ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    911
    ค่าพลัง:
    +4,285

    พระที่จะนำไปให้ชมได้ศึกษากันจะมีดังนี้ครับ


    พระวังหน้า พิมพ์หลวงปู่ทวด



    พระเทพโลกอุดร กรุเนปาล



    พระวังหน้า พิมพ์รูปหล่อหลวงพ่อเงิน
    เนื้อทองดอกบวบ พิมพ์ใหญ่





    พระวังหน้า พิมพ์รูปหล่อหลวงพ่อเงิน
    เนื้อผง



    พระวังหน้า พิมพ์รูปสมมติ
    หลวงพ่อปู่เอี่ยม วัดสะพานสูง







    พระเทพโลกอุดร พิมพ์หลวงปู่ใหญ่
    เนื้อฝังพระธาตุและเกร็ดทอง






    พระวังหน้า พิมพ์เบญจภาคี
    เนื้อทรายทอง ฝ้งพระธาตุ
    ด้านหลังฝังพระปรกใบมะขาม












    พระสมเด็จกรุบางน้ำชน จะนำไปให้ท่านที่ยังไม่เคยได้ศึกษาหรือชมได้ศึกษากันอีกครั้งหนึ่ง


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097


    พระหลวงปู่ทวดสกุลนี้ ผมจะได้นำไปแจกให้ครูที่โรงเรียนที่ผมดูแลอยู่เนื่องในเทศกาลปีใหม่ที่จะถึงนี้ ราว 100 องค์ ยังเหลืออยู่อีกพอสมควร คาดว่าจะนำไปแจกให้ฟรีสำหรับผู้ที่มีลูกเล็กในวันกิจกรรมได้อีก ลักษณะเนื้อหาสวยงามมากเพราะเป็นเนื้อดินกากยายักษ์เก่า โดยเฉพาะพิมพ์เล็ก สำหรับพิมพ์ใหญ่จะมีรัตนชาติไม่ทราบประเภท โรยไว้ที่ด้านหลังพองาม ผู้ที่มีพื้นฐานทางสมาธิแม้เพียงเล็กน้อย ก็สามารถสัมผัสพลังท่านได้ไม่ยาก แสดงให้เห็นถึงพลังกฤติยาคมของบารมีท่าน และผู้ที่เชิญบารมีท่านประจุในองค์พระได้ดีและสมบูรณ์มาก สร้างในสมัย ร.4 จะเป็นรองก็ หลวงปู่ทวดที่สร้างด้วยเนื้อว่านในสมัย ร.2 เท่านั้น พี่ใหญ่ถึงกับบอกว่า จะแจกให้คนไว้คุ้มตัว ต้องแจกพระอย่างนี้ มีเท่าไร ให้เก็บมาให้หมด เพราะไม่ต้องทำอะไรเพิ่มอีก บูชามาจากร้านแบกะดินก็พร้อมใช้และแจกได้เลย...
     
  3. channarong_wo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    408
    ค่าพลัง:
    +1,510
    วันนี้ได้โอนปัจจัยที่ได้รวบรวมใว้ประจำวัน เพื่อร่วมทำบุญประจำเดือน
    เป็นจำนวนและรายละเอียดดังนี้ครับ
    ในนามคุณชาญณวิทย์และครอบครัว 1000 บาท
    เพื่อนๆใน engineering 600 บาท
    ขอโมทนาบุญกับเพื่อนๆ อีกทั้งญาติธรรมทั้งหมดในพลังจิต ด้วยนะครับ
    " ขอสัตว์ทั้งปวงจงเป็นสุข ขอสัตว์ทั้งปวงจงพ้นทุกข์ "
     
  4. พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    เมื่อวานที่ได้คุยกัน แวบหนึ่งได้คิดถึงการชำระหนี้สงฆ์ที่เรานำพระสกุลวังหน้าและพระพิมพ์สกุลอื่นมาแจกให้แก่ผู้ที่ทำบุญในกระทู้ จึงได้คิดว่าไหนๆ ก็ครบ 1ปี ของทุนนิธิฯ แล้ว ควรจะมีการทำพิธีชำระหนี้สงฆ์ให้ถูกต้องเป็นเรื่องเป็นราวให้เบื้องบนท่านรับรู้ด้วย จึงได้นัดแนะกันเตรียมทำพิธีชำระหนี้สงฆ์แทนผู้ที่ได้รับพระทั้งหมด โดยคณะกรรมการทุนนิธิฯ ทุกคน จะได้รีบดำเนินการให้เร็วที่สุดเพื่อความเป็นสิริมงคลของทุนนิธิฯ และทุกคนที่รับพระไป เหมือนกับบังเอิญ จริงๆ เพราะวันนี้ได้เห็นบทความเรื่องการชำระหนี้สงฆ์แทนกันของท่านหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ลองมาอ่านดูกันดีกว่าครับ



    มาอ่าน....หลวงพ่อปาน "ชวน" ชำระหนี้สงฆ์ ์ กัน.....
    <!--Main-->


    ..........ต่อไปจะมาเล่าเรื่องใช้หนี้สงฆ์ให้ฟังเรื่องใช้หนี้สงฆ์น่ะ
    สมัยนี้หาฟังกันยากเหลือเกิน พระขนาดไหนก็ตามไม่ค่อยจะมี
    ใครพูดกัน เทศน์ก็ไม่เคยฟัง ใครพูดให้ฟังก็ไม่เคยฟัง ได้ฟัง อยู่สำนักเดียวคือหลวงพ่อปานเท่านั้น หลวงพ่อปานนี่พูดทุกปี
    ทำทุกปี พอถึง ๑ ปี คือ ขึ้นต้นปีใหม่ เข้าพรรษาใหม่ ๆ
    ท่านประกาศ ขอซื้อของสงฆ์ คำว่าซื้อของสงฆ์นี่ ท่านซื้อไม้ไผ่
    ซื้อผลไม้ ซื้อดอกไม้ที่มีในวัด ในสมัยนั้นค่าของเงินสูง
    ท่านขอซื้อปีละ ๑๐๐ บาท ก็ซื้อไม้ทั้งหมด ซื้อผลไม้ทั้งหมด ซื้อดอกไม้ทั้งหมดปีละ ๑๐๐ บาท

    ..........ในเมื่อพระสงฆ์สาธุ ท่านจะมอบเงินจำนวนนั้น เป็นสมบัติ
    ของสงฆ์ เป็นสิทธิของสงฆ์ ที่จะพึงใช้ จะใช้ได้ต้องเอาเงิน จำนวนนั้น
    ไปใช้ในงานก่อสร้าง หรือ บำรุงสงฆ์ แล้วต่อแต่นั้นไป ท่านชวน พระชำระหนี้สงฆ์ ตัวท่านเองก็ชำระหนี้เหมือนกัน มาว่ากันถึงการซื้อของสงฆ์ก่อน บรรดาลูกหลานทั้งหลาย หาที่ฟังยาก คือว่ามีโอกาสได้ฟังยาก ไอ้เรื่องการซื้อของสงฆ์หรือว่าการชำระหนี้สงฆ์

    ..........เวลานี้ฉันกำลังสร้างกุฏิชำระหนี้สงฆ์อยู่ เพราะรื้อกุฏิของสงฆ์ไป ๒ หลัง ฉันสร้างให้หลังเดียว แต่ว่าคุณค่า มีความคงทนดีกว่า การอยู่อาศัยได้สบายกว่า ๒ หลังที่รื้อไปพระอยู่ได้ ๕ องค์ยังลำบากเพราะห้องแคบ ฉันสร้างให้หลังเดียวเป็นกุฏิตึก อยู่ได้ ๖ องค์แบบสบาย ห้องกว้างกว่า แล้วก็มีศาลาดินเป็นเฉลียงข้างหน้า นั่งพักเล่นสบาย แถมส้วมให้อีก ๔ ห้อง บริเวณทั้งหมดเทพื้นคอนกรีตให้พระเดินสบาย ตั้งน้ำประปาเข้าไว้ให้พระใช้สบาย แสดงว่าฉันทำมามากกว่าของเก่า ดีกว่าของเก่าเป็นการชำระหนี้ ลูกหลานอาจจะสงสัยว่ากุฏิพระ พระรื้อ ทำไมต้องชำระหนี้ ก็ขอบอกว่า ทรัพย์สินที่เขาสร้างไว้ในวัด เขาไม่ได้สร้างให้พระองค์ใดองค์หนึ่ง เขาสร้างถวายพระพุทธเจ้า

    ..........คำว่าของสงฆ์ นี่น่ะ ต้องหมายถึง พระพุทธเจ้าเป็นประธาน
    เป็นของส่วนกลาง ไม่มีใครหรอกที่จะมาถือสิทธิว่าเป็นของฉัน
    จะเป็นสมภารองค์ไหน สมเด็จองค์ไหน เจ้าคณะองค์ไหน
    พระสังฆราชองค์ ไหนก็ตาม จะมาชี้ว่าสมบัติของสงฆ์ที่เป็นของฉัน
    เป็นของส่วนตัว นี่ลงนรกหมด ลุงพุฒิไม่ยอมแน่ ใช่ไหมลุงพุฒิ
    ลุงพุฒิหันมายิ้ม บอกว่า ว่าเสียหลายรายการแล้ว รายการที่มี
    ตำแหน่งใหญ่ ๆ ที่ไม่เคารพสิทธิในสงฆ์นั่นแหละ ว่าเสียหลายรายการ
    แล้ว เอาเสียเยอะ เยอะเพราะเผลอคิดว่าโตแล้วทางนรกจะเว้น

