ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ทำไมจึงสวย รวยทรัพย์ สูงศักดิ์

    ปัญหา เพราะเหตุไร สตรีบางคนเกิดมาจึงมีรูปงาม บริบูรณ์ด้วยทรัพย์สมบัติ และสูงศักดิ์อีกด้วย ?

    พุทธดำรัสตอบ
     
  2. พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097

    <CENTER></CENTER>
    นั่งสมาธิหลับตากันทำไม...


    แล้วเราจะเข้าใจ จะรู้แจ้งว่า ที่คนไปนั่งหลับตาทำสมาธิกันนั้น เขานั่งกันทำไม ?
    และนั่งเพื่อให้อะไรมัน "เกิด" ? ใครทำถูกอยู่ ? ใครทำผิดอยู่ ? เราก็จะรู้ได้ด้วยผลจากการฝึกฝน จนลุถึง "อรูปพรหม"

    ลัทธิการนั่งหลับตา ทำสมาธินั้น มีมาแต่ดึกดำบรรพ์ ก่อนสมัยพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดเสียอีก

    แล้ว "ผลได้" จากการนั่งหลับตาบำเพ็ญตบะนั้น ก็มี ก็เกิดออกมา ตามอายุกาลของ ความจริงที่ได้กระทำ

    คือ เมื่อฝึกหัดนั่งไปนาน สภาวะที่จะออกมาเป็น "ผล" ในแง่ใดแง่หนึ่ง ที่มันเป็นได้ เกิดได้ ก็ย่อมจะ "เกิด"

    เมื่อทำ "เหตุ" บำเพ็ญ "ปัจจัย" ได้ครบ ได้เต็ม ห้ามไม่ให้มัน "เกิด" ก็ไม่ได้เอาด้วย

    เช่นว่า คนผู้บำเพ็ญเพ่งเล็ง "น้อมจิต" ใฝ่เพียรทำ "จิต" เพื่อให้นิ่ง ให้มี "พลัง" ในทาง "ระงับความรู้สึก" ที่จะเกิดมา กระทบสัมผัส "ร่างกาย" ของตน

    ถ้าเขาผู้นั้น ได้สร้างแบบฝึกหัด หรือ ก่อเหตุก่อปัจจัยไป จนถ้วนพอ หรือ ครบจำนวน

    "ผล" คือ เป็นผู้พร้อมทนหนาว ทนเจ็บปวด ทนการกระทบสัมผัสต่างๆ อันหนักหนา ที่มนุษย์ธรรมดา ทนไม่ได้ อย่างนั้น

    นั่นก็เป็น "ผล" ของลัทธิอื่น ที่เขาทำกัน เขาเพ่งเล็ง และเขาก็เรียก "ผล" เช่นนั้นของเขาว่า "นิพพาน" ก็มี

    พวกที่ทำอย่างนี้ มุ่งอย่างนี้ เป็น "จุดเอก" ก็คือ พวกที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเรียกว่า "อุปาทาน" และ "อรูปพรหม"

    จนลุถึง "อสัญญีพรหม"

    หรือคน ผู้บำเพ็ญเพ่งเล็ง "น้อมจิต" ใฝ่เพียรทำ "จิต" เพื่อให้นิ่ง ให้ดับ ให้ขาดจากร่างกาย อย่างแท้จริง เหมือนอยู่กันคนละส่วน คนละอัน "จิต" ก็แยกจากร่างกายไป "ร่างกาย" ก็แข็งทื่อ นิ่งอยู่ต่างหาก ไม่มี "จิต" ครอง

    ถ้าเขาผู้นี้ ได้สร้างแบบฝึกหัด หรือก่อเหตุ ก่อปัจจัย ไปจนครบถ้วนพอ หรือ ครบจำนวน

    "ผล" คือ เป็นผู้ทนได้ทุกอย่าง ทนแม้กระทั่งดิน ฟ้าอากาศ จะแปรเปลี่ยนอย่างไร ก็ยังสามารถทนได้

    เช่น ไฟเผาก็ไม่ไหม้ ทิ้งน้ำก็ไม่จม มีดฟันก็ไม่เข้า เป็นต้น อย่างนี้ ก็มี

    นั่นเป็น "ผล" ของลัทธิอื่นเขาทำกัน เขาเพ่งเล็งกัน และเขาก็เรียก "ผล" เช่นนั้น ของเขาว่า "นิพพาน" ก็มี

    พวกที่ทำอย่างนี้ มุ่งอย่างนี้เป็น "จุดเอก" ก็คือ พวกที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเรียกว่า "อสัญญีพรหม" เก่งจริงๆ ราวกับเล่นกล "เดรัจฉานวิชชา"

    หรือ ยิ่งคนผู้บำเพ็ญเพ่งเล็ง "น้อมจิต" ใฝ่เพียรทำ"จิต" เพื่อให้จิต "มีพลัง"

    แล้วนำ "พลังจิต" นั้น ไปสร้างฤทธิ์ สร้างอภินิหาร ปาฏิหาริย์ต่างๆได้ แล้วก็เที่ยวนำออกแสดง "ผล" อย่างนี้ ก็มี และเป็นจริงได้

    ซึ่งก็เป็นของลัทธิอื่นเขาทำกัน เขาเพ่งเล็งกัน

    แต่ "ผล" อย่างนี้ แม้ศาสดาของลัทธิเช่นนี้ เขาก็ยังไม่กล้าเรียก "ผล" อย่างนี้ ของเขาว่า "นิพพาน"

    แต่เขาเรียกของเขาว่า "วิชชา" หรือเป็น "อภิญญา" ของเขา

    พวกที่ทำอย่างนี้เป็น "จุดเอก" ก็คือ พวกที่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเรียกว่า พวกสำเร็จ "เดรัจฉานวิชชา"

    เพราะเป็น "วิชชา" ที่ยังไม่ช่วยตนให้พ้นความเป็น "สัตวโลก" ยังเป็น "วิชชา" ที่ยังมีความหลง ความพึงพอใจ ความถือว่าตนเก่ง ความอวดรู้ อวดผล เพื่อตำแหน่งอันนำมาซึ่ง ลาภ-ยศ-สรรเสริญอยู่

    (เดรัจฉาน หมายถึง สัตวโลก เดรัจฉานวิชา หมายถึง วิชชาที่ยังไม่พ้นความเป็นสัตวโลก อย่าไปแปลว่า วิชชาของสัตว์ขั้นต่ำ มันเป็นการดูถูก "วิชชา" หรือ "ความรู้" ไป เพราะ "ความรู้" นั้นเป็นของดีทั้งสิ้น ถ้าผู้ใด มีประดับตน แต่พระพุทธเจ้าสอนให้ "คนรู้" ยิ่งกว่า คือ แม้แต่ลำดับ แห่งการหา "ความรู้" ใส่ตน ก็จะต้อง "รู้" จักทางหนีทีไล่ ให้แก่ตน อย่างชาญฉลาดที่สุด)

    ดังนั้น "วิชชา" ตามที่ยกตัวอย่างมาทั้งหลายนั้น จึงยังไม่ใช่ "จุดเอก" ไม่ใช่เรื่องสำคัญอันดับหนึ่ง ของพุทธศาสนา


    --------------------------------------------------------------------------------

    จุดเอก จุดเด่น สุดสำคัญ ของพุทธวิชชา
    "จุดเอก" หรือเรื่องสำคัญ อันดับหนึ่ง ของพุทธศาสนา จึงคืออะไรกันแน่ ?

