ของสงฆ์ ของอาถรรพ์.!!! (ควรอ่านไว้เพื่อความไม่ประมาท)

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย คนมีกิเลส, 9 ตุลาคม 2008.

  1. คนมีกิเลส

    คนมีกิเลส เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    3,973
    ค่าพลัง:
    +19,431
    [​IMG]



    นานมาแล้วสมัยยังเด็ก เคยอ่านหนังสือธรรมะของหลวงพ่อฤษีลิงดำ (พระราชพรหมยาน) วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี ท่านบอกว่า
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. คนมีกิเลส

    คนมีกิเลส เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    3,973
    ค่าพลัง:
    +19,431
    ข้อควรปฏิบัติเกี่ยวกับของสงฆ์

    ๑. สิ่งใดที่ได้มาก่อนบวช เช่น บ้าน ที่ดิน รถยนต์ เรือกสวนไร่นา หรือเงินสด เป็นต้น เป็นของที่ภิษุรูปนั้นจะทำอะไรก็ได้ตามปรารถนา

    ๒. สิ่งใดที่ได้มาระหว่างบวช แม้ว่าโยมจะถวายส่วนตัวก็ตาม ก็ถือว่าเป็นของสงฆ์เช่นกัน เพราะเป็นของที่ได้มาเพราะผ้าเหลือง (ผ้ากาสาวพัตร์) ถือว่าเป็นสมบัติของศาสนา เมื่อสึกออกไปจะต้องคืนสงฆ์ทั้งหมด จะต้องนำของนั้นถวายวัดใดวัดหนึ่งที่เห็นสมควร
    ของสงฆ์นั้นถือเป็นของสูง เป็นของที่ผู้มีจิตศรัทธาทำบุญให้มา ถ้าใครนำเอาไปทำมาหากินส่วนตัว จะเป็นอาถรรพ์ จะประสบแต่ความวิบัติหาความเจริญมิได้

    ๓. ถ้าผู้ใดเอาของสงฆ์ไปใช้แล้วสำนึกได้ก่อนตาย ให้รีบนำมาคืนสงฆ์หรือถ้าของนั้นชำรุดแล้ว ก็ให้ชดใช้เป็นเงินแทน เรียกว่า
     
  3. Marthaporn

    Marthaporn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2008
    โพสต์:
    68
    ค่าพลัง:
    +234
    อนุโมทนาค่ะ ...................
    ตั้งแต่นี้ต่อไปจะขอรักษาศีล 5 แม้จะไม่บริสุทธิ์นัก แต่ก็จะ
    พยายามทำให้ดีที่สุด เพื่อจะได้พ้นจากอบายภูมิ
     
  4. พระไตรภพ

    พระไตรภพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,067
    ค่าพลัง:
    +7,521
    เรื่องนี้อ่านแล้วก็น่ากลัวนะ แต่ว่ายังมีจุดที่ต้องพิจารณาอีกมาก สาธุ

    กรรมใดใครก่อกรรมนั้นตอบสนอง กรรมใดใครไม่ทำจะมีกรรมได้อย่างไร

    หากเราเอาข้าวก้นบาตรวางไว้ ผู้อื่นมาหยิบไปกินเสียโดยมิบอกกล่าว

    เราไม่ต้องโทษไปด้วยหรือ ?

    [SIZE=+2]มงคลที่ ๑๗.การสงเคราะห์ญาติ [/SIZE][SIZE=+3][/SIZE]
    <TABLE height=205 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=661 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=left height=121>


    เมื่อยามญาติ อัตคัด เกินขัดข้อง
    ควรหาช่อง สงเคราะห์ ไม่เลาะหนี
    เขาซาบซึ้ง ถึงคุณ อบอุ่นดี
    หากถึงที เราจน ญาติสนใจ

    </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=left height=208>ลักษณะของญาติที่ควรให้การสงเคราะห์ เมื่ออยู่ในฐานะดังนี้คือ
    ๑. เมื่อยากจนหาที่พึ่งมิได้
    ๒. เมื่อขาดทุนทรัพย์ในการค้าขาย
    ๓. เมื่อขาดยานพาหนะ
    ๔ .เมื่อขาดอุปกรณ์ทำมาหากิน
    ๕. เมื่อเจ็บไข้ได้ป่วย
    ๖. เมื่อคราวมีธุระการงาน
    ๗. เมื่อคราวถูกใส่ความหรือมีคดี