    ..........เรื่องนรกนี่เขาไม่เว้นใครหรอก ลุงพุฒิน่ะแกชอบกับฉันมาก
    สมัยเป็นมนุษย์เรียกว่าเป็นเพื่อนกันเลยก็ได้ แล้วเป็นเกี่ยวพันดองกัน
    เคยล้อเคยเล่นกัน แกยังบอกว่าการเว้นในเรื่องกฎของกรรมนี้ไม่มี
    ถ้าว่าฉันไม่ดี แกก็เข็นเอาลงนรกเหมือนกัน ยังงั้นใช่ไหมลุง แกบอกว่า
    ใช่ นั่นถูกแล้ว เรื่องกฎของกรรมไม่ใช่เรื่องส่วนตัว เรื่องส่วนตัวก็ส่วนตัว
    กฎของกรรมก็กฎของกรรม


    ..........หลวงพ่อปานซื้อของสงฆ์ เพราะของเหล่านี้มันอยู่ในวัด
    ท่านเป็นประมุขของวัด ความจริงเราจะคิดกันอย่างเรา ๆ ก็คิดว่า
    ท่านควรมีสิทธิ์ ท่านจะให้ใครก็ได้ ท่านจะกินจะใช้ยังไงก็ได้
    แต่ทว่าตามพระวินัยแล้วไม่มีสิทธิ์ ของในวัด ถ้าพระองค์ไหนปลูกไว้
    ถึงเขาสึกแล้วก็ตาม เขาตายแล้วก็ตาม ของเหล่านั้นเป็นของสงฆ์

    ..........ถ้าหากว่าเจ้าของยังบวชอยู่ มีอำนาจให้ใครได้ กินเองได้
    ถ้าว่าเขาตาย เขาสึกไปแล้ว พระองค์ใดองค์หนึ่งจะถือเป็นทายาท
    กินใช้เองน่ะไม่ได้ เพราะเป็นของสงฆ์เสียแล้ว เหมือนของหลวง
    เวลาจะกินจะใช้ต้องประชุมสงฆ์กัน สงฆ์ทั้งหมดต้องประชุมอนุมัติ
    ว่าเราจะกินจะใช้ของประเภทนี้ด้วยวิธีการอย่างไร ถ้าหากว่า
    พระองค์ใด องค์หนึ่งก็ตาม เด็กก็ตาม ฆราวาสก็ตาม กรรมการวัด
    ก็เถอะ ไปถือสิทธิ์ว่าฉันเป็นเจ้าหน้าที่ ในวัด จะกินลูกไม้ลูกไหนก็ได้
    จะเด็ดดอกไม้ดอกไหนก็ได้ จะโค่นต้นไม้ต้นไหนก็ได้ ไม้ลำไหนก็ได้
    หน่อไม้หน่อไหนก็ได้ เอามาใช้ เอามากินเป็นส่วนตัว โดยสงฆ์
    ไม่ลงมติอนุมัติ อย่างนี้มีโทษขั้นไหนลุงพุฒิ อเวจีมหานรก
    แกร้องบอกมาว่า อเวจีมหานรก ฟังไว้ให้ดีนะลูกหลานที่รักนะ

    ..........หลวงพ่อปานซื้อ ซื้อแบบไหน ท่านบอกว่า ต้นไม้ก็ดี
    ต้นเล็ก ๆ ไม่ใช่โค่นต้นใหญ่ เช่น ไม้ลำหรือว่าหน่อไม้บางส่วน
    ไม่ใช่ทั้งหมด เป็นส่วนเล็กส่วนน้อย หรือว่าลูกไม้ก็ตาม ดอกไม้ก็ตาม
    ถ้ามีใครจะเด็ดเอาไปดม เอาไปบูชาพระ จะเอาไปกินเอาหน่อไม้ไปกิน
    เป็นบางส่วนหรือลำไม้บ้าง มีคนมาลักไม้บ่อย ๆ ที่หลังวัด เขาเคย
    มาตัด ลำไม้บ่อย ๆ สมัยนั้นมีกอไผ่มาก ท่านบอกว่า ส่วนเล็กน้อย
    ประเภทนี้ฉันขอซื้อ ขอซื้อสงฆ์ด้วยจำนวน ๑๐๐ บาท เพื่อเป็นการ
    ป้องกันโทษ ของบุคคลผู้รู้เท่าไม่ถึงการณ์ พระสงฆ์ก็สาธุ

    ..........เป็นอันว่า เด็กก็ดี ผู้ใหญ่ก็ดี ที่ได้กินมะม่วงบ้าง ฝรั่งบ้าง
    ผลไม้ที่มีอยู่เยอะ ใครอยากกินอะไรก็เอามากินได้ตามชอบใจ
    เพราะหลวงพ่อปานท่านซื้อแล้ว พอท่านซื้อท่านก็ให้สิทธิ์ ท่านอนุญาต
    ว่าพวกเธอน่ะ อยากจะฉันมะม่วง อยากจะฉันฝรั่ง อยากจะฉันอะไรก็ตาม
    นิมนต์ตามสบาย ฉันซื้อแล้ว ฉันซื้อสงฆ์แล้ว นี่ท่านซื้อเพื่อกันพวกฉันนะ
    กันพวกเด็ก ๆ หรือว่ากันคนอื่นเลว

    ..........เรื่องชำระหนี้สงฆ์ ถึงวันเข้าพรรษา คนทำบุญมาก ท่านก็ประกาศ
    แก่คนทุกคนว่าใครจะ ชำระหนี้สงฆ์ บ้าง ของสงฆ์ตกอยู่ที่ไหน
    เรียกว่าตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ อย่างวัดร้างที่ปรากฏว่าเป็นดินเปล่า ไม่มีฐานะแสดงว่าเป็นวัดก็มี หรือบางแห่ง แสดงฐานะว่าเป็นวัด
    แต่อยู่ในป่า ในดงก็ตาม หรือวัดที่มีพระก็ตาม เราจะไปนำสิ่งของอะไรมา
    ก็ตามในเขตนั้น จะเป็นต้นหญ้าสักต้น ไม้หักสักอันก็ตาม เขาถือว่าของ
    เหล่านั้น เป็นของสงฆ์ หรือ ว่าถ้าใครยึด แผ่นดินของสงฆ์ เอาเป็น
    สมบัติส่วนตัวละก็ ซวยขนาดหนัก แบบนี้มี ผู้เรืองอำนาจรุกราน สงฆ์
    เคยตกนรกขั้นขุมที่ ๗ มาแล้ว ขุมนี้หนักมาก รองจากอเวจีมหานรก
    เพราะอะไร เพราะบุกรุกที่ดินของวัด แต่ว่าวัดก็เป็นวัดร้าง
    ไม่รู้ว่าเป็นวัดร้างแค่นี้นา

    ..........แค่นี้ตกนรกขุมที่ ๗ ไม่มีเจตนาโกง ซื้อต่อจากคนอื่นเขา แต่เขาก็ไม่ให้อภัย เรื่องนี้เป็นของยากนะ จะถือว่ามันไม่ผิดกฎหมาย ผิดอะไรฉันไม่รู้หรอก สำนักพญายมเขาไม่เกี่ยวนะ กฎหมาย
    กฎระเบียบอะไรที่ ชาวโลกมีกิเลส สร้างขึ้นน่ะ เขาไม่เกี่ยว
    ท่านก็บอกว่าคนเราทั้งหมดนี่นะจะรู้ได้ยังไง ไม้ลอยมาหน้าบ้าน
    เราเห็นว่าไม่มีเจ้าของเอาเข้ามาทำฟืน
    แต่ถ้าไม้ นั้นมันมาจากวัด ก็เป็นไม้ของสงฆ์ ไปเอาเข้ามันก็บาป
    ต้นหญ้าต้นฟางที่มันอยู่กลางทุ่ง สถานที่นั้นอาจจะเคยเป็นวัดมา
    ก่อนก็ได้ เขาเคยถวายเป็นของสงฆ์ แต่ว่าสภาพของวัดมันสูญไป
    ของที่อยู่ในนั้นทั้งหมดแม้แต่แผ่นดินก็ยังเป็นของสงฆ์
    เราไปเอาต้นหญ้ามาต้นเดียวก็บาป แล้วโทษเอาของสงฆ์หนักมาก
    เรียกว่าขั้นอเวจีขั้นเดียว มีระดับเดียว ระดับอื่นไม่มี

    ..........แล้วท่านก็ชวนชาวบ้านชำระหนี้สงฆ์ ว่าใครจะชำระหนี้สงฆ
    ์บ้าง ด้วยจำนวนเท่าไร เท่าไรก็ตามเอามารวมกันแล้วประกาศต่อหน้า
    สงฆ์ ขอชำระหนี้สงฆ์ คือ วัดร้าง ที่ปรากฏ มีเป็นวัดก็ตาม
    หรือไม่ปรากฏเป็นวัดก็ตาม วัดที่มีพระก็ตามวัดไหนก็ได้
    ทำไปโดยเจตนาว่ารู้ว่าเป็นของสงฆ์ก็ตาม ไม่รู้ก็ตาม
    แต่สิ่งเหล่านั้นย่อมไม่ทราบค่าราคาของ คือว่าเป็นของเล็กน้อย
    ข้าพเจ้าทั้งหลายชำระหนี้สงฆ์ด้วยจำนวนเงินเท่านี้
    ถ้าพระสงฆ์ทั้งหลายเห็นสมควรก็ขอให้สาธุขึ้นให้พร้อมกัน
    ถ้าพระสงฆ์ทั้งหลายไม่เห็นสมควรก็ขอให้นิ่งอยู่
    ถ้าพระทั้งหมดสาธุพร้อมกันเป็นอันว่าใช้ได้ ชำระกันแบบนี้ทุกปี
    ท่านบอกว่าค่อย ๆ ทำไป เรื่องนี้มันเป็นเรื่องหนัก
    เพราะว่าเรื่องสงฆ์นี่นะลำบากมาก


    http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=vikings&month=04-2008&date=29&group=26&gblog=30
     
  5. พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097


    โลกกับธรรมสัมพันธ์
    โดย พระนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาจารย์
    (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี)


