ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097




    ศีลเป็นเสมือนรั้วกันความชั่ว

    การักษาศีลเป็นที่รู้สึกกันโดยมากว่า
    เหมือนเป็นการสร้างรั้วล้อมตนเอง
    ศีลยิ่งมากข้อ ก็ยิ่งเหมือนรั้วที่แน่นหนาแข็งแรง
    และยิ่งมีวงแคบ จะทำอะไรจะไปไหนก็ล้วนแต่มีข้อห้ามทั้งนั้น
    เมื่อรู้สึกดังนี้จึงไม่พอใจจะรักษาศีล
    ปรารถนาที่จะทำอะไรไปข้างไหนตามความพอใจ
    มีเรื่องเล่าในอรรถกถาธรรมบทว่า

    ภิกษุรูปหนึ่งรู้สึกว่าวินัยที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้มีเป็นอันมาก
    ไม่อาจที่จะรักษาให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ได้
    มีความเบื่อหน่ายหมดกำลังใจ
    พระพุทธเจ้าได้ทรงเรียกภิกษุนั้นไปตรัสถาม
    ว่าสามารถจะรักษาเพียงข้อหนึ่งได้หรือไม่
    ภิกษุนั้นก็กราบทูลว่า ถ้าเพียงข้อเดียวก็สามารถ
    พระพุทธเจ้าตรัสสอนว่า
    ถ้าอย่างนั้นก็ให้รักษาจิตของตน
    เมื่อสามารถรักษาจิตของตนได้เพียงข้อเดียว
    ก็สามารถรักษาข้ออื่นๆได้ทั้งหมด
    ภิกษุนั้นได้ปฏิบัติตามพระพุทธโอวาท
    ก็สิ้นความอึดอัดรำคาญ
    สามารถรักษาพระวินัยให้บริสุทธิ์บริบูรณ์

    อันที่จริงจะเปรียบศีลเหมือนอย่างรั้วล้อมก็ได้
    แต่หมายความว่าล้อมมิให้ความชั่วเข้ามา
    เหมือนอย่างรั้วล้อมบ้านป้องกันโจรผู้ร้าย
    และรั้วบ้านนั้นก็มีประตูสำหรับเข้าออก
    แม้ตัวบ้านเองก็มีประตูหน้าต่าง
    คนโดยปกติก็เข้าออกทางประตู
    ถ้าปีนรั้วหรือปีนหน้าต่างเข้าหรือออก
    ก็เป็นการผิดปกติ
    ศีลก็เช่นเดียวกัน
    แม้เป็นข้อห้ามดังศีล ๕ เหมือนอย่างรั้วกั้น
    แต่นอกจากที่ห้ามไว้นั้นก็อาจทำได้
    เท่ากับมีประตูสำหรับเข้าออกอยู่ด้วยบริบูรณ์
    เพราะข้อที่พึงทำมีมาก
    จะแสดงไว้ก็คงไม่หมด
    จึงได้แสดงไว้แต่ข้อห้ามที่มีเพียงจำนวนเล็กน้อยเท่านั้น
    เมื่อเข้าใจดังนี้ ก็เข้าใจต่อไปได้ว่า
    ผู้ที่เว้นจากข้อห้าม
    ทำในข้อที่ท่านไม่ห้าม
    เรียกได้ว่าเป็นคนปกติ
    เหมือนอย่างเข้าออกทางประตูโดยปกติ
    เป็นอันเข้าใจความหมายของศีลโดยตรง


    คัดลอกจาก...ชุดความร่วมรู้เรื่องพระพุทธศาสนา
    ศีลในพระพุทธศาสนา
    พระนิพนธ์ สมเด็จพระญาณสังวร
    สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
     
  2. พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ปริศนาธรรมแห่งชีวิต

    อะไรเอ่ย สี่คนหาม สามคนแห่ หนึ่งคนนั่งแคร่ สองคนพาไป

    คำเฉลยปริศนาธรรมนี้ อยู่ที่ตัวตนสมมุติของทุกคนนั่นเองคือ

    ๑. สี่คนหาม ได้แก่ ธาตุ ๔ ที่ประกอบเป็นร่างกาย

    ๒. สามคนแห่ ได้แก่ ไตรลักษณ์ที่มีอำนาจครอบงำร่างกาย ให้ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา

    ๓. คนหนึ่งนั่งแคร่ หมายถึง จิตหรือวิญญาณในร่างกาย

    ๔. สองคนพาไป หมายถึง กุศลกรรม กรรมดี และ อกุศลกรรม กรรมชั่ว หรือบุญกับบาป ที่คอยจัดสรรให้ทุกคนเป็นไปต่างๆ นานา สุขบ้าง ทุกข์บ้าง

    คำเฉลยปริศนาธรรมแต่ละข้อ มีรายละเอียดดังต่อไปนี้

    รูป ร่าง กายของเราทั้งหลายที่หลงกันว่าสวยงาม น่ารัก น่าหวงแหน หรือมีเสน่ห์จนกระทั่งต้องแย่งชิงกัน หรือหลงละเมอฝันถึงกันในทุกวันนี้ ที่แท้เป็นเพียงธาตุ ๔ รวมตัวกันเป็นร่างกาย เป็นรูป เป็นตัว เป็นตน เป็นคน เป็นสัตว์ เป็นของงดงาม ตามความสมมุติของชาวโลก พระพุทธเจ้าทรงสอนให้แยกแยะ วิเคาระห์ร่างกายออกมาดูโดยละเอียด แล้วให้พบความจริงว่า รูปร่างกายนี้ ไม่มีอะไรสวยงามเลย มีแต่ ๔ คนหาม คือ ธาตุทั้ง ๔ ได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ ธาตุหมายถึง สิ่งที่ทรงสภาวะของมันอยู่เอง ตามธรรมดาของเหตุปัจจัย คือ ในร่างกายมีธาตุลักษณะสำคัญๆ ๔ ส่วน รวมตัวกันอยู่ เป็นชีวิตคน ชีวิตสัตว์ เป็นตัวตน

    ธาตุลักษณะที่ ๑ เรียกว่า ปฐวีธาตุ ธาตุดิน เพราะมีลักษณะแข้นแข็งกินเนื้อที่

    ธาตุลักษณะที่ ๒ เรียกว่า อาโปธาตุ ธาตุน้ำ เพราะมีลักษณะเอิบอาบ เหลว ไหล ซึม หล่อเลี้ยงทั่วร่างกาย

    ธาตุลักษณะที่ ๓ เรียกว่า วาโยธาตุ ธาตุลม เพราะมีลักษณะ เคลื่อนไหว พัดขึ้นลงในที่ว่างของร่างกาย

    ธาตุลักษณะที่ ๔ เรียกว่า เตโชธาตุ ธาตุไฟ เพราะมีลักษณะร้อนหรืออบอุ่น

    เพราะ เหตุที่ธาตุทั้ง ๔ มารวมตัวกันตามเหตุปัจจัยจึงถูกบัญญัติ หรือสมมติขึ้นว่า สวยงาม น่าดู น่าชม น่าอภิรมย์รักใคร่ได้ชั่วระยะหนึ่ง ต่อไปธาตุทั้ง ๔ แยกตัวเองสลายไปคนละทิศละทาง คือ ส่วนที่เข้นแข็ง สลายไปเป็นธาตุดิน ส่วนที่เอิบอาบเหลวไหล สลายไปเป็นธาตุน้ำ ส่วนที่พัดเคลื่อนไหวในช่องว่างของร่างกายก็สลายไปเป็นธาตุลม ส่วนที่ร้อนและอบอุ่น ก็สลายไปเป็นธาตุไฟ เหมือนสภาวะเดิมของมันทุกอย่าง

    เพราะ ฉะนั้น ท่านผู้มีปัญญาจริงจึงไม่ลุ่มหลงมัวเมาในร่างกาย หรือสังขารนี้ เมื่อไม่ลุ่มหลงมัวเมาในร่างกายนี้ก็ไม่มีความยึดถือมั่นด้วยอำนาจอุปทาน เมื่อไม่มีความยึดถือมั่นด้วยอำนาจอุปทานย่อมไม่สร้างภพ ไม่สร้างชาติ เมื่อไม่สร้างภพไม่สร้างชาติ ก็ย่อมไม่ต้องวนเวียนมาเกิด แก่ เจ็บ ตาย อีกต่อไป

    สี่คนหาม จึงเป็นเครื่องเตือนใจทุกคนได้เป็นอย่างดีว่า แม้สี่คนจะหามเรา เราก็ต้องรู้จักรู้เท่าทัน รู้จักปล่อย รู้จักวาง อย่าหาบหามภาระหนักโดยไม่วาง ไม่ปล่อย เพราะปล่อย เพราะวาง จึงจะสุขสบายใจ หายเหนื่อย

    คำเฉลยปริศนาธรรมข้อที่ ๒ ท่านว่า สามคนแห่ สามคนนั้นคือ ไตรลักษณ์ แปลว่า ลักษณะ ๓ หมายถึง อำนาจในธรรมชาติที่ครองงำบังคับให้สังขาร ร่างกาย ชีวิต และทุกสิ่ง ทุกอย่างต้องมีอันเป็นไป กล่าวคือ อนิจจตา ความเป็นของไม่เที่ยง ทุกขตา ความเป็นทุกข์ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ อนัตตตา ความมิใช่ตัวตนของเรา

    ไม่ มีใครและไม่มีอะไรในโลกนี้และโลกอื่นๆ ที่เที่ยงแท้ถาวรไม่เปลี่ยนแปลงคุณภาพ คือ สวยงาม ดี แข็งแรง อยู่เหมือนเดิมไม่ได้ ต้องแปรเปลี่ยนไปจากสวย กลายเป็นโทรม จากดีเป็นด้อย จากแข็งแรงเป็นอ่อนแอ จากของใช้เป็นประโยชน์ได้ เป็นของไร้ประโยชน์ใช้ไม่ได้ เพราะทุกอย่างตกอยู่ในอำนาจของ อนิจจตา ความไม่เที่ยง ทุกขตา ความเป็นทุกข์ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ อนัตตตา ความมิใช่ตัวตนของเราจริงบังคับไม่ได้

    เราทุกคนตกอยู่ในลักษณะ ๓ นี้ทั้งหมด วันนี้มาเผาศพเขา พรุ่งนี้เขามาเผาศพเรา วันนี้สุขสันต์ วันหน้าเศร้าโศก วันนี้ถึงคิวของเขา พรุ่งนี้ถึงคิวของเรา

    จงจำไว้ ว่า เกียรติชื่อเสียงเหมือนความฝัน รูปโฉมโนมพรรณเหมือนดอกไม้ หมายความว่า ชีวิตดำรงอยู่ชั่วระยะไม่นาน ที่ได้สุขสันต์ ทุกวันนี้ก็เหมือนนิมิตฝันไปเท่านั้น จะสุขสันต์มั่นคงเป็นไม่มีแน่ ความสวยหล่อของรูปร่างหน้าตาก็เหมือนบุปผาชาติงดงามด้วยดอกบาน ดอกบานแล้วก็มีแต่จะเหี่ยวเฉาร่างโรย หลุดพ้นจากขั้ว ตกลงเกลือกกลั้วแผ่นดิน สิ้นความหมายในที่สุด

    เพราะฉะนั้น ผู้มีปัญญาจึงควรจะหยุดความยึดถือมั่น หยุดหลงเพลิดเพลินในสิ่งที่ไม่มีสาระจริงเสียบ้าง อย่าให้ตัณหาอุปาทานมีอำนาจบังคับให้ประพฤติผิดเสียหายทำลายคุณธรรม ทำลายวงศ์ตระกูล ทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

    บางท่านแย้งว่าเป็น ปุถุชน ต้องมีอุปทานความยึดถือบ้าง ข้อนี้ไม่ปฏิเสธเพราะการถือโดยสมมติสัจจะเป็นความจำเป็นต้องมี เมื่อโลกสมมุติให้เราเป็นอะไรในหน้าที่การงาน เช่น เป็นบิดามารดา เป็นบุตรธิดา เป็นครูอาจารย์ เป็นข้าราชการ เป็นพลเมืองไทย เป็นต้น เราจะต้องยอมรับรู้ ยอมทำตามหน้าที่การงานที่โลกสมมุตินั้น ผู้มีปัญญาจะต้องไม่ละทิ้งหน้าที่การงาน ไม่ละทิ้งความรับผิดชอบที่ตนมีหน้าที่การงานอยู่

