ก่อนอื่นผมขอแนำนำตัวก่อน คือผมไม่ค่อยรู้เรื่องการนั่งสมาธิสักเท่าไหร่ ส่วนมากนั่งเอง แต่ด้วยีวามบังเอิญหรืออะไรไม่ทราบได้มีโอกาสไปเข้าครอส์ปฏิบัติธรรมของท่าน อ.โกเอ็นก้า 10 วันมา ไปมา 2 ครั้งแล้ว ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนมาถึงครั้งที่ 3 ผมได้เข้าปฏิบัติ 10 วันอีกครั้ง และในช่วงและในช่วงอธิษฐาน บารมี จะต้องนั่ง โดยไม่เปลี่ยนอิริยาบถ เป็นเวลา 1 ชั่วโมง วันละ 3 ครั้ง ของการเริ่มปฏิบัติวันที่ 3 ใน 3 วันแรก จะทำอานาปานสติ พอวันที่ 4 จะเข้าช่วงอธิษฐานบารมี ผมนั่งมามีอาการหลายอย่าง ตัวโยกบ้าง เหมือนมีประจุไฟฟ้าตามตัวบ้าง แต่มันหนักสุดตอนวันที่ 9 ตอนเช้า ผม รู้สึก เจ็บขามาก เพราะไม่ได้เปลี่ยนท่านั่งเลย ผมเลยบอกตัวเองว่า เป็นไงเป็นกัน จากนั้น ก็เกิดปาฏิหาริย์ ผมไม่รู้สึกเจ็บปวดอีกเลย และหรือเหมือนมีประจุไฟฟ้าวิ่งตลอดทั้งขา และหลังจากนั้น ความรู้สึกร้อน เหมือนโดนเผาจากข้างใน ก็เริ่มที่แขนข้างซ้าย แล้วลามมาแขนข้างขวา จากนั้นก็ตั้งแต่อกจนถึงท้อง รู้สึกแสบร้อนไปหมด จดมาอีกทีในวันที่ 10 ผมก็เกิดรู้สึกแสบร้อน ทางแขนด้านซ้าย และเหมือนโดนเผา มีไอร้อนออกมา แสบร้อนมาก จากนั้น ก็ขึ้นไปถึงหัว และถึงเท้า แต่แปลกมากที่เป็นเฉพาะทางซีกซ้ายทั้งหมด ทางด้านซีกขวา ไม่รู้สึกอะไรเลย เป็นอย่างนี้ เกือบทั้งวัน ผมต้องนั่งอธิษฐานบารมี เป็นเวลา 1 ชั่วโมง 3 ครั้ง ก็เกิดแต่อาการอย่างนี้ แต่พอออกจากสมาธิ จับที่ผิวหนังทั้งด้านที่คล้ายทั้งหมด ก็ไม่รู้สึกมีอาการ แสบร้อนเกิดขึ้น ผิวหนังเป็นปกติ แต่ในสมาธิ ผมรู้สึกเลยว่ามันร้อนมาก และแปลกมากที่มันมีแค่ครึ่งซีกซ้าย มีใคร พอจะแนะนำได้ไหม ว่าผมเป็นอะไร และต้องทำยังไงต่อไป ขอบคุณครับ
ขอผู้รู้ช่วยผมที ผมเหมือนโดนไฟเผาเวลานั่งสมาธิครับ
ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย Kkchi, 2 พฤษภาคม 2016.