    วัดหินหมากเป้ง
    ต.พระพุทธบาท อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย



    คำนำ

    หนังสือเล่มเล็กๆ ที่ท่านอ่านอยู่นี้เป็นผลของมือบอนที่ผู้เขียนไม่อยู่เปล่า ได้เขียนไว้นานหลายปีแล้ว เวลานี้ผู้เขียนแก่ชราภาพ เขียนแลพูดไม่ค่อยสะดวก สานุศิษย์คิดจะรวบรวมของเก่าๆ ที่ผู้เขียนได้เขียนไว้มารวบรวมให้เป็นเล่ม เพื่ออนุชนรุ่นหลังจะได้ศึกษาแลปฏิบัติตาม

    สังขารร่างกายแก่ชราภาพย่อมเสื่อมคุณภาพทำงานอะไรไม่ค่อยได้ แต่ธรรมยิ่งแก่ก็ยิ่งมีคุณภาพดี ธรรมย่อมไม่ถึงซึ่งแก่ชราภาพ


    พระนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาจารย์
    วัดหินหมากเป้ง
    ๑๘ ธันวาคม ๒๕๒๙


    http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=6934
     
  6. พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    <TABLE cellSpacing=20 width="85%" border=0><TBODY><TR><TD class=postbody vAlign=top>


    ธรรมเพื่อความสวัสดี

    พ ร ะ ร า ช นิ พ น ธ์ เ พื่ อ ค ว า ม ส วั ส ดี แ ห่ ง ชี วิ ต
    แ ล ะ พ ร ะ ค ติ ธ ร ร ม เ พื่ อ เ ป็ น แ ส ง ส่ อ ง ใ จ

    สมเด็จพระญาณสังวร
    สมเด็จพระสังฆราช สกลสังฆปริณายก



    พระคติธรรม

    อันธรรมที่พระพุทธองค์ทรงประกาศมีมากมายพ้นประมาณและทั้งหมดเป็นเครื่องดับทุกข์ได้จริง ตั้งแต่ทุกข์เล็กน้อย จนถึงทุกข์ใหญ่ยิ่ง ดับได้บ้างชั่วครั้งชั่วคราว ได้มีความสุขบ้าง ทุกข์บ้าง จนถึงดับทุกข์ได้ตลอดสายสิ้นเชิงตลอดไปนิรันดร

    ความสำคัญอยู่ที่ต้องรับปฏิบัติตามที่ทรงสอน ปฏิบัติได้จริงเพียงไร ก็จะได้รับผลจริงเพียงนั้น พระพุทธศาสนาเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งจริงแท้ สำหรับผู้ปรารถนาดับทุกข์และพ้นทุกข์อย่างสิ้นเชิง และพระพุทธศาสนามุ่งจิตใจเป็นสำคัญ มุ่งให้รักษาจิตใจให้ผ่องใส

    หัวใจพระพุทธศาสนา ๓ ประการมีดังนี้

    ๑. ความไม่ทำชั่วทั้งหมด
    ๒. ความทำดีให้ถึงพร้อม
    ๓. ความรักษาใจให้ผ่องใส

    ความไม่ทำชั่วทั้งปวงและความทำดีทั้งหหมด นั้นคือทางสะดวกไปสู่การปฏิบัติรักษาใจให้ผ่องใส

    สมเด็จพระญาณสังวร
    สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
    </TD></TR><TR><TD> </TD></TR><TR><TD class=postdetails vAlign=bottom height=40>
    _________________
    ทุกข์ใดดับได้ด้วยปัญญา ทุกข์นั้นจะไม่เกิดอีก</TD></TR></TBODY></TABLE>
    http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=11142
     
  7. พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097


    ศึ ก ษ า ใ ห้ ร อ บ
    พระโพธิญาณเถร (ชา สุภทฺโท)

    มีดเล่มนี้วางอยู่นี่
    มันมีทั้งคมมัน มันมีทั้งสันมัน นั่นนะ
    มันมีทั้งด้ามมันทุกอย่าง

    เราจึงยกมีดมันขึ้นมา
    จะเอาแต่คมมันขึ้นมาได้ไหม
    จะจับมีดเล่มมนี้ขึ้นมาแต่สันได้ไหม
    เอาแต่ด้ามมันได้ไหม

    ด้ามมันก็ด้ามมีด สันก็สันมีด คมก็คมของมีด
    เมื่อเราจับมีดเล่มนี้ขึ้นมา
    มันก็เอาด้ามขึ้นมาด้วย
    เอาสันขึ้นมาด้วย เอาคมมันขึ้นมาด้วย
    มันจะแบ่งแต่คมมันได้ไหม

    อย่างนี้ เป็นตัวอย่างอย่างนี้

    เราจะไปยกแต่สิ่งที่มันดี ชั่วมันก็ติดขึ้นไปด้วย
    เพราะเราหาสิ่งที่ในดี สิ่งที่มันชั่วเราจะทิ้งมัน
    เราไม่ได้ศึกษาว่ามีสิ่งที่ไม่ดีๆ ไม่ชั่ว
    ไม่ศึกษา มันอยู่ตรงนั้น


    อย่างนั้นมันก็ไม่จบ เอาดีไป ชั่วก็ตาม
    มันก็ตามอยู่อย่างนี้
    ถ้าเราเอาสุข ทุกข์ก็ตาม มันติดต่อกันอยู่




    ที่มา : จากเทปพระธรรมเทศนาของหลวงปู่ชา ม้วนที่ ๖
    ใน
     
  8. พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    <TABLE class=attachtable cellSpacing=0 cellPadding=2 width="95%" align=center border=0><TBODY><TR><TD align=middle colSpan=2>


    </TD></TR></TBODY></TABLE>น้ำมันกับน้ำ
    พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภัทโท)

    น้ำมันกับน้ำท่ามันต่างกัน
    เหมือนกับคนฉลาดก็ต่างกับคนโง่

    พระพุทธเจ้าก็ทรงอยู่กับ เสียง รูป กลิ่น รส โผฏะฐัพพะ ธรรมารมณ์
    แต่พระองค์ทรงเป็นพระอรหันต์
    พระองค์จึงทรงเห็นสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงสิ่ง "สักว่า" เท่านั้น
    พระองค์ทรงปล่อยวางมันไปเรื่อย
    ตั้งแต่ทรงเข้าพระทัยแล้วว่า

    ใจก็สักว่าใจ
    ความคิดก็สักว่าความคิด


    พระองค์ไม่ทรงเอามันมาปนกัน

    ถ้าคิดได้รู้สึกได้อย่างนี้
    เราก็จะแยกมันได้

    ความคิด ความรู้สึก อยู่ทางหนึ่ง
    ใจก็อยู่อีกทางหนึ่ง


    เหมือนกับน้ำมันกับน้ำท่าที่อยู่ในขวดเดียวกัน
    แต่มันแยกกันอยู่




    (ที่มา : เหมือนกับใจคล้ายกับจิต : รวบรวมคำอุปมาของ
    พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภัทโท), หน้า ๖๐)
     
  9. พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097


    ความแตกต่างระหว่าง
     
  10. aries2947 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    2,031
    ค่าพลัง:
    +11,622
    ผมร่วมทำบุญประจำเดือนนี้ด้วยครับ
    200 บาท โอนเย็นนี้ครับ
    โมทนาบุญด้วยครับ
    เอ
     
  11. katicat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,112
    ค่าพลัง:
    +524
    คติธรรม 18 พระอาจารย์



    <HR>


    ๑. หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล

    วิปัสสนานี้ มีผลอานิสงส์ใหญ่ยิ่งกว่าทาน ศีล พรหมวิหารภาวนา ย่อมทำให้ผู้เจริญนั้นมีสติไม่หลงเมื่อทำกาลกิริยา มีสุคติภพ คือ มนุษย์และโลกสวรรค์เป็นไปในเบื้องหน้า หากยังไม่บรรลุผลทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน ถ้าอุปนิสัยมรรคผลมี ก็ย่อมทำให้ผู้นั้นบรรลุมรรคผล ทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพานได้ในชาตินี้นั่นเทียว

    อนึ่ง ยากนักที่จะได้เกิดเป็นมนุษย์ เพราะต้องตั้งอยู่ในธรรมของมนุษย์ คือ ศีล ๕ และกุศลกรรมบท ๑๐ จึงจะได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ชีวิตที่เป็นมานี้ ก็ได้ด้วยยากยิ่งนักเพราะอันตรายชีวิตทั้งภายใน ภายนอกมีมากต่างๆ การที่ได้ฟังธรรมของสัตตบุรุษคือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ก็ได้ยากยิ่งนัก เพราะกาลที่ว่างเปล่าอยู่ ไม่มีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นในโลกยืดยาวนานนัก บางคาบ บางสมัย จึงจะมีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นในโลกสักครั้งสักคราวหนึ่ง เหตุนั้นเราทั้งหลายพึงอยู่ด้วยความไม่ประมาทเถิด อย่าให้เสียทีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนานี้เลย



    ๒. หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต

    การบำรุงรักษาสิ่งใดๆ ในโลก...การบำรุงรักษาตนคือ ใจเป็นเยี่ยม จุดที่เยี่ยมยอดของโลกคือ ใจ ควรบำรุงรักษาด้วยดี

    ไม่ว่าธรรมส่วนใด ถ้าสำคัญ ...ตน...ว่าเสวยเป็นอันผิดทั้งนั้น

    ติดดี นี่แก้ยากกว่าติดชั่วเสียอีก



    ๓. หลวงปู่ดูลย์ อตุโล

    ส่วนธรรมะ ให้ดูที่จิตของตัวเอง ปฏิบัติที่จิต เมื่อเข้าใจจิตแล้ว อย่างอื่นก็เข้าใจเอง หลักธรรมที่แท้จริงนั้นคือ จิต ให้กำหนดดูจิต ให้เข้าใจจิตตัวเองสึกซึ้งแล้ว นั่นแหละได้แล้วซึ่งหลักธรรม