    การสงเคราะห์ญาติ ทำได้ทั้งทางธรรมและทางโลกได้แก่

    ในทางธรรม ก็ช่วยแนะนำให้ทำบุญกุศล ให้รักษาศีล และทำสมาธิภาวนา
    ในทางโลก ก็ได้แก่
    ๑. ให้ทาน คือการสงเคราะห์เป็นทรัพย์สิน หรือเงินทองเพื่อให้เขาพ้นจากทุกข์หรือความลำบากตามแต่กำลัง
    ๒. ใช้ปิยวาจา คือการพูดเจรจาด้วยถ้อยคำที่อ่อนโยน สุภาพ และประกอบไปด้วยความปรารถนาดี
    ๓. มีอัตถจริยา คือการประพฤติตนให้เป็นประโยชน์กับเขา อาจช่วยเหลือด้วยแรงกาย กำลังใจ หรือด้วยความสามารถที่มี
    ๔. รู้จักสมานัตตตา คือการวางตัวให้เหมาะสม อย่างเสมอต้นเสมอปลาย ร่วมทุกข์ร่วมสุข ไม่ถือตัว

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ตุลาคม 2008
  5. พระไตรภพ

    พระไตรภพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,067
    ค่าพลัง:
    +7,521
    จงมองที่เจตนาเถิด อย่าไปมองเพียงการแสดงภายนอก
    เมื่อสมควรจึงเอื้อเกื้อกูลกัน
    บำรุงบิดามารดา - เลี้ยงดูพ่อแม่ เกิดก่อสวรรค์


    บุคคลใดเลี้ยงดูบิดามารดาโดยธรรม
    นักปราชญ์ทั้งหลาย
    ย่อมสรรเสริญบุคคลผู้เลี้ยงมารดาและบิดานั้นในโลกนี้
    บุคคลนั้นละจากโลกนี้ไปแล้ว
    ย่อมบันเทิงอยู่ในสวรรค์



    สภาพใจของคนทั่วไปที่ยังไม่ได้ฝึกฝน มักจะซัดส่าย ไม่หยุดนิ่ง ดิ้นรนไปมาเหมือนปลาที่ถูกยกขึ้นวางบนบก อยากกลับไปหาแหล่งน้ำ ร่างกายของคนเรานั้น แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงเจริญขึ้นตามวัย อีกทั้งเป็นรูปธรรม แต่กลับไม่มีใครสามารถบังคับให้อยู่ในอำนาจตามต้องการได้ ผิดกับใจที่ดูเหมือนว่ามองไม่เห็นด้วยตาเปล่า กลับพร้อมที่จะยอมรับการฝึกฝนให้เป็นไปตามต้องการ และเมื่อฝึกฝนจนกระทั่งละเอียดอ่อนนุ่มนวล ควรแก่การงานแล้ว ก็สามารถที่จะโน้มน้าวไปที่ไหนก็ได้ตามปรารถนา

    มีวาระพระบาลีใน สุวรรณสามชาดก ว่า

    "โย มาตรํ ปิตรํ วา มจฺโจ ธมฺเมน โปสติ
    อิเธว นํ ปสํสนฺต เปจฺจ สคฺเค ปโมทติ

    บุคคลใดเลี้ยงดูบิดามารดาโดยธรรม นักปราชญ์ทั้งหลายย่อมสรรเสริญบุคคลผู้เลี้ยงมารดาและบิดานั้นในโลกนี้ บุคคลนั้นละจากโลกนี้ไปแล้ว ย่อมบันเทิงอยู่ในสวรรค์"

    ปัจจุบันมีหลายประเทศทั่วโลกที่ได้รับการยอมรับว่า เป็นประเทศที่พัฒนาแล้วโดยวัดกันที่มาตรฐานการศึกษา ค่าครองชีพ และเทคโนโลยีต่างๆ แต่มีสิ่งหนึ่งที่มาพร้อมกับความเจริญทางด้านวัตถุ คือ พ่อแม่ที่แก่เฒ่าถูกทอดทิ้งเพิ่มมากขึ้น จนกลายเป็นปัญหาสังคม รัฐบาลต้องทุ่มงบประมาณจำนวนมหาศาลเพื่อนำมาใช้แก้ไข ด้วยการจัดสถานที่รองรับคนชราที่ลูกทอดทิ้ง ผู้สูงอายุเหล่านั้นต้องทนอยู่อย่างโดดเดี่ยวอ้างว้าง บางคนต้องไปอยู่บ้านพักคนชรา เพราะความจำเป็นก็มี จำใจไปก็มี เช่น บางคนไปอยู่เนื่องจาก ไม่อยากให้เป็นภาระลูกต้องมาลำบากเพราะพ่อแม่ อยากให้ลูกมีความสุขกับชีวิตครอบครัว ได้ทำงานอย่างเต็มที่ คิดอย่างนี้ก็มี