    โดยอ้างว่าพระ พุทธเจ้าทรงสอน เพราะพระพุทธเจ้าทรงสอนให้รู้จักหน้าที่ ยอมรับและปฏิบัติตามหน้าที่ที่โลกสมมุติ ในขณะเดียวกันก็ทรงสอนให้รู้เท่าทันสมมุติบัญญัติ หรือ สมมุติสัจจะที่โลกสมมุติกล่าวคือ

    ให้มีอำนาจได้ แต่ไม่ให้หลงอำนาจ
    ให้มีลาภได้ แต่ไม่ให้หลงลาภ
    ให้มียศตำแหน่งได้ แต่ไม่ให้หลงยศตำแหน่าง
    ให้เอ็นดูรักผู้อื่นได้ แต่ไม่ให้หลงความสุข
    ให้รับคำสรรเสริญได้ แต่ไม่ให้หลงคำสรรเสริญ

    เพราะ อะไร เพราะตราบใดที่ยังมีความหลงรักหลงเยื่อใย หลงเพลิดเพลิน ในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ตราบนั้น ชื่อว่ามีอุปทาน ความยึดถือมั่น เมื่อมีอุปทาน ย่อมมีภพ เมื่อมีภพย่อมมีชาติความเกิด เมื่อมีความเกิด ก็ย่อมมีทุกข์มากมายตามมาเป็นทิวแถว คือต้องเวียนว่ายตายเกิด ไม่มีที่สิ้นสุด

    โดยเฉพาะคำว่า อนัตตา มิใช่ตัวตนแท้จริงของเรา นั้นยังมีผู้ไม่เข้าใจอีกมาก กล่าวคือ ผู้ไม่ได้ศึกษาอบรมมาเพียงพอ เข้าใจว่า เรามีตัวตนหรืออัตตาเป็นของตน หรือ อัตตามีในตน ย่อมคัดค้านท่านผู้ที่เป็นสัมมาทิฐิว่า ถ้าไม่มีอัตตาตัวตนของเรา ทำไมจึงต้องรักษาตน ทำไมต้องรับประทานอาหาร ยารักษาโรคและน้ำ เวลาผู้น้อยกล่าวถ้อยคำหยาบดูหมิ่นทำไมจึงไม่พอใจ และถ้าว่าเบญจขันธ์เป็นอนัตตา ไม่ใช่อัตตา ตัวตนทำกรรมดี กรรมชั่ว ก็ไม่มีผู้รับกรรมดีหรือชั่ว

    ข้อแย้งเหล่านี้ เป็นของบุคคลผู้ไม่เข้าใจหลักอนัตตาในพระพุทธศาสนา อนัตตา มีความหมายว่า

    ขัดแย้งกับอัตตา ๑
    ไม่อยู่ในอำนาจของเรา ๑
    เป็นสภาพว่างเปล่า ๑
    เป็นสภาพไม่มีเจ้าของ ๑

    พระ พุทธเจ้าทรงแสดงให้เห็นชัดๆ ว่า เบญจขันธ์คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ล้วนเป็นสิ่งไม่เที่ยง ล้วนเป็นสิ่งมีทุกข์ ล้วนเป็นสิ่งมิใช่ตัวตนจริง สิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นก็เป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นก็เป็นอนัตตา บังคับให้เป็นอย่างใจหวังไม่ได้

    ส่วน กรรมดี กรรมชั่วที่ทำแล้วก็มีตัวตนสมมุติรับไป คือ วิญญาณรับรู้ รับกรรม บันทึกความดี ความชั่วไว้ แม้วิญญาณเป็นอนัตตาก็สามารถรับกรรมได้ เพราะวิญญาณมีลักษณะเกิด - ดับ เกิด - ดับ สืบเนื่องกันไป เรียกว่ามีสันตติ ไม่ใช่มีลักษณะเป็นเนื้อหนังเดียวกันเหมือนผืนผ้า

    เพราะฉะนั้น ผู้มีปัญญาจึงควรคิดถึงไตรลักษณ์อยู่เสมอ วันหนึ่งๆ หลายๆ ครั้ง เพื่อยับยั้งไม่ให้จิตลุ่มหลงมัวเมา พึงจำไว้เสมอว่า

    - การรู้เท่าทัน เป็นปัญญารักษาใจมิให้ทุกข์
    - การรู้กันรู้แก้ เป็นแง่ของความฉลาดรักษาสิ่งที่มีคุณค่าไว้
    -ส่วนการปล่อยให้สิ่งที่มีคุณค่าเสียหาย เป็นอุบายวิธีของคนโง่เขลา

    คำเฉลยปริศนาธรรมข้อที่ ๓ หนึ่งคนนั่งแคร่ ซึ่งหมายถึง จิต หรือ วิญญาณ

    จิต นั่งแคร่ คือ อัตภาพ สังขาร ร่างกาย เพราะเป็นสิ่งที่มีอำนาจเหนืออัตภาพ ธรรมชาติที่รู้จักคิดเรียกว่า จิต จิตนี้อาศัยอัตภาพร่างกายอยู่ เพราะจิตเป็นนามธรรม ไม่กินเนื้อที่ เข้าไปอยู่ในส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ทุกส่วน ถ้าจิตไม่เข้าไปสอดแทรกในหน้าที่ต่างๆ ของ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ที่จะต้องมองรูป ฟังเสียง ดมกลิ่น ลิ้มรส ถูกต้องโผฏฐัพพะ ก็จะเป็นผลร้ายคือ มองรูปไม่เห็น ฟังเสียงไม่ได้ยิน ดมกลิ่น ไม่รู้หอมเหม็น ลิ้นรสไม่รู้รสชาติ ถูกต้องอะไรก็เฉยๆ เหมือนศพที่ถูกมนุษย์มีชีวิตจับต้อง

    แม้ว่าจิตจะเป็นผู้อาศัยร่าง กายอยู่ แต่จิตก็อาศัยอยู่ในฐานะผู้เป็นเจ้านายของร่างกาย ร่างกายอยู่ในฐานะทาส หรือบ่าวไพร่คอยรับใช้ของจิต ถ้าจิตขาดการฝึกอบรมให้เหมาะสมก็จะกลายเป็นเจ้านายที่โง่เขลา มิจฉาทิฐิ เมื่อจิตเป็นมิจฉาทิฐิ คือเห็นผิดเสียแล้ว ก็จะทำให้เกิดผลร้ายมากมาย เป็นต้นว่า ทำชั่ว พูดชั่ว คิดชั่ว เมื่อทำชั่ว พูดชั่ว คิดชั่ว ก็ต้องรับผลในทางเลวทราม ต่ำช้า ทำให้ตนเองและสังคมวุ่นวาย ประเทศชาติ ศาสนาก็เสื่อมเสีย ทั้งนี้เพราะจิตได้กลายเป็นศัตรูร้ายที่น่ากลัวยิ่งกว่าศัตรูภายนอกกายหลาย ร้อย หลายพันเท่า ดังพระพุทธองค์ตรัสว่า

    จิตที่ตั้งไว้ผิด พึงทำคนให้เสียหายยิ่งกว่า โจรกับโจร หรือศัตรูกับศัตรู พึงก่อความพินาศให้แก่กันเสียอีก (ขุ.ธ. ๒๕/๒๐)

    ตามพระ พุทธภาษิตนี้ คนมิจฉาทิฐิเห็นผิด เป็นคนที่มีจิตใจเป็นศัตรูร้าย คอยทำลายตัวเองให้สูญเสียคุณภาพ สูญเสียคุณธรรม สูญเสีย ความสุขสงบที่มีคุณค่ามาก และต้องได้รับผลทางเลวร้ายต่อไปอีกหลายชาติ คนมิจฉาทิฐิเป็นคนโง่ คนพาล คนร้าย ในชาตินี้กลายเป็นคนหลง คิดผิดๆ โดยไม่มีเหตุผล เท่ากันเป็นผู้สร้างไฟมาสุมอยู่ในอก ยกนรกมาฝังในใจ คนมิจฉาทิฐิแม้มีฐานะร่ำรวย ตำแหน่งสูงส่งและผิวพรรณสุดสวย ก็ไม่สามารถช่วยให้เขามีสุขใจได้ เพราะบุคคลเช่นนี้มีแต่จะคิดทำพูดชั่วร่ำไป ทำให้ไม่รู้จักพอ ใจโหยหิวละโมบมากอยากใหญ่ยิ่ง ไม่เลือกทางและสร้างความกลัวไว้ให้หัวใจหวั่นไหวระแวงภัย โดยไร้เหตุผลไม่ว่างเว้น

    เพราะฉะนั้น ผู้มีปัญญาจึงจำต้องขวนขวายฝึกอบรมจิตให้เป็นสัมมาทิฐิ เห็นชอบตามทำนองคลองธรรม และมีคุณธรรมสำหรับคุ้มครองบำรุงจิต

    คำเฉลยปริศนาธรรมข้อที่ ๔ "สองคนพาไป" หมายถึง กรรม ๒ ประเภท ได้แก่ กรรมดีอันเป็นกุศลหรือบุญ ๑ กรรมชั่วอันเป็นอกุศล หรือบาป ๑

    กรรม ๒ ประเภทนี้ เรียกว่า สองคนพาไป เพราะบุคคลเกิดมาแล้วถึงจะมั่งมีศรีสุข มีทรัพย์สมบัติมากมายมหาศาล เขาก็เอาอะไรไปไม่ได้เลย สิ่งที่จะเอาไปได้ตอนตาย ก็คือบุญกับบาป เมื่อเราทำบาปบุญไว้ บาปบุญติดอยู่ที่จิตหรือวิญญาณ ไม่ใช่ติดอยู่ที่กายหยาบๆ ถึงกายจะสลายบาปบุญก็ไม่สูญสลายตามร่างกาย บาปย่อมนำสัตว์และคนผู้ทำให้ไปสู่อบายทุคตินรก ส่วนบุญก็ย่อมนำสัตว์และคนผู้ทำให้ไปสู่สุคติโลกสวรรค์ นักกวีผู้หนึ่งได้เขียนคำกลอนไว้ว่า

    ยศและลาภ หาบไป ไม่ได้แน่
    เว้นเสียแต่ ต้นทุน บุญกุศล
    ต้องละทิ้ง สิ่งที่หวง ให้ปวงชน
    แม้ร่างตน เขายังเอา ไปเผาไฟ
    ตอนเกิดมา เจ้ามี มือเปล่าเปล่า
    เจ้าจะเอา แต่สุข สนุกไฉน
    มามือเปล่า เจ้าจะ เอาอะไร
    เจ้าก็ไป มือเปล่า เหมือนเจ้ามา

    พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนว่า

    คนบางพวกเข้าสู่ครรภ์เป็นมนุษย์ ผู้ทำกรรมชั่ว ย่อมเข้าถึงนรก
    คนทำกรรมดีย่อมไปสู่สวรรค์ ส่วนท่านผู้หมดอาสวะ ย่อมปรินิพพาน (ขุ.ธ.๒๕/๓๑)

    จาก พระพุทธภาษตินี้ ผู้ที่เชื่อพระพุทธเจ้า ก็ไม่มีปัญหา เพราะได้เตรียมทำความดี มีทาน ศีล ภาวนา ไว้มากเพียงพอ ย่อมทำให้อุ่นใจได้ว่า คติในชาติหน้ามีแต่สูงส่ง แต่อย่าเสี่ยงทำบาปอกุศลในระหว่างที่ยังมีชีวิตนี้ก็แล้วกัน เพราะความชั่วแม้แต่เพียงเล็กน้อย ก็สามารถทำให้คนตกสวรรค์ได้ ตัวอย่างเคยมีมาแล้วเช่น พระนางมัลลิกา ทรงบำเพ็ญทาน รักษาศีล เจริญภาวนามาเป็นนิตย์ กิจกรรมการบุญการกุศล ได้ทำเป็นประจำ แต่ก็ยังพลัดพลั้ง เพราะถูกอกุศลจิตครอบงำเผลอทำชั่ว ละเมิดศีล ๕ ครั้นใกล้จะสิ้นพระชนม์ มีพระทัยกังวลถึงความชั่วนั้น พระทัยจึงเศร้าหมองไป ครั้นสิ้นพระชนม์ ก็ต้องถึงทุคติคือ ตกนรก ๗ วัน ทั้งนี้เป็นไปตามเหตุผลที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงว่า