    ถึงจิตไม่สงบก็ไม่ควรให้มันออกไปไกลใช้สติระลึกไปแต่ในภายในกายนี้ ดูให้เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อสุภสัญญา หาสาระ แก่นสารไม่ได้ เมื่อจิตมองเห็นชัดแล้ว จิตก็เกิดความสลดสังเวช เกิดนิพพิทา ความหน่ายคลายกำหนัด ย่อมตัดอุปาทานขันธ์ได้เช่นเดียวกัน

    การศึกษาธรรมด้วยการอ่านการฟัง สิ่งที่ได้ก็คือ สัญญา (ความจำได้) การศึกษาธรรมด้วยการลงมือปฏิบัติ สิ่งที่เป็นผลของการปฏิบัติคือ ภูมิธรรม

    การปฏิบัติ ให้มุ่งปฏิบัติเพื่อสำรวม เพื่อความละ เพื่อความคลายกำหนัดยินดี เพื่อความดับทุกข์ ไม่ใช่เพื่อเห็นสวรรค์วิมาน หรือแม้พระนิพพานก็ไม่ต้องตั้งเป้าหมายเพื่อจะเห็นทั้งนั้น ให้ปฏิบัติไปเรื่อยๆ ไม่ต้องอยากเห็นอะไร เพราะนิพพานมันเป็นของว่าง ไม่มีตัวตน หาที่ตั้งไม่มี หาที่เปรียบไม่ได้ ปฏิบัติไปจึงจะรู้เอง

    ผู้ที่ปฏิบัติที่แท้จริงนั้น ไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงชาติหน้าชาติหลัง หรือนรก สวรรค์อะไรก็ได้ ให้ตั้งใจปฏิบัติให้ตรงศีล สมาธิ ปัญญา อย่างแน่วแน่ก็พอ ถ้าสวรรค์มีจริงถึง ๑๖ ชั้นตามมตำรา ผู้ปฏิบัติดีแล้วย่อมได้เลื่อนฐานะของตนโดยลำดับ หรือถ้าสวรรค์นิพพานไม่มีเลย ผู้ปฏิบัติดีแล้วในขณะนี้ก็ย่อมไม่ไร้ประโยชน์ ย่อมอยู่เป็นสุข เป็นมนุษย์ชั้นเลิศ




    ๔. หลวงปู่เทสก์ เทสฺรํสี

    ตามกระแสพระธรรมเทศนาของสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า
    ทุกข์เป็นของไม่ควรละ แต่เป็นของควรต่อสู้ ความทะยานอยากได้สุขหรือไม่อยากให้มีทุกข์ต่างหาก เป็นของควรละ ผู้ที่จะพ้นจากทุกข์ได้ในโลกนี้ ก็ล้วนแล้วแต่ยกทุกข์ขึ้นมาเป็นเหตุทั้งนั้น

    ทุกข์กับความเพียรเท่านั้นที่มีค่ามากในโลกนี้ หากไม่มีทุกข์กับความเพียรเสียแล้ว ใครๆ ในโลกนี้ จะไม่ทำความดีเพื่อพ้นทุกข์ในโลกนี้และโลกหน้า ตลอดถึงพระนิพพาน

    แท้จริงความนึกคิดไม่ใช่ทุกข์ แต่การไปยึดความนึกคิดมาเป็นของตน จึงเป็นทุกข์

    หลักอนัตตา ในทางพระพุทธศาสนาที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ด้วยปัญญาอันชอบ พระองค์มิได้ตรัสว่าอนัตตาเป็นของไม่มีตนไมมีตัว เป็นของว่างเปล่า พระองค์ตรัสว่า ตนตัวคือ ร่างกายของคนเรา อันได้แก่ขันธ์ทั้ง ๕ นี้ มันมีอยู่แล้ว แต่จะหาสิ่งเป็นสาระในขันธ์ ๕ นั้นไม่มี ดังนี้ต่างหาก

    การเห็นความฟุ้งซ่านของจิตนั้นคือ ...ปัญญาชั้นต้น...

    คนใดว่าตนดี คนนั้นยังไม่ดี ใครว่าตนวิเศษวิโส หรือฉลาดเฉียบแหลม คนนั้นคือ คนโง่



    ๕. หลวงปู่ขาว อนาลโย

    สติเป็นแก่นของธรรม แก่นของธรรมแท้อยู่ที่สติ ให้พากัน หัดทำให้ดี ครั้นมีสติแก่กล้าดีแล้ว ทำก็ไม่พลาด คิดก็ไม่พลาด กุศลธรรมทั้งหลายจะเกิดขึ้น เมื่อบุคคลอยู่กับสติแล้ว สติเป็นใหญ่ สติมีกำลังดีแล้ว จิตมันรวม เพราะสติคุ้มครองจิต




    ๖. หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ

    เวลากิเลสมันเกิดขึ้น เกิดขึ้นทางกาย เกิดขึ้นทางวาจา เกิดขึ้นทางใจ รู้ทันมันเดี๋ยวนี้ มันก็ดับไปเดี๋ยวนี้แหละ

    ตัวสติมันปกครองอยู่เสมอ ถ้ามีสติอยู่ทุกเมื่อ มันบ่ได้คุบมันหละ ครั้นเกิดขึ้น รู้ทันมันก็ดับ รู้ทันก็ดับ รู้ทันก็ดับ คิดผิดก็ดับ คิดถูกก็ดับ พอไจไม่พอไจก็ดับลงทันทีที่ตัวสติ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  12. katicat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,112
    ค่าพลัง:
    +524


    ๗. ท่านพ่อลี ธมฺมธโร

    เมื่อมนุษย์เป็นคนไม่ดี แม้วัตถุเหล่านั้นจะเป็นของดีก็ตาม มันจะกลับกลายเป็นโทษแก่ปวงชนได้เหมือนกัน

    ถ้ามนุษย์มีธรรมประจำใจ สิ่งทั้งหลายที่ให้โทษก็จะกลายเป็นประโยชน์

    พวกเราทั้งหลายไม่มีความสัตย์ความจริงต่อดัวเอง จึงมิได้ประสบสุขอันแท้จริงเหมือนอย่างพระพุทธองค์ เราบอกกับตัวเองว่า อยากได้ความสุข แต่เราก็โดดเข้าไปสู่กองไฟร้อน เรารู้ว่าสิ่งนั้นๆ เป็นยาพิษ แต่เราก็ดื่มมันเข้าไป นี่แหละเป็นการทรยศต่อตัวเอง



    ๘. ท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต

    คำว่า ...ไม่สบายใจ... อย่าใช้ และอย่าให้มีขึ้นในใจต่อไป ...Let it go, and get it out !... ก่อนมันจะเกิด ต้อง ...Let it go...ปล่อยให้มันผ่านไป อย่ารับเอาความไม่สบายใจไว้

    ที่จะทำอะไรไม่ผิดนั้น ข้อสำคัญอยู่ที่สติถ้ามีสติคุ้มครองกาย วาจา ใจ อยู่ทุกขณะ จะทำอะไรไม่ผิดพลาดเลย ที่ผิดพลาดเพราะขาดสติคือ เผลอ เหม่อ เลินเล่อ ประมาท ระเริง หลงลืมจึงผิดพลาด จงนึกถึงคติพจน์ว่า ...กุมสติต่างโล่ป้อง อาจแกล้วกลางสนาม...

    ต้องฝึกหัดแก้ไขปรับปรุงจิตใจเสียใหม่ทั้งก่อนที่จะทำอะไร หรือกำลังกระทำอยู่ และเมื่อเวลากระทำเสร็จแล้ว ต้องหัดให้จิตใจ แช่มชื่นรื่นเริง เกิดปีติปราโมทย์ เป็นสุขสบายอยู่เสมอเป็นเหตุให้เกิดกำลังกาย กำลังใจ ...Enjoy living...มีชีวิตอยู่ด้วยความเบิกบาน สมองจึงจะเบิกบาน จะศึกษาเล่าเรียนก็เข้าใจง่ายเหมือนดอกไม่ที่แย้มบานต้องรับหยาดน้ำค้าง และอากาศอันบริสุทธิ์ฉะนั้น

    ...จงเลือกทำแต่กรรมที่ดีๆ นะ...เป็นคำแทนคำอวยพรอย่างสูงสุด ประกอบด้วยเหตุผล เมื่อทำกรรมดีแล้ว ไม่ให้พรก็ต้องดี เมื่อทำชั่วแล้ว จะมาเสกสรรปั้นแต่งอวยพรอย่างไร ก็ดีไม่ได้ ทำชั่วเหมือนก้อนหินจะต้องจมทันที ไม่มีผู้วิเศษใดๆ จะเสกเป่าอวยพร ขอร้องให้หินลอยขึ้นมาได้ ทำกรรมชั่วต้องล่นจมป่น???เสียราศีเกียรติคุณชื่อเสียง เหมือนก้อนหินหนักจมลงไปอยู่กับโคลนใต้น้ำ




    ๙. หลวงปู่ฝั้น อาจาโร


    เราเป็นผู้ก่อกรรม ก่อเวร ก่อภัย ไม่มีใครก่อให้ ไม่ใช่เทวบุตร เทวธิดาสร้างให้ พี่น้องสร้างให้ บิดามารดาสร้างให้ เราสร้างเอง




    ๑๐. หลวงปู่คำดี ปภาโส


    ความจริงจิตใจของเราเองเป็นตัวก่อทุกข์ สังเกตได้จากพระอรหันตสาวกทั้งหลาย เมื่อท่านมีความรู้ มีปัญญาคุ้มครองรักษาใจท่านดีแล้ว ท่านก็ไม่มีทุกข์ เพราะท่านไม่ปรารถนาในสิ่งต่างๆ เมื่อเราประสบกับรูป กลิ่น เสียง หรืออื่นๆ ก็เพราะใจเรามีตัณหา ปรารถนา ทะเยอทะยาน ยินดียินร้ายในสิ่งเหล่านั้น ทำให้เราเป็นทุกข์