    ลูกบางคนบอกว่า ไม่มีเวลาดูแล จึงให้พ่อแม่ไปอยู่ที่นั่น แล้วส่งเงินไปให้ใช้เป็นประจำ มีบางท่านอยากให้พ่อแม่อยู่บ้านเหมือนกัน แต่ลูกๆ ไม่รู้วิธีการเอาใจคนชราว่าต้องการอะไร เมื่อพ่อแม่เห็นว่าลูกไม่เอาใจใส่ตนเอง มัวแต่ยุ่งอยู่กับเรื่องธุรกิจการงาน ทำให้เกิดอาการน้อยใจ จึงตัดสินใจหนีไปอยู่ บ้านพักคนชรา ทำให้คุณธรรม คือ ความกตัญญูกตเวทีระหว่างลูกต่อบิดามารดา ผู้เป็นบุพการีลดลงไปเรื่อยๆ

    เรื่องหน้าที่ของลูก ที่พึงปฏิบัติต่อบิดามารดานี้มีตัวอย่าง เป็นเรื่องของพระภิกษุรูปหนึ่ง แม้ท่านบวชมาแล้ว ยังอุตสาหะทำหน้าที่พระลูกชายยอดกตัญญู ออกบิณฑบาตมาเลี้ยงบิดามารดาผู้บังเกิดเกล้า

    *ในสมัยพุทธกาล ที่กรุงสาวัตถี มีลูกชายเศรษฐีท่านหนึ่ง เป็นคนมีบุญ เมื่อได้ฟังธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วเกิดศรัทธา จึงขอพ่อแม่ออกบวช แต่ได้รับการปฏิเสธ ลูกชายอดอาหารประท้วงถึง ๗ วัน บิดามารดาคิดว่า "ถ้าไม่ยอม ลูกคงตายแน่ แต่ถ้ายอมให้ลูกบวช ยังมีโอกาสได้เห็นหน้าลูกชายบ้าง" จึงพร้อมใจกันยินยอมให้ลูกบวช

    ลูกชายดีใจเป็นที่สุด กราบแทบเท้ามารดาบิดา แล้วรีบไปที่วัดเชตวันมหาวิหารเพื่อขอรับการบรรพชาอุปสมบท เมื่อบวชแล้วก็ตั้งใจศึกษาคันถธุระอยู่ ๕ พรรษา แล้วจึงปลีกวิเวกด้วยการเข้าไปบำเพ็ญเพียรอยู่ในป่าตามลำพัง ท่านทำความเพียรอยู่ ๑๒ ปี แต่ยังไม่ได้คุณวิเศษอะไร ส่วนโยมพ่อโยมแม่ เมื่อไม่มีลูกชายแล้ว ก็ไม่อาจรักษาทรัพย์สมบัติเอาไว้ได้ เพราะความแก่เฒ่า ธุรกิจการค้าจึงถูกเขาโกงไป แม้แต่ข้าทาสบริวารก็ขโมยทรัพย์สินไปหมด แม้บ้านของตัวก็จำเป็นต้องขายเพื่อเอาทรัพย์มาเลี้ยงชีพ และต่อมาเมื่อทรัพย์หมดก็ไร้ที่อยู่อาศัย ในที่สุดจำต้องเลี้ยงชีพด้วยการขอทานอย่างน่าเวทนา


    วันหนึ่ง พระภิกษุผู้เป็นบุตรเศรษฐีได้ข่าวจากเพื่อนภิกษุอาคันตุกะว่า โยมพ่อโยมแม่ของท่านกำลังลำบากต้องขอทานเขากิน ท่านรู้สึกสงสารขึ้นมาอย่างจับใจ ประกอบกับช่วงนั้นท่านรู้สึกท้อแท้เพราะผลการปฏิบัติธรรมที่ไม่ก้าวหน้า จึงคิดอยากสึกออกไปเป็นคฤหัสถ์ เพื่อเลี้ยงดูมารดาบิดา จึงรีบเดินทางกลับกรุงสาวัตถีทันที

    เมื่อเดินทางมาถึงทาง ๒ แพร่ง ระหว่างไปบ้านเกิดกับไปวัดพระเชตวัน ท่านคิดว่า ไหนๆ จะสึกแล้ว เราไปเข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนจะดีกว่า ปรากฏว่าเช้าวันนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมเรื่องความกตัญญู เมื่อท่านได้ฟังแล้วก็เกิดวิริยอุตสาหะ ที่จะบำรุงเลี้ยงดูมารดาบิดาในเพศบรรพชิต ได้ออกตามหาจนพบ เมื่อมองเห็นมารดาบิดาทั้งสองกำลังนั่งขอทานอยู่ จึงเดินเข้าไปยืนใกล้ๆ