    "จุดเอก" ของพุทธ ก็คือ ต้องแทงทะลุ "ทุกขอริยสัจ" ด้วย "ปัญญาญาณ" ให้ได้นั่นเอง ยังไม่ต้องไป คำนึงถึง "ผลอื่น"

    ยังไม่ต้องถึงกับทนร้อน ทนหนาว ทนเจ็บปวดได้ หรือ ยังไม่ต้องถึงกับสามารถแยก "จิต" แยก "กาย" ให้ขาด จากกัน จนเป็น "นิโรธสมาบัติ" ขั้นไฟเผา ก็ไม่ไหม้ มีดฟันก็ไม่เข้า หรือ ยังไม่ต้องสามารถแสดง "อภินิหาร" อะไรได้

    "ผล" เหล่านั้น เป็น "ผลส่วนเกิน" เป็นความสามรรถของจิต ที่จะพึงเกิดเอง เป็นเอง มีมาเอง เมื่อ "เหตุ" และ "ปัจจัย" ครบถ้วน ตามฐานะ ของแต่ละบุคคล ผู้มี "เพียร"

    "เงื่อนต้น" หรือ "จุดเอก จุดแรก" ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา ถึงให้พุทธศาสนิกชน มุ่งเพียรบำเพ็ญ และ ทำให้ได้ก่อนอื่น

    จึงคือ "ผล" อันนี้ "ผล" อย่างนี้ จึงจะเรียกว่า "ถูกทาง"

    ดังนั้น คำว่า "สีลัพพตปรามาส" จึงมีความหมายเพียง "ถูกทาง" ตรงทางเท่านั้น

    บุคคลใด แม้จะได้บำเพ็ญจิต (โยคะ หรือตบะ) มาอย่างเก่ง อย่างสูงเท่าใด ถ้ายังไม่เข้าใจ "จุดเอก" ยังไปมัวเมาใน "วิชชา" อย่างอื่นอยู่ จึงเรียกว่ายังมี "วิปัสสนูปกิเลส" อยู่ทั้งสิ้น

    จึงคือผู้ยังไม่ได้เข้าอันดับเป็น "สมณะ" ของ "พุทธวิชชา"

    จนกว่าจะจับจุดเอกได้ และเริ่มเดินทางถูก จึงจะได้ชื่อว่านักศึกษา ขั้นผ่านการสอบคัดเลือก เข้ามาได้ คือเรียกว่า เริ่มเป็น "พระโสดาบัน"

    การบำเพ็ญจิตให้ลุถึง "พระนิพพาน"

    เพราะฉะนั้น การบำเพ็ญ "จิต" เพื่อให้บรรลุ "นิพพาน" สำเร็จเป็น "พระอรหันต์" ของศาสนาพุทธ หรือ ตามลัทธิของ พระสมณโคดม จึงไม่ต้องมีฤทธิ์เดช ดังตัวอย่าง ที่ยกมาแล้ว แต่สามารถมี "จิต" มี "กาย" มี "วาจา" บรรลุธรรมถึงขั้น "สงบ" ได้อย่างจริงแท้ ก็เป็นอันเพียงพอ สำหรับตำแหน่ง ที่จะเรียกว่า "อรหันต์"

    แม้ยังไม่มีฤทธิ์ใด เดชใด อันเรียกว่า "อิทธิปาฏิหาริย์" ซึ่งคือ ปาฏิหาริย์ ทางแสดงให้ตนเห็นผล แปลง "รูป" หรือ ทำรูป ทำตัวตน ทำวัตถุ ให้เป็นของน่าทึ่งได้

    เช่น เสกเป่าบันดาลของ ให้เป็นไปตามต้องการ หรือ ทำตนให้เหาะได้ หายตัวได้ เป็นต้น

    และที่เรียกว่า "อาเทสนาปาฏิหาริย์" ซึ่งคือ ปาฏิหาริย์ทางแสดงออก ให้คนเห็นผลทาง "นาม" หรือ สามารถ ทำให้คนทึ่งได้ โดยทายจิต ทายใจ หรือ สามารถใช้จิต กำหนดหยั่งดิน ฟ้า อากาศ หยั่งนรก-สวรรค์ได้ เป็นต้น

    ผู้ที่ได้ตำแหน่ง "พระอรหันต์" ในพุทธศาสนา จึงไม่ใช่บุคคลในประเภทมี "ปาฏิหาริย์" ดังกล่าวนั้นเลย

    แต่พระพุทธองค์ระบุว่า จะต้องมี "อนุสาสนีปาฏิหาริย์" ซึ่งคือ "ปาฏิหาริย์" ในการรู้แจ้ง "เหตุ" และ "ผล" ของความจริงแท้ แน่ชัด รู้อย่างทำได้ และบอกได้ อธิบายถึงที่เป็นไปอย่างนั้น ให้ผู้อื่นรู้ตามได้ด้วย

    อย่างต่ำที่สุด ก็ต้องรู้ว่า "ทุกข์" คืออะไร ?

    "เหตุ" แห่งทุกข์ คืออะไร ?

    อาการของ "ความดับ" แห่งทุกข์นั้น เป็นอาการอย่างไร ?

    และทางที่จะทำให้ "เกิดความดับ" แห่งทุกข์นั้น ประกอบไปด้วยอะไร ?

    เท่านี้ เท่านั้นเอง เป็น "ความเก่ง" เป็น "ความรู้ยิ่ง" ของผู้ที่ได้ชื่อว่า "อรหันต์" หรือผู้สำเร็จ "วิชชาอรหันต์"

    จะเรียกว่า เป็น "บัณฑิต" หรือ ผู้จบปริญญาตรี ก็ได้
     
  3. พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    พระพิมพ์สมเด็จเจ้าคุณกรมท่า พิมพ์ปรกโพธิ์
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • ProkPho 1.JPG
      ขนาดไฟล์:
      647.2 KB
      เปิดดู:
      108
    • ProkPho 2.JPG
      ขนาดไฟล์:
      541.4 KB
      เปิดดู:
      96
    • ProkPho 3.JPG
      ขนาดไฟล์:
      485.7 KB
      เปิดดู:
      95
    • ProkPho 4.JPG
      ขนาดไฟล์:
      560.4 KB
      เปิดดู:
      113
  4. พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    เนื้อพระในพระพิมพ์สมเด็จเจ้าคุณกรมท่าพิมพ์ปรกโพธิ์ ขยายจากองค์สุดท้าย โรยด้วยผงทองนพคุณบางสะพาน ไม่ใช่ทองเหลือง ถ้าเห็นแล้วอย่าปล่อยผ่านไปทำจิตให้นิ่ง บางเบา ค่อยๆ จ้องมองดูเนื้อพระ จะสัมผัสได้ทั้งพลังจิตที่เข้มขลังขององค์ผู้เสกคือหลวงปู่ใหญ่ ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ (โต) ทั้งความแห้ง ความเก่า ความสวยซึ้งบอกอยู่แล้วในตัวเอง พระดี เก็บไว้คุ้มตัวและคนที่เรารัก ดีกว่าไปหาองค์ละแสนเป็นไหนๆ





    <CENTER></CENTER>
     
  5. jirautes เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    195
    ค่าพลัง:
    +575
    สวัสดีครับเมื่อวันที่ 08/08/08 เวลา 13.59 น. ครอบครัวผมได้ส่งเงินเข้าร่วมทำบุญจำนวน 500 บาท (ขอบุญกุศลนี้จงสำเร็จแก่ผู้ร่วมอนุโมทนาบุญทุกๆท่านสาธุๆ)
     
