+++ ความรู้สึก อยู่ที่ใด "ความเป็นตน" อยู่ที่นั่น
+++ อย่าใช้คำศัพท์ว่า "กายทิพย์" อีก มันเป็นภาษาที่จะเป็น "อุปสรรคในอนาคต"
+++ นับตั้งแต่ "กายแห่งความ รู้สึกกาย" "กายแห่งความ เป็นจิต" "กายแห่งความ รู้สึกจิต"
+++ หากใช้คำว่า "กายทิพย์" เพียงคำเดียว มันจะไม่สามารถ "ระบุความเป็นกาย แบบเฉพาะ" ได้
+++ ให้ใช้ "ภาษาของความเป็นกาย" ในหลักของ มหาสติปัฏฐาน 4 เท่านั้น คือ
+++ 1. กายเนื้อ "รู้กาย" 2. กายเวทนา "รู้สึกกาย" 3. กายจิต "รู้กายที่เป็นจิต" 4. กายธัมมารมณ์ "รู้สึกความเป็นตน"
+++ ตั้งแต่ 2-4 สามารถเรียกว่า "กายทิพย์" ได้ทั้งหมด แต่จะ "ระบุจำแนกอาการ ไม่ได้เลย" แล้วจะสับสน ในภายหลัง
+++ เป็นโอกาสที่ดี ที่จะฝึก "ตน" ให้ กลับมาเป็น "แบบเดียวกับ กายเนื้อ" ตรงนี้ให้ "ฝึกบังคับ ตน"
+++ จนเป็นสเมือน "ตน อยู่ในชุด ประดาน้ำ" หากความรู้สึกตน อยู่ด้านนอก จะเป็นอาการ "เอากายไว้ในจิต"
+++ นัยยะกลับกัน หากความรู้สึกตน อยู่ด้านใน จะเป็นอาการ "เอาจิตไว้ในกาย" (มีใน พระไตรปิฏก)
+++ เพียงแต่ "ทำให้เป็น อิริยาบทเดียวกัน เหมือน ๆ กัน เท่านั้น"
+++ ตรงนี้เป็นอาการ "กายเนื้อ ถูกรู้" หรือเป็นเพียงแค่ "เครื่องรู้ สักแต่ว่ารู้" เท่านั้น
+++ และที่สำคัญที่สุด คือ "มันไม่ใช่เรา" (กายเนื้อ ไม่ใข่ ตัวกู/ของกู) นั่นแล...
+++ ความเป็น "ตนที่แท้" คือ อาการตรง "กายที่เป็นความรู้สึกเราจริง ๆ" ตรงนั้นแหละ ที่เป็น "เป้าหมายในการฝึก"
+++ ตรงนี้ยังเป็นชั้นของ "กายเวทนา" เท่านั้น ให้ฝึก "เป็น" กายนี้ แล้ว "อยู่อย่างนั้นเฉย ๆ" จนเกิดอาการ
+++ ตระหนักชัด รู้ชัด สติสัมปะชัญญะ เข้มแข็ง ตั้งมั่น ตรงนี้เป็น "อาการ ดำรงค์สติมั่น" ของพระพุทธเจ้า
+++ ตรงนี้ยังไม่ใช่ "มหาสติ" แต่เรียกได้ว่า ย่างเข้าสู่ "สติสัมโภชฌงค์ เบื้องต้น" ได้แล้ว
+++ ตรงนี้จะตรงกับอาการ "โภชฌงโค สะติสังขาโต" แปลแบบตรง ๆ ตัวได้ว่า "อันโภชฌงค์นั้น มี สติเป็นสังขาร"
+++ ดังนั้น "ไม่ใช่กายเป็นสังขาร แต่เป็นอาการ มีสติเป็นสังขาร" ตรงนี้เท่านั้น เป็น "ดำรงค์สติมั่น" ของพระพุทธเจ้า
+++ พระพุทธเจ้าสอนให้ "ดำรงค์ สติมั่น" ก่อนที่จะ "รู้ ธรรมเฉพาะหน้า"
+++ โพสท์นี้ ชี้เฉพาะไปที่ "วิธีทำ" ในการ ดำรงค์สติมั่นเท่านั้น ตรงนี้ก่อน นะครับ
ขอความรู้พี่ๆนักปฏิบัติธรรมอาจารย์สอนวิปัสสนาหรืออาจารย์ผู้มีความรู้ด้านการถอดจิตตอนนี้ทุกข์ใจมากๆคะ
ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย พรตพเนจร, 16 พฤษภาคม 2020.
หน้า 2 ของ 3
-
เราสายบุญฤทธิ์ ไม่ใช้อิทธิฤทธิ์ (ถ้าไม่จำเป็น)
**ส่งคนอื่นข้ามฝั่งเสร็จค่อยว่ากันอีกที**
;);) -
ทางภายนอก ทางกายเนื้อ ทางกายภาพ ก็....
แดนซ์ซิ่งไปพอ..
:D:D:D:D -
พอเป็นเรืองอภิญญาทำไมรู้สึกมันเจ้าใจยากกว่าเรื่องนิพพาน
อยากอ่าน ก็อยากอ่าน อ่านแล้วก็ต้องคิดอีก ทวนไปทวนมา...แด๊นไปได้มั๊ย
แบบนี้กว่าจะเป็นพระ ไม่ต้องพึ่งมีดโกนแน่ -
ฝึกบริกรรมให้หลับไปเลย..
หรือจะฝึกความรู้สึกตัวทั่วพร้อม บ่อยๆ ให้ชำนาญ ให้เข้า-ออก นามกาย ให้ชำนาญ..
เดี๋ยวจะค่อยๆเป็นไปเอง..
ถอดกายไม่ยาก เท่า วาง ใจ วาง จิต.. -
คิด ไม่ ใช่ เรา คิด แล้ว ก็ วาง..
วางความคิดให้เป็น จะเห็นความจริง..
ฝึกหลายแบบ หลายทาง ให้รู้แจ้งมันทุกเส้นทาง ไปเลย..
ถ้าปรารถนา โพธิญาณ น่ะนะ.. -
อย่ามา หลอกล่อให้ตอบ สิ..
รู้จักอุปนิสัยเราก็เฉยๆไว้..
แดนซ์ซิ่งไปพอ..
ใครเห็นความจริงก็ ต๊ะ ติ๊ง โหน่ง.. -
หลอนอย่างเรามีคนเดียวในโลก..
อะจ๊ากกกกกก..
:D:D -
พลอยขอขอบคุณพี่ๆทั้งหลายขอบคุณอาจารย์ทั้งหลายนะคะพลอยอ่านที่พี่สอนข้างบนแล้วมันโล่งขอบคุณพี่ๆนะคะที่เดินธรรมระดับยูไลธรรมะชั้นสูงสอนพลอยพลอยรู้และเข้าใจได้เลยคะว่าธรรมระดับนี้มันธรรมมะระดับยูไลเลยที่เดียวคะขอบคุณอาจารย์ทุกท่านที่เมตตาสละเวลามานั่งพิมพ์สอนพลอยขอบคุณทุกๆท่านจริงๆคะขอพระคุ้มครองพี่ๆทุกท่านอาจารย์ทุกคนนะคะตอนนี้พลอยมีพี่ๆทั้งหลายอาจารย์ทั้งหลายเป็นครูของพลอยแล้วพลอยขอบพระคุณจริงๆคะพี่จากใจเลยคะ
-
จขกท ต้อง ใคร่ครวญให้ดีๆ
ต้องซื่อตรงต่อการ เหนว่า นั่นทุกข์
ทุกข์ของแต่ละคน ไม่จำเปนต้อง
ถูก กะ เกณฑ์ ด้วย ชุดความคิด
ของใคร จนเปน สูตรเดียว
พระพุทธองค์ทรงอนุโลม ตรัส
สุข และ ทุกข์ ไปตามผู้ใฝ่ธรรม
ไม่ว่าจะ รู้ผิด หรือ รู้ถูก หาก
สามารถ ซื่อตรง ต่อการเหน
ทุกข์ ก้ต้อง ปรารภให้ ชัดๆ
เอาตามที่ตนรู้ แบบ ชัดๆ
พอรู้ชัดๆ ก้ เพียงแต่เพิ่ม
การสังเกต ความเปลี่ยน
แปลง ซึ่ง เปนอาการส่งจิต
ออกนอก
บางคนจิตรู้อยู่ที่กาย เขาเหนทุกข์
พอจิตยึดถือกายบ้าง ลืมกายบ้าง
ก้เหนความเปลี่ยนแปลง แม้นจิต
จะอยู่ในกาย ก้ สามารถเหนจิตส่งออก
บางคนจิตรู้อยู่ข้างนอก ไม่ยอมเข้า
มาในกาย จิตเคลื่อนแล้วรู้ ก้จะ
เหนจิตส่งออก
ส่งนอกก้รู้ ส่งในก้รู้ ไม่ต้องไปตำหนิจิต
จิตจะเกิด สติ เท่าทันการส่งออกนอก
จิตจะอยู่ข้างนอก หรืออยู่ข้างใน
ก้ไม่ใช่ปัญหาอีก เพราะสามารถ
อาสัยระลึก ตามเหนความไม่เที่ยง
ของจิต
ก้จะเกิดภูมิรู้ ภูมิธรรม เปนกลาง
ต่อการเหน จิตส่งออกนอก เหน
ความเกิด ความดับ ของ สมุทัยสัจจ
ผลของการเหน สมุทัยสัจจ จะได้
ความรับรู้ นิโรธนสัจจ
ก้จะทราบว่า มรรคแท้ๆ เจริญยังไง
ไม่ต้องถามใครอีก
สามารถปรารภ การตรัสรู้เองโดยขอบ
จิตมีกำลัง ปราศจาก ความอ่อนแอ
เที่ยวหา ผู้รับรองการ รู้ทุกข์ ที่ตน
สามารถ รู้ชัดๆ -
พระยูไล แสดงธรรม ชั้นเลิศ ตอนไหน
หากเปน แฟนพันธ์แท้ มหายาน
จะต้องได้ยินเรื่อง พระยูไลสอน
เฮ้งเจีย
เฮ้งเจีย มีฤทธิ์มาก แยกกายได้
ไม่ใช่แค่ใน นอก แต่แยกได้มาก
นับพัน โดยไม่มีปัญหา ไปเหน
การแยกออกเปนหลายกาย
เปนทุกข์ เฮ้งเจียยิ่งแยก
กายได้ ยิ่งมีความสุข แต่
กายจริง มีหนึ่งเดียว
เฮ้งเจีย ประลองธรรมกับพระยูไล
โดยการแข่ง การส่งจิต ไปไว
ให้ไวที่สุด ไกลสุดจาก กายเดิม
ผลปรากฏว่า
เฮ้งเจียหนีไม่พ้น ฝ่ามือยูไล
ฝ่ามือยูไล คืออะไร
คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และ จิต -
ปะ นอน..
ราตรี สวัสดิ์ สารคาม กาฬสินธุ์.. -
-
:D:D -
เด่น เลย นะ ตรงนั้น น่ะ..
ลมหายใจเข้า-ออก จมูกทั้งสองรู แต่ไม่โดน ร่องจมูก..
"ทางสายกลาง.." -
เฮ้งเจีย หลังจากแพ้ พระยูไล
ก้ใฝ่รู้ แสวงหาธรรม ที่เลิศกว่า
พระยูไล เนื่องจาก พระยูไล
ไม่ยอมบอก วิธีชนะ ฝ่ามือยูไล
เดชะบุญ ได้เจอ พระถังซัมจัง
ชวนออกเดินทาง ไปพบสุดยอด
วิชาปราบ รูป เวทนา สัญญา
สังขาร จิต วิชายูไล
พอมาถึงชมพูทวีป ก้ พบคำสอน
สมณโคดม ที่ เปิดเผย ไม่มีการ
แอบเก็บงำ ไม่ยอมบอก
พระสมณโคดม มีปรกติ สอนว่า
รูปเที่ยง หรือ ไม่เที่ยง
สัญญา เที่ยง หรือไม่เที่ยง
เวทนา เที่ยง หรือ ไม่เที่ยง
สังขาร เที่ยง หรือ ไม่เที่ยง
จิต
จืต เที่ยง หรือ ไม่เที่ยง -
นอกนั้นไม่เที่ยง.. -
แล้วแต่จะเรียก..
หามันตรงนั้นแหละ เที่ยง..
ศาสดาตั้งอยู่ ที่ เที่ยง.. -
"ปริศนาธรรม"
แปลกันเอาเองนะ..
(สำหรับคนชอบปริศนาโดยเฉพาะ) -
บังคับหัวใจให้เต้นเร็ว ก็รู้สึกไปทั่วกายแล้ว แต่ เหนื่ิอย คงไ่ม่ใช่วิธี มักง่ายคงไม่มีใช่มั่ย
หน้า 2 ของ 3