    ไม่ใช่ว่ารูป รส กลิ่น เสียง โผฏฐัพพะ หรือสิ่งอื่นๆ ที่จะได้มาเผาเราให้ร้อนเป็นทุกข์ ตัวของเราเองที่เป็นไฟมาคอยเผาตัวเอง

    การภาวนา ท่านต้องการให้เราปราบกิเลสของเราเท่านั้น คือเห็นความโลภ เห็นความโกรธของตน เห็นความหลงของตน เห็นราคะตัณหาของตน เห็นมานะทิฏฐิของตน

    นี่แหละ บรรดาสิ่งสมมติที่เราไปยึดถือว่าเป็นกรรมสิทธิ์ของเรานั้น ก็จะได้เพียงชีวิตหนึ่งๆ เท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นสามีภรรยา หรือสมบัติต่างๆ เมื่อเราตายไปแล้ว เราจะยึดถือเป็นกรรมสิทธิ์ของเราอีกไม่ได้ เราจะเอาสิ่งต่างๆ เหล่านั้นติดตามไปสวรรค์ นรก หรือที่ไหนๆ ก็ไม่ได้ ตรงกับคำว่า ...สมบัติของโลก ก็ต้องอยู่ในโลก...




    ๑๑. หลวงพ่อดู่ พฺรหฺมปญฺโญ

    ...โลกเท่าแผ่นดิน ธรรมเท่าปลายเข็ม...
    เรื่องโลกมีแต่เรื่องยุ่งของคนอื่นทั้งนั้น ไม่มีที่สิ้นสุด เราไปแก้ไขเขาไม่ได้

    ส่วนเรื่องธรรมนั้นมีที่สุด มาจบที่ตัวเรา ให้มาไล่ดูตัวเองแก้ไขตัวเราเอง ตนของตนเตือนตนด้วยตนเอง

    ถ้าเป็นโลกแล้ว จะมีแต่ส่งออกไปข้างนอกตลอดเวลา แต่ถ้าคิดสิ่งที่เป็นธรรมแล้ว ต้องวกกลับเข้ามาหาตัวเอง เพราะธรรมแท้ๆ ย่อมเกิดในตัวของเรานี่ทั้งนั้น

    รอให้แก่เฒ่าหรือจวนตัวแล้วจึงสนใจภาวนา ก็เหมือนคนหัดว่ายน้ำเอาตอนเรือหรือแพใกล้แตก มันจะไม่ทันการณ์



    ๑๒. หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร

    เมื่อสิ่งที่ไม่เที่ยงนั้นแหละมาถึงบุคคลใด บุคคลนั้นจะต้องรู้เท่าทัน อย่าไปยึดเอาถือเอา เมื่อไปยึดสิ่งได ถือสิ่งไดสิ่งนั้นไม่เป็นไปตามใจหวัง ก็เกิดความทุกข์ขึ้นมา ถ้าไม่ยึดเอาถือเอา เห็นว่า ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีความไม่เที่ยงอย่างนี้ มีความเกิดขึ้น ตั้งอยู่แล้วดับไป เกิดขึ้นใหม่ ตั้งอยู่ ก็ดับไป เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เป็นอยู่อย่างนี้ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าคน สัตว์ วัตถุธาตุทั้งหลาย มีความไม่เที่ยงแท้แน่นอนอย่างนี้

    วันเวลาที่หมดไปสิ้นไป โดยไม่ได้ทำอะไรที่เป็นคุณประโยชน์แก่ตัวเองบ้างในชีวิตที่เกิดมาในโลก และได้พบพระพุทธศาสนานี้ช่างเป็นชีวิตที่น่าเสียดายยิ่งนัก เวลาแม้เพียงหนึ่งนาทีที่ผ่านไปนั้น แม้ว่าจะทุ่มเงินจำนวนมหาศาลสักสิบล้าน ร้อยล้านบาท ก็ไม่สามารถซื้อกลับคืนมาได้ ฉะนั้น สิ่งที่น่าเสียดายในโลกนี้ จะมีอะไรน่าเสียดายเท่ากับปล่อยวันเวลาผ่านเลยไปโดยเปล่าประโยชน์ แม้ว่าจะเพียงแค่นาทีเดียว

    ...มรณกรรมฐาน... นี้เป็นยอดกรรมฐานก็ว่าได้ คนเราเมื่ออาศัยความประมาทมัวเมา ไม่ได้มองเห็นภัยอันตรายจะมาถึงตน คิดเอาเอง หมายเอาเองว่า เราคงไม่เป็นอะไรง่ายๆ เราสบายดีอยู่เรายังเด็กยังหนุ่มอยู่ ความตายคงไม่กล้ำกรายได้ง่าย อันนี้เป็นความประมาทมัวเมา



     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  13. katicat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,112
    ค่าพลัง:
    +524


    ๑๓. ท่านอาจารย์พระมหาบัว ญาณสมฺปนฺโน

    ธัมมะท่านสอนให้ดูตัวเอง ระวังตัวเอง จะได้เห็นความบกพร่องของตัวเอง แล้วแก้ไขตัวเองไปเรื่อยๆ จนสมบูรณ์ได้




    ๑๔. ท่านพ่อเฟื่อง โชติโก

    ก่อนที่จะพูดอะไร ให้ถามตัวเองว่าที่จะพูดนี้จำเป็นหรือเปล่า ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าพูด นี่เป็นขั้นต้นของการอบรมใจ เพราะถ้าเราควบคุมปากตัวเองไม่ได้ เราจะควบคุมใจได้อย่างไร

    ไปกี่วัดกี่วัด รวมแล้วก็วัดเดียวนั่นหละคือ วัดตัวเรา

    จิตเปรียบเหมือนพระราชา อารมณ์ทั้งหลายเปรียบเหมือนเสนา เราอย่าเป็นพระราชาที่หูเบา

    มัวแต่นึกถึงวันเกิด ให้นึกถึงวันตายเสียบ้าง

    ของดีจริงไม่ต้องโฆษณา คนชอบขายความดีตัวเอง ที่จริงขายความโง่ของตัวเองมากกว่า คมให้มีในฝัก ให้ถึงเวลาที่จะต้องใช้จริงๆ จึงค่อยชักออกมา จะได้ไม่เสียคม

    สักวันหนึ่งความตายจะมาถึงเรา มาบีบบังคับให้เราปล่อยทุกสิ่งทุกอย่าง ฉะนั้น เราต้องหัดปล่อยวางล่วงหน้าให้มันเคย ไม่อย่างนั้น พอถึงเวลาไปจะลำบาก

    เวลาเราทำงานอะไรอยู่ ถ้าเราสังเกตว่าใจเราเสีย ก็ให้หยุดทันที แล้วกลับมาดูใจของตนเอง เราต้องรักษาใจของเราไว้เป็นงานอันดับแรก

    คนอื่นเขาด่าเรา เขาก็ลืมไป แต่เราไปเก็บมาคิด เหมือนเขาคายเศษอาหารทิ้งไปแล้ว เราไปเก็บมากิน แล้วจะว่าใครโง่




    ๑๕. หลวงพ่อชา สุภทฺโท

    ผู้ไปยึดอารมณ์จะเป็นทุกข์ เพราะอารมณ์มันไม่เที่ยง

    ดูซิ...เราข้ามกันไปหมด พากันทำบุญ แต่ว่าไม่พากันละบาป ผ้าสกปรกไม่ฟอก แต่อยากจะรับน้ำย้อมนะ

    ที่เรามาปฏิบัติกันอยู่ทุกวันนี้ ก็เพื่อให้เห็นจิตเดิม เราคิดว่าจิตเป็นสุขจิตเป็นทุกข์ แต่ความจริงจิตไม่ได้สร้างสุขสร้างทุกข์ อารมณ์มาหลอกลวงต่างหาก มันจึงหลงอารมณ์ ฉะนั้น เราจึงต้องมาฝึกจิตใจให้ฉลาดขึ้น ให้รู้จักอารมณ์ ไม่ให้เป็นไปตามอารมณ์ จิตก็สงบ

    การทำจิตใจของเราให้มีกำลัง กับการทำกายของเราให้มีกำลัง มันต่างกัน การทำกายให้มีกำลังก็คือ การออกกำลังกายทำกายบริหาร มีการกระโดด การวิ่ง นี่คือการทำกายให้มีกำลัง การทำจิตใจให้มีกำลังก็คือ ทำจิตให้สงบ ไม่ใช่ทำจิตให้คิดนั่น คิดนี่ไปต่างๆ ให้อยู่ในขอบเขตของมัน เพราะว่าจิตของเรานั้นไม่เคยได้สงบ ไม่เคยมีกำลัง มันจึงไม่มีกำลังทางด้านสมาธิภายใน





    ๑๖. หลวงปู่หล้า เขมปตฺโต

    มองตัวเองให้มากจึงจะกลายเป็นคนดีได้ มัวแต่มองท่านผู้อื่นแล้วไซร้ ก็กลายเป็นคนพาลไป ไม่รู้ตัว เพราะนิสัยคนพาลย่อมเพ่งโทษผู้อื่นเป็นวัตร โบราณท่านกล่าวว่า อุจจาระของตนนั่งดมอยู่ก็พอดม อุจจาระท่านผู้อื่นเล่า มากระทบจมูกเข้าก็เกิดเป็นพิษเป็นภัยขึ้น (โลกทั้งปวงย่อมเป็นแบบนี้เป็นส่วนมาก)

    ถ้าหากโลกทั้งปวงหนักไปทางสอนตนเองเป็นชั้นหนึ่ง และเป็นของจำเป็นมากกว่าสิ่งใดๆ แล้ว การโต้เถียงเกี่ยงงอนรังเกียจเบียดสีกัน ก็คงสงบไปในตัวเท่าที่ควร และพุทธศาสนาก็ยืนยันว่า ...สอนตนดีแล้ว จึงสอนท่านผู้อื่น...จึงไม่เดือดร้อนในภายหลัง

    เรื่องอุปสรรคในโลกทั้งปวง และก็เป็นยาวิเศษทั้งปวงไปในตัว เป็นเหตุให้เข็ดหลาบโลกทั้งปวงไปในตัว แบบถี่ถ้วนแยบคายด้วยซ้ำ

    มุ่งดีในโลกีย์เป็นทางวนเวียน มุ่งดีในทางโลกุตตระเป็นทางพ้นทุกข์




    ๑๗. พระอาจารย์บุญกู้ อนุวฑฺฒโน

    เราไปเข้าโรงเรียน เพียรศึกษาวิชาการ แล้วมุ่งทำงานอาชีพ เราย่อมได้เงินทองเพื่อมาเลี้ยงร่างกาย เราเข้าวัดเพียรศึกษาธรรมะ แล้วมุ่งทำบุญกุศล เราย่อมเสียเงินทองเพื่อเลี้ยงจิตใจ ผู้ใดมุ่งเลี้ยงแต่ร่างกาย หรือบำรุงแต่จิตใจเพียงอย่างเดียว ความเจริญของชีวิตย่อมขาดตกบกพร่องไป หากผู้ใดเข้าใจเลี้ยงทั้งร่างกายและบำรุงจิตใจพร้อมกัน ความเจริญของชีวิตย่อมเพิ่มพูนยิ่งขึ้น ยังมีชีวิตอยู่ก็สบาย ตายไปก็ต้องเป็นสุข




    ๑๘. พุทธทาสภิกข

    วิธีชุบชีวิตยามมีทุกข์ คนเราเกิดมาชาติหนึ่ง ถ้ารูจักแต่ทำมาหากินเลี้ยงร่างกายอย่างเดียว ไม่รู้จักแสวงหาธรรมะมาหล่อเลี้ยงจิตใจให้สุขสงบเย็นด้วยแล้ว การเกิดมานั้น ก็จะเป็นการเกิดมาเพื่อทนทุกข์ทรมานติดคุกติดตาราง ในทางวิญญาณชนิดหนึ่งไปจนตาย ทุกๆ ชาติทีเดียว เพราะถ้าไม่รู้จักทำจิตใจให้สงบตามธรรมบ้างแล้ว แม้คนรวยที่อยู่ตึกก็มีความสุขสู้คนจนที่อยู่กระท่อมซอมซ่อไม่ได้
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  14. :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    ขอโมทนาบุญกับคณะทุนนิธิอาจารย์ปู่ประถมสำหรับบทความดีๆที่นำเสนอตลอดช่วงเวลา ๑ ขวบปีด้วยครับ ...
     
  15. :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    <CENTER><CENTER>คำขอขมาพระรัตนตรัย
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุท ธัสสะฯ ( ว่า ๓ จบ )

    สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต อุกาสะ ทวารัตตะเยนะ กะตัง
    สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต อุกาสะ ขะมามิ ภันเต ฯ

    ( ถ้าหลายคนว่า.... ขะมะตุ โน ภันเต, ฯลฯ,.... ขะมะตุ โน ภันเต, อุกาสะ ขะมามิ ภันเต ฯ )



    </CENTER><DD>หากข้าพระพุทธเจ้า ได้เคยประมาทพลาดพลั้งล่วงเกินต่อพระรัตนตรัย อันมีพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ในชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี ด้วยทางกาย หรือทางวาจาก็ดี และด้วยเจตนา หรือไม่มีเจตนาก็ดี รู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี ขอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย และผู้มีพระคุณทุกท่าน ได้โปรดอดโทษให้แก่ข้าพระพุทธเจ้า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ตราบเท่าเข้าสู่นิพพานด้วยเทอญ

    คัดจากหนังสือสวดมนต์ วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี</CENTER>
    <DD>.............................................................................................
    เรื่องของเครื่องดูดเสมหะอันเนื่องจากเสมหะ...

    ครั้งหนึ่งราวๆ ๑๖ ปีที่แล้ว ผมมีบุญได้กราบหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง ทันก่อนดับขันธ์ ช่วงนั้นหลวงพ่อฯท่านก็อาพาธเป็นระยะๆ การเดิน การนั่งก็ล้วนเป็นปัญหาทั้งสิ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลวงพ่อท่านมีเสมหะก้อนใหญ่ในลำคอ เวลาท่านเทศน์ที่ใด ท่านมักจะเล่าถึงอาการป่วยของท่าน และเจ้าเสมหะก้อนนี้มักจะถูกพูดถึงบ่อยๆ ผมก็คิด(เพียงแค่คิดก็มีผลขนาดนี้)ว่า ทำไมเพียงเสมหะเท่านี้หลวงพ่อฯต้องพูดถึงบ่อยจังเลย จนเวลานี้ ผมเองก็มีปัญหาเรื่องเสมหะ เพราะรู้สึกว่ามันอึดอัด ไม่ค่อยสบายเหมือนเดิม ยิ่งเวลาป่วย เวลาไอ เจ็บคอนี่เป็นเรื่องเลย ใครไม่เป็นไม่รู้ว่ามันอึดอัดมันทรมานยังไง..

    ก็นำมาเล่าสู่กันฟัง ว่าการปรามาสพระอภิญญาเพียงคิด กรรมมันแรงเพียงใด วันนี้จึงขอน้อม...ใจกราบขอขมาพระอภิญญา และหลวงพ่อฯ ที่ลูกได้เคยคิดปรามาส ขอหลวงพ่อฯได้อโหสิกรรมให้ลูกด้วยเทอญ...

    </DD>
     
  16. พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ภาพผ้าห่มหนาว ส่งมาจาก รพ.ปัว จ.น่าน ผ้าห่มอย่างหนาสำหรับพระสงฆ์ที่อาพาธเหมาะกับที่ใช้ในพื้นที่ที่มีอากาศหนาวเย็น ราคาผืนละ 650.- ส่วนพยาบาลน่านก็งามไม่แพ้กันเน๊อะ....ปีใหม่น่าไปเยือนน่านจริงๆ




     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  17. พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097


    โอวาทของ
    สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช (เจริญ สุวฑฺฒโน)
    วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพมหานคร


    ปุถุชน 3 ประเภท

    1. อันธพาลปุถุชน บุคคลที่เป็นผู้มีตาใจบอดมืดสนิท มองไม่เห็นสัจจะเอาเลย เรียกว่าเป็นอันธพาลปุถุชน ปุถุชนผู้เป็นอันธพาล คือเป็นผู้เขลาไม่รู้เหมือนอย่างคนตาบอด

    2. ปุถุชนสามัญ บุคคลเมื่อมีความรู้ขึ้นรางๆ เมื่อได้สดับฟังธรรมคำสั่งสอนของสมเด็จพระบรมศาสดาที่ชี้ให้รู้จักทุกข์ ให้รู้จักเหตุให้เกิดทุกข์ ให้รู้จักความดับทุกข์ ให้รู้จักทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ก็เกิดความรู้ความเห็นขึ้นรางๆ แม้จะไม่แจ่มชัดนักตามคำสั่งสอนของสมเด็จพระบรมศาสดา สามารถที่จะละความชั่ว กระทำความดีได้ตามสมควร ความเป็นอันธพาลก็ย่อมหายไป มาเป็นปุถุชนสามัญ

    3. กัลยาณปุถุชน บุคคลเมื่อได้ปฏิบัติชอบยิ่งขึ้น มีดวงตาแจ่มใสขึ้น มองเห็นสัจจะตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแจ่มชัดขึ้น สัจจะทั้ง 4 มีทุกขสัจจะเป็นต้น ปรากฏถนัดขึ้น แต่ยังไม่ถึงขั้นมรรค ซึ่งเป็นเหตุละสังโยชน์ได้ ความเป็นปุถุชนสามัญก็หายไป เลื่อนเป็นกัลยาณปุถุชน คือปุถุชนผู้ที่เป็นคนดีคนงาม มีความมั่นคงในธรรมตามคำสั่งสอนของสมเด็จพระบรมศาสดา จิตใจของกัลยาณปุถุชน ย่อมแจ้งชัดขึ้นในสัจจะทั้ง 5 นี้ตามที่สมเด็จพระบรมศาสดาทรงสั่งสอนไว้ จึงเป็นข้อที่ผู้ปฏิบัติพระพุทธศาสนาทุกคน จะพึงตั้งใจฟัง ตั้งใจพิจารณาให้ตระหนักชัด



    ขอขอบคุณ
    http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=3405

     
  18. พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ค่อยๆ และควรอ่านเมื่อมีเวลา อย่าเร่ง รอให้จิตประณีตก่อน เป็นยารักษาโรคอันเยี่ยม ลงมาให้อ่านเพียงครึ่ง ท่อนท้ายไปอ่านเพิ่มเองครับ



    สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (วาสนมหาเถร)
    ทรงฉายในงานฉลองพระชนมายุ ๙๐ พรรษา วันที่ ๒ มี.ค. ๒๕๓๑
    .....................................................................................................


    เจริญอายุ
    ธมฺโมสถ รักษานามธรรม
    โดย สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (วาสนมหาเถร)


    การที่บุคคลมีอายุยืนยาวนั้น ถ้ายืนยาวอยู่ด้วยความหลงใหล กินแล้วก็ว่าไม่ได้กิน นอนแล้วก็ว่าไม่ได้นอน เป็นต้น ย่อมชวนให้เห็นว่าเป็นชีวิตทรมาน ไม่ได้รับผลเป็นความผาสุกเพราะอายุยืนเลย กลับจะเป็นการทนทุกข์ทรมานแก่ตนเอง และเป็นที่อิดหนาระอาใจของลูกหลานผู้ปฏิบัติ กลับเป็นเช่นเด็กไร้เดียงสาลำบากแก่ผู้เลี้ยงดูยิ่งเสียกว่าเด็กเล็กๆ เป็นไหนๆ เด็กซุกซนดื้อดึงผู้เลี้ยงอาจจะว่ากล่าวเฆี่ยนตีได้ ส่วนคนแก่ที่เป็นปู่ย่าตายาย ผู้เลี้ยงจะทำเช่นนั้นไม่ได้ ฉะนั้น การที่มีอายุยืนยาวและมีสติดีไม่หลงใหลเลอะเลือน จึงนับว่าเป็นลาภอันประเสริฐ ท่านแสดงว่าเป็นผลานิสงส์ของเมตตาจิต ไม่คิดประทุษร้ายฆ่าสัตว์ตัดชีวิตผู้อื่นโดยแท้ สมตามกระแสพระพุทธภาษิตที่ตรัสไว้ ใจความว่า

    "บุคคลเป็นผู้ละเว้นจากปาณาติบาต มีความละอาย มีความเอ็นดู อนุเคราะห์เกื้อกูลในสัตว์ทั้งปวง ครั้นตายไปแล้ว ย่อมเกิดในสุคติโลกสวรรค์ ถ้ามาเกิดในโลกมนุษย์ในที่ใดๆ จักเป็นผู้มีอายุยืนยาว และเพราะไม่ดื่มสุราเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ย่อมเป็นผู้มีสติสัมปชัญญะมั่นคงไม่หลงลืม ดังนี้"

    การที่มีอายุยืนยาวและไม่มีการหลงลืม นับเป็นผลแห่งกุศลกรรมที่บำเพ็ญมาแล้วในอดีตชาติ มาส่งผลตามนัยแห่งจูฬกรรมวิภังคสูตรแล้ว จึงเป็นเหตุก่อให้เกิดปิติยินดีในความผาสุกยืนยาวมา ทำให้ปรารภการฉลองสมโภชในคราวครบรอบปีบ้าง ครบ 50-60 ปีบ้าง เหมือนเป็นการเพิ่มพูนกุศลสัมมาปฏิบัติให้ภิญโญยิ่งขึ้นทั้งส่วนตนเองและลูกหลาน นับเป็นการสมควรโดยแท้ แต่การบำเพ็ญกุศลฉลองนี้ ควรสันนิษฐานว่าเป็นการสมโภชฉลองเพื่อต้อนรับอายุที่ยืนยาวต่อไปข้างหน้า เพราะอายุที่ล่วงมาได้ นับว่าเป็นส่วนเสียที่ล่วงพ้นผ่านไปแล้วเรียกกลับคืนมาอีกไม่ได้ ท่านจึงเรียกว่า "วัย คือ ความเสื่อม" ท่านปันระยะชีวิตของบุคคลที่สามารถเจริญล่วงพ้นผ่านวัยคือความเสื่อมไว้อย่างมากคนละ 3 วัย ไม่เกินกว่านี้

    ความเสื่อมตอนต้น เรียกว่า ปฐมวัย
    ความเสื่อมตอนกลาง เรียกว่า มัชฌิมวัย
    ความเสื่อมตอนสุด เรียกว่า ปัจฉิมวัย

    ฉะนั้น อายุที่ล่วงไปแล้วจึงเป็นส่วนเสื่อม ไม่ใช่ส่วนเจริญ ส่วนที่จะได้ต่อไปนับว่าเป็นส่วนเจริญ ส่วนเสื่อมในเรื่องอายุยิ่งมาเท่าใด ดูเป็นที่พอใจว่าเป็นผู้มีอายุยืนนิยมชมชื่นกันเท่านั้น ในทางธรรมท่านไม่นิยม เพราะเป็นส่วนที่ล่วงพ้นไปแล้ว ไม่ย้อนกลับมาอีก แต่ก็ให้ถือเป็นเครื่องเตือนใจกันความประมาทได้ประการหนึ่งเหมือนกันว่า มีอายุเข้าขีดปัจฉิมวัย คือถึงความเสื่อมสุดแล้ว ไม่ควรจะหลงมัวเมาประมาทปล่อยชีวิตให้เกลือกกลั้วอยู่กับอกุศลทุจริต อบายมุขต่างๆ อยู่อีกเป็นวัยสุดท้าย ไม่มีวัยจะเจริญแก้ตัวอีกแล้ว ซึ่งมักจะพูดกันติดปากว่าไม้ใกล้ฝั่ง ถ้าเป็นผู้มีชีวิตมืดมนอยู่ด้วยบาปอกุศลกรรม ก็ควรจักได้กลับตัวแก้ไขชีวิตนั้น ให้สว่างด้วยบุญทานเป็นอย่างน้อย จะได้ชื่อว่า มืดมาแล้วแต่สว่างกลับไป ถ้าเจริญอายุเข้าปัจฉิมวัยแล้วยังหมกมุ่นด้วยบาปทุจริตกลับแก้ตัวไม่ได้ ก็เที่ยงแท้ที่จะต้องเป็นผู้ถูกตำหนิว่า มืดมาแล้วกลับมืดไปอีก เสียเวลาที่มีชีวิตอยู่ที่รกโลก ทำลายชีวิตตนเองให้ตกต่ำ ซ้ำยังชื่อว่าทิ้งรอยความเสียหายให้แก่อนุชนของตนอีกด้วย

    การที่บุคคลได้อัตภาพเป็นมนุษย์ สมเด็จพระบรมศาสดาตรัสสรรเสริญว่า ได้ข้ามพ้นความยากขั้นต้นมาแล้ว ด้วยพระองค์ตรัสว่า การให้เกิดเป็นมนุษย์เป็นของยาก ต้องเป็นผู้มีคุณธรรมความดีได้อบรมมาเพียงพอแล้ว หาไม่ก็จะมีอัตภาพเป็นสัตว์เดรัจฉาน ซึ่งมีจำนวนและชนิดแต่ละอย่างเหลือคณนา และเมื่อได้อัตภาพเป็นมนุษย์แล้ว ยังดำรงชีวิตผ่านพ้นอุปสรรคนานาประการยืนยาวมาได้ ก็นับว่าพ้นความยาก ข้อว่าความเป็นอยู่ของสัตว์ทั้งหลายเป็นของบาปอีกประการหนึ่ง และยิ่งได้ความเลื่อมใสเชื่อมั่นต่อสาวกตามธรรมคำสอนของสมเด็จพระบรมศาสดา จนได้ประพฤติปฏิบัติตนตามควรแก่การปฏิบัติของตน ก็นับว่า ได้ข้ามพ้นความยากข้อว่า การฟังพระสัทธรรมเป็นของยาก และความเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้าเป็นของยาก

    บุคคลผู้ที่ได้ข้ามพ้นความยากทุกประการที่สมเด็จพระบรมศาสดาได้ตรัสไว้เช่นนี้แล้ว นับว่าเป็นโชคลาภอันประเสริฐ สมควรที่จะอบรมกายใจของตน ให้ดำรงอยู่แต่ในทางกุศลกรรมบถตราบเท่าสิ้นชีวิต จึงจะเป็นทางนำคติของตนในภายหน้าให้สว่างใสวตลอดไป ตรงกับพระพุทธภาษิตที่ตรัสเทียบเคียงว่า บุคคลที่มีชีวิตมืดมาแล้วหรือสว่างมาแล้วก็ตาม ก็ควรปฏิบัติดำรงตนให้เป็นผู้มีชีวิตสว่างกลับไปเถิด จึงจะสมกับได้อัตภาพเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง

    บุคคลบางคนได้อัตภาพเป็นมนุษย์แล้ว กลับดำรงชีวิตอยู่ในทางแห่งอกุศล ด้วยเข้าใจเอาเองว่าเมื่อยังเป็นอยู่ ก็ควรหาความสำราญให้แก่ชีวิตจนสุดกำลัง จึงตามใจปล่อยชีวิตให้หมกมุ่นอยู่ในวงแห่งความเสื่อม มีอบายมุขแทบทุกอย่างเป็นที่ชื่นชอบของอารมณ์ หลงใหลใฝ่ฝันอย่างไม่ลืมหูลืมตา ผู้เช่นนี้ ไม่เป็นที่ปรารถนาทั้งฝ่ายคดีโลกและคดีธรรม เป็นเหมือนดำรงชีวิตอยู่ในความมืด เป็นหลักตอกีดขวางช่วงชิงประโยชน์ของผู้อื่น นึกถึงตัวเวลาไร ย่อมติตัวเองได้ เพราะไม่มีคุณธรรมอย่างไร ซึ่งจะเป็นเครื่องเชิดชูกำลังน้ำใจของตนเลย

    ผู้รู้ก็ย่อมติเตียนเป็นการทำตัวอย่างที่เลวทรามให้แก่อนุชนของตน ทั้งที่ปรารถนาให้อนุชนมีลูกหลานของตนเป็นคนดี ไม่เชื่อว่าเป็นศรีสง่าของตระกูล ไม่เป็นมิ่งขวัญของครอบครัว ย่อมดำรงชีวิตอยู่เพียงลมหายใจเข้าออก ท่านเปรียบเหมือนคนที่ตายแล้ว ผู้เช่นนี้ ตราบใดที่ผลความชั่วต่างๆ ที่นิยมประพฤติอยู่นั้น ยังไม่ให้ผลเป็นความเดือดเนื้อร้อนใจอย่างชัดเจน ก็ยังยินดีหลงใหลใฝ่ฝันนิยมประพฤติเช่นนั้นตลอดไปตราบนั้น ครั้นได้รับผลของความชั่วเผาผลาญ จึงจะฉุกใจคิดได้ แต่ก็มักสายเกินไปที่จะกลับตัวเสียแล้ว ย่อมจะต้องเสวยผลของความชั่วของตนด้วยตนเอง ไม่มีใครช่วยเหลือแบ่งมาได้