  6. นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    911
    ค่าพลัง:
    +4,285
    พระบิดาของคนเรือ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ กับเหรียญที่สร้างได้ดีที่สุด
    <SUP>โดย...รณธรรม ธาราพันธุ์</SUP>
    <SUP> </SUP><SUB>
     
  7. นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    911
    ค่าพลัง:
    +4,285


    "พระธรรมจักร "
    ท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฎโฐ
    วัดเจติยาคิรีวิหาร (ภูทอก) อ.บึงกาฬ จ.หนองคาย

    <SUP>คนชอบพระ ทั้งที่อยู่ในวงการมานานปี หรือเพิ่งกระโจนลงสนาม เพื่อให้ผู้รู้ทั้งหลายสอนบ้าง
     
  8. นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    911
    ค่าพลัง:
    +4,285
    จิตตานุภาพของหลวงปู่ผู้เมตตา
    โดย "อนัตตา"

    ภาพหมู่กุฏิทรงไทยสร้างใหม่สวยงามที่เรียงรายอยู่โดยรอบ ... กุิฏิของสมภารเจ้าวัดสร้่างใหม่ย้ายมาอยู่ด้านหน้า สวยงามดูน่าเจริญศรัทธายิ่ง....มองรอบๆ วัดแทบจำเค้าเดิมไม่ได้...<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    เดินไปที่พระอุโบสถสร้างใหม่อย่างวิจิตรงดงามเพื่อเป็นพุทธบูชาและเป็นที่ประดิษฐานให้กับองค์พระพุทธปฏิมาประธานซึ่งเปรียบเสมือนองค์สัญลักษณ์ของวัด...เข้าไปนั่งสงบนิ่งอยู่ในพระอุโบสถมองดูภาพจิตรกรรมฝาผนังโดยรอบด้วยความตะลึงในความงดงามของภาพวาดพุทธประวัตินั้น...
    <o:p> </o:p>
    นึกย้อนกลับไปเมื่อกว่า 20 ปีมาแล้วที่ได้มาที่นี่...มาวัดนี้ครั้งแรกจากการติดรถขบวนผ้าป่าซึ่งลุงป้าน้าอาแถวบ้านนำมาทอดถวายกับทางวัดตามประเพณีของพุทธศาสนิกชน....ในงานบุญคราวนั้นยังได้รับแจกเหรียญที่ระลึกจำได้ว่าเป็นเหรียญปี พ.ศ.2525 .... <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    เวลาผ่านมาเกือบ 25 ปีแล้ว แต่เหมือนเพิ่งจะผ่านมาได้ไม่นาน<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    สมัยนั้นโบสถ์เก่ายังเล็ก กุฎิหลวงปู่อยู่ด้านใน ล้อมรอบด้วยหมู่กุฏิไม้รอบๆ ดูเก่าน่ากลัวหากจำเป็นต้องเดินตอนกลางคืนอันมืดมิดอาจต้องเหลียวซ้ายแลขวาอยู่ตลอดเวลาเพราะบรรยากาศวังเวงเสียเหลือเกิน<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ด้านหลังหมู่กฺุฎิติดแม่น้ำ มีป้ายเขียนเตือนไว้ว่า
     
  9. พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    บันทึกของหลวงพ่อจรัญ เกี่ยวกับหลวงปู่ใหญ่ และองค์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช.....ลองอ่านดู แม้จะยาวมากก็ถือว่าเป็นความรู้แห่งตนเชื่อหรือไม่เชื่อต้องลองพิจารณาตามเหตุและผลประกอบเองครับ

    ตอนที่ ๑) Introduction
    ________________________________________
    นี่เป็นการสนทนาระหว่างหลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน (ในหนังสือเรียกท่านว่าพระครู) หลวงปู่เทพโลกอุดร (ในหนังสือเรียกท่านว่าหลวงพ่อในป่า) พระบัวเฮียวและพระภิกษุเจ้าตากรูปแรกใช้กายมนุษย์ ส่วน ๓ รูปหลังใช้รูปของพลังงาน (กายทิพย์)ในการสนทนาซึ่งเกิดขึ้นเมื่อประมาณปี ๒๕๒๘แต่หนังสือเล่มนี้ตีพิมพ์เมื่อปีที่แล้วนี่เอง (ก.ค. ๒๕๔๙)ขออนุญาตปรับการนำเสนอเป็นรูปแบบคล้าย script บทละคร เพื่อให้ง่ายต่อการพิมพ์และทำการย่นย่อ เก็บใจความสำคัญมา แต่พยายามคงอรรถรสการสนทนาไว้ข้อความแทรกในวงเล็บ บางตอนเสริมเพื่อให้อ่านเข้าใจได้ง่ายขึ้นบางตอนเป็นข้อสงสัย ถ้าท่านใดสนใจรายละเอียดรวมทั้งเรื่องอื่นๆที่น่าสนใจช่วงหลวงพ่อไปจาริกบุญที่อินเดียกรุณาหาอ่านได้จากเล่มเต็มของหนังสือ
     
  10. พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ขุนหลวงตากบ้าหรือ




    <!-- Main -->[SIZE=-1]<CENTER>[/SIZE]
    [SIZE=-1]สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี มหาราช</CENTER>[/SIZE]



    [SIZE=-1]<CENTER>.........................................................................................................................................................</CENTER>[/SIZE]


    [SIZE=-1]เรื่อง ขุนหลวงตากบ้าหรือ[/SIZE]


    [SIZE=-1]เหตุ เนื่องด้วยมีผู้เขียนบทความลงในหนังสือต่างๆ อันเกี่ยวกับขุนหลวงตากเนืองๆ ข้อความสำคัญอยู่ที่ว่า ทรงมีสติปรกติอยู่ทุกประการ ซึ่งตรงข้ามกับหลักฐานอันมีในพระราชพงศาวดาร จดหมายเหตุและวรรคดีที่เขียนขึ้นในครั้งนั้น จึงทูลถามเพื่อขอประทานพระดำริ[/SIZE]

    [SIZE=-1]ปัญหา เรื่องขุนหลวงตากนั้นไปมาอย่างไรกัน ทำไมจึงมาเป็นเรื่องใหญ่โตกันนัก[/SIZE]

    [SIZE=-1]ตอบ เรื่องขุนหลวงตากนี้เป็นเรื่องที่น่าเอาใส่ นักปราชญ์สมัยใหม่กำลังปรักปรำราชวงศ์จักรี แต่ไม่มีอะไรจะว่า นอกจากจะว่าขุนหลวงไม่บ้า และเพื่อชี้ให้คนเห็นว่า พระพุทธยอดฟ้าฯ เป็นกบฏต่อขุนหลวงตาก ว่าตามจริงในการเขียนเรื่องขุนหลวงตากในพงศาวดารเรารบกับพะม่าครั้งกรุงธนบุรีนั้น ได้พยายามให้ความยุติธรรมแก่ขุนหลวงตากเต็มที่ อันใดที่จะชี้ให้เห็นคุณงามความดีของขุนหลวงตากแล้ว ก็ได้หยิบยกขึ้นมาพิจารณาให้จนหมดสิ้น ได้พยายามเขียนให้จนสุดฝีมือ ไม่มีที่สงสัยเลยที่ว่าขุนหลวงตากจะไม่บ้า บ้าแน่ๆ แต่ผู้ก่อการจลาจลนั้นเป็นพระยาสรรค์ชาวเมืองธนฯ เอง พระพุทธยอดฟ้าฯเป็นเพียงผู้มาปราบจลาจลและมาพบขุนหลวงตากในสภาวะเช่นว่า ก็ไม่รู้จะทำประการใด เพราะราษฎร ขุนนาง และข้าราชการลงความเห็นให้ปลงพระชนม์ ทั้งขณะนั้นศึกพะม่าก็พร้อมที่จะเข้ามายังพระนคร หากไม่กระทำการอันใดให้เด็ดขาดลงไป ก็ลำบากแก่การปกครอง พระพุทธยอดฟ้าฯ หาได้สั่งปลงพระชนม์ขุนหลวงตากไม่ แต่ที่จะมีข้อตำหนิก็มีได้อยู่ที่ไม่ห้ามไม่ให้ฆ่า [/SIZE]

