ขอผู้รู้ช่วย วิเคราะห์ให้หน่อยครับ

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย BossTH, 12 มีนาคม 2012.

  1. BossTH

    BossTH Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    145
    ค่าพลัง:
    +89
    ความคิดเห็นที่ 7 [ถูกใจ] [แจ้งลบ] ติดต่อทีมงาน

    ขออนุญาตแนะนำว่า ให้ศึกษาจาก พระไตรปิฏก อรรถกถา ประกอบด้วย

    เนื่องจากหนังสือ ชุดนี้ท่านพุทธทาส ได้แฝงอัตตโนมติ เข้าไปด้วย

    ทิฏฐิของท่านพุทธทาส
    Bloggang.com : �����ѡ���1 : ��á���ǵ�軯Ԩ���ػ�ҷ���� �ͧ��ҹ�ط����

    Bloggang.com : �����ѡ���1 : ����Ԩ�ó�����Ը��� �ͧ��ҹ�ط����

    -----------------------------------------
    พุทธประวัติจากพระโอษฐ์ โดยท่านพุทธทาส
    ������������෾��鹴��Ե

    การอยู่ในหมู่เทพชั้นดุสิต*

    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ข้อนี้ ข้าพระองค์ได้ฟังมาเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้จำมาแต่ที่เฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า "ดูก่อนอานนท์ ! โพธิสัตว์ มีสติ รู้ตัวทั่วพร้อม บังเกิดขึ้นในหมู่ เทพชั้นดุสิต" ดังนี้. ข้าแต่พระองค์ ผู้เจริญ ! ข้อที่พระโพธิสัตว์ มีสติ รู้ตัวทั่วพร้อม บังเกิดขึ้นในหมู่เทพชั้นดุสิต นี้ ข้าพระองค์ย่อมถือไว้ว่า เป็นของน่าอัศจรรย์ ไม่เคยมี เกี่ยวกับพระผู้มีพระภาค.

    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ข้อนี้ ข้าพระองค์ได้ฟังมาเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้จำมาแต่ที่เฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า "ดูก่อนอานนท์! โพธิสัตว์มีสติ รู้ตัวทั่วพร้อม ดำรงอยู่ ในหมู่เทพชั้นดุสิต" ดังนี้. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ข้อที่พระโพธิสัตว์ มีสติ รู้ตัวทั่วพร้อม ดำรงอยู่ในหมู่เทพชั้นดุสิต นี้ ข้าพระองค์ย่อมถือไว้ว่า เป็นของน่าอัศจรรย์ ไม่เคยมี เกี่ยวกับพระผู้มีพระภาค.

    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ข้อนี้ ข้าพระองค์ได้ฟังมาเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้จำมาแต่ที่เฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า "ดูก่อนอานนท์! โพธิสัตว์มีสติ รู้ตัวทั่วพร้อม ดำรงอยู่ในหมู่เทพชั้นดุสิต จนกระทั่งตลอดกาลแห่งอายุ" ดังนี้. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ! ข้อที่พระโพธิสัตว์ มีสติ รู้ตัวทั่วพร้อม ดำรงอยู่ในหมู่เทพชั้นดุสิตจนกระทั่งตลอดกาลแห่งอายุ นี้ ข้าพระองค์ย่อมถือไว้ว่า เป็นของน่าอัศจรรย์ ไม่เคยมีเกี่ยวกับพระผู้มีพระภาค.