    จิตฺเต สงฺกิลิฏฺเฐ ทุคฺคติ ปาฏิกงฺขา

    เมื่อจิตเศร้าหมองแล้ว ทุคติเป็นอันหวังได้ (ม.มู. ๑๒/๖๔)
    เพราะฉะนั้นนักกวีจึงเขียนไว้ว่า

    อย่าดูหมิ่น บาปกรรม ว่าทำน้อย
    จะไม่ต้อย ตามต้อง สนองผล
    แม้ทำชั่ว นิดหน่อย พลอยกังวล
    ย่อมพาตน ตกไป ในอบาย

    บรรดา กรรม ๑๒ ประเภท อาสันนกรรม กรรมที่ทำหรือคิดเมื่อใกล้ตาย เป็นกรรมที่มีอานุภาพมาก การคิดถึงกรรมในอดีตในตอนใกล้จะตายนี้ เป็นตัวชี้อนาคตว่า คติภพของบุคคลที่ทำนั้นจะไปทางใด ผู้มีปัญญาจึงควรทำแต่กรรมที่ดีๆ และทำให้มีมากเป็นอาจิณณกรรม คือ กรรมที่เป็นอาจิณ หรือ พึงทำครุกรรมฝ่ายกุศล เพื่อจิตใจจะได้ไม่หมองหม่น คราวจะถึงมรณกรรมและสามารถไปสู่สุคติโลกสวรรค์ได้ ไม่พลาดพลั้ง โดยเฉพาะควรเจริญภาวนาให้จิตใจตั้งมั่นเป็นอัปปนาสมาธิให้ได้ เพื่อให้จิตใจไม่ตกต่ำไปคิดเรื่องที่เป็นอกุศล ซึ่งจะนำพาตนให้ไปอุบัติเป็นพรหมผู้ประเสริฐอย่างแน่นอน

    คิดถึง สี่คนหาม สามคนแห่
    จิตเป็นหนึ่ง นั่งแคร่ แย่หรือเปล่า
    สองคนจะ พาไป ไหนหนอเรา
    จงเลือกเอา กุศล คนพาไป
    คือทำดี กรรมดี มีอำนาจ
    พาสมมาด ปราถนา หน้าผ่องใส
    ทั้งชาตินี้ มีสวรรค์ ไม่บรรลัย
    ตายลงได้ สวรรค์ซ้ำ สุขล้ำเอย


    ที่มา ปริศนาธรรมแห่งชีวิต : สี่คนหาม สามคนแห่ หนึ่งคนนั่งแคร่ สองคนพาไป - PaLungJit.com
     
  3. พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    วันนี้แนะนำพระขลังให้รู้จักรูปหนึ่ง อยู่ไม่ไกลมากแค่อยุธยานี่เอง น้องเคยนำตะกรุดมาให้ลูบคลำ ซีดซ๊าดเหมือนกินพริกขี้หนู ดีเหมือนกัน ขาที่ชอบของขลังคงถูกใจ ลองดูตามนี้ครับ

    หลวงพ่อนพวรรณ วัดเสนานิมิต ตอน เก้าเฮหรือหุ่นพยนต์กับการยืนหยัดที่รากเหง้าของสิ่งที่ถูกต้องดีงาม



    @....เฮกังกิงบาตูปุลุเกรอะเกราเกรา
    บาตุลงงันคิวลูปะตูกะตุนตง…..@
    ขึ้นต้นเรื่องมาด้วยคาถาบทนี้ ผมเชื่อว่าเพื่อนๆ นักนิยมพระเครื่องทุกท่านต้องทราบว่านี่คือวิชา เก้าเฮ” ซึ่งเป็นวิชาที่มีชื่อของสำนัก “วัดพระญาติการาม” จังหวัดพระนครศรีอยุธยา...ซึ่งอดีตเคยมีพระเกจิอาจารย์อาคมขลังนามว่า “หลวงพ่อกลั่น”เจ้าของเหรียญแพงเป็นอันดับหนึ่งของเมืองไทย เป็นอดีตเจ้าอาวาสผู้เกรียงไกร……….





    ผมได้ติดตามคณะศรัทธาของคุณประจักษ์ เพื่อไปกราบนมัสการท่านหลวงพ่อนพวรรณ หรือพระครูสังฆรักษ์นพวรรณ คุณสาโร เจ้าอาวาสวัดเสนานิมิต ต.บ้านหีบ อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งท่านเป็นพระเกจิอาจารย์อีกองค์หนึ่งในปัจจุบัน ที่มีเชี่ยวชาญในสรรพวิทยาคาถาอาคมอย่างหาตัวจับได้ยาก อีกทั้งประสบการณ์ของวัตถุมงคลที่ท่านสร้างออกมามีประสบการณ์แพร่หลายและ เป็นที่เสาะหาของบรรดานักนิยมพระเครื่องทั่วไป….



    หลวงพ่อนพวรรณท่าน เป็นพระรูปร่างเกินอวบเล็กน้อย ผิวดำ สักยันต์เต็มตัว ด้วยความที่ท่านเป็นคนไทยแท้ๆ ลูกหลานชาวนา และพื้นเพเป็นคนท้องถิ่นนี้ เท่าที่พวกเราสังเกตดูหลวงพ่อนพวรรณ ท่านจะเป็นพระที่พูดจาเสียงดัง พูดตรงๆ หรือที่เราเรียกกันว่า ขวานผ่าซาก” นั่นแหละครับ แต่บทที่ท่านคุยติดตลกซิครับ เรียกเสียงฮาดังๆ..ได้รอบวงสนทนาจริงๆ
    ดังนั้นเมื่อท่านเข้ามาที่ วัดเสนานิมิตแห่งนี้ จงอย่าแปลกใจเลยหากจะได้ยินการสนทนาซึ่งคล้ายๆกับคนกำลังทะเลาะกัน....ยิ่ง กับชาวบ้านละแวกวัดและกลุ่มลูกศิษย์แล้วต่างถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าวันไหนไม่ได้ยินเสียงหลวงพ่อซิครับ จึงจะเป็นเรื่องที่แปลก...
    ซึ่งผมคิดว่าการที่ต้องมีการพูดคุยเหมือนตะโกน อาจเกิดขึ้นจากสภาพของพื้นที่และทำเลที่ตั้ง”ของ วัดซึ่งอยู่กลางท้องนา ถามว่าระยะห่างจากถนนผ่านท้องนาเข้าไปที่วัดไกลแค่ไหน อยากให้เพื่อนๆ จินตนาการถึงสนามฟุตบอลซักหนึ่งสนาม แล้วลองเอากระป๋องโค้กไปตั้งไปตรงกลาง เปรียบเทียบดูว่าสนามฟุตบอลเป็นท้องนาและกระป๋องโค้กเป็นวัดซิครับ ไกลประมาณนั้นแหละครับ....
    ซึ่งบริบทของการสนทนาแบบพูดตรงๆไม่เกรงใจญาติโยมอย่างนี้ หลวงพ่อเมตตาขยายความด้วยน้ำเสียงเหน่อๆ อันดังปนหัวเราะให้พวกเราฟังว่า..

    ทำไม กูต้องสนใจ ถ้าญาติโยมหรือลูกศิษย์จะชอบกู นับถือกู ก็ต้องชอบหรือนับถือที่กูพูดจริง ไม่ใช่เพราะกูพูดเพราะ...อีกอย่างกูก็ไม่ใช้พระรับแขก..”(หัวเราะ)
    ครับสิ่งที่หลวงพ่อนพวรรณท่าน พูดออกมา ลักษณะที่เป็นตัวของตัวเอง บางทีคล้ายกับเป็นการมั่นใจในตัวเองสูงแบบสุดโต่ง แต่หากเราพิจารณาให้ดีแล้ว สิ่งที่ท่านพูดคือความเป็นจริงล้วนๆ...ลองถามใจตัวเองดูซิครับว่าเราชอบคนแบบไหน ชอบคนที่พูดจริง หรือคนที่พูดจาไพเราะ..
    บนโลกมนุษย์ที่ผู้คนส่วนใหญ่ยังชั่ง ตวง วัด คุณค่าของความเป็นคนจากรูปลักษณ์ภายนอก” ซึ่งหมายรวมถึงคำพูดหวานๆ มากกว่าความเป็นจริง แต่สำหรับหลวงพ่อนพวรรณ ท่านไม่ใช่...

    วันนี้ ไอ้พวกผีบ้า มานิมนต์กูไปเหยียบบ้าน กูบอกมึงไม่ต้องมานิมนต์กูหรอก มึงไปนิมนต์หลวงพ่อ หลวงน้า วัดแถวบ้านมาเจิมเป็นสิริมงคล ไม่ต้องมาเอากู กูก็พระธรรมดา อ้อ..นี่พวกมึงมานิมนต์เพราะว่ากูมีชื่อใช่มั๊ย ศรัทธากูที่ชื่อ ที่กูมีชื่อเสียง ไม่ใช่ศรัทธากูที่เป็นพระ ไอ้พวกผีบ้า...เดี๋ยวกูถีบหน้าหงาย”(หัวเราะ)
    อย่างไรก็ตามถึงหลวงพ่อนพวรรณ ท่านจะมีฝีปากที่ร้อนแรงดังมังกรพ่นไฟ แต่สิ่งที่พวกเราเห็นก็ไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปทั้งหมด”..โดยเฉพาะ...ถ้าคุณค่าความยิ่งใหญ่ของคนวัดกันที่ผลงาน ความยิ่งใหญ่ของพระสงฆ์รูปนี้ก็คงดูได้จากสิ่งที่พวกเราเห็น...

    วัดเสนานิมิต ตามที่หลวงพ่อนพวรรณเล่าให้พวกเราฟัง ความว่าเป็นวัดร้างเก่าแก่สมัยตั้งแต่กรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ซึ่งตัวท่านเองก็ไม่สามารถย้อนระลึกชาติได้ว่าอยู่ในสมัยพระเจ้าอะไร จำได้ก็แต่ลืมตาเกิดมาก็เห็นวัดนี้แล้ว ความตั้งใจมุ่งมันที่จะบูรณะปฏิสังขรณ์วัดแห่งนี้จึงฝังอยู่ในความคิดของ ท่านตั้งแต่เด็กๆ จนเมื่อท่านบวชและก้าวเข้ามาเป็นเจ้าอาวาสวัดเสนานิมิตแห่งนี้แหละครับ จากสภาพเดิมๆของวัดที่มีแต่เพียง
    โคกเจดีย์ ที่มีก้อนอิฐกระจายอยู่รอบๆ กับต้นมะขามเทศ สองต้น
    ปัจจุบันวัดแห่งนี้มี สถานที่สำหรับพระภิกษุสงฆ์ประกอบศาสนกิจค่อนข้างครบถ้วน ซึ่งหลวงพ่อบอกพวกเราว่า เงินที่นำมาบูรณปฏิสังขรณ์วัดก็มาจากการออกร่วมงานพุทธาภิเษก หรือออกวัตถุมงคลในนามของท่านเอง



    ถึงตอนนี้คงเป็นการตอบคำถามที่คาใจนัก นิยมสะสมพระเครื่องทุกท่าน ที่ได้ตั้งข้อสังเกตกันว่าหลวงพ่อนพวรรณ ท่านเป็นลูกศิษย์สายวัดพระญาติจริงหรือเปล่าหรือเป็นลูกศิษย์สายไหนกันแน่ นอกเหนือไปจากรอยสักรูปจิ้งจกที่ยืนยันการเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อหน่าย วัดบ้านแจ้ง...





    ไอ้ทิดพ่อกูยังเกิดไม่ทันหลวงพ่อกลั่นแล้วกูจะทันได้ยังไง แต่ปู่กูเกิดทันโว๊ย ย่ากูเป็นน้องสาวหลวงพ่ออั้น






    ตอน หลวงพ่ออั้นมรณภาพ ย่ากูได้ตำราสืบต่อมาทั้งหมด เขาเรียกว่าเป็นสายกัน อาจารย์กูเป็นฆราวาสอายุเก้าสิบกว่าๆ เป็นลูกศิษย์ทันหลวงพ่อกลั่นแต่ตอนนี้ตายหมดแล้ว มีครูเลื่อน ที่เรียนวิชากระบี่กระบองและคาถาจากหลวงพ่อกลั่น…ครูใหญ่ กูก็ได้วิชาเก้าเฮ...ครูใหญ่ได้วิชาจากหลวงพ่อกลั่นตอนแกอายุยี่สิบกำลังจะไปทหาร...นี่กูพูดเอาแต่ความจริง ไม่ได้โกหกลวงโลก
    ซึ่งเกี่ยวกับวิชาเก้าเฮ..นี้หลวงพ่อนพวรรณ ได้อธิบายเพิ่มเติมให้พวกเราฟังพอประดับสติปัญญาน้อยๆว่า



    วิชาเก้าเฮ..ขึ้นต้นด้วย ....เฮกังกิงบาตูปุลุเกรอะเกราเกรา บาตุลงงันคิวลูปะตูกะตุนตง…. เป็นวิชาที่ว่าด้วยเรื่องของชาตรี คือเป็นวิชาที่ใช้ป้องกันอาวุธ เมื่อมีอะไรมากระทบตัวเราจะกลายสภาพเป็นของเบาดุจนุ่นทั้งหมด ต่างจากวิชาคงกระพัน ซึ่งเป็นวิชาที่ทำให้ร่างกายเหนียวและคงทนต่ออาวุธ
    นอกเหนือไปจากวิชาเก้าเฮ...แล้ว ผมเชื่อมั่นว่าอีกวิชาที่หลวงพ่อนพวรรณได้เล่าเรียนมาและอยู่ในความสนใจของกลุ่มชนที่นิยมไสยศาสตร์เช่นกันคือ วิชาทำหุ่นพยนต์” ....หุ่นพยนต์คืออะไร ผมคงขอข้ามไปเพราะหลวงพ่อนพวรรณท่านไม่ได้อธิบายตรงจุดนี้แต่หากเพื่อนๆ สนใจลองค้นคว้าดูได้จากสื่อต่างๆ ที่เผยแพร่ออกมาก็คงพอจะได้ความ....หลวงพ่อนพวรรณเล่าเรื่อง”อาจารย์ที่สอนวิชาหุ่นพยนต์”ให้พวกเราทราบว่า...
    อาจารย์ ที่สอนกูชื่อตาลอย แกชื่อลอย โพธิ์เงิน ลอยเรืออยู่ริมคลองหน้าวัดสุวรรณาราม ตาลอยแกเป็นหมอชาวบ้าน กวาดยา ดูหมอ ทำเสน่ห์ ทำหุ่นพยนต์ แกเรียนมาจากหลวงพ่อแป้น วัดเสาธงใหม่ หลวงพ่อแป้น เรียนมาจากหลวงพ่อโนรี พระเขมร

    กู ก็เคยทำ สี่กรก็ทำได้ จะไปยากอะไร เอาหวายลูกนิมิตหรือหวายคล้องช้าง มาสานเป็นตัวหุ่น เสกนารายณ์เข้าไปให้มีฤทธิ์มีเดช หรือมึงจะให้กูสานเป็นเศียรฤษีก็ได้ แต่มึงเอ๊ยกว่าจะได้แต่ละตัวไมเกรนแทบขึ้น สานไป ว่าไป ตอนนี้กูหยุดทำแล้ว ไม่ไหววันหนึ่งสานได้แค่ตัวสองตัว ทำให้คนบูชากันทั้งประเทศ จะเอาไปทำอะไรกิน ยังไม่ทันซื้อปูนเทพื้นศาลากูก็ตายห่าซะก่อน”(หัวเราะ)

    ครับ...ตามที่ผมเล่าเรื่องของ วิชาเก้าเฮ” หรือ “วิชาหุ่นพยนต์” เพื่อนๆบางท่านอาจคิดว่าเป็นเรื่องเหลวไหล แต่ในความเป็นจริงแล้ววิชาต่างๆเหล่านี้คือส่วนประกอบของคนไทยในยุคสมัยเก่า ใช้ในการรักษาและกอบกู้เอกราชจากศึกสงคราม
    ผมเองก็ไม่ได้พูดเรื่องนี้อย่างเลื่อนลอยเหมือนคนละเมอไร้จุดหมายทุกอย่างที่ผมพูดมีหลักฐานชัดเจน ตัวอย่างที่เห็นชัดคือ สำนักดาบพุทไธสวรรค์ ที่สอนวิชากระบี่กระบอง ฟันดาบ หรือ

    สำนักวัดประดู่ทรงธรรม ซึ่งเป็นตักศิลาทางไสยศาสตร์ของภาคกลาง เช่นเดียวกับ...

    สำนักเขาอ้อที่เป็นตักศิลาไสยศาสตร์ของภาคใต้... ซึ่งทั้งสองวิชานี้ก็มีบรรจุอยู่ในหมวดวิชาเกี่ยวกับพุทธศาสตร์ของทั้งวัด เขาอ้อและวัดประดู่ทรงธรรม และสำนักที่ผมกล่าวอ้างมาทั้งหมดก็มีบทบาทในการต่อต้านศึกสงครามของไทยใน อดีต...
    ถึงแม้หลวงพ่อนพวรรณ ท่านจะเป็นพระขวัญใจ”ของ กลุ่มลูกศิษย์ ซึ่งมีหลายๆท่านเป็นนักธุรกิจร่ำรวย เป็นนายตำรวจ ยศใหญ่โต หรือเป็นชาวบ้านที่ประกอบอาชีพทำนาในละแวกอำเภออุทัย จนสามารถ”ว่ากล่าวตักเตือนหรือจะจิ้ม”ให้ลูกศิษย์คนไหนมาอำนวยความสะดวกได้ตลอดเวลา แต่หลวงพ่อนพวรรณ ท่านก็ไม่ได้ใช้”อภิสิทธิ์ตรงนั้น”มาบริการตัวท่าน บ่อยครั้งที่ พวกเราจะเห็นว่าหลวงพ่อเลือกที่จะพาตัวท่านเองไปนอนพักอย่างเงียบๆ เพราะไม่สบายและไม่มีรถรับตัวท่านไปรักษา เช่นในวันที่เรามากราบนมัสการท่านในครั้งนี้ เพียงเพื่อไม่อยาก”รบกวนหรือเป็นภาระ”ของใคร....

    กู จะไปมีอะไรไอ้ทิด...กูไม่มีรถ เจ็บไข้ได้ป่วยกูก็นอนของกูอยู่ตรงนี้ จะไปว่าจ้างรถก็ลำบาก เดี๋ยวมันไม่คิดเงิน กูเสกพระสร้างพระได้ปัจจัยมาก็มาลงที่วัดทั้งหมด นี่ถ้ากูไม่สร้างวัดกูคงมีเงินเป็นสิบๆล้าน แต่มีแล้วจะมีประโยชน์อะไร ตายแล้วลูกหลานก็มาแย่ง นี่ของหลวงพ่อกู ของหลวงลุงกู หนักๆเข้ากรรมการวัดก็บอก วัดของกู หลวงพ่อของกูบ้าง แย่งกันไม่รู้จักจบสิ้น แย่งกันโคตรโคตร
    ....ครับคำพูดนี้คือบทสรุปของคำว่าผลประโยชน์ ความโลภ หรือความตะกละ ที่ไม่เข้าใครออกใคร

    จากที่มาของคำว่า พุทธทาส” ในความหมายของ “หลวงพ่อพุทธทาสภิกขุ” ที่ว่า ข้าพเจ้ามอบชีวิตและร่างกายนี้ ถวายแด่พระพุทธเจ้า,ข้าพเจ้าเป็นทาสของพระพุทธเจ้า,พระพุทธเจ้าเป็นนายของข้า เพราะเหตุดังว่ามานี้ ข้าพเจ้าจึงชื่อว่า “พุทธทาส” ....เช่นเดียวกับ..”หลวงพ่อนพวรรณ” ที่ชีวิตนี้ท่านก็”อุทิศ”ให้กับพระพุทธเจ้า พระพุทธศาสนา ซึ่งในวันนั้นพวกเราได้เห็นท่านให้โอวาทกับพระภิกษุที่เข้ามานมัสการท่านว่า

    ท่าน ต้องจำไว้ พวกเราเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า พวกเราห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ซึ่งเป็นเครื่องแบบของผู้บริสุทธิ์ หลวงพ่อคู่สวดพาเรามาพูดซักฟอกกลางกลุ่มพระสงฆ์ให้รับรู้ จนไม่มีมลทินเป็นที่รังเกียจของสังคม คณะสงฆ์จึงตกลงรับเราเข้าเป็นพระ ให้สวมเครื่องแบบบริสุทธิ์ เมื่อวานท่านยังตีไก่ นั่งร้องเพลง วันนี้ใครเห็นท่านก็กราบไหว้ เขากราบไหว้ใจบริสุทธิ์ของคนห่มผ้าเหลือง
    พวกเราฟังแล้วต้องนั่งกันเงียบ ด้วยไม่เคยคาดคิดว่าจะได้เห็นหลวงพ่อนพวรรณท่านพูดได้ลึกซึ้งขนาดนี้ ...ความรู้สึกของผมเริ่มเปลี่ยนไป..ว่ากันว่าคุณค่าของความเป็นคนไม่จำเป็นต้องมานั่งประเมินด้วยคุณค่าของความยิ่งใหญ่” หลวงพ่อนพวรรณ ท่านอาจจะไม่ใช่พระที่สำรวม เก่งในเชิงคำสอนตามพระไตรปิฏก หรือเป็นพระผู้ประกาศธรรม แต่กระนั้นความคิดหรือความดีที่ท่านหมั่นทำหมั่นสอนอย่างไม่เคยว่างเว้น ก็ส่งผลให้พระที่มีผิวกายสีคล้ำเต็มไปด้วยรอยสักยันต์ เต็มเปี่ยมไปด้วย”แสงสว่างในตัวเองอยู่เสมอ...”

    ที่ผมคิดอย่างนี้ก็ เพราะว่าตลอดเวลาของการสนทนาหลวงพ่อนพวรรณ ท่านไม่เคยพูดถึงคุณวิเศษของวัตถุมงคลที่ท่านได้สร้างออกมาเลย ทั้งๆที่ตัวท่านเองก็สร้างออกมาหลายอย่างและทุกอย่างก็มีประสบการณ์บ่อยๆทำ ให้ของทุกอย่างหมดจากวัดไปอย่างรวดเร็ว เช่นหุ่นพยนต์ หรือนางกวักสำหรับค้าขาย
    ไอ้ผีบ้า พวกมึงก็เชื่อกันไปได้มันเป็นอุปทาน มึงอยากขายดี มึงมาเอากูไปช่วยขายซิวะ
    หรือเหรียญและตะกรุด พระนเรศวรปราบหงสา” ซึ่งได้ชื่อว่า “มีค่าควรเมือง

    กู สร้างพระยันต์นี้ไม่ได้มีไว้ให้คนร่ำรวยกันหรือมีไว้ให้ป้องกันปืน ป้องกันระเบิด แต่กูสร้างเป็นอนุสสติรำลึกถึงคุณพระธรรมคำสั่งสอนพระพุทธองค์จะคุ้มครองได้ ต่อผู้มีธรรมอยู่ในใจเท่านั้น ไม่ได้ไปหลอกคนให้ไปเช่าไม่ได้ไปหลอกให้คนหลงงมงาย แต่กูสร้างให้เป็นอนุสสติ รำลึก ให้นึกถึงบุญคุณแผ่นดิน นึกถึงสมเด็จพระนเรศวรมหาราชผู้ยิ่งใหญ่ผู้กล้าหาญ ที่ได้กอบกู้เอกราชกรุงศรีอยุธยาไว้ไม่ให้เป็นเมืองขึ้นประเทศพม่า

    ครับ....ถ้าเราจะเปรียบ พระพุทธศาสนาของเราเป็นดั่งต้นโพธิ์” รากเหง้าของต้นโพธิ์ที่ชอนไชลงไป เปลี่ยนเสมือน “ศาสนาพุทธของเราชอนไชเข้าไปทุกหนทุกแห่ง ในทุกวัฒนธรรม” ไสยศาสตร์หรือตำราคาถาอาคมที่หลวงพ่อนพวรรณ ท่านร่ำเรียนมาก็คือ”ส่วนหนึ่งของการถูกชอนไชจากรากต้นโพธิ์ต้นนี้” ซึ่งวัฒนธรรมเหล่านี้คือส่วนหนึ่งของ”วัฒนธรรมดั่งเดิมของคนไทย” และเมื่อเราย้อนมองไปดูวัฒนธรรมดั้งเดิมของเรา มันไม่ใช่เป็น”การถอยหลังเข้าคลอง” หากแต่เป็น”การยืนหยัดที่รากเหง้าของสิ่งที่ถูกต้องดีงาม

    ถึงตอนนั้นแหละครับพวกเราก็จะเข้าใจสิ่งที่เรียกว่า”ความดี ความจริง” ซึ่งเป็นสิ่งที่ท่านหลวงพ่อนพวรรณ ท่านได้ทำมาตลอดชีวิตของท่าน.....สวัสดีครับ


    ขอขอบคุณ


     
  4. พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    อันวิชาไสยเวทย์นั้นนับเป็นของร้อนทำให้จิตใจกระวนกระวาย หาได้เย็นชุ่มฉ่ำใจเทียบเท่ากับการ "หยุด" แล้ว หันกลับมาพิจารณาตนเองไม่ หากมีเวลา หรืออยู่คนเดียวว่างๆ ลองทำจิตให้สงบ พลิกจิตกลับมาคิดในสิ่งที่เป็น "ของเย็น" บ้าง นับว่ามิเสียทีที่เกิดมาพบพุทธศาสนา ศาสนาของผู้ตื่นและผู้เบิกบาน

    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td>
    </td> <td width="44">
    </td> </tr> </tbody></table>
    <table border="0" width="100%"> <tbody><tr> <td valign="top">
    </td> </tr> </tbody></table>
    <table align="center" border="0" width="500"> <tbody><tr> <td valign="top"> <table border="0" width="100%"> <tbody><tr> <td>
    ทุกข์เกิดจากอะไร

    </td> </tr> </tbody></table> ทุกข์มี 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
    1.) ทุกข์ในอริยสัจ 4
    2.) ทุกข์ในไตรลักษณ์


    ทุกข์ในอริยสัจ 4 ก็คือทุกขเวทนาหรือความรู้สึกที่เป็นทุกข์ ซึ่งก็คือความทุกข์ในความหมายของคนทั่ว ๆ ไปนั่นเอง ทุกขเวทนามี 2 ทางคือ ทุกข์ทางกาย กับทุกข์ทางใจ


    ทุกข์ทางกาย หมายถึงทุกข์ที่มีกายเป็นเหตุ ได้แก่ ทุกข์ที่เกิดจากความหนาว ความร้อน ความป่วยไข้ ความบาดเจ็บ ความหิวกระหาย ความเสื่อมสภาพของร่างกาย ทุกข์ที่เกิดจากการที่ต้องคอยประคบประหงม ดูแลบำรุงรักษาทำความสะอาดร่างกาย และความทุกข์อื่น ๆ อันมีกายเป็นต้นเหตุอีกเป็นจำนวนมาก ทุกข์ทางกายเหล่านี้เป็นสิ่งที่เกิดมาคู่กับร่างกาย เป็นสิ่งที่เลี่ยงได้ยาก ตราบใดที่ยังมีร่างกายอยู่ก็ต้องทนกับทุกข์ทางกายนี้เรื่อยไปไม่มีวันพ้นไปได้ แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งเป็นผู้ที่สร้างสมบุญบารมีมาอย่างมากมาย มากกว่ามนุษย์และเทวดาทั้งหลาย ก็ยังต้องทนทุกข์ทางกายนี้จนกระทั่งถึงวันปรินิพพาน สมกับคำที่ว่า การเกิดทุกคราวเป็นทุกข์ร่ำไป

    ทุกข์ทางใจ หมาย ถึงทุกข์ที่เกิดจากการปรุงแต่งของใจ ทุกข์ทางใจนี้ส่วนหนึ่งมีทุกข์ทางกายเป็นสิ่งเร้าให้เกิด เช่น เมื่อได้รับบาดเจ็บหรือป่วยไข้ขึ้นมาทำให้เกิดทุกข์ทางกายขึ้นแล้ว ต่อมาก็เกิดความกังวลใจ ความหวาดกลัวขึ้นมาอีกว่าอาจจะรักษาไม่หาย อาจจะต้องสูญเสียอวัยวะไป หรืออาจจะต้องถึงตาย ซึ่งความกังวลความหวาดกลัวเหล่านี้จะก่อให้เกิดทุกข์ทางใจขึ้นมา ทุกข์ทางใจอีกส่วนหนึ่งเกิดขึ้นโดยไม่มีทุกข์ทางกายเป็นต้นเหตุ เช่น ความทุกข์จากการประสบกับสิ่งที่ไม่เป็นที่รักที่พอใจ ความทุกข์จากการพลัดพรากจากสิ่งที่เป็นที่รักที่พอใจ ทุกข์จากการไม่ได้ในสิ่งที่ปรารถนา ทุกข์จากความโกรธความขัดเคืองใจ ทุกข์จากความกลัว ทุกข์จากความกังวลใจ ความคับแค้นใจ ทุกข์จากความกลัวว่าความสุขที่มีอยู่จะต้องหมดไป ทุกข์จากความกลัวความทุกข์ยากลำบากที่อาจจะมีขึ้นในอนาคต ทุกข์จากการกลัวความเสื่อมลาภ เสื่อมยศ เสื่อมสรรเสริญ และทุกข์ทางใจอื่น ๆ อีกนับไม่ถ้วน
    กล่าวโดยสรุป ทุกข์ทางใจทั้งหมดล้วนมีต้นเหตุมาจากความโลภ ความโกรธ และความยึดมั่นถือมั่น .


    ทุกข์จากความโลภ ตามหลักอภิธรรมแล้วความโลภจะไม่ประกอบด้วยความทุกข์ เพราะความโลภจะเกิดขึ้นพร้อมกับความดีใจ หรือเกิดพร้อมกับความรู้สึกเฉย ๆ ( อุเบกขา ) เท่านั้น ที่กล่าวว่าความทุกข์ที่มีต้นเหตุมาจากความโลภในที่นี้ ไม่ได้หมายความว่าความทุกข์นั้นเกิดพร้อมกับความโลภ แต่เป็นความทุกข์อันมีความโลภเป็นเบื้องต้น และมีความทุกข์เป็นเบื้องปลาย อันได้แก่ ความทุกข์ที่เกิดจากความกลัวจะไม่ได้ในสิ่งที่ตนอยากได้ ทุกข์จากการที่ต้องดิ้นรนขวนขวายเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตนอยากได้ เป็นต้น
    ทุกข์จากความโกรธ ความโกรธนั้นไม่ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อใดก็นำทุกข์มาให้เมื่อนั้น เพราะความโกรธจะทำให้จิตใจต้องเร่าร้อนดิ้นรน เกิดความกระทบกระทั่งภายในใจ ทำให้จิตใจเศร้าหมอง ความโลภนั้นในเบื้องต้นยังพอจะนำความสุขมาให้ได้บ้าง ( ในขณะที่เกิดความเพลิดเพลินยินดี ) แต่ความโกรธนั้นนำมาแต่ความทุกข์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ตัวอย่างของความทุกข์จากความโกรธเช่น ทุกข์จากความไม่พอใจ ขัดเคืองใจ คับแค้นใจ กังวลใจ ความกลัว ความหวาดระแวง ความมองโลกในแง่ร้าย ความไม่สบายใจ ความอิจฉาริษยา ความพยาบาทอาฆาตแค้น เป็นต้น

    ทุกข์จากความยึดมั่นถือมั่น สิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่ว่าจะเป็นฝ่ายรูปธรรมหรือนามธรรม ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายวัตถุหรือฝ่ายจิตใจก็ตาม ถ้าเราไปยึดมั่นถือมั่นเข้าแล้วก็ล้วนนำทุกข์มาให้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะยึดว่าเป็นเรา เป็นของของเรา เป็นตัวเป็นตนของเรา ยึดว่าเป็นเขา เป็นของของเขา ยึดว่าเป็นสิ่งที่เราชอบใจ เป็นสิ่งที่เราไม่ชอบใจ ยึดว่าเป็นคนที่เคยทำร้ายเรา เคยด่าเรา ยึดว่าเป็นญาติพี่น้อง เป็นศัตรู เป็นครูอาจารย์ เป็นผู้ที่เราเคารพนับถือ ยึดว่าเป็นนาย เป็นบ่าว เป็นเพื่อน เป็นหน้าที่การงาน ฯลฯ ไม่มีสิ่งใดเลยที่ยึดมั่นถือมั่นแล้วจะไม่นำทุกข์มาให้ แม้แต่ยึดในบุญกุศล ความดี มรรค ผล นิพพาน ก็ตามที ( อริยบุคคลนั้นไม่ยึดในรูปนามทั้งหลาย ไม่ยินดีในการเกิดก็จริง แต่ก็ไม่ได้ยึดมั่นในมรรค ผล นิพพาน )

    เพราะการยึดในสิ่งที่เราไม่ชอบใจก็ย่อมจะทำให้เกิดความขัดเคืองใจ โกรธ ไม่พอใจ คับแค้นใจ กลัว ฯลฯ พูดง่าย ๆ ก็คือเป็นต้นเหตุของความทุกข์จากความโกรธนั่นเอง ส่วนการยึดในสิ่งที่เราชอบใจก็จะทำให้เกิดทุกข์อันมีต้นเหตุมาจากความโลภ นอกจากนี้ยังจะทำให้เกิดทุกข์จากความกลัวการพลัดพรากสูญเสียสิ่งเหล่านั้นไป ทุกข์จากการต้องคอยทนุถนอม บำรุงรักษา เก็บรักษาไว้ ต้องคอยปกป้อง ห่วงใย ต้องคอยดูแลเอาใจใส่ไม่เป็นอิสระ และถ้าต้องสูญเสียสิ่งเหล่านั้นไปก็จะยิ่งเป็นทุกข์ขึ้นไปอีกมากมายนัก ส่วนการยึดในบุญนั้นก็ต้องเป็นทุกข์จากการรอคอยว่าเมื่อไรผลบุญถึงจะตอบสนอง ยึดในบาปก็เป็นทุกข์กลัวกรรมจะตามสนอง
    กล่าวโดยสรุปก็คือ ยึดสิ่งไหนก็ทุกข์เพราะสิ่งนั้น ถ้าเราไม่ยึดมั่นถือมั่นสิ่งใดเลยความทุกข์ทางใจทั้งหลายก็ไม่อาจจะเกิดขึ้น กับเราได้เลย .


    ทุกข์ในไตรลักษณ์ ไตรลักษณ์ก็คือสามัญลักษณะ 3 ประการคือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คำว่าทุกข์ในไตรลักษณ์ก็หมายถึงทุกขัง ในไตรลักษณ์หรือที่เรียกว่าทุกขลักษณะนั่นเอง ซึ่งหมายถึงการที่สิ่งทั้งหลายทั้งปวงยกเว้นนิพพาน ล้วนอยู่ในสภาวะที่ถูกเหตุถูกปัจจัยทั้งหลาย บีบคั้นให้แปรปรวนไปอยู่ตลอดเวลา ไม่สามารถทนอยู่ในสภาพเดิมได้ตลอดไป (ดูเรื่องทุกขเวทนากับทุกข์ในไตรลักษณ์ ในหมวดวิปัสสนา (ปัญญา) ประกอบ)

    ทุกข์ในไตรลักษณ์นี้เป็นลักษณะอันเป็นสามัญ คือเป็นเรื่องธรรมดาของสังขารธรรมทั้งหลายที่จะต้องเป็นไปอย่างนั้น เป็นกฎอันเป็นพื้นฐานของธรรมชาติ เพราะสิ่งทั้งหลายทั้งปวงล้วนเป็นเพียงผลของเหตุของปัจจัยเท่านั้นเอง ไม่มีสิ่งใดเลยที่มีอำนาจเหนือตน ตราบใดที่ยังไม่เข้าสู่สภาวะแห่งนิพพานแล้ว ก็จะต้องเผชิญกับทุกข์ในไตรลักษณ์นี้ด้วยกันทั้งสิ้น

    ทุกข์ในอริยสัจ 4
    ก็อยู่ในสภาวะทุกข์ในไตรลักษณ์ด้วย นอกจากนี้สุขเวทนาและอุเบกขาเวทนาก็ยังไม่พ้นจากทุกข์ในไตรลักษณ์ เพราะทั้งสุขและอุเบกขาก็ล้วนถูกเหตุปัจจัยต่าง ๆ บีบคั้นให้แปรปรวนไปอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน

    </td></tr></tbody></table>
    http://ecurriculum.mv.ac.th/dhamma/dhammathai/treatment/nivorn/nivorn01.php.htm
     
  5. ไชยชุมพล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    246
    ค่าพลัง:
    +1,873
    เมื่อวันที่ 7 พค.ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ร่วมทำบุญกับทุนนิธิฯ จำนวน 500 บาท โดยโอนเงินเมื่อเวลาประมาณ 10 โมงเช้าครับ

    และผมขอรบกวนพี่โสระช่วยนำเงินจำนวน 450 บาทเข้าบัญชีของทุนนิธิฯ ในเดือนพค.นี้ให้ด้วยครับ

    [ที่ผมเคยฝากไว้ในบัญชีของพี่จำนวน 500 บาท
    หักค่าจัดส่งพระในเดือน กพ.เป็นเงินจำนวน 50 บาท
    คงเหลือ 450 บาท]

    ขอบคุณมากครับ และขออนุโมทนากับคณะกรรมการและผู้ร่วมทำบุญทุกท่านครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    <TABLE class=tborder id=post cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">20-01-2009, 11:42 PM </TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right> </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>ธิติ<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    วันที่สมัคร: Oct 2005
    ข้อความ: 92
    <IF condition="">
    </IF>Groans: 0
    Groaned at 0 Times in 0 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 264
    ได้รับอนุโมทนา 862 ครั้ง ใน 90 โพส
    พลังการให้คะแนน: 66


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_ style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><CENTER>ขอรับพระครับ

    </CENTER>
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1>เรียนพี่โสระครับ

    วันนี้ผมโอนเงินจำนวน 500 บาทสำหรับค่าจัดส่งพระจำนวน 5 ครั้งเข้าบัญชีธ.กสิกรไทยของพี่ เวลา 13:18 น.

    ในครั้งนี้ผมขอแสดงความจำนงรับพระที่คณะกรรมการได้แจกไปในเดือนธค. ปีที่แล้วด้วยครับ (หากพระยังมีพอแจกอยู่)
    สำหรับ 400 บาทที่เหลือเป็นค่าจัดส่งพระสำหรับในอนาคตที่จะมีต่อไปครับ

    ได้โปรดจัดส่งพระไปยังที่อยู่นี้ด้วยครับ

    ธิติ ตันสกุล
    53 ถ.ติรสถิตย์ ต.พิมาน อ.เมือง จ.สตูล 91000

    ขอบพระคุณมากครับ

    ธิติ
    </TD></TR><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid"> </TD></TR></TBODY></TABLE>

    เดิมทีตามpmที่แจ้งว่าให้นำเงินจำนวนนี้ไว้เป็นค่าส่งพระในอนาคตผมจึงยังไม่นำเงินเข้าบัญชีทุนนิธิฯ แต่ถ้ามีเจตนาให้นำเงินนี้เข้าทำบุญทุนนิธิฯก็จะเร่งดำเนินการให้ครับ

    โมทนา ครับ
     
  7. nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    วันนี้เวลา 12.11น.ผมได้ฝากเงินจำนวน 500บาทเข้าบัญชี pratom f. 3481232459เพื่อร่วม ทำบุญสงฆ์อาพาธครับ ขอบคุณครับ
     
  8. ไชยชุมพล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    246
    ค่าพลัง:
    +1,873
    เรียนพี่โสระครับ

    จากความตั้งใจเดิม ผมฝากเงินจำนวนดังกล่าวไว้ที่บัญชีพี่เพื่อป็นค่าจัดส่งพระในอนาคต พอดีเห็นว่าช่วงนี้ยังไม่ค่อยมีการแจกพระกันเท่าไหร่ ผมก็เลยอยากนำเงินจำนวนนั้นไปทำบุญก่อนครับ

    ต้อขอโทษด้วยครับที่ผมจำผิดว่าค่าส่งพระเป็น 50 บาท ดังนั้นรบกวนที่เหลืออีก 400 บาท เข้าบัญชีทุนนิธิฯ เลยครับ

    ขอบพระคุณมากครับ
     
  9. พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ขอลงพระขลังอีกองค์หนึ่งให้ทราบครับ ไม่ไกลเลย แค่นครปฐมนี่เอง ไปกราบพระกราบเจ้า ท่านเสกขลังได้ แสดงว่าท่านก็ได้ระดับฌาณ ท่านที่ได้ฌาณ แสดงว่าท่านระวังในศีล ไม่ได้แค่เพียงลูบคลำ ลองไปสนทนาธรรมกับท่านก็แล้วกันครับ


    หลวงพ่อสืบเป็นเกจิอีกท่านที่ผมเคยไปกราบ เป็นพระที่มีความเป็นอยู่แบบง่ายๆ
    คุยสนุก ท่านได้สร้างตะกรุดขึ้นมาหลายอย่างครับ มีประสบการณ์พอสมควรในพื้นที่
    จริงๆแล้วเท่าที่ได้สนทนากับหลวงพ่อ ท่านไม่นิยมยินดีที่มีคนเอาตะกรุดของท่านไปลอง
    ท่านว่าใอ้พวกนี้มันพิเรน ขี่รถซิ่งก็มี ตำรวจจับและถามว่าไม่กลัวตายเหรอ มันดั๊นไปตอบ
    เค้าว่า ไม่กลัวมีตะกรุดหลวงพ่อ ท่านว่าจบก็แถมด่าทิ้งท้าย










    ตะกรุดที่ผมพกติดตัวอยู่ครับ เดิมๆจากวัด



    หลวงพ่อเมตตาจารแผ่นทองแดงให้ เพื่อนำไปเป็นฉนวนหล่อพระ ( แต่ยังไม่ได้สร้าง) จารยันต์หัวใจราชสีห์ครับ



    และท่านก็ปลุกเสกอีกรอบ พร้อมๆกับตะกรุดที่เช่าบูชามา ท่านว่ามีอย่างเดียวที่ไม่อยากเสก
    นั้นก็คือ หนังเสือ ท่านว่าเด๋วนี้เอาหนังเสืออะไรมาก็ไม่รู้ ครูบาอาจารย์สอนว่าต้องเป็นหนังเสือโคร่งเท่านั้น
    บางที่เจอหนังเสือไฟ ท่านว่ามันใช้ไม่ได้ และอีกอย่างต้องเสก 108 ตัว ตัวละ 108 จบ จึงจะขลัง
    คิดดูแล้วกันว่าจะกี่จบ



    ใครที่ยังไม่เคยสัมผัสท่าน ลองไปกราบท่านดูนะครับ ใจดีและเมตตามาก เข้าพบง่าย
    ไม่มีใครกัน นอกจากเวลาท่านฉันเพลและจำวัดตอนบ่ายๆนั้นแหละครับ ส่วนใหญ่ท่านว่า
    ไม่ได้นอนหรอก จารของซะมากกว่า วันๆนึงทำได้ไม่เยอะครับ

    ขอขอบคุณ

    สวนขลังดอทคอม.
     
  10. พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097

    ว.วชิรเมธี ควรอ่านจิง ๆ

    ๑ . กลัวลูกมีเซ็กส์ในวัยเรียน ?
    ไม่อยากให้เกิด ต้องเอาปัญญาใส่ในมือลูก
    ให้เงินลูกน้อยๆ ให้ความรู้แก่ลูกมากๆ
    ด่าลูกน้อยๆ ให้คำสอนลูกมากๆ

    ๒ . ไหว้พระขอพรอะไรดี ?
    ( ๑ ) ขออย่าให้โลภจนหน้ามืด
    ( ๒ ) ขออย่าให้โกรธจนทำร้ายตัวเอง
    ( ๓ ) ขออย่าให้หลงจนไม่รู้ดีรู้ชั่ว
    ( ๔ ) ขออย่าให้ตายในสงครามระหว่างคนไทยด้วยกันเอง

    ๓ . ท้อแท้กับปัญหามากมายทำอย่างไรดี ?
    ปลาที่ยังเป็นอยู่ ล้วนเรียนรู้ที่จะว่ายทวนน้ำ
    ส่วนปลาตาย มักไหลตามน้ำ
    ปัญหาทำให้คนธรรมดาท้อ
    แต่ทำให้คนมีปัญญาลุกขึ้นมาแก้ไข

    ๔ . ทะเลาะกับแฟนจนไม่มีสมาธิทำงาน ?
    งานส่วนงาน แฟนส่วนแฟน
    รู้จักแบ่งเวลาให้งาน
    รู้จักแบ่งเวลาให้แฟน
    อย่าเสียงานเพราะแฟน
    อย่าเสียแฟนเพราะงาน

    ๕ . โกรธ ! ถูกเพื่อนนินทา ?
    โบราณว่าไม่มีใครเตะหมาที่ตายแล้ว
    คุณถูกนินทาแสดงว่าคุณยังมีความหมาย
    คุณเป็นคนโชคดี
    จู่ๆ ก็มีกระจกวิเศษสะท้อนความอัปลักษณ์
    ให้เห็นความบกพร่องของตัวเอง

    ๖ . จับได้ว่าแฟนมีกิ๊กทำอย่างไรดี ?
    ( ๑ ) ถามตัวเองว่าเราดีกับเขาพอหรือยัง
    ( ๒ ) ระหว่างเรากับกิ๊กมีข้อดีข้อด้อยต่างกันตรงไหน
    ( ๓ ) ถามแฟนว่าจะเลือกใครก็รีบทำ ไม่รักฉัน อย่าทำให้ฉันเสียเวลา

    ๗ . โดนเพื่อนร่วมงานแย่งซีนทำอย่างไร ?
    เขาแย่งจากเราได้เพียงแค่ซีนและภาพลักษณ์เท่านั้น
    แต่เขาไม่สามารถแย่งความรู้และความสามารถไปจากเราได้

    ๘ . งานเยอะมากทำอย่างไรดี ?
    ( ๑ ) รู้ว่างานเยอะต้องรีบทำ
    ( ๒ ) อย่าดองงานข้ามปีข้ามชาติ
    ( ๓ ) เรียงลำดับความสำคัญของงาน สำคัญก่อนให้รีบทำ สำคัญน้อยค่อยทยอยทำ

    ๙ . ทำงานดี มีแต่คนริษยา จะรับมืออย่างไร ?
    โบราณว่า ไม้ใหญ่ย่อมเจอขวานคม
    คนเด่นต้องมีคนด่า
    คนมีปัญญาจึงมีคนลองดี
    คนทำงานดีจึงมีคนริษยา
    ปรากฏการณ์เช่นว่านี้
    เป็นของธรรมดา
    ทำงานดีจนมีคนริษยา
    ยังดีกว่าทำงานไม่ดี จึงเป็นได้อย่างดีแค่คนที่คอยริษยา

    ๑๐ . ทำงานแทบตาย เงินไม่พอใช้ ทำอย่างไรดี ?
    ( ๑ ) หางานใหม่
    ( ๒ ) ลดความต้องการให้น้อยลง อยู่กับความจริงให้มาก
    ( ๓ ) บริโภคปัจจัยสี่โดยมุ่งประโยชน์ อย่ามุ่งประดับ
    ( ๔ ) ทำบัญชีรายรับ - รายจ่าย รับมากกว่าจ่ายจึงนับว่ายอด จ่ายมากกว่ารับนับว่าแย่

    ๑๑ . ถูกนายด่า อารมณ์เสีย ?
    คนที่ด่าคนอื่น สะท้อนว่าระบบข้างใจกำลังพัง
    คนอารมณ์เสียเพราะถูกด่า แสดงว่าระบบของตัวเองก็พังตามไปด้วย

    ๑๒ . ไถ่ชีวิตโคได้บุญมากไหม ?
    ถ้าไถ่แล้วโคอยู่รอด คุณได้บุญ
    แต่หากไถ่เพื่อทำให้วัดอยู่รอด คุณได้บาป
    แทนที่จะไถ่โคกระบือ
    คุณควรไถ่ตัวเองให้พ้นจากความโลภ โกรธ หลง ดีกว่า

    ๑๓ . แฟนติดหนังเกาหลี ดูทั้งคืนไม่ยอมนอน ?
    ขอให้คิดว่าอย่างน้อยเธอยังนั่งดูอยู่ในบ้าน
    ถึงเธอจะติดหนังเกาหลี ก็ยังดีกว่าติดผู้ชายขี้หลีที่อยู่นอกบ้าน

    ๑๔ . ลูกค้าจู้จี้ทำอย่างไรดี ?
    มีลูกค้าจู้จี้ยังดีกว่าวันทั้งวันไม่มีใครแวะเวียน
    ผ่านมาเยี่ยมเยียนถึงในร้าน ลูกค้าจู้จี้ได้ แต่คุณต้องทำให้เขาประทับใจเอาไว้เสมอ

    ๑๕ . ไปงานวันเกิดควรได้อะไร ?
    ( ๑ ) ได้ถามตัวเองว่า เราเกิดมาเพื่ออะไร
    ( ๒ ) ได้ถามตัวเองว่า เราเกิดมาจากใคร
    ( ๓ ) ได้ถามตัวเองว่า เรากตัญญูต่อผู้ให้กำเนิดแล้วหรือยัง

    ๑๖ . สวดมนต์บทไหนดี ?
    ( ๑ ) สวดพุทธคุณเพื่อเตือนว่า จงเป็นผู้ตื่น
    ( ๒ ) สวดธรรมคุณเพื่อเตือนว่า จงเว้นสิ่งที่ควรเว้น จงทำสิ่งที่ควรทำ
    ( ๓ ) สวดสังฆคุณเพื่อเตือนว่า พระอรหันต์ที่แท้ คือพ่อกับแม่ที่อยู่ในบ้านของเรานั่นเอง

    ๑๗ . สามีไม่สนใจธรรมะเลยทำอย่างไรดี ?
    ( ๑ ) เราควรมีธรรมะให้เขาดู
    ( ๒ ) เราควรอยู่ให้เขาเห็น
    ( ๓ ) เราควรสงบเย็นให้เขาได้สัมผัส เนื่องเพราะหนึ่งการกระทำสำคัญกว่าพันคำพูด

    ๑๘ . โดนขับรถปาดหน้า โมโหมาก ?
    ( ๑ ) บอกตัวเองว่าโกรธคือโง่ โมโหคือบ้า ด่าคือมาร ระรานคือบาป
    ( ๒ ) เปลี่ยนการด่าเป็นการแผ่เมตตาให้เขาถึงที่หมายโดยปลอดภัย
    ( ๓ ) เตือนตนไว้ว่า อย่าขับรถปาดหน้าใคร เพราะอาจมีอันตรายรอบด้าน

    ๑๙ . อยู่ในกลุ่มเพื่อนชอบนินทา จะตีจากดีไหม ?
    ท่านพุทธทาสกล่าวว่า คนชอบนินทาคือคนที่ชอบกินของเน่า
    ถ้าเราร่วมผสมโรงไปกับเขา แสดงว่าเราเองก็ชอบกินของเน่าไม่เบาเหมือนกัน

    ๒๐ . ทำไมมักเจอสิ่งที่ไม่ชอบใจอยู่เสมอ ?
    ผู้รู้บอกว่า
    ศิลปินอย่าดูหมิ่นศิลปะ
    กองขยะดูดีๆ ยังมีศิลป์
    ดังนั้น ในสิ่งที่คุณไม่ชอบ
    ย่อมมีแง่มุมที่คุณชอบอย่างแน่นอน
    มองอย่างพินิจจะพบว่า ในดีมีเสีย ในเสียมีดี



    นำมาจาก
     
  11. katicat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,112
    ค่าพลัง:
    +524
    วันหยุดวิสาขบูชานี้ ได้ไปเป็นเจ้าภาพถวายภัตตาหารเพลพระกรรมฐาน7รูป ถวายปัจจัยหลวงพ่อ ชำระค่าน้ำค่าไฟวัด และนั่งสมาธิภาวนา ที่วัดพลับ ขออุทิศบุญให้กัลยาณมิตรทุกท่านด้วยนะคะ
     
  12. นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    911
    ค่าพลัง:
    +4,285
  13. พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ใครทำบุญชาติหน้าไม่มีจริงอย่างดีก็แค่เสมอตัว
    ใครทำไม่ดี หากนรกมีจริง ก็ดูเอาครับ

    ภาพลงโทษผู้ทำกรรมชั่วใน "นรก"
    ไม่เชื่ออย่าลบหลู่
    16 รูป
    รูปที่ 1
    รูปที่ 2
    รูปที่ 3
    รูปที่ 4
    รูปที่ 5
    รูปที่ 6
    รูปที่ 7
    รูปที่ 8
    รูปที่ 9
    รูปที่ 10
    รูปที่ 11
    รูปที่ 12
    รูปที่ 13
    รูปที่ 14
    รูปที่ 15
    รูปที่ 16






    ขอขอบคุณ

    ภาพลงโทษใน "นรก"�-�ธรรมจักร :: เว็บธรรมะออนไลน์
     
  14. พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ธรรมวิธี.........ลดเคราะห์ บรรเทา "กรรม"
    ธรรมวิถีลดเคราะห์บรรเทากรรม เสริมดวง สิริมงคลด้วยพลังบุญศักดิ์สิทธิ์
    ๑ สิทธิการิยะ พระอาจาริยเจ้าได้ถ่ายทอดธรรมวิ๔เพื่อโปรดสัตว์ให้มีสุข พ้นทุกข์พอสรุปได้ความดังนี้

    ๑ เรื่องบุญเรื่องบาปกรรมกำหนดที่พุทธศาสนา กล่าวไว้เป็นเรื่องจริง เพราะถ้าไม่มีบุญไม่มีบาปแล้ว มนุษย์เราต้องเกิดมาเหมือนกันหมด แต่เพราะมีบุญมีบาป จึงเป็นเช่นนั้น มีดี, ชั่ว, สุข, ทุกข์, รวย, จน, มีโชค, มีเคราะห์ ฯลฯ

    ๑ดังอธิบายในเบื้องต้นว่าสุข ทุกข์ เกิดจากบุญ บาป กรรมดี กรรมชั่ว ดังนั้นการที่จะหลีกพ้นจากทุกข์โทษเวรภัยเคราะห์ร้ายทั้งหลาย ก็ด้วยพลังของความดีที่ตนเองได้สร้างเป็นหลักแล้ว ยังสามารถพึ่งพระรัตนตรัย ตลอดจน เทวฤทธิ์ รวมพลังบุญศักดิ์เป็นแสงสว่างแก่ชีวิทเป็นย่อเกิดความปห่งความดีงามของตนและ คนอื่น

    ๑แก้ววิเศษ มี่ค่ามหาศาลประมาณค่ามิได้ เป็น ที่พึ่งได้จริง คือ พระรัตนตรัย ได้แก่ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จึงให้ตั้งนะโม นมัสการบูชาพระ ถึงไตรสรณคมณ์ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ สัฃฆัง สะระณัง คัจฉามิ หางศรัทธามั่งคงย่อมเจริญทั้งทางโลกและทางธรรม เป็นแก้วสูงสุดในสามโลก

    ๑ศีลรักษาให้มีกายวาจาเป็นปรกติ ศีลล่งผลให้เกิดในที่สุขติ เทวดารักษา ไม่ไปในทางเสื่อม บางท่านบอกว่าศีลรักษายาก แต่จริงๆแล้ว ทุกท่านสามารถรักษาได้ อย่างน้อยข้อไดข้อหนึ่งก็ยังดี บางท่านมีปัญญา ก่อนนอนรักษาศีล8 ตื่นนอนรักษาศีล5 อย่างน้อยก็มีกำไรเพราะตอนนอนย่อมรักษาศีลได้อย่างแน่นอน ช่วยชำระกิเลสให้เบาบางลง ปละเป็นบุญสำคัญที่จะรองรับความดีนังให้เจริญยิ่งๆขึ้นไป

    ๑ทานส่งผลให้มีทรัพย์ ทาน มีหลายระดับแตกต่างกัน ตั้งแต่สัตว์เดรัจฉาน มนุษย์ พระอริยะเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระ พุทธเจ้า ย่อมมีอนิสงค์แตกต่างกันไปจนถึงสังฆทาน วิหารทาน ธรรมทาน และ จนถึงที่สุดคือ อภัยทาน ถ้าบำเพ็ญอยู่เสมอย่อมยังผลให้เกิดความคล่องตัว ทุกคนสามารถทำได้ง่ายๆ คือ หาถาชนะอันสมควรตั้งในที่บูชา แล้วนำเงินไปใส่ไว้ในภาชนะนั้น สวดมนต์ใหว้พระ เจริญพระคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า สะสมไว้จนเต็มหรือมีโอกาศก็นำไปทำบุญ ทำทุกวันเห็นผลทั้งทางโลกและทางธรรม (พระคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า และพระคาถาอื่นๆจะนำลงในเว็บภายหลัง)

    ๑การเจริญภาวณาก็เป็นบุญกุศลมหาศาล เพราะ สามารถปราบกิเลสได้หลายตัว ตั่งแต่เริ่มตั้งตาการสวดมนต์สามารถบำเพ็ญได้ครบทั้งกาย วาจา ใจ เช่น กายพนมมือ นอบน้อม ปากสวดมนต์สรรเสริญคุณพระ ใจระลึกถึงคุณพระ ผุ้ที่สวดด้วยความเคารพตั้งใจเลื่อมใส ยังให้มีบุญประมาณมิได้ ทั้งยังเกิดสวัสดิมงคล

    ๑ผู้ที่ฆ่าสัตว์ใหญ่ ฆ่ามนุษย์ โดย เฉพาะทำแท้ง เป็นบาปก่อให้เกิดทุกข์อุปสรรคทั้งหลายในชีวิตนานา ประการ ให้ทำบุญด้วยพระพุทธรูปหน้าตัก 5 นิ้วขึ้นไป ผ้าขาว หรือไตรจีวรไร้อมอาหารถวายเป็นสังฆทาน อนิษฐานขอบุญพระพุทธเจ้า บุญศักดิ์สิทธิ์ นำพาดวงจิตไปวิมานบุญ ขออโหสิกรรมนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ขอให้มีความสุขด้วยพุทธบารมีธรรม (หรืออาจจะสร้างพระพุทธรูปหน้าตัก 5 นิ้ว อนิษฐานเป็นพระพุทธรูปบูชาอโหสิกรรมพิเศษของเราโดยเชิญดวงจิตของบุตรมาเป็น เทพรักษาประจำองค์พระ ทำการอัญเชิญด้วยการสวดพุทธคุณและพระคาถาต่างๆ ขอบุญพรพุทธเจ้าส่องนำทางขอให้อโหสิกรรมซึ่งกันและกัน) หมั่นสวดมนต์แพร่เมตตามากๆเพื่อชำระให้จิตใจให้ใสสะอาด

    ๑ผู้ที่เบียดเบียนฆ่าสัตว์ ตัด ชีวิต มีผลให้เกิดโรคถัยไข้เจ็บอายุสั้น ควรทำบุญด้วยการช่วยชีวิตสัตว์อนิษฐานแพร่เมตตาอโหสิกรรม ทำบุญด้วยยารักษาโรค หรือ ทำบุญกับโรงพยาบาลสงฆ์ หรือ ด้านการแพทย์ บำรุงพระเณรปฏิบัติ ผู้อาพาธ เจ็บป่วย

    ๑ผู้ที่สมบัติฉิบหายด้วยเหตุต่างๆ จง ทำใจอย่าเสียดายกับทรัพย์นั้นๆ ทำใจให้เป็นบุญมาแทนที่ให้ อนิษฐานสมบัติทั้งหลายที่สูญไปทั้งอดีต ปัจจุบัน อนาคต ขอพิจารณาบูชาแก่พระไตรลักษณะญาณ พระ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ขอสมบัติทั้งหลายทั้งทางโลก ทางธรรมหลั่งไหลเข้ามาเป็นหมื่นเท่าทวีคูณ และควรให้ทานตามโอกาส

    ๑บางท่านที่เป็นหนี้สงฆ์ หนี้สินทรัพย์ หนี้สิน หนี้เวรหนี้กรรม กับผู้หนึ่งผู้ได ทั้งชาติก่อน ชาตินี้ ให้อนิษฐานสร้างพระชำระหนี้ ถวายในพระศาสนา อาจจะเป็นพระพุทธรูปตั้งแต่ 5 นิ้วขึ้นไปจนถึง 4 ศอกหรือ มากกว่านั้น อนิษฐานชำระหนี้ และปิดทองคำแท้ที่องค์พระ ตั้งแต่ 3 แผ่นขึ้นไปหรือทั้งองค์ก็ยิ่งดี พร้อมปัจจัยศรัทธา เขียนหน้าซองถวายชำระหนี้สงฆ์ หนี้สินทรัพย์ หนี้สิน หนี้เวรหนี้กรรม ขอให้หมดหนี้มีสินด้วยพระพุทธรัตนไตร เป็นแก้ววิเศษประมาณมิได้

    ๑ทุกข์เพราะความรัก เพราะ เคยทำชั่วเรื่องความรักไว้ ให้ตั้งใจรักษาศีลถือบวชแล้วเจริญปัญญาให้มากๆ ความรักไม่ได้ทำให้ผู้ไดทุกข์ แต่ ทุกข์เพราะการยึดติด ไม่ปล่อยวางปรารถณาที่จะครอบครองจึงเป็นทุกข์ ดังนั้นจึงควรรู้จักให้รู้จักรักโดยไม่หวังผลตอบแทน และที่สำคัญจงรักตนเองให้มากๆ ทำชีวิตให้มีคุณค่าเพื่อตนเองและคนที่เรา

    ๑ทุกข์เรื่องคู่ครอง ให้ พิจรณาว่าอาจจะมีหนี้เวรหนี้กรรม ต้องชดใช้ ให้จุดเทียน 1 คู่ ธูป 5 ดอก ดอกไม้5สี (ถ้าเป็นดอกกุหลาบได้ก็ดี) อนิษฐานบูชาพระ หากแม้นมีหนี้เวรหนี้กรรม ขอให้อโหสิกรรมซึ่งกันและกัน น้อมจิตระลึกถึงบุญกุศลทีเคยสร้างร่วมกันชักนำดวงจิตให้คิดดีต่อกัน แล้วแผ่เมตตาให้มากมาก ย่อมเกิดผลดี ตลอดทั้งให้พิจารณา สิ่งที่สัมพันธ์เกี่ยวเนื่องซึ่งกันและกัน อะไรควรไม่ควร แก้ไขตามเหตุผลไม่ใช้อารมณ์ ต้องแก้ด้วยสติปัญญา

    ๑ผู้ถูกหลวงลวง เพราะเคยทำกรรมชั่วทางวาจา ให้ตั้งใจรักษาสัจจะในสิ่งที่ดีงามเรื่องไดเรื่องหนึ่งเช่นตั้งสัจจะว่าจะ สวดมนต์ทุกวันก็ทำให้ได้ พูดแต่สิ่งที่ดีงาม
    ๑ผู้สติไม่ดี อาจจะเพราะกรรมชั่วในสิ่งที่มึนเมา จึงให้งดของมึนเมาทั้งหลายเพื่อสร้างสติ อนิษฐานว่าจะดื่มใจจะสูบให้น้อยลงและเลิกละ หากทำได้ก็ชนะตัวเอง
    ๑ผู้เลี้ยงลูกหลานไม่ได้ดีควรสั่งสมกตัญญูกตเวทิตาธรรม อธิษฐานขอพร พระแจกหนังสือธรรมะ เพื่อสั่งสอนคนให้เป็นคนดี ควรป้อนข้อมูลดีๆ ไม่ควรแช่งด่าลูกหลาน ถ้าใครแช่งด่าไว้มากมากควรสวดมนต์ ขอถอนคำแช่งด่า เปลี่ยนคำอธิษฐานในทางที่ผิดเป็นในทางที่ดี

    ๑บางท่านที่อยู่อาศัยเป็นทุกข์ ก็ ให้ตั้งขันน้ำที่หน้าพระเจริญพระพุทธมนต์ต่างๆ จุดเทียนทำน้ำมนต์ เวลาดับเทียนก็ขอให้ดับความทุกข์เร่าร้อนทั้งหลาย และแพร่เมตตาพรหมวิหาร อุทิศบุญกุศลให้กับระภูมิเจ้าที่ เทวดา สรรพชีวิตทั้งหลาย อนิษฐานขอน้ำพุทธบารมีไปประพรมให้ทั่วบริเวณบ้าน ขอบันดาลให้สิ่งที่ร้ายกลายเป็นดี

    ๑บางท่านอายุถึงเบญจเพศดวงไม่ดี เนื่องจากสาเหตุไดๆก็ตามไม่ว่า ราหูเข้า พระเสาร์แทรง เราอาจจะทำพอธีบูชารับส่งรวมกันทุกพระองค์พร้อมกันทีเดียวก็ได้ โดยหาเทียนใหญ่พอประมาณ ปิดทองคำแท้ อนิษฐานเป็นเทียนเสริมดวงเสริมสิริมงคล ดวงชะตาชีวิต ให้แต่งดอกไม้ธูปเทียนภาวนา สวดอิติปิโสนพเคราะห์ เต็มสูตร บูชาเทวดา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่รักษาดวง ขอให้กลับร้ายกลายเป็นดี ที่ดีแล้วก็ให้ดียิ่งขึ้นไป อาจสวดมนต์พระคาถาต่างจนหมดเล่ม หรือ นั่งสมาธิต่อด้วยก็ยิ่งดี

    กิจการค้าขายไม่ประสบสำเร็จ ให้ พิจารณาแก้ไขตามเหตุอันสมควร หรือจะใช้วิธีช่วย คือ ธูปอนิษฐาน ให้เอาธูปที่ใช้ทั้งห่อมาทำพิธีสวดอิติปิโสนพเคราะห์และพระคาถาต่างๆ แล้วอนิษฐานขอให้เป็นธูปสารพัดดี เวลาใช้ให้จุดปักกลางแจ้งโดยใช้จำนวนตามกำลังวัน และสวดคาถาบูชาประจำวัน ตามด้วยพระคาถาอื่นๆขอในสิ่งที่ดีงาม ธูปนี้สามารถใช้บูชาพระสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้เป็นอย่างดี (ดูหัวข้อ ทานส่งผลให้มีทรัพย์ ประกอบ)

    บางท่านมีคนทักว่ามีองค์ มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์รักษา ไปรับขันธ์รับพานมาปรากฏว่าไม่ดีขึ้น แย่ลงกว่าเดิม หรือถูกหลอกลวง ให้เสียเงินเสียทองอันนี้ให้พิจารณาให้ดี มีอีกวิธีหนึ่งให้จัดธูป 5 ดอก เทียน 5 เล่ม ดอกบัว 5 ดอก (ดอกอะไรก็ได้ที่หาได้) ตั้งขันธ์บูชาถึง พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง ตลอดจนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่รักษาตน องค์ครูบาอาจารย์ทั้ง 108 สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกองค์เป็นมิ่งเคารพ ให้ตั้งขันธ์ 5 นี้ในวันดี เช่น วันพฤหัสบดี โดยตั้งชุมนุมเทวดา สมาทานศีล สวดมนต์บูชา และแพร่เมตตา
    ๑การกินมังสวิรัติ การงดเว้นเนื้อสัตว์นอกจากให้ใจเบากายเบา ย่อมช่วยปริมาณการฆ่าสัตว์ได้ ร่างกายสะอาด เทวดาย่อมรักษา ให้พิจารณาเป็นเพียงธาตุ แพร่เมตตา เพื่อไม่ให้เป็นเวรเป็นกรรมต่อกัน

    ก่อนนอนสวดมนต์ไหว้พระ ก่อนนอนอย่างสวดมนต์ภาวนา แพร่เมตตา จะยังผลให้จิตใจสบายให้นอนหลับสนิท

    ผู้ที่นอนผันร้ายแก้ ด้วยพระคาถา ดังนี้ ยันทุนนิมิตตัง อะวะมังคะลัญ จะโยขามะนาโป สะกุณัสสะ สัทโท ปาปัคคะโห ทุสสุปินัง อะกันตังพุทธานุภาเวนะ วินาสะเมนตุฯฯ

    ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ให้เลือกใช้ ตามโอกาส ย้อมสะเดาะเคราะห์ เสริมบารมี มงคลชีวิตได้ ทุกสิ่งในโลกเป็นอนิจจังทั้งหมด อย่ามองแต่ภายนอกให้มองภายในใจของเราบ้าง พระท่านว่าการให้ธรรมทานชนะการให้ทานทั้งปวง มีอานิสงค์สูงสุด การสร้างหนังสือธรรมทุก1ตัวอักษรเปรียบเสมือนการสร้างพระ 1องค์ ย่อมมีเทวดามารักษา กำจัดโรคเวรโรคกรรม บรรเทาหนี้กรรมได้ทำให้เจริญรุ่งเรื่อง อนิษฐานในทางชอบธรรม จะสำเร็จสมปราถณา
    บทความจาก http://www.dandham.com
     
  15. ake7440 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,528
    ค่าพลัง:
    +405
    ขอบพระคุณที่ช่วยแนะนำวัด ร่วมกับช่วยติดต่อพระอาจารย์ให้ครับ ที่วัดสงบมากมีโอกาสจะกลับไปฝึกเพิ่มเติมครับ
     
  16. kratium เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2007
    โพสต์:
    484
    ค่าพลัง:
    +3,670
    เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2552 วันวิสาขบูชา ได้โอนเงินร่วมบุญกับทุนนิธิฯ 500 บาทค่ะ ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่าน
     
  17. channarong_wo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    408
    ค่าพลัง:
    +1,510
    วันวานได้ร่วมบุญเข้าไปที่ทุนนิธิเป็นจำนวน 1000 บาทครับ เวลา 17.37 น.
    ก็มีครอบครัวผมเอง 400 บาท
    เพื่อนๆแผนก Engineering 600 บาท
    ขอบุญนี้จงสำเร็จแก่
    ข้าพเจ้าและครอบครัว รวมถึงครูบาอาจารย์ เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย
    รวมทั้งเพื่อนๆในแผนกตลอดจนครอบครัวของเขาเหล่านั้นทั้งหมด
    พี่น้องชาวทุนนิธิรวมถึงครอบครัวทุกๆท่าน....โมทนาบุญด้วยครับ
     
  18. narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    แก้วที่คว่ำอยู่กลางสายฝน
    ต่อให้ฝนตกกระหน่ำทั้งคืน
    ก็ไม่อาจเต็มไปด้วยน้ำ
    คนที่ไม่ยอมเปิดใจเรียนรู้
    ต่อให้คลุกคลีอยู่กับนักปราชญ์ทั้งคืนทั้งวัน
    ก็ยังโง่เท่าเดิม
    ว วชิรเมธี
    Fw.Mail
     
  19. pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886


    ทุนนิธิฯได้บริจาคเงินจำนวน10000บาทถวายแด่หลวงปู่แฟ๊บ วัดป่าดงหวาย เพื่อร่วมจัดซื้อเครื่องอุลตร้าซาวด์มอบให้แก่โรงพยาบาลครับ

     
  20. พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097

    ขอขอบคุณอย่างใหญ่หลวงสำหรับน้องทั้งสองมาก ของกระเทียมที่ฝากไว้ที่ อ.ปุ๊ไว้ให้แล้ว ของชาญณรงค์เดี๋ยวเอาที่พี่อาทิตย์หน้า แล้วจะโทรไปบอกเน๊อะ...


     

แชร์หน้านี้