    [SIZE=-1]แต่นั่นแหละ เอาใจเราไปใส่ใจพระพุทธยอดฟ้าฯ ใครอยู่ในฐานะเช่นนั้นก็ลำบากหาน้อยไม่ ถ้าขุนหลวงตากเป็นบ้าอย่างมากมายไม่รู้วันรู้คืน พระพุทธยอดฟ้าฯ ก็คงออกพระโอษฐ์ขอไม่ให้ปลงชีวิต นี่ขุนหลวงตากไม่ได้บ้าถึงเพียงนั้น เป็นบ้าคลั่งอันตรายต่อแผ่นดิน นั่นแหละใครอยู่ในฐานะพระพุทธยอดฟ้าฯ บ้าง ก็จะรู้สึกว่าลำบากแค่ไหน[/SIZE]

    [SIZE=-1]เมื่อปลงพระชนม์แล้วก็จัดสร้างพระเมรุเป็นการใหญ่ และได้เสด็จพระราชดำเนินไปพระราชทานเพลิงทั้งสองพระองค์ อันคุณงามความดีของขุนหลวงตากนั้นมีมากนัก ได้เขียนไว้ในพงศาวดารเรารบกับพะม่าครั้งกรุงธนบุรีโดยละเอียดแล้ว ควรพิจารณาดูให้ดี อย่าลืมหลักฐาน อย่าเอาโลภจริตเข้าใส่ในการวินิจฉัยเรื่องราวในพงศาวดาร พึงกระทำด้วยความเที่ยงธรรม[/SIZE]

    [SIZE=-1]เรื่องขุนหลวงตากบ้านี้ เจ้าพระยาทิพากรวงศ์เคยเขียนเรื่องล้อว่าไว้เปียเสียๆ หายๆ สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงได้ทรงอ่านระหว่างทางรถไฟจากบางกอกน้อยไปพระปฐมเจดีย์ กริ้วมากไม่พอพระราชหฤทัยเลย ตรัสว่าขุนหลวงตากเป็นคนทำคุณให้แก่ประเทศ ในส่วนบ้าไม่ควรเอาเข้ามาถือ กษัตริย์ในราชวงศ์จักรีนี้ทุกพระองค์นับถือขุนหลวงตากเสมอ ไม่ควรที่ใครจะลบหลู่บุญคุญ ฉะนั้นการเขียนเรื่องล้ออย่างนี้ ไม่ชอบด้วยพระราชนิยม.[/SIZE]





    [SIZE=-1]<CENTER>.........................................................................................................................................................</CENTER>[/SIZE]

    [SIZE=-1]คัดจากบันทึกรับสั่งสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ[/SIZE]
    [SIZE=-1]ประทาน หม่อมราชวงศ์ สุมนชาติ สวัสดิกุล[/SIZE]
    <!-- End main-->


    http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=rattanakosin225&group=11&page=6
     
  11. พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=20 width="90%" background="bg/green1.gif>
    <tr>
    <td width=" border=0 90%? valign="top">

    คาถามงกุฎพระพุทธเจ้า


    เป็นอันว่าวันนี้ขอย้อนต้นนิดหนึ่ง ท่านบอกว่าในสมัยหนึ่ง มีคนเขามาหาท่านแล้วเขาส่งหนังสือมาให้ เวลานั้นเป็นเวลาค่ำ ท่านบอกว่าค่ำๆอย่างนี้อ่านหนังสือไม่ออก จะต้องจุดไฟ แล้วก็ใช้กระแสไฟอ่าน พอตกเวลากลางคืนก็ปรากฏว่าเวลาที่เจริญพระกรรมฐาน ก็ใช้กำลังของอภิญญายกจิตโดยใช้ มโนมยิทธิ ไม่ใช่ใช้อภิญญาใหญ่ ขึ้นไปนมัสการองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาที่จุฬามณีเจดียสถาน พอไปถึงก็กราบองค์สมเด็จพระพิชิตมาร พอเงยหน้าขึ้นท่านก็บอกว่า
    “ตามธรรมดาพระนี่ ถึงแม้ว่าไม่มีแสงไฟก็ควรจะอ่านหนังสือออก” ตามบันทึกของท่านก็ถามว่า “ทำอย่างไรจึงจะอ่านออกพระพุทธเจ้าข้า” ท่านบอกว่า “ทิพจักขุญาณของเธอมีแล้ว แต่อาศัยที่เป็นผู้ปรารถนาพุทธภูมิมาเดิม ทิพจักขุญาณจึงไม่แจ่มใสเหมือนพระอริยเจ้า ฉะนั้น เพื่อจะให้ความแจ่มใสเกิดขึ้นเห็นภาพชัด ควรปฏิบัติแบบนี้ ควรใช้คาถานี้ไปภาวนาจนเป็นฌานสมาบัติ”
    เรื่องฌานนี่มันเรื่องเล็ก ท่านบอกว่า จะคว้าอะไรขึ้นมา มันก็เป็นฌานทันทีเพราะมีการคล่องอยู่แล้ว คาถาก็เห็นจะเป็น มงกุฎพระพุทธเจ้า ท่านบอกว่าอย่างนี้
    “อิติปิ โส วิเสเสอิ อิเสเส พุทธะนาเมอิ อิเมนา พุทธะตัง โสอิ อิโสตัง พุทธะ ปิติอิ” ท่านกล่าวว่า “คาถานี้ถ้าไปเรียนและภาวนาทำให้เป็นฌาน นิมิตต่างๆจะมีอาการแจ่มใส คนที่ตาไม่ดีก็อ่านหนังสือออกได้ หรือว่าเวลามืดๆ ก็สามารถจะมองเห็นหนังสือได้ และมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่าบงได้ตามความประสงค์ ถ้าใช้คาถานี้เป็นฌาน” ท่านว่าอย่างนั้น เป็นอันว่าท่านย้ำมาว่าไอ้มืดๆ มันก็อ่านหนังสือออก และท่านบอกว่าท่านก็มาทำ มาทำมันก็ไม่นานใช้เวลาเพียงครู่เดียว จิตก็เข้าถึงฌาน ๔ ทรงฌาน ๔ สยายๆ ก็เลยว่ากันถึงฌาน ๘ ถึงฌาน ๘ ก็หลบลงมาฌาน ๔ ในรูปฌาน ทำไปทำมาก็เลยลองหลับตาอ่านหนังสือ ก็เห็นอ่านออก แต่ว่าวิธีนี้ท่านบอกว่าจะใช้ทั่วๆไปไม่ได้ เอาไว้แต่เมื่อมันจำเป็น ถ้าจำเป็นจริงๆ ไม่ต้องหยิบหนังสือมา เป็นแต่เพียงนึกว่าจะอ่านหนังสือ มันก็มีความเข้าใจว่าหนังสือฉบับนั้นเขาว่าอย่างไร วงเล็บของท่านมีไว้บอกว่า ใครอ่านแล้วถ้าทำได้ จงอย่าทำตนเป็นผู้วิเศษ เมื่อเวลาอ่านหนังสือต่อหน้าคน ถ้ามันอ่านไม่ออกจริงๆ ก็ใช้ไฟใช้แว่นส่อง ถ้ามันจำเป็นจริงๆก็เอาจิตจับจากภาพหนังสือนั้นเสีย ใช้ใจอย่างเดียวก็อ่านหนังสือออก นี่เป้นวิธีปฏิบัติของท่าน (จากหนังสือปฏิปทาท่านผู้เฒ่า หน้า ๗๘)