    --------------------------------------------------------------------------------
    * บาลี อัจฉริยอัพภูตธัมมสูตร อุปริ. ม. ๑๔/๒๔๗/๓๖๐-๑-๒, เป็นคำที่พระอานนท์เล่าแก่ภิกษุทั้งหลาย ต่อพระพักตร์พระผู้มีพระภาค ถึงเรื่องที่เคยได้ฟังมาจากพระผู้มีพระภาคเอง, นับว่าเป็นข้อความจากพระโอษฐ์ เฉพาะตอนที่อยู่ในอัญญประกาศ.
    บาลีอัจฉริยอัพภูตธัมมสูตรอันว่าด้วยเรื่องอยู่ในดุสิต เรื่องจุติ เรื่องประสูติ เหล่านี้ซึ่งล้วนแต่เป็นปาฎิหาริย์, จะเป็นเรื่องที่ควรถือเอาตามนั้นตรงตามตัวอักษรไปทั้งหมด หรือว่าเป็นเรื่องที่ท่านแฝงไว้ในปุคคลาธิษฐาน จะต้องถอดให้เป็นธรรมาธิษฐานเสียก่อนแล้วจึงถือเอา เป็นเรื่องที่ต้องวินิจฉัยกันอีกต่อหนึ่ง, ข้าพเจ้าผู้รวบรวมสังเกตเห็นความแปลกประหลาดของเรื่องเหล่านี้ ตอนที่ไม่ตรัสเล่าเสียเอง ยกให้เป็นหน้าที่ของพระอานนท์ เป็นผู้เล่ายืนยันอีกต่อหนึ่ง ขอให้วินิจฉัยกันดูเถิด. ที่นำมารวมไว้ในที่นี้ด้วย ก็เพราะมีอยู่ในบาลี เป็น พุทธภาษิตเหมือนกัน แม้จะโดยอ้อม โดยผ่านทางปากของพระอานนท์อีกต่อหนึ่ง ซึ่งลักษณะเช่นนี้มีแต่เรื่องตอนนี้เท่านั้น.

    --------------------------------------------
    ตัวอย่างข้างบน ท่านไม่ใช่เชื่อในเรื่อง เทวดา ภพชาติ อยู่แล้ว เวลาอธิบาย ก็จะเลี่ยงบาลี

    ควรศึกษา จากท่านผู้ทรงพระไตรปิฏก จะดีกว่า

    ธรรมบท ทางแห่งความดี เล่ม 1-4 ของอาจารย์วศิน
    ��úѭ ���͹ ��Թ �Թ����

    [​IMG][​IMG]
    [​IMG]


    จากคุณ : เฉลิมศักดิ์1
    ---------------------------------------------------------------
    ^ ความคิดเห็นที่ 7


    หมายเหตุบรรทัดสุดท้ายของสมุดบันทึกไม่ควรกล่าวตู่พระสูตรว่าพร่ำเพรื่อเช่นนี้ พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมด้วยเหตุผลอันถึงพร้อมเสมอ ไม่แสดงธรรมโดยไร้ประโยชน์ ไร้สาระ


    แม้พระอรหันต์ที่ถึงที่สุดแห่งทุกข์ ก็ไม่อาจรู้รอบดั่งพระพุทธองค์...จึงมิควรด้นเดาวิจารณ์


    ขอท่านทั้งหลายโปรดพิจารณา...

    จากคุณ : Cathode_tube
    ------------------------------------------------------

    PANTIP.COM : Y11819583 ��������֡��ѧ�ҡ��ҹ �ط�����ѵ� �ҡ �����ɰ� �� []
    ผมไม่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่อง ทิฏฐิของท่านพุทธทาส
    ก็เลยต้องขอร้องเพื่อน ๆ ในพลังจิตนี้ วิเคราะห์ให้ฟังหน่อยครับ
     
  2. LungKO

    LungKO เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    590
    ค่าพลัง:
    +925
    ท่านอาจารย์ทิสาปาโมกข์ ให้ท่านปู่หมอชีวกโกมารภัจจ์ ไปหาว่าต้นไม้ใดไม่มีสรรพคุณยาเลยให้เอามา ฯ ท่านปู่หมอชีวก ไปหาแล้ว ไม่เจอ ก็กลับมามือเปล่า ฯ ท่านอาจารย์กล่าวว่า เธอเรียนจบแล้ว ฯ

    นั่นหมายความว่า ต้นไม้ทุกต้น ต้นหญ้าทุกต้นเป็นยาในตัว (ต่างแต่ว่าจะนำมาใช้ประโยชน์ได้มากน้อย อย่างไรนั่น อีกต่างหาก)

    พระไตรปิฎก เป็นการบันทึก พระพุทธพจน์ โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ
    1.พระวินัย ว่าด้วยเรื่อง ศีล (อธิศีลสิกขา)
    2.พระสุตตันตะ ว่าด่วยเรื่องสัมมาสมาธิ (อธิสมาธิสิกขา) (ว่าด้วยเรื่องการวางตัวในสังคม คือตนเอง และผู้อื่นด้วยคุณธรรม ที่เกื้อกูลแต่สังคมนั้น ๆ )
    3.พระอภิธรรม ว่าด้วยเรื่อง ปัญญา คือรู้เรื่องจิต และสิ่งที่เกิดขึ้นกับจิตแต่ละขณะนั้น ๆ (อธิปัญญาสิกขา)

    ความจริงนั้น คือ พระพุทธองค์ทรงพระปรีชา (ฉลาด) ในการสั่งสอน
    คือพระองค์ทรงทราบ จิต ว่าจิตของแต่บุรุษ หรือสตรี นี้ต้องการอะไร มีปัญหาเรื่องใด คันตรงไหน จะเกาตรงไหน ฯลฯ
    พระองค์ตอบโจทย์ได้ทุกเรื่อง ถ้าต้องการให้พระองค์ทรงช่วยแนะนำทาง
    แต่ผู้นั้นต้องเดินไปเอง จึงจะถึงจุดหมายปลายทาง
    ต้นไม้มีมีราก มีเปลือก มีกระพี้ มีแก่น

    ก็สุดแล้วแต่บุรุษหรือสตรีทั้งหลาย (ทั้ง มนุษย์ เทวดา มาร พรหม ในทั้ง 3 โลก หรือหมู่สัตว์ทั้งหลาย)
    ต้องการอะไร ก็ให้ถือเอาตามต้องการ เมื่อได้สิ่งที่ต้องการแล้ว
    จะกล่าวว่า อย่างอื่นที่ไม่ต้องการไม่มีประโยชน์นั้น ไม่ถูก
    (ยกเว้นพระนิพพานแล้ว ทุกอย่างมีคุณ มีโทษ มีทางแก้ ทั้งนั้น)
    เพราะต้องเข้าใจว่า ลางยา ก็ถูกลางโรค


    ไม่ผิดหรอก เพราะพระองค์ทรงฉลาดในการสอน อย่างยอดเยี่ยมที่สุด
    เมื่อพระอง์เทศน์ก็ทรงกำหนดรู้ใจของผู้ฟัง ว่าคนนี้ กลุ่มนี้เป็นใคร เช่น มนุษย์ เทวดา มาร พรหม มีความต้องการต่างการ ปัญหาก็ต่างกัน จึงมีการกระทำต่างกัน ฯ


    พระองค์จึงทรงเทศนาโปรดตามอัธยาศัยของคนกลุ่มนั้น ๆ แล้ว
    ก็ตอบทรงโจทย์ได้ดีที่สุดในแสนโกฏิจักรวาลนี้


    ท่านหลวงปู่พุทธทาส ท่านคงเห็นว่าไม่ทันสมัย ไม่ทันใจคนสมัยไหม้ (ไหม้ เพราะส่วนใหญ่ใจร้อน)
    อาจมีความเห็นของท่านผู้เขียนครั้งแรกอยู่ในนั้น ท่านหลวงปู่ ฯ อาจไม่ชอบในบางตอน เพราะไม่ถูกอัธยาศัยของท่าน กระมัง
    แต่ตราบใดที่ยังไม่บรรลุธรรมชั้นสูงสุด เราก็ไม่ควรตำหนิใคร ๆ ให้จิต(เรา) เศร้าหมองเลย


    ความจริง ก็ยังเป็นความจริงเสมอไป ความไม่จริงก็คงเป็นความไม่จริงอย่างที่เป็นนั้น
    อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 13 มีนาคม 2012

แชร์หน้านี้

Loading...