    "นิมนต์พระคุณเจ้าข้างหน้าเถิดเจ้าข้า" โยมแม่พูดโดยไม่กล้ามองหน้าพระ ฝ่ายพระลูกชายได้แต่ยืนนิ่ง น้ำตานองหน้า เพราะสงสารเหลือเกิน แม้โยมแม่จะกล่าวนิมนต์ให้ไปข้างหน้าตั้งหลายครั้ง แต่ท่านก็ยังยืนนิ่งเฉยอยู่อย่างนั้น ฝ่ายบิดาเริ่มเอะใจจึงสังเกตดูภิกษุรูปนี้ ในที่สุดก็จำได้ว่าเป็นพระลูกชาย ทั้งสามต่างร่ำไห้กันยกใหญ่

    พระลูกชายปลอบใจโยมทั้งสองว่า "โยมพ่อโยมแม่ไม่ต้องลำบากหรอก จากนี้ไปไม่ต้องขอทานแล้ว พระจะบิณฑบาตมาเลี้ยงดูไม่ให้อดอยาก"

    ตั้งแต่นั้นมาอาหารบิณฑบาตที่ได้มาท่านก็นำมาให้มารดาบิดารับประทานก่อน ผ้าจีวรที่เขานำมาถวาย ท่านก็จะนำมาให้มารดาบิดาซักย้อม และตัดเย็บสวมใส่ แม้พระลูกชายจะมีอาหารไม่พอฉัน แต่ก็สู้อดทนเลี้ยงดูด้วยความกตัญญูกตเวที จนในที่สุดท่านซูบผอมร่างกายเหลือง สะพรั่งไปด้วยเส้นเอ็น

    เพื่อนสหธรรมิกเห็นอาการผิดปกติเช่นนั้น จึงไต่ถามดูว่า "อาวุโส เมื่อก่อนท่านมีผิวพรรณวรรณะผ่องใส แต่เดี๋ยวนี้ร่างกายผ่ายผอมสะพรั่งไปด้วยเส้นเอ็น ท่านป่วยเป็นโรคอะไรหรือ" ท่านบอกว่าตนเองไม่ได้ป่วยเป็นโรคอะไรหรอก เพียงแต่ว่าอาหารไม่พอฉัน เนื่องจากต้องแบ่งอาหารบิณฑบาตให้โยมพ่อโยมแม่

    เพื่อนสหธรรมิกได้ยินเช่นนั้น เนื่องจากเป็นผู้เคร่งครัดในธรรมวินัย จึงตำหนิท่านว่า "การนำอาหารที่เขาถวายมาด้วยศรัทธาไปเลี้ยงดูคฤหัสถ์ เป็นสิ่งที่ไม่สมควร" เรื่องการเลี้ยงอาหารแก่คฤหัสถ์จึงถูกโจษขานขึ้นในหมู่สงฆ์ ภิกษุสงฆ์จึงกราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้า พระพุทธองค์จึงตรัสเรียกท่านเข้ามาสอบถามในท่ามกลางมหาสังฆสมาคม ท่านได้แต่ก้มหน้ายอมรับคำตำหนิในท่ามกลางสงฆ์


    เมื่อถูกพระพุทธองค์ตรัสถามว่า "ดูก่อนภิกษุ เธอนำอาหารที่เขาถวายด้วยศรัทธาไปเลี้ยงดูคฤหัสถ์จริงหรือ"

    "จริงพระเจ้าข้า"

    "เธอนำอาหารไปเลี้ยงดูคฤหัสถ์ไหนกันล่ะ"

    "เป็น มารดาบิดาของข้าพระองค์เองพระเจ้าข้า" ภิกษุหนุ่มเตรียมใจรับคำตักเตือนด้วยความเคารพ แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อได้ยินเสียงสาธุการจากพระองค์ถึง ๓ ครั้งว่า "สาธุ สาธุ สาธุ เธอทำถูกต้องแล้ว แม้เราในอดีตก็บำรุงเลี้ยงดูมารดาบิดาเหมือนกัน" จากนั้นพระองค์ตรัสเล่าเรื่องสุวรรณสามชาดก ซึ่งเป็นพระชาติหนึ่งของพระพุทธองค์ ที่บำรุงเลี้ยงมารดาบิดาผู้ตาบอดทั้งสองข้างด้วยความขยันขันแข็ง แม้ว่าจะประสบเภทภัยจนเกือบถึงแก่ชีวิต ก็ไม่อาลัยกับชีวิตตน จิตห่วงใยแต่มารดาบิดาทั้งสอง และด้วยแรงกตัญญูจึงทำให้ท่านรอดพ้นจากอันตรายครั้งนั้นมาได้