    <TBODY></TBODY>
    </TABLE>

    ปฏิปทาท่านผู้เฒ่าเป็นประวัติหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค หลวงปู่เล็ก วัดบางนมโค และหลวงพ่อฤๅษีกับเพื่อนอีก ๓ องค์ รวมกัน เหตุที่ท่านต้องเล่าเรื่องปนกันไปหมด เพื่อว่าเวลามีคนว่าท่านอวดอุตริมนุษยธรรม ท่านจะได้ปฏิเสธว่าไม่ใช่ประวัติของท่าน http://www.grathonbook.net/book/49.html

     
  12. พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    แนะนำหนังสือที่น่าอ่านสำหรับวันแม่

    <HR width="100%" SIZE=2> Title: Re: แนะนำหนังสือ : แม่ผมเก็บขยะขาย
    Post by: gmt_rit on July 12, 2008, 03:26:13 PM
    <HR>
    source : http://www.first-mag.com/showstory.php?volume=8&storyid=134

    ชื่อเรื่อง : แม่ผมเก็บขยะขาย
    เป็นหนังสือแปลขายดีในไต้หวัน

    เรื่อง ราวของเด็กผู้ชายสองคนที่เติบโตมาในครอบครัวที่ยากจน หลังพ่อตาย แม่ของพวกเขาเก็บขยะขาย และส่งเสียพวกเขาเรียนอย่างสุดกำลังสามารถ

    บ่อยครั้งที่ความรักอันยิ่งใหญ่ถูกบดบังไว้ด้วยความอาย

    คุณเคยอายมั้ย ที่จะบอกกับใครๆ ว่ามีแม่เป็นแม่ค้า เป็นแม่บ้าน เป็นคนล้างห้องน้ำ เป็นคนกวาดถนน เป็นคนเก็บขยะ ฯลฯ ที่มันดูต่ำต้อย

    ผม เชื่อว่าในโลก มีแม่ไม่กี่คนหรอก ที่ต่ำต้อย ขอเพียงเธอเพียรพยายามทำทุกอย่างในทางที่ถูก เพื่อให้ลูกๆ ของเธอเป็นคนดี มีความรู้ และมีคุณธรรม จะประกอบอาชีพอะไร เราก็ควรเห็นความรักที่ยิ่งใหญ่ในหัวใจของเธอ และรักนั้นเอง ที่ทำให้เธอยิ่งใหญ่

    อาหนานในเรื่องแกอ๊ายอาย ที่จะให้เพื่อนๆ รู้ว่าแม่ของแกเป็นคนเก็บขยะ ฉะนั้นหัวใจแกจะตุ๊มๆ ต่อมๆ ทุกครั้งที่ครูนัดประชุมผู้ปกครอง

    แต่ในที่สุดด้วยอุบายของครู และด้วย
     
  13. พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    เมื่อวันที่ 11/8 พระราชินีทรงตรัสเรื่องควาย ว่าต่อไปจะไถนาไม่เป็นเพราะชาวนาใช้แต่รถไถ แต่ไอ้คนที่สอนควายที่ถือว่าตัวเองแน่กว่าควายน๊ะเป็นไงบ้างดูเอาเด้อ...


     
  14. พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    <HR>==========================================
    อานิสงส์แห่งกรรมฐาน : กรรมที่ขออโหสิ
    ==========================================
    โดย สายทิพย์

    จากประสบการณ์ทางจิตขณะปฏิบัติกรรมฐานภายในวัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี ของ คุณนิฐิวงศ์ วงศ์ช่างหล่อ ที่เห็นภาพนิมิตขณะปฏิบัติฯจนนำไปสู่การรู้เห็นกรรมเก่าในภพชาติเดิม ซึ่งเป็นสาเหตุให้ชาตินี้เขาเกิดมาในสภาพร่างกายที่ไม่ปกติ แต่เขาก็ยังมีจิตใจที่อดทน ฮึดเอาสู้ธรรมะและอานิสงส์แห่งการปฏิบัติฯเอาชนะกรรมเก่านั้นจนมีสภาพร่างกายดีขึ้นจนทุกวันนี้

    ความจริงแล้วในความหมายของกรรมก็คือ การกระทำเป็นกลางๆมีทั้งดีและชั่ว บุญก็เป็นกรรมอย่างหนึ่ง ที่เรียกว่า กุศลกรรม คือการประกอบคุณงามความดี ส่วนบาปก็เป็นกรรมอย่างหนึ่ง เรียกว่าอกุศลกรรม ก็คือการทำความเลว ความชั่วทั้งหลาย

    ฉบับนี้ผู้เขียนได้นำเรื่องราวอันเกี่ยวกับกรรมของผู้หญิงคนหนึ่ง ที่เรียบเรียงมาจากหนังสือกฎแห่งกรรมธรรมปฏิบัติ เพื่อเป็นธรรมทานแก่ผู้ที่ยังมองไม่เห็นทางออกของชีวิตหรือยังก้าวไม่พ้นทุกข์ มาฝากอีก 1 เรื่อง ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่เกิดขณะปฏิบัติกรรมฐาน ภายในวัดอัมพวัน เธอผู้นี้สามารถมองเห็นภาพนิมิตภพภูมิวิญญาณ เรื่องราวในภพชาติเก่าและชาติปัจจุบัน ที่เป็นสาเหตุของอาการเจ็บป่วยของตัวเอง

    ผู้หญิงคนนี้เธอรับราชการในตำแหน่งสูงของหน่วยราชการหนึ่งใน จ.พระนครศรีอยุธยา เธอเกิดมาในครอบครัวที่มีจิตเป็นกุศล คุณพ่อ คุณแม่สนใจในธรรมะมาตั้งแต่ยังหนุ่มยังสาว จึงปลูกฝังให้ลูกสาวใฝ่ใจในธรรมมาตั้งแต่เด็กไปด้วย แต่ช่วงเวลาที่ฝึกปฏิบัติธรรม ฝึกจิตและอ่านหนังสือธรรมะในสายของหลวงพ่อต่างๆ เธอก็เกิดความสงสัยและถามตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่าพระนิพพานคืออะไร และจะไปนิพพานได้อย่างไร จนกระทั่งวันหนึ่งได้มาวัดอัมพวัน และได้รู้จักหลวงพ่อจรัล จนเกิดความศรัทธาในแนวทางการสอนให้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน อันเป็นทางสายกลางมุ่งสู่มรรค ผล นิพพาน เธอจึงได้ขอฝากตัวเป็นศิษย์กับหลวงพ่อ เพื่อศึกษาวิปัสสนากรรมฐาน

    ช่วงเวลาระหว่างการปฏิบัติฯ เธอเป็นผู้หนึ่งที่ได้รับความทุกข์ทรมาน หรือเกิด เวทนา ขณะปฏิบัติธรรมมาก จนต้องอาศัยอุบายต่างๆมากล่อมเกลาจิตให้อดทน โดยนึกว่าเป็นการอดทนสร้างความดีเพื่อใช้หนี้เขา เพราะไม่ทราบว่าเคยทำกรรมอะไรไว้ และเมื่อยังไม่ทราบต้นเหตุของความทุกข์ เธอจึงต้องแผ่เมตตาให้ทั่วๆไป แต่ถ้าทราบสาเหตุแล้วจึงแผ่แบบเจาะจงให้เจ้ากรรมนายเวรผู้หนึ่งผู้ใดได้ทันที แล้วกรรมนั้นจะสามารถอโหสิกรรมได้เร็วขึ้น


    มีเหตุการณ์หนึ่งที่ได้เล่าไว้ในหนังสือกฎแห่งกรรมฯว่า ขณะปฏิบัติธรรมครั้งหนึ่ง เธอรู้สึกแน่นหน้าอกหายใจไม่ออก มันร้อนทุรนทุรายทั้งๆที่นั่งอยู่ใต้พัดลม ครั้งนั้นหลวงพ่อจรัลท่านได้ให้สติว่า ต้องสู้นะ ต้องอดทนนะ ขนาดข้าศึกตั้ง ๕๐ คน ยังเคยสู้ได้เลย แม้ตอนนั้นเธอยังไม่เข้าใจในคำพูดปริศนาของหลวงพ่อ แต่เธอก็น้อมรับคำสอนมาปฏิบัติ


    กระทั่งวันหนึ่ง ขณะที่เธอกำหนดเวทนา ก็เกิดนิมิตเห็นภาพอีกมิติหนึ่ง เป็นทุ่งที่กำลังมีการสู้รบกันอยู่ และเห็นภาพตัวเธอเองในอดีตเป็นชายกำลังสู้อยู่กับข้าศึกกลุ่มหนึ่งประมาณ ๕๐ คน และยังเห็นหลวงพ่อจรัลซึ่งก็เป็นทหารเช่นกัน ถือมีดดาบยาวกำลังรบอยู่อีกทางหนึ่ง ภาพที่เห็นเป็นเหตุการณ์ในภาพเก่า ซึ่งผ่านมาแล้ว

    นิมิตที่เกิดจากการปฏิบัติฯ มีหลายเหตุการณ์ที่ทำให้เธอรู้ว่านั่นคือกรรมเก่าที่เคยสร้างไว้ และเจ้ากรรมนายเวรของเธอก็มีทั้งที่เป็นมนุษย์และสัตฺว์ ซึ่งครั้งหนึ่งเธอต้องชดใช้กรรมที่ทำไว้ในชาติปัจจุบัน ครั้งนั้นเธอเกิดเจ็บป่วยมีอาการปวดศีรษะตลอดเวลา คือปวดตามเส้นประสาททั้งหมด ทั้งบริเวณขมับจนถึงรากฟัน ทานยาแก้ปวดก็ระงับได้เพียงชั่วคราว เดี๋ยวก็กลับมาปวดเหมือนเดิมอีก ไม่รู้ว่าทำอย่างไรจึงจะหาย จนกระทั่งเช้ามืดวันหนึ่ง ขณะที่เธอนั่งกรรมฐานอยู่นั้น ก็ได้เห็นภาพนิมิตเป็นฝูงสุนัขนับ 10 ตัว ซึ่งเธอจำได้ว่า ฝูงสุนัขพวกนี้ เมื่อตอนเป็นเด็ก เธอเคยใช้ไม้ตีมันที่บริเวณศีรษะ เพราะมันแย่งอาหารกัน เธอได้ทำกรรมไว้กับสุนัขเหล่านี้ โดยไม่คิดว่ามันเป็นบาปเป็นกรรม เมื่อรู้สาเหตุแล้ว เธอจึงได้แผ่เมตตาและอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลจากการปฏิบัติให้แก่สุนัขพวกนี้ หลังจากนั้นอาการปวดศีรษะก็หายเป็นปลิดทิ้งอย่างน่าประหลาด

    เรื่องราวแห่งการชดใช้กรรมของเธอผู้นี้ยังไม่หมด เพราะกรรมเก่าที่เคยสร้างไว้ยังผลให้สุขภาพย่ำแย่ อาการเจ็บปวดของอวัยวะภายในร่างกายเริ่มมาเยือนอีก แต่คราวนี้ย้ายมาปวดบริเวณโคนขาที่ต่อกับสะโพกด้านขวา ซึ่งปวดมากจนเดินไม่ได้ ต้องเข้ารับการรักษาจนอาการทุเลาลงบ้าง มาภายหลังเหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัดเธอได้รับอุบัติเหตุตกจากรถจักรยานจนก้นกระแทกพื้นถนน ส่งผลให้กระดูกสันหลังยุบ ลุกนั่งไม่ได้ ต้องนอนหงายเพียงท่าเดียว

    ความที่ต้องรักษาตัวอยู่นาน ทำให้ร่างกายอ่อนแอไร้เรี่ยวแรง มิหนำซ้ำแขนข้างซ้ายก็เริ่มจะเป็นอัมพาต ชา ไม่มีความรู้สึก วันหนึ่งเธอจึงตัดสินใจไปพักรักษาตัวอยู่ที่วัดอัมพวัน โดยความเมตตาของหลวงพ่อจรัล ท่านให้เธอรับประทานน้ำมันมนต์และฟ้าทลายโจร รักษาโรค และท่านยังส่งพลังจิตมารักษาให้อีกด้วย ระหว่างที่ป่วยหนัก ครั้งนั้นมีนิมิตมาเตือนความตายให้รู้ตัวอยู่บ่อยครั้ง ทำให้เธอรู้ตัวดีว่า เจ้ากรรมนายเวร ครั้งนี้อาฆาตแรงนัก ::


    อยู่มาวันหนึ่งขณะที่เธอหลับตากำหนดยุบหนอพองหนอ ก็เกิดมีนิมิตเห็นเป็นบริเวณทุ่งมีบึงใหญ่ เห็นภาพชายคนหนึ่งนุ่งกางเกงขาก๊วย ใส่เสื้อหม้อห้อม มีผ้าขาวม้าคาดบนศีรษะกำลังก้มสุ่มปลา ขณะที่เธอตั้งสติ เห็นหนอๆๆ เขาก็หันหน้ามามองเธอด้วยแววตาที่อาฆาต เธอเห็นว่าชายผู้นี้ถูกสับหลังด้วยขวาน และมีมีดปักอยู่ที่บริเวณโคนขาด้านขวาต่อกับสะโพก ซึ่งเป็นบริเวณเดียวกับที่เธอเจ็บปวดอยู่พอดี เธอรู้ว่านี่คือเจ้ากรรมนายเวรที่เธอเคยทำเขาไว้ในชาติก่อน

    มาภายหลังเธอจึงได้รู้ว่า เจ้ากรรมฯของเธอผู้นั้นชื่อนายคง ที่เธอเคยทำกรรมกับเขาไว้ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งกรรมนั้นจะยุติต่อกันได้โดยเธอต้องปฏิบัติฯ และแผ่เมตตาแบบเจาะจงให้แก่เขาคนเดียวเป็นเวลา 3 วัน เขาจึงจะอโหสิกรรมให้และไปเกิดใหม่ บุญกุศลที่เธอตั้งใจปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานและอุทิศส่วนกุศลให้นายคงนั้น ยังความมหัศจรรย์ให้เกิดขึ้นแก่ตัวเธอมากมาย โดยเฉพาะวันสุดท้ายที่เธอตั้งใจปฏิบัติอุทิศส่วนกุศลให้นายคงนั้น เธอได้เห็นภาพในอีกมิติหนึ่ง ปรากฏร่างของยมทูตนุ่งผ้าเตี่ยวสีแดง โพกศีรษะแดง มือถือหอก มาอนุโมทนาบุญด้วย และเห็นทุกอณูในอวกาศมีมือแบรับส่วนกุศลนับไม่ถ้วน เป็นสีทองสุดสายตา เธอบอกว่า กรรมที่จะอโหสิกันนั้นต้องรู้ได้โดยผ่านเวทนาด้วยตัวเอง จึงจะแก้กรรมได้ และต้องชดใช้กรรมกันก่อน แต่จะรับกรรมหนักหรือเบานั้น ขึ้นอยู่กับบุญกุศลของตนเอง ที่ได้เจริญภาวนาอยู่เป็นนิ