-
+++ "ตัวคำศัพท์ภาษา" บางคำแม้ว่าจะเป็น "คำเดียวกันก็ตาม" แต่อาจระบุบ่งชี้ไปที่ "อาการ" ที่แตกต่างกันได้ ตัวอย่างง่าย ๆ คือคำว่า "จิตกับใจ" เช่น "จิตคิดใจรู้ หรือ ใจนึกจิตรู้" เพียงแค่ศัพท์ 2 ตัวนี้แม้ว่าจะ "บ่งชี้ไปที่อาการเดียวกัน คือ สิ่งหนึ่งรู้ แต่อีกสิ่งหนึ่ง นึก-คิด" เป็นต้น แต่จะทำให้ "ผู้ที่ติดยึดกับคำศัพท์" มึนงงถกเถียงกันจนไม่สามารถที่จะปฏิบัติธรรมได้ ตัวอย่างตรงนี้มีมากมาย
+++ คำว่า "อธิษฐาน" ในสายการปฏิบัติของคุณทำให้ผมมองว่า "ใช้คำศัพท์เพื่อทำให้ดู ศักดิ์สิทธิ์ เกินความจำเป็น" แต่อาจใช้เป็น "อุบาย" เพื่อให้เกิด "ความตั้งใจมั่น" ก็ได้
+++ เพราะหากผมจะเป็นผู้ใช้คำว่า "อธิษฐาน" แล้ว ผู้อฐิษฐานต้องเป็น "ผู้เดินจิตในอัปนาสมาธิ" คือ "กำหนดในวิตก ฌาน 1 แล้ว เข้าไปอยู่ ในวิจารณ์ จนเกิดเสถียรภาพ กลายเป็น ฌาน 4" ตรงนี้เรียกว่า "การเดินจิต" ในภาษาของผม
+++ ดังนั้นคำว่า "อฐิษฐาน" ในสายการปฏิบัติของคุณ มีค่าเท่ากับ "ความตั้งใจ ในระดับ ฉันทะ" เฉย ๆ ส่วนของผม จะเลยไปถึง "วิมังสา" เรียบร้อยแล้ว ซึ่ง อาการจะเป็นคนละระดับกันโดยสิ้นเชิง
+++ ดังนั้นคำว่า "อธิษฐาน บารมี" ของคุณ ตรงนี้ "ผมจะโดดข้ามไป" เพราะคำศัพท์ระบุมา "ต่างอาการ" กับของผม
+++ วิธีของ "อานาปานสติ คือ รู้ลมหายใจทั่วถึง" แต่หลายคนที่ ทำไม่ได้ ครูบาอาจารย์บางท่านจึงให้ "ท่องคำบริกรรม ผูกจิตไว้อีกชั้นหนึ่ง" ท่าน โกเอ็นก้า กำหนดมีตรงนี้ด้วยหรือไม่ ผมจะโดดข้ามตรงนี้ไป เพราะอาการของคุณ "ข้าม-เลย ตรงนี้ไปแล้ว"
+++ อาการตรงนี้ ผมใช้ภาษา "แยกต่างหากออกไปเลย" ตรงนี้ "จิตยึดเอา เวทนากาย เป็นตน" ไม่ได้ยึดเอา "กายเนื้อ" เป็นตนอีกต่อไป ผมจึงใชัคำว่า "กายเวทนา ตามอาการที่ จิตยึดเอาเป็นตน"
+++ อีกประการหนึ่งก็คือ "กายเวทนา เป็นกายที่ ไม่ต้องอาศัยลมหายใจแบบกายเนื้อ" ดังนั้น ตรงนี้ "วางลมหายใจ" ไปเรียบร้อยแล้ว อย่าไปหวลคืนกลับมาก็แล้วกัน ไม่งั้นจะไปต่อไม่ได้
+++ ตรงคำว่า "เหมือนมีประจุไฟฟ้า" นั้น อาการของมันคือ "ซาบซ่าน" แต่ยังไม่ถึง "อิ่มเอิบ" ภาษาของฌานใช้คำว่า "ปิติ" ภาษา Hi-Tech ใช้คำว่า "คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า" หรือจะใช้คำว่า "การแตกประจุของอิออน" ก็ได้ แล้วแต่ชอบก็แล้วกัน
+++ ส่วนอาการ "ร้อน เหมือนโดนเผาจากข้างใน" นั้น เพราะตอนนั้น "คุณอยู่ในชั้น ข้างนอก" แต่หลังจากที่รู้ว่า "ร้อน" แล้ว จิตคุณกลับ "ย้าย เข้าไป อยู่" กับคลื่นชั้นความร้อนนั้น จึงกลายเป็น เอาความร้อนเป็นตน ตนเป็นความร้อน
+++ หากคุณทำ "ความรู้สึกตัวทั่วถึง แล้วอยู่กับมัน" ก็จะรู้ชัดเจนว่า "ตัวคลื่นความร้อนนั้น อยู่ถัดออกมาจากชั้นผิวหนัง ตั้งแต่ 1 นิ้วถึง 1 คืบ" ปกคลุมอยู่รอบผิวหนัง เป็นชั้นรอบนอก (เป็นชั้น เวทนากาย) ส่วนชั้นตรงกลางนั้น ดูคล้าย ว่างอยู่ แต่หากดูให้ดี ๆ ก็จะรู้ได้ว่า มันเป็น "ชั้นใส ๆ ขั้นอยู่" แต่อยู่ข้างนอกชั้นผิวหนัง (หากจิตยึดเอาตรงนี้เป็นตน ก็จะเป็น กายจิต) ส่วนภายในถัดจาก "ชั้นผิวหนังเข้ามา จะสงบนิ่งเฉยอยู่ ตรงนี้เป็นชั้น ธรรมารมณ์" หากจิต "ยึดและอยู่ในชั้นนี้ ก็จะเป็น กายธรรมารมณ์" หากอยู่ได้สนิทดี ก็จะวางขอบเขตของร่างกายไปเลย และจะกลายไปเป็นชั้น "อรูป" จริง ๆ นอกชั้นความร้อนออกไป ยังมีอีกชั้นหนึ่ง ตรงนี้เรียกว่า "ชั้นออร่า" แต่การฝึกในระดับของคุณ น่าจะยังมองไม่เห็น ตรงนี้ "การแผ่ขยายของ สติ ของคุณ ยังไม่ครอบคลุมออกมาถึงตรงนี้" เหตุเพราะคุณยังทำ "ความรู้สึกตัวทั่วถึง ไม่ได้" ยังมีอีกมากในบริเวณนี้ แต่จะข้ามไปก่อน
+++ ให้ลอง "กำหนดความรู้สึก เพียงแค่ซีกซ้าย" ดูก็ได้ มันก็จะรู้สึกแค่ซีกนั้น ส่วนอีกซีกหนึ่ง "มันจะรู้อยู่เฉย ๆ โดยไม่รู้สึก" คุณเล่นตรงนี้ สลับข้าง ไป-มา ก็จะถึง "บางอ้อ" ได้เอง ไม่ยากหรอก
+++ แล้ว "ถอนจิตออกมา" อาการต่าง ๆ ก็ถอนได้ พอเดินจิตกลับเข้าไปใหม่ "อาการก็กลับมาเป็นอีกได้"
+++ พอเข้าใจไปเรื่อย ๆ ก็สามารถ "จูนคลื่นความร้อน ให้แปรเป็นสภาพอื่น ๆ ได้" เช่น เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ไหลสะพัด โบกสะบัด ต่าง ๆ จะเรียกว่าการ "เดินจิตแปรธาตุ" ก็ได้ จะเรียกว่า ปฐโว อาโป วาโย เตโช หรือแม้กระทั่ง "โอ้โฮ" ก็ได้ ตามสะดวก ไม่ว่ากัน ทั้งหมดขึ้นอยู่กับว่า "ทำได้หรือไม่" เท่านั้นเอง
+++ หากฝึกเล่น ไป-มา ในบริเวณนี้เรื่อย ๆ ก็จะสามารถเข้าใจถึง "กฏเกณฑ์ในการเดินจิต และ ผลลัพธ์ของมัน" ในชั้นเบื้องต้น ซึ่งจะสามารถทำให้ต่อยอดไปถึง การเรียนรู้ใน กฏแห่งกรรม หรือ กฏแห่งการเดินจิต ในชั้นที่ละเอียดกว่าได้
+++ หลังการฝึกทุกครั้งก็อย่าลืม "แผ่เมตตา" ตามที่คุณ nilakarn บอกไว้ด้วย และตรงนี้ก็เป็น "ธรรมเนียม" ของสำนักปฏิบัติธรรมโดยทั่วไป นะครับ -
-
-
ถ้าเป็นไม่หายเขาเรียกว่าติดสภาวะ
พอมีสมาธิก็จะเป็น
แก้ได้ด้วยการเพ่งฌาน -
สภาวธรรมชัดแล้ว
ไม่ต้องกังวลอะไร
ไม่ต้องสงสัยอะไร
ไม่ต้องแก้อะไร
มีหน้าที่รู้ไปเรื่อยๆ
ตรงไหนสภาวธรรมมันแสดงตัว( เวทนาทางกาย ทางใจ) ชัดๆ
ก็ตามรู้ไปเรื่อยๆ
มันจะเปลี่ยนแปลงอะไรๆของมัน ก็ไม่ต้องไปข้องกับมันทั้งนััน
มีแค่พยายามอย่าเปลี่ยนอิริยาบท
แล้วตามรู้ไปเรื่อย ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น พิจารณาให้เห็นความเป็น อนิจจัง ทั้งหมด
เมื่อเวทนากล้าขึ้นๆ จนรุนแรงที่สุด ปานชีวิตจะทำลายจริงๆ ก็อย่าหยุด
อย่าหลบ อย่าสู้ ตามรู้เข้าไปที่กลางของกลางของกลางของเวทนาอันกล้ายิ่งนั้น
แล้วพิจารณาความเป็น อนิจจัง ที่ได้กระทำมาตลอด พิจารณาสภาวธรรมทัังหมด
ทั้งมวล ทั้งปวง ทั้งสิ้น ว่าเป็นเพียง " อนิจจัง " ๆๆๆๆๆ......
กุญแจดอกเดียวที่ใช้ไข " ที่สุดแห่งทุกข์ " คือ ใจที่ยอมตายถวายชีวิตจริงๆ
ผ่านประตู " อนิจจัง " หรือ " ทุกข์ขัง" หรือ " อนัตตา " ประตูใดประตูหนึ่ง
อนึ่ง คำว่า " อนิจจัง". หรือ " ทุกข์ขัง". หรือ " อนัตตา". นั้น ไม่ใช่แค่คำบริกรรม
ท่านต้องเข้าใจความหมายของมันอย่างถ่องแท้ และใจยอมรับมันอย่างราบคาบ
เมื่อเหตุ ปัจจัยครบสมบูรณ์ สุดยอดอัศจรรย์จะบังเกิดที่ใจท่านเอง
ท่านใกล้แล้ว ขอให้สำเร็จ.. -
เพิ่มเติมเล็กน้อยถ้าเวลาปกติรู้สึกร้อนๆที่หน้าอกซึ่งอาจจะมีอาการร่วม
กับตึงๆใต้กะโหลกศรีษะเล็กน้อย
และเหมือนมีลมหมุนที่หน่อง และแขน
ก็ให้ไปกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลจนรู้สึกตัวเบา
ส่วนคำแนะนำอื่นๆที่ผ่านมาดีอยู่แล้วครับ -
ลองศึกษาเตโชวิปัสสนาไหมคะ เคยอ่านผ่านตาค่ะ ประมาณว่าใช้ไฟเผากิเลส ไม่รับรองผลเพราะไม่เคยฝึกค่ะ แต่ถ้าร้อนมากๆเพ่งอาโปกสิณช่วยได้ค่ะ
-
เพิ่มเติม กระทู้ "เมื่อท่านคิดจะดูดพลังงาน" หาอ่านดูค่ะ
-
โปรดใช้วิจารญาณ
...เกิดจากบุพกรรมตั้งแต่อดีตที่เคยทำมามันมาส่งผล ทำให้เรารับรู้รับทราบได้ทางการปฏิบัติ เช่นบางคนนั่ง ๆ สมาธิไม่ได้เลย สวดมนต์ไม่ได้เลยเพราะถ้าทำมักมีอาการแปลก ๆ คือ เจ้ากรรมนายเวรเขามาทวงและ
ได้แสดงอาการออกมา...
...ปฏิบัติไปเรื่อยๆ เขาจะได้รับอานิสงส์จากตรง ๆ นั้น แล้วมันจะหายไปเองครับ...
---อนุโมทนาบุญ--- -
-
อนุโมทนา สาธุๆด้วยนะครับ