    ภิกษุหนุ่มฟังแล้วปลื้มใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เพราะสิ่งที่ท่านทำลงไปนอกจากจะไม่ผิดธรรมวินัยแล้ว ยังได้รับการยกย่องจากพระบรมศาสดาอีกด้วย เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นท่านมีจิตแช่มชื่นเบิกบานดีแล้ว ทรงเริ่มแสดงอริยสัจ ๔ ท่านได้ปล่อยใจไปตามกระแสพระธรรมเทศนา ศูนย์กลางกายของท่านที่เคยมืดมิดมาตลอด ๑๒ ปี ก็สว่างโพลงขึ้น มีใจหยุดใจนิ่ง จนในที่สุดเข้าถึงพระธรรมกายโสดาบัน เป็นพระอริยเจ้า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 ตุลาคม 2008
  6. wara43

    wara43 ทีมผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2006
    โพสต์:
    9,108
    ค่าพลัง:
    +16,130
    [​IMG][​IMG] ขอกราบโมทนาสาธุครับ สาธุ...[​IMG][​IMG]
     
  7. ttii01591

    ttii01591 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +15
    การบิณฑบาตรครั้งละมากๆขนาดใช้รถสึ่ล้อเล็กขนแล้วไปให้ทานจะสมควรหรือไม่
    ส่วนตัวผมคิดว่าไม่สมควร พระจะมัวห่วงคนจนจนตัวเองไม่ได้ปฎิบัติหรือไม่ เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุหรือไม่คนเหล่านั้นจะไม่คิดทำมาหากินหรือ ของที่คนนำมาถวายหรือใส่บาตรเป็นสังฆทานพระมีสิทธิที่จะนำไปแจกจ่ายได้หรือถ้ายังไม่เป็นของเดนสงฆ์ แล้วพระพุทธบัญญัติมีว่าอย่างไรเกี่ยวกับการรับบาตร ผมคิดผิดหรือไม่ที่ไม่เคยศรัทธาพระที่รับบาตรครั้งละมาก ๆ
     
  8. โป๊ยเซียนสาว

    โป๊ยเซียนสาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,543
    ค่าพลัง:
    +2,279
    อนุโมทนา สาธุ กรรมเกิดจากการกระทำก็จริงอยู่ แต่ถ้าจิตของผู้กระทำนั้นไม่ใช่ทำอย่างที่เราเห็นและคิดปรุงแต่งเอง กรรมนั้นจะตกกับผู้คิดเองได้

    อย่างที่พระคุณเจ้าไตรภพกล่าวนั้นถูกต้องแล้วค่ะ ว่าการให้หากสงเคราะห์ผู้ยากไร้ ที่หมดหนทางเพียงให้ผู้นั้นได้มีแรงลุกขึ้นมาช่วยตัวเองได้ มิใช่เพื่อให้สุขสบายนั้นสมควรอยู่ แต่หากให้แล้วไม่คิดทำการใดเลยรอจ้องแต่สิ่งของนั้นเพียงถ่ายเดียว นั่นสิบาปหนา

    อย่างพระที่รับบิณฑบาตร ตามบ้านเรือนแล้วมีรถปิ๊กอัพรับอาหารที่ญาติโยมถวายนั้น หากเรามองว่าจะให้พระหรือลูกวัดหิ้วเหมือนฆราวาสก็คงดูไม่งาม หรือถ้าถามว่า พระก็หยุดรับ จะฉันท์อะไรมากมาย แล้วญาติโยมบ้านเรือนอื่นหละคะที่รอพระท่านมาโปรด ก็ไม่มีโอกาสใส่บาตรเพื่อสร้างกุศล หากจะให้ไปที่วัดก็คงจะต้องดูจังหวะและเวลาที่ไม่เอื้อในสภาพปัจจุบันด้วยนะคะ พระท่านได้รับอาหารจากญาติโยมมากมายฉันท์ไม่หมดก็จริงอยู่ แต่ท่านก็ให้ลูกวัดและสัตว์โลกที่มาอาศัยวัดอยู่ได้รับผลอานิสงค์จากคนที่มาใส่บาตรด้วยค่ะ อย่าหมดศรัทธาง่ายๆ แบบนั้นนะคะ "บุญเกิดจากการให้ เพราะเราพิจารณาก่อนแล้วว่าสมควรให้ ไม่ต้องไปคิดต่อว่าให้แล้วเอาไปทำอะไร" ^ ^
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 ตุลาคม 2008
  9. อธิมุตโต

    อธิมุตโต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    4,741
    ค่าพลัง:
    +13,087
    สาธุ อนุโมทนานะครับ

    สงสาร สมมุติสงฆ์ สมัยนี้ จัง กลัวจะเป็นอย่างในบทความนี้อะครับ
     
  10. ซ้อจิตต์

    ซ้อจิตต์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    183
    ค่าพลัง:
    +63
    อนุโมทนาสาธุ ค่ะ
    เมื่อมีจิตศรัทธา ทำบุญแล้ว ก็อย่าไปคิดต่อ
    ว่าพระหรือผู้รับจะนำไปทำอะไร
    ทำบุญแล้ว อย่าหวังผล ทำด้วยความศรัทธา
    ทำด้วยจิตบริสุทธิ์ เมื่อเหตุดี ผลก็ต้องดีค่ะ
    เชื่อมั่นอย่างนั้น
     
  11. vilawan

    vilawan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    836
    ค่าพลัง:
    +1,432
    อนุโมทนาคะ ทำบูญด้วยจิตที่แจ่มใสเบิกบาน ทั้งก่อนทำ ขณะที่ทำ และหลังทำ

    อย่าไปคิดต่อให้ผู้อื่นเลยคะว่าเขาทำถูกหรือผิดอย่างไร

     
  12. แงซาย ชายดอย

    แงซาย ชายดอย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,028
    ค่าพลัง:
    +1,314
    โมทนา กับเจ้าของกระทู้ครับ

    ขอแจ้งข่าวด้วยครับ
    มาบอกข่าวดีแต่เช้าเลย ...ญาติพี่น้องญาติธรรมทั้งหลาย

    วันนี้(ศุกร์ที่10 ต.ค.51)
    ผมและพี่สาว จะไปบ้านอนุสาวรีย์
    (ผมไปช่วงเย็น 5 โมง-ส่วนพี่สาวจะไปถึงประมาณเที่ยงๆ)

    จะแจก สายสินธุ์ ที่นำเข้าพิธีบวงสรวง พุทธาภิเษก ไหว้ครู ประจำปี
    ในวันเสาร์ 5 (4 ต.ค.51)ที่ผ่านมาที่วัดเขาแร่
    มีพุทธคุณทุกด้าน จริงๆ
    (พระเศียรพ่อแก่ไหว้ครู มีพระเกศาธาตุหลวงพ่อฤาษีฯบรรจุอยู่ด้วย)
    ได้เข้าพิธีครอบครู
    พระพุทธเจ้า ทุกพระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ ครูบาอาจารย์
    นับร้อย ที่หลวงพี่เอกอ่าน ชื่อ และพรหม เทวดา พ่อปู่ ฤาษี ต่างๆ

    และรับยันต์ 3 ยันต์ คือ
    1.ยันต์เกราะเพชร (หลวงพ่อท่านเป่า) รู้วิธีอาราธนากันแล้วนะครับ
    2.ยันต์พระไตรรัตนจักร ชัยสิทธิ์(ป้องกันภัยกาลียุค-ภัยพิบัติ 10 ประการ) วิชาหลวงปู่ชื้น
    อาราธนา "พุทธัง...ธัมมัง ...สังฆัง... ต่อด้วย สะระณัง คัจฉามิ 3 ไตรสรณคมณ์"
    3.ยันต์มหาลาภ ทางภาคเหนือ
    "มหาปุญโญ มหาลาโภ ภะวันตุเม " 3,-9 จบ ให้คิดถึงเงินในกระเป๋า หรือเงินที่เก็บไว้

    ***ของพี่สาว ประมาณ 50-80 เส้น สีเหลือง สวยดี
    ***ของผม 50 เส้น สีฟ้าเข้ม สวยอีกเช่นกัน เหมาะกับผู้หญิง..

    โมทนา ครับ ใครไปบ้านอนุสาวีรย์วันนี้ ตั้งแต่ บ่ายๆถึงเย็น
    เจอใครก็แจกเลยครับ สาธุ
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  13. Sujinno

    Sujinno Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    175
    ค่าพลัง:
    +90

    พระวินัยระบุ ไว้ว่า ไม่ให้ภิกษุรับบาตร เกินกว่า 3 บาตร รับเกินนั้นต้องอาบัติ
    และอาหารส่วนที่มากเกินไปนั้นให้นำถวายพระผู้ชรา หรือผุ้ที่อาพาธ(ป่วย)

    ส่วนการนำอาหารที่บิณฑบาต ให้แก่บุคคลอื่นที่ไม่ใช่พระภิกษุ อนุญาตให้เฉพาะการเลี้ยงดูบิดา มารดา

    ส่วนอื่น ๆ ไม่ตอบเพราะกรรมเป็นเครื่องแสดงเจตนา
     
  14. ทรัพย์พระฤาษี

    ทรัพย์พระฤาษี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    397
    ค่าพลัง:
    +175
    โมทนาด้วยครับ


    <TABLE class=webtitle2 height=76 width="53%" align=center border=0><TBODY><TR><TD height=10>พระนิพพาน ไม่ใช่ภาษาพูด


    </TD></TR><TR><TD height=10>ไม่ใช่ภาษาเขียน แต่เป็นภาษาปฏิบัติ


    </TD></TR><TR><TD height=10>( คำสอนของ พระองค์ที่ 10 )


    </TD></TR></TBODY></TABLE>



    [​IMG]




    [​IMG][​IMG][​IMG]ผมมีบทความดีๆเกี่ยวกับในหลวง อยากให้ลองอ่านกันครับ[​IMG][​IMG][​IMG]
    คลิกนี้
    http://palungjit.org//showthread.php?t=150879
    <!-- / message -->
     
  15. neo1982

    neo1982 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +17
    คนเรา คอยจ้องจับผิด แต่ผู้อื่น เสียเวลาเปล่าครับ ดูตัวเองให้มากๆเข้าไว้

    คุณจะไม่พอใจทำไม ในเมื่อมันไม่ใช่เรื่องของคุณ และคุณ ก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรกับความไม่พอใจนั้นเลย นอกจากความเศร้าหมอง

    จะผิดจะถูก จะรู้ไปทำไม ครับ มันทำให้ตัวคุณ ได้บรรลุธรรม หรือเปล่า

    สนใจแต่เรื่องเป็นประโยชน์เถิดครับ ชีวิตนี้สั้นนัก อย่าปล่อยเวลา ผ่านเลยไปกับเรื่องของผู้อื่น กับเรื่องไร้สาระ

    เห็นด้วยกับ หลายคนข้างบน ที่บอกว่า ทำบุญไปแล้ว ไม่ต้องสนใจว่า ท่านจะเอาของเราไปทำอะไร
    เพราะการ ทำบุญ ทำทานนั้น ไม่ใช่เพื่อหวังได้บุญ แต่อุบาย ให้เรา รู้จักการเสียสละ การปล่อยวาง ซึ่ง ทาน เป็นพื้นฐาน ชองการปฏิบัติ
    ทาน >> ศีล >> ภาวนา
    ให้ทาน เพื่อลดความตระหนี่ รู้จักการให้ การปล่อยวาง
    ถือศีล เพื่อ ให้ใจบริสุทธิ์ คิดแต่เรื่องดีทำแต่เรื่องดี จิตใจจะสงบ ร่มเย็น ไม่มีทุุกข์ มาเยือน
    แล้วจึง ปฏิบัติ ภาวนา เมื่อใจ สงบ แล้ว จะให้ผลได้รวดเร็ว กว่า ปฏิบิต ด้วย จิตที่วอกแวก แส่ส่าย ไม่สงบ

    เขียนขึ้นตามความเข้าใจของตัวเอง ผิดถูก ขออภัย ด้วย ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 ตุลาคม 2008
  16. พระไตรภพ

    พระไตรภพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,067
    ค่าพลัง:
    +7,521
    หากมัวหวงก็ไปไหนไม่รอด หากมัวหาแต่อาหารก็ไปไหนไม่ได้

    มากเพราะเขาให้ทานเอง กับมากเพราะแสวงหา มันต่างกันยิ่ง นั่นคนที่กำลังเพ่งโทษอยู่นั้นต่างหากคือผู้เสพความทุกข์ทน
     
  17. ttii01591

    ttii01591 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +15
    การรับบาตรเกิน สาม ผิดพระวินัย
    ถ้าเรารู้แล้วไปสนับสนุนท่านไม่เป็นการช่วยส่งเสริมให้ท่านผิดพระวินัยหรือ
    การทำบุญโดยไม่ต้องไปสนใจว่าท่านจะนำไปทำอะไรต่อชั่วช่างชีดีช่างสงฆ์กระนั้นหรือ
    การที่เราเห็นคนกำลังทำร้ายพระศาสนาแล้วไม่ป้องกันช่างเถอะเดี๋ยวเขาก้อตกนรกเองกระนั้นหรือ
    โจรกำลังจะปล้นบ้านหลังหนึ่งเราผ่านไปเห็นแล้วแจ้งตำรวจเราผิดที่ไปจ้องจับผิดเขาหรือ
    ผมจำได้ว่าในพระไตรปิฎกพระพุทธเจ้ากล่าวเรื่องการทำบุญที่ให้ผลสูงสุดคือสังฆทานถ้าผู้รับทานจากเราไม่มีศีลผิดพระธรรมวินัยเป็นอาจินผลบุญจะเต็มเม็ดเต็มหน่วยหรือ หว่านพืชก้อต้องการผลแต่ถ้าดินแห้งไม่มีปุ๋ยพืชก้ออาจขึ้นแต่ก้อแคระแกนในที่สุด สาธุ สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
     
  18. ถนอม021

    ถนอม021 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,098
    ค่าพลัง:
    +3,163
    อนุโมทนาสาธุด้วยเทอญ สาธุ สาธุ สาธุ

    และขออุทิศบุญกุศลทั้งปวงแด่เจ้ากรรมนายเวรทุกภพทุกชาติ
    ให้ทุกท่านมีความสุขกายสุขใจตลอดไป ขอให้อโหสิรรมและ
    ขออโหสิกรรมกับทุกรูปทุกนามด้วยเถิด ให้ทุกท่านได้พระนิพพาน
    ในชาตินี้ด้วยเถิด