    ที่มา : นิตยสารหญิงไทย
    ฉบับที่ 750 ปีที่ 31 ปักษ์แรก เดือนมกราคม พ.ศ. 2550
     
  15. Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    นั่นเป็น "ผล" ของลัทธิอื่นเขาทำกัน เขาเพ่งเล็งกัน และเขาก็เรียก "ผล" เช่นนั้น ของเขาว่า "นิพพาน" ก็มี

    จริงเหรอครับ ???
    รู้ได้อย่างไร ???
    เคยฝึกแบบเขาแล้วหรือยัง???
    รู้ได้อย่างไรครับว่าเขาไม่มีการ "แทงทะลุขุกขอริยสัจสี่" ???
    หรือรู้ได้อย่างไรว่าพวกเขาไปนิพพานไม่ได้เลย???

    ผมแค่ถามเพราะสงสัยว่ารู้ได้อย่างไรเฉยๆนะครับ
    เพราะมีบางสิ่ง ที่ทำให้ผมคลางแคลงใจในเรื่องนี้มาระยะเวลาหนึ่งแล้วนั่นเอง
    ไม่ได้เจตนามาก่อกวนท่านเจ้าของกระทู้นะครับ

    ผมเดาว่าสิ่งที่ท่านจะตอบคือ "ในพระไตรปิฎก กล่าวไว้" หรืออะไรประมาณนั้น ใช่ไหมครับ

    และถ้าเป็นเช่นนั้น..งั้นก็จบเลย คือ ผมไม่ได้คำตอบอะไรเลย

    ...เพราะท่านอ้างตำรา...
     
  16. พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    อุทาหรณ์จากข้อความเรื่องการอุทิศบุญ หรือแผ่เมตตาที่ผมเจอกับตนเองก็คือ เมื่อปีที่แล้ว เมื่อตอนที่ผมผ่าตัดเปลี่ยนไตที่ รพ.จุฬาฯ ในคืนแรกเมื่อฟื้นขึ้นมาจากยาสลบเกิดความรู้สึกว่ามีผู้ชายไว้ผมจุกข้างหน้าแบบกระหย่อมเดียว แล้วมีผมยาวห้อยลงมาที่หน้าผาก นุ่งผ้าโจงกระเบนสีดำเข้ามาในห้อง มาวิ่งเล่นแล้วมาล้มลงนอนอยู่ข้างเตียง คืนแรกผ่านไปไม่สนใจอะไร เพราะร่างกายยังเจ็บมากหลังจากการผ่าตัดใหญ่ จึงกังวลเรื่องเวทนาทางร่างกายมากกว่าอย่างอื่นแต่อาทิตย์ถัดมา น้องผู้ช่วยพยาบาลที่จ้างมาเฝ้าไข้ บอกว่ามีคนมาไล่ให้ลุกไปจากเตียงนอนในช่วงกลางดึก ทำให้นึกถึงสัมผัสครั้งแรกว่าในห้องนี้คงมีผู้เสียชีวิตมาหลายคนเค้าคงคิดว่าน้องมานอนทับที่เล่นของเค้าเองหรือไม่ก็คงมาขอส่วนบุญเราบ้างมั๊ง เลยโทร.คุยกับพี่ใหญ่ ๆ เลยเล่าให้ฟังว่า ใน รพ.จุฬาฯ นั้นเป็นโรงพยาบาลเก่าแก่ มีผู้มาเสียชีวิตที่เรียกว่าตายซับตายซ้อนเยอะเป็นชั้นๆ เราต้องช่วยแผ่เมตตาให้เขา เพราะใน รพ.มีผู้ทำอยู่แล้วเป็นประจำคือท่านสมเด็จพระสังฆราชองค์ปัจจุบันที่ประทับรักษาตัวอยู่ใกล้ตึกเราเพียงแค่ทางเดินคั่น แล้วพี่ใหญ่ก็สอนวิธีการแผ่ส่วนบุญหรือแผ่เมตตาก็คือให้นึกถึงบุญที่เราทำให้มากเช่นบุญที่เราชักชวนคนมาถวายการรักษาสงฆ์อาพาธทุกเดือน บุญจากการทอดกฐิน ผ้าป่าฯ หรือบุญอะไรก็ได้ที่เราพอจะนึกได้แล้วโน้มเอาผลบุญนั้น อุทิศให้เขาไปให้เขาได้รับแล้วให้ไปอยู่ในภพภูมิที่ดี อย่าได้มีเวรกรรมต่อกัน เริ่มตั้งแต่อุทิศให้ท่านที่อยู่ในห้อง ในตึก ใน รพ. รอบๆ รพ. และในท้องฟ้านภากาศทั่วแดนโลกธาตุ ภพภูมิมีซับซ้อนหลายชั้นเกินกว่าที่เราคิด เหมือนดั่งเรื่องข้างบน คือมีมือยื่นมาขอส่วนบุญเต็มไปหมด ตั้งแต่นั้น ผมก็จะนอนภาวนามาตลอดเพราะลุกขึ้นยังไม่ไหว และแผ่ส่วนบุญส่วนกุศลให้ทั้งสัมภเวสี เจ้ากรรมนายเวร เทพเทวา รวมถึงเจ้าของที่เจ้าของทางทุกคืน นับจากนั้นไม่เคยสัมผัสอีกเลย และน้องผู้ช่วยพยาบาล ก็ไม่เคยโดนไล่จากเตียงอีกเลย...ที่เล่าให้ฟังมานี้ ก็เพื่อให้พวกเรารู้ว่า บุญกุศลนั้น ไม่ไปไหน อยู่กับเราตลอด แม้กาลเวลาผ่านไปเท่าไร เมื่อมีเจ้ากรรมนายเวรตามทวง เราก็มีบุญตามเราอยู่ บุญเราไม่หมด ยิ่งเราทำบุญเป็นประจำ นึกถึงได้ทุกเดือน ยามบ่งอับบ่งรา นึกถึงบุญที่เราช่วยพระสงฆ์ที่อาพาธ นึกถึงทานที่เราถวายให้ท่าน นึกถึงผ้าที่เราถวายให้ท่านใช้ ท่านนอน ได้บุญเท่าไรไม่รู้ อุทิศไปก่อน หนักจะได้กลายเป็นเบา แต่หากไม่เคยได้ทำบุญ หรือนานๆ ทำสักที กว่าจะนึกได้ ก็แทบลืม ไม่แจ่มใส แล้วอะไรจะช่วยเราล่ะทีนี้ เสร็จเค้าพอดี..
     
  17. พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097

    ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณ คุณ chayutt ก่อนที่เข้ามาเยี่ยมในกระทู้ อีกทั้งบทความต่างๆ ที่ เคยโพสท์ไว้ในกระทู้ต่างๆ เท่าที่ผมเคยจำได้ โดยเท่าที่ผ่านตามาคุณก็เป็นคนที่มีความรู้ และไม่ใช่ประเภทก่อกวนด้วย จึงขอขอบคุณอีกครั้ง สำหรับบทความข้างต้นนั้น ผมนำมาจากเวบ http://www.bp-th.org/webboard/index.php?action=printpage;topic=1822.0
    ส่วนรูปประกอบนั้น เป็นของวัดป่าฯ.เค้า

    จากบทความข้างต้น จะเห็นได้ว่าลัทธิที่เพ่งเอาแต่ความสามารถทางจิตเป็นหลักนั้น มีมาก่อนครั้งพุทธกาลแล้ว ตั้งแต่ท่านดาบสทั้ง 2 ที่เป็นพระอาจารย์ที่สอนความสามารถทางจิตให้แก่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจนหมดไส้หมดพุง แม้จะบรรลุสมาบัติเรียบร้อยแต่พระพุทธองค์ท่านยังทรงเห็นว่าไม่สามารถหลุดพ้นจากวัฏฏะได้ เพราะขาดปัญญา ในการพิจารณาหาทางตัดขาดภพชาติ จึงได้ย้อนทวนกลับมาพิจารณาในอริยสัจ จนบรรลุธรรมในกาลต่อมา ซึ่งบทความก่อนหน้าที่เป็นบทความข้างต้นที่อ้างอิงนั้น ผมได้ลงบทความตามข้างล่างนี้เพื่อให้เห็นว่าหากฐานของสมาธิที่แข็งแกร่งก็สามารถที่จะพลิกใช้เป็นบาทฐานในการพิจารณาธาตุขันธ์ อันเป็นต้นกำเนิดแห่งภพชาติได้ดังนี้


    ฌาน ๔ นำไปสู่นิพพานได้

    ปัญหา ลำพังการทำสมาธิจนได้ฌาน จะสามารถนำไปสู่นิพพานได้หรือไม่ ?

    พุทธดำรัสตอบ “ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนแม่น้ำคงคาไหลไปสู่ทิศตะวันออก หลั่งไปสู่ทิศตะวันออก บ่าไปสู่ทิศตะวันออกฉันใด ภิกษุเจริญพอกพูนซึ่งฌาน ๔ ย่อมเป็นผู้น้อมไปสู่นิพพาน โน้มไปสู่นิพพาน โอนไปสู่นิพพานฉันนั้น....
    “ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฌาน ๔ อันภิกษุพึงเจริญเพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อกำหนดรู้ เพื่อความสิ้นไป เพื่อละสังโยชน์อันเป็นส่วนเบื้องบน ๕ (คือ รูป ราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา) เหล่านี้แล”

    ฌานสังยุต มหา. สํ. (๑๓๐๑-๑๓๐๔ )
    ตบ. ๑๙ : ๓๙๒-๓๙๓ ตท. ๑๙ : ๓๖๐-๓๖๑
    ตอ. K.S. ๕ : ๓๗๒

    ส่วนคำถามข้างต้นว่า

    จริงเหรอครับ ??? ก็จะตอบว่าไม่รู้เพราะได้แต่ฟังครูอาจารย์เล่ามา
    รู้ได้อย่างไร ??? คำตอบคงเป็นไปอย่างข้างต้น
    เคยฝึกแบบเขาแล้วหรือยัง??? เคยฝึกแล้ว พอนิ่งสงบมาก ร่างกายและความคิดเหมิอนถูกขึงพืดสติจะจดจ่อกับความนิ่งคมยิ่งกว่าคมมีด คิดอะไรไม่ออก ไม่มีปัญญาพิจารณาใดๆ ทั้งสิ้น ต้องค่อยๆ ผ่อนลมหายใจถอยมากำหนดสติ แล้วค่อยๆ พิจารณาใหม่ คราวนี้เดินหน้าได้ดังใจหมาย ก็ทำได้แต่เพียงเท่านี้ หลังจากนั้นมา ก็หัดจับอารมณ์นี้ ได้บ้างไม่ได้บ้างตามเรื่องตามราวครับ
    รู้ได้อย่างไรครับว่าเขาไม่มีการ "แทงทะลุขุกขอริยสัจสี่" ??? ไม่ทราบอีกเช่นกัน ถ้าเขาแทงทะลุก็ต้องขออนุโมทนาเป็นอย่างยิ่ง แต่คิดว่าคงยาก ไม่อย่างนั้น พระอรหันต์คงสำเร็จกันง่ายๆ เต็มบ้านเต็มเมืองอย่างที่หลวงปู่เทสก์ ท่านเทศน์ให้ฟัง เรื่องการทำสมาธิไว้ ว่าให้เอาแค่เข้าถึงความเป็นกลางได้ก็พอแล้ว
    หรือรู้ได้อย่างไรว่าพวกเขาไปนิพพานไม่ได้เลย??? ไม่ทราบเช่นกัน เพราะพวกที่ไปแล้วก็ไม่เคยมาบอก หรือพวกบอกแล้วไม่ไปหรือไปไม่ถึงก็เยอะ เพียงแต่คุยเรียกแขก หรือเรียกศรัทธาก็มาก ตัวอย่างก็เห็นๆ กันอยู่ครับ

    ก็คงขออนุญาตตอบได้ตามความรู้แห่งตนแค่นี้ละครับ ส่วนข้อที่ตอบไม่ได้คงให้ไปถามใน link ที่ให้ไว้ เห็นเค้ายังอัพเดทกันอยู่ครับ

    ขอบคุณอีกครั้ง

    พันวฤทธิ์
    12/8/51


     
  18. พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
     
  19. narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    <TABLE width=600 align=center border=0><TBODY><TR><TD><CENTER>ตัดกรรมตัดเวรด้วยศีล ๕</CENTER><DD>การทำบาปทำกรรม สิ่งที่เรียกว่าเป็นบาป การกระทำด้วยกาย ด้วยวาจา โดยมีใจเป็นผู้เจตนา คือมีความตั้งใจทำลงไปแล้วเป็นบาปทันที มีแต่ละเมิดศีล ๕ ข้อเท่านั้น นอกนั้นไม่มีปัญหา เพราะฉะนั้นใครรักษาศีล ๕ ให้ บริสุทธิ์บริบูรณ์ จึงเป็นการตัดทอนผลเพิ่มของบาปกรรม <DD>
     
  20. พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    สำหรับเรื่องทศชาติที่เคยลง หายไปนาน มาดูต่อในเรื่องสุวรรณสามในตอนที่ 2 โดยเรื่องเดิมในตอนที่ 1 ของผมอยู่ในหน้า 80 ของคนอื่นอาจจะไม่ตรง เนื่องจากการตั้งค่าการแสดงข้อมูลอาจมีความแตกต่างกันครับ


    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0 color="#000000"><TBODY><TR><TD align=middle width="100%" colSpan=2 height=80><CENTER>พระสุวรรณสาม ๒ </CENTER><TR><TD align=middle width="100%" colSpan=2 height=80>



    </TD></TR><SCRIPT language=JavaScript>if (document.all)document.body.style.cssText="border:10 outset #ddcf77"</SCRIPT></TBODY></TABLE><TABLE width="90%" align=center>
    ก็เห็นว่าต่อไปท่านทั้งสองนี้เนื่องด้วยกรรมเก่าของท่านทั้งสองนี้ถึงกับเสียตา และเมื่อเป็นเช่นนั้นการหาอาหารก็จะลำบาก ควรจะต้องหาใครไว้สักคนหนึ่งