด้วยกุศโลบายต่างๆ ดังนี้

    ครั้งแรก ทรงเผชิญพญามารซึ่งเป็นเทวปุตตมาร แต่ด้วยบารมีที่เคยทำทานมาโดยมากและอุทิศส่วนกุศลให้พระแม่ธรณีเป็นพยานเสมอ พระแม่ธรณีจึงมาช่วยบีบน้ำจากมวยผมให้น้ำท่วมไล่มารไป ครั้งนี้รอดเพราะทำทานช่วยผู้คนไว้มาก

    ครั้งที่สอง ทรงเผชิญช้างนาฬาคีรีที่กำลังตกมันและถูกพระเทวทัตสั่งปล่อยมาให้ทำร้าย คราวนี้ทรงใช้เมตตาบารมีที่ฝึกมาจนชำนาญยิ่งแล้ว แผ่มหาเมตตาจนช้างที่กำลังตกมันเชื่องและสยบอยู่แทบเท้าพระองค์ คราวนี้รอดมาได้เพราะมหาเมตตา บริสุทธิ์ใจต่อสรรพสัตว์น้อยใหญ่แท้จริง

    ครั้งที่สาม ทรงเผชิญองคุลีมารที่จะทำร้ายพระองค์เพราะต้องการนิ้วเพื่อขอไปเป็นศิษย์อาจารย์ผู้มิจฉาทิฏฐิ แต่ทรงใช้อิทธฤทธิ์เดินเร็วจนองคุลีมาลวิ่งตามไม่ทัน ครั้งนี้รอดมาได้เพราะฤทธิ์ที่ฝึกมาดีแล้ว

    ครั้งที่สี่ ทรงเผชิญการกล่าวร้ายป้ายสีโดยนางจิญจมาณวิกาที่รับจ้างเจ้าลัทธิมาทำลายความน่าเชื่อถือของพระองค์ ทางผ่านมาด้วยอุเบกขา และในที่สุดพระอินทร์ทนไม่ได้ก็ลงมาเผยความจริงจนคนเหล่านั้นต้องรับโทษไป

    นี่เป็นตัวอย่างการเผชิญมารและเทคนิคของพระพุทธองค์

    พระสารีบุตรก็เคยถูกยักษ์ทุบศรีษะ แต่เพราะกำลังอยู่ในสมาธิจึงไม่สะทกสะท้านอะไร ยักษ์ต้องตกนรกไปโดยทันใด

    พระโมคคัลลานะก็เคยถูกมารเข้าท้องจะไปทำให้ลำไส้ปั่นป่วน แต่ท่านเห็นก่อนจึงบอกว่า นั่นแน่มาร เรารู้นะว่าเจ้าเข้าไปในท้องเราเพื่อจะแกล้งเรา พอท่านรู้ มารก็ละอายรีบออกมา ท่านรอดมาได้เพราะรู้ทันมาร

    เราเองก็เคยถูกยักษ์ยิงด้วยรังสีจิตมาที่หน้าผาก แต่ไม่เข้าเพราะสติเต็มอยู่ด้วยอุเบกขา ก็ไม่เป็นไร รอดมาด้วยอุเบกขากอปรสติ (หากตกใจ สติอาจจะแตกกลายเป็นคนหวาดผวาไปนาน)

    อีกครั้งหนึ่งถูกเหล่านางธิดามารมารุมกอดปล้ำ ได้พยายามผลักไสเป็นพัลวันก็ไม่ไป ในที่สุดก็เข้าสมาธิแล้วเชิญนางไปด้วยอำนาจสมาธิ นางจึงยอมไป รอดมาด้วยอำนาจสมาธิ

    อีกครั้งหนึ่งถูกบริวารมารกล่าวร้ายป้ายสี เพราะไม่พอใจที่ไม่ยอมสยบให้ แต่ก็ไม่สนใจ และผ่านมาได้ด้วยอุเบกขา

    จากเรื่องเหล่านี้ ท่านกุลบุตรทั้งหลายคงเห็นแล้วว่า ก็แม้พระผู้มีพระภาคและพระอรหันต์ยังโดน แม้เราก็ไม่พ้น ใครเลยจะรอดไปได้ที่จะไม่โดนมารแกล้ง แม้พระเยซูยังถูกตรึงกางเขน พระกฤษณะยังถูกยิงด้วยศรตายในพุ่มไม้ พระแม่กวนอิมก็ถูกสั่งฆ่า ดังนั้นใครปฏิบัติจิตปฏิบัติธรรมล้ำหน้ากว่าคนอื่น ตัวอิจฉาในคนไม่สำรวมอาจยุเขาให้เป็นมารกลั่นแกล้งท่านได้ เพื่อไม่ให้ก้าวหน้าหรือสำเร็จธรรม ให้อยู่เป็นเพื่อนทุกข์อยู่ในดงความเขลาไปกับเขาก่อน

    มารนี้บางทีมาในรูปทิพย์ บางทีสิงมนุษย์มาแกล้งนักปฏิบัติ เมื่อมารแกล้งแต่ละครั้ง มนุษย์ผู้เป็นลิ่วล้อของมารในโลกก็จะขานรับทันที ท่านจงดีใจที่ได้เห็นพรรคพวกมารปรากฏตัว จะได้คืนให้หมู่มารไป ขืนสมาคมต่อไปจะเสียใจในภายหลัง

    มารทั้งหมดเป็นมารเพราะกิเลสตัวอิจฉาเป็นส่วนมาก และเมื่อแกล้งเขาแล้วก็ต้องรับกรรมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และใครที่เป็นมารของคนอื่น ก็พร้อมเป็นมารของท่านเช่นกัน

    ดังนั้น กุลบุตรนักปฏิบัติจิตต้องพร้อมเผชิญและผ่านมารให้ได้ หากผ่านได้ท่านก็ได้ระยะ หากผ่านไม่ได้ท่านก็จะค้างอยู่ตรงนั้นหรือถอยหลังนิดหน่อยแล้วแต่กรณี

    เทคนิคผสมผสานในการผ่านมาร

    ความพร้อมเผชิญมารนั้นไม่ได้หมายความว่าท่านกุลบุตรต้องประดาบหรือสู้กับมารชนิดตาต่อตาฟันต่อฟันเสมอไป หรือต้องประจันหน้าเสมอไป หากทำเช่นนั้นอาจจะจอดเสียก่อนถึงปลายทางได้ ต้องประเมินกำลังตน กำลังมาร และกำลังเสริมของทั้งสองฝ่ายให้ดี

    อย่าลืมว่าชัยชนะไม่ใช่เป้าหมาย เป้าหมายคือความบริสุทธิ์ดังนั้นอย่าไปท้าทายมารเป็นอันขาด และกลยุทธ์ที่ใช้ก็ควรหลากหลาย

    ในที่สุดก็ต้องใช้กลยุทธ์ผสมผสานจึงจะผ่านได้หมดทุกด่านกลยุทธ์เหล่านั้นคือ

    1.หากหลบได้หลบ
    2.หากหลบไม่ได้หลีก
    3.หากหลีกไม่ได้เฉย
    4.หากเฉยไม่ได้ทำความรู้ทันให้ปรากฏ
    5.หากยังรู้ไม่ทัน ยังความเป็นมิตรให้ปรากฏ
    6.หากยังความเป็นมิตรเกื้อกูลกันไม่ได้ เลี่ยงไปเสีย
    7.หากเลี่ยงไม่ได้กำหนดขอบเขตต่างคนต่างอยู่
    8.หากกำหนดขอบเขตแล้วไม่เคารพกติกา แผ่พลังจิตแสดงอนุภาพ
    9.หากแผ่จิตแล้วยังไม่เกรงใจ น้อมอาราธนาพระพุทธานุภาพ แม้ปรินิพพานแล้วพระพุทธองค์ยังทรงช่วยได้ อย่าลืมว่าพุทธวิสัยเป็นอจิณไตย ดังนั้น บทน้อมระลึกถึงและอัญเชิญพระพุทธานุภาพ พระธรรมานุภาพ พระสังฆานุภาพ เป็นบทสวดภาคบังคับของนักปฏิบัติทุกคน

    เมื่อผ่านมารได้แต่ละด่านหรือชุดด่าน(ด่านที่เรียงกันเป็นชุด) โดยธรรม มรรคญาณก็จะกอปรตัวกันชัด


    ที่มา : หนังสืออริยศาสตร์ คู่มือการเข้าอริยะภูมิ (อัคร ศุภเศรษฐ์) หน้า 89-95
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 ตุลาคม 2016
  3. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,103
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,003
    ค่าพลัง:
    +69,974




    สรุปง่ายๆ(แต่ทำ ไม่ง่าย) คือ ระงับ - ดับ-ตัดตัวเหตุ ของ กิเลสภายในใจตนเป็นอันดับแรก

    ไม่ว่าจะเป็นมารภายในหรือภายนอก
     

แชร์หน้านี้

Loading...