    ถนอม สุพัตรา ถกนธ์ พร้อมครอบครัวและญาติมิตร

    หลังจากสวดบูชาพระรัตนตรัยเสร็จเรียบร้อยแล้วสำหรับท่านที่ไม่ค่อยมีเวลามาก แนะนำบทสวดพุทธมนต์แบบย่อ ๆ แต่มีพลานุภาพมาก มีอานิสงส์มาก สวดไม่เกิน 5 นาทีจบ ดังนี้

    นะโม 3 จบ

    หัวใจ อิติปิโส ว่า
    อิสะวาสุ
    หัวใจพาหุง
    พา มา นา อุ กะ สะ นะ ทุ
    หัวใจพระเจ้าสิบชาติ
    เต ชะ สุ เน มะ ภู จะ นา วิ เว
    หัวใจบารมี 30 ทัส
    ทา สี เน ปะ วิ ขะ สะ อะ เม อุ
    หัวใจพระอาการวัตตาสูตร
    มุนินทะ วะทะนัมโพชะ คัพพะสัมภาวะ สุนทะรีปาณีนัง สะระณัง วาณี มัยหัง ปิณะ ยะตัง มะนัง
    หัวใจพระธารณะปริตร
    ทิฏฐิลา ทัณฑิลา มันติลา โรคิลา ขะระรา ทุพพิลา เอเตนะ สัจจะ วัชเชนะ โสตถิ เม โหตุ สัพพะทา
    หัวใจพระไตรปิฎก
    จิเจรุนิ
    หัวใจพระคาถาชินบัญชร
    ชะ จะ ต ะ สะ สี สัง หะ โก ทะ กะ เก นิ กุ โส ปุ เถ เส เอ ชะ ระ ธะ ขะ อา ชิ วา อะ ชิ สะ อิ ตัง
    คาถาบูชาพระพุทธเจ้า 16 พระองค์
    นะมะนะอะ นอกอนะกะ กอออนออะ นะอะกะอัง อุมิอะมิ มะหิสุตัง สุนะพุทธัง สุอะนะอะ

    [​IMG]สวดจบควรแผ่เมตตาทุกครั้ง[​IMG]
     
  19. ฟางฟืน

    ฟางฟืน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    31
    ค่าพลัง:
    +48
    เมื่อรากไม่แข็งแรง ลำต้นและปลายจะเจริญเติบโตได้เช่นไร
     
  20. พระไตรภพ

    พระไตรภพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,067
    ค่าพลัง:
    +7,521
    การรับบาตรไม่ให้เกินสามบาตรนั้น หมายถึง โยมหนึ่งท่านต่อสามบาตรหากโยมใส่บาตรครบสามบาตรแล้ว แม้มีภิกษุอื่นมาอีกก็ไม่ควรรับบาตรจากโยมผู้นั้น
    สมมติ เราเข้าไปบ้านโยม โยมใส่บาตรให้เรา 2 บาตรแล้ว ต่อมามีอีกรูปเดินมา รูปที่2ที่มาสามารถรับได้อีก 1บาตรเท่านั้น หากมาอีกรูป ก็ไม่สามารถรับได้

    ถ้าอาตมารับสามบาตรแล้วจากโยมคนนั้น อาตมาเจอพระอีกรูปกำลังจะมารับบาตรต่อ อาตมาต้องแจ้งให้ท่านทราบว่า อาตมารับมาแล้ว3บาตร เพื่อให้ท่านรูปนั้นรู้ตัวว่า ไม่ควรเข้าไปรับบาตรอีก เพราะโยมใส่บาตรจครบกำหนดแล้ว

    นี้คือ สามบาตรตามพระวินัย ไม่ใช่ตามที่คิดเอาเองตามที่ได้ยินมา


    ไม่ได้หมายความรวมเหมาหมดทุกๆคนไป อีกประการหนึ่งนั้น การรับบาตรเกินสามบาตรนั้นท่านก็ยังไม่ปรับเป็นอาบัติ เพียงแต่ของส่วนที่เกินนั้นไม่ควรแก่ท่านผู้รับนั้นที่จะพึงกลืนกินเท่านั้น หากท่านกลืนกินลงไปจึงต้องอาบัติ

    หากนำส่วนที่เกินมานั้นไปเพื่อให้แก่ผู้อื่นเสียก็มิได้เป็นอาบัติใดๆเลย

    ที่ว่าให้ก็ต้องพิจารณาอีกด้วยว่าให้แบบไหน หากเอาไปเพื่อขายต่อนั้นหนะ ผิดแน่

    สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 ตุลาคม 2008

แชร์หน้านี้

Loading...