    ส่วนบุคคลผู้มีสำนึกรู้สึกตนว่า การที่ได้รับอัตภาพเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนาและกำลังดำรงชีวิตเป็นอยู่บัดนี้ เพราะกุศลกรรมความดีอำนวยผล ไม่ประมาททะนงตน กลับขวนขวายพยายามปฏิบัติบำเพ็ญตนให้อยู่ในครรลองแห่งกุศลยิ่งขึ้นตามลำดับ เพื่อจะได้เป็นเหตุอุดหนุนส่งเสริมให้เจริญสุขยิ่งขึ้น พิจารณากาย วาจา ใจของตนตามแนวแห่งธรรมะ ส่วนใดที่ผิดแผกจากแนวธรรมะ หรือยังไม่ละเอียดถี่ถ้วนถูกต้องตามคลองธรรม ก็พยายามฝึกหัดอบรมตนตามวิธีเตือนตนเอง สอนตนเองตลอดไป มีกิจการหน้าที่เกี่ยวข้องกับบุคคลเช่นไร ก็ปฏิบัติตนสมกับหน้าที่ของบุคคลนั้นๆ ตามฐานะและหน้าที่ ในหน้าที่หัวหน้าครอบครัว ก็มีความขยันหมั่นเพียร ตั้งตนเป็นหลักฐาน เป็นที่อบอุ่นของครอบครัว

    ในหน้าที่เป็นเชษฐบุรุษ บุคคลผู้เป็นผู้ใหญ่ของตระกูลก็ตั้งตนให้มีคุณธรรมสมกับที่อนุชนจะเคารพนับถือบูชาด้วยความสนิทใจ แนะนำชักจูงอนุชนให้เป็นสัมมาจารี ตั้งตนให้เป็นตัวอย่างอันดีงาม ไม่ทำตนให้เป็นที่อิดหนาระอาใจแก่ใครๆ ไม่ถืออำนาจบาทใหญ่ว่าเป็นชนชั้น ปู่ ย่า ตา ยายแล้วใครจะตักเตือนห้ามปรามอะไรมิได้ การทำอะไรมักมีการผิดพลาดย่อมเป็นสิ่งธรรมดามีอยู่ในบุคคลทั่วไปไม่ว่าเด็ก ผู้ใหญ่ ชายหญิง วิสัยคนดีมีศีลธรรมประจำใจ ย่อมรับฟังในคำตักเตือนที่ถูกต้องแม้จะเป็นของผู้น้อย ก็มิได้รังเกียจ เพราะยิ่งมีผู้คอยตักเตือนห้ามปรามมากเท่าใด ก็เหมือนมีรั้วคอยกีดกั้นไม่ให้หลงเดินออกนอกทาง เป็นการผิดการเสียมากขึ้นเท่านั้น ผู้ที่ถูกเขาคอยตักเตือนห้ามปรามนั้น เหมือนเขามาบอกขุมทรัพย์ให้ จึงควรยินดีรับฟังคำเตือนให้มากกว่าจะขัดเคืองหาว่าดูหมิ่น

    ความเป็นผู้มีอายุยืนนาน อาจชวนให้เห็นเป็นการทรมานทรกรรมของผู้ขาดการพิจารณาใคร่ครวญอีกบ้างก็ได้ เพราะวิสัยของคนแก่ อาหารการบริโภคมักไม่สะดวกสบายเหมือนเขาอื่น ยามนอนก็มักตื่นในเมื่อคนอื่นเขาหลับ ชวนให้รำคาญคิดเร่งเวลาสว่างอยู่ร่ำไป จะผลัดเปลี่ยนอิริยาบทก็ไม่คล่องแคล่วสะดวกสบายเหมือนคนหนุ่มสาว จึงเห็นเป็นว่า จะอยู่ไปทำไม ตายเสียก็จะดีกว่า ความคิดเช่นนี้ ตามหลักธรรมตำหนิว่า เป็นวิภวตัณหาอยากเปลี่ยนแปลงแก้ไข ด้วยเห็นว่าแก่แล้ว ทำประโยชน์อะไรไม่ได้ รังแต่จะเป็นกังวลของผู้อื่น


    มีต่อ >>>>>

    http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=3403

     
  19. พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    คัดลอกมาลงเฉพาะบางส่วนจาก http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=3401





    การปฏิบัติอบรมจิต

    สมเด็จพระญาณสังวร
    สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

    ๏ กรรมฐานเพิ่มพลังจิต

    เมื่อปฏิบัติกำจัดดับราคะหรือโลภะโทสะโมหะ อันบังเกิดขึ้นกลุ้มรุมจิตใจได้ด้วยกรรมฐานเหล่านี้ จิตก็จะบริสุทธิ์สะอาด และเมื่อต้องการเพิ่มพลังให้เป็นจิตในสมาธิ ก็กำหนดสมาธิที่รวมจิตเข้ามา ให้มีอารมณ์เป็นอันเดียว เช่นอานาปานสติ สติกำหนดลมหายใจเข้าออก หรือทำเพ่งกสิณตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน จิตก็จะรวมเป็นเอกัคคตา คือความที่มีอารมณ์เป็นอันเดียวกันของจิตได้ เป็นสมาธิได้ตั้งแต่ขั้นบริกรรม คือกำลังขั้นที่ปฏิบัติกำหนด ขั้นอุปจารคือว่าใกล้ที่จะสงบแน่วแน่ จนถึงขั้นอัปปนาคือแน่วแน่

    และก็น้อมจิตที่แน่วแน่นี้ กำหนดพิจารณานามรูป หรือขันธ์ ๕ ให้เห็นสัจจะคือความจริงว่าล้วนเป็นอนิจจะไม่เที่ยง ต้องเกิดต้องดับ ทุกขะเป็นทุกข์ต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลง เป็นอนัตตามิใช่ตัวเราของเรา คือไม่ควรจะเห็นยึดถือว่าตัวเราของเรา เพราะไม่มีตัวเราของเราอยู่ในนามรูป หรือในขันธ์ ๕ นี้

    ดั่งนี้ ก็เป็นการปฏิบัติเพื่อลดอวิชชาโมหะ ทำลายอวิชชาโมหะ ทำให้จิตนี้ปรากฏความปภัสสรคือผุดผ่องมากขึ้น หยั่งรู้ถึงสัจจะคือความจริงมากขึ้น

    เป็นความรู้ที่ผุดขึ้นมา ดั่งที่เรียกว่าจักษุคือดวงตาผุดขึ้น ญาณความหยั่งรู้ผุดขึ้น ปัญญาความรู้ทั่วผุดขึ้น วิชชาความรู้แจ่มแจ้งผุดขึ้น โอภาสคือความสว่างผุดขึ้น ในทุกข์ ในเหตุเกิดทุกข์ ในความดับทุกข์ ในทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ตามที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้แล้ว และทรงแสดงสั่งสอนไว้

    การปฏิบัติโดยลำดับดั่งนี้เองคือสติปัฏฐาน ตั้งสติหรือสติตั้ง สัมมัปปธานเพียรชอบ อิทธิบาทธรรมะที่ให้บรรลุถึงความสำเร็จ อินทรีย์ธรรมะที่เป็นใหญ่ พละธรรมะที่เป็นกำลัง โพชฌงค์ธรรมะที่เป็นองค์ของความตรัสรู้ และมรรคมีองค์ ๘ ก็รวมอยู่ในทางปฏิบัติตามที่กล่าวมานี้ อันนำให้บังเกิดดวงตา บังเกิดญาณ บังเกิดปัญญา บังเกิดวิชชา บังเกิดแสงสว่าง ในอริยสัจจ์ทั้ง ๔ ของพระพุทธเจ้า ดับอวิชชาได้ ดับกิเลสทั้งปวงได้ ดับทุกข์ได้

    เมื่อปฏิบัติยังไม่ถึง ก็ย่อมดับได้ไปโดยลำดับ ตั้งแต่เล็กน้อยจนถึงมาก บางอย่างจนถึงทั้งหมด เพราะว่า ความบรรลุถึงผลดังที่กล่าวมานี้ ไม่ใช่จะบรรลุได้ด้วยความคิดว่าจะบรรลุ หรืออยากจะบรรลุ แต่อยู่ด้วยการปฏิบัติมาโดยลำดับ ขึ้นไปโดยลำดับ ธรรมะก็จะสนับสนุนส่งผู้ปฏิบัติขึ้นไปโดยลำดับเองด้วย ต่อไปนี้ขอให้ตั้งใจปฏิบัติทำความสงบสืบต่อไป
     
  20. พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097

    <HR>
    <TABLE cellSpacing=20 width="85%" border=0><TBODY><TR><TD class=postbody vAlign=top>
    สำหรับผู้ใหญ่ที่ใจพร้อมที่จะรับคำเตือนใจให้เมตตา ย่อมรับได้แม้เป็นคำเตือนของเด็กปฏิบัติให้เกิดผลทันที่ เช่นรายที่เคยเล่าว่าครั้งหนึ่งชอบยิงนกตกปลามาก เดี๋ยวนี้เลิกแล้ว เลิกตั้งแต่วันหนึ่งถือปืนไปเที่ยวยิงนกกับลูกชายน้อยๆ พอยิงนกตกลงตัวหนึ่ง ก็สั่งให้ลูกชายไปเก็บ คิดว่าลูกชายคงจะตื่นเต็นดีใจตามประสาเด็ก ที่เห็นนกที่กำลังบินอยู่กลางอากาศร่วงลงดิน



    แต่ลูกชายกับมีสีหน้าพิศวงสงสัย และถามเขาซื่อๆ ว่า
     

แชร์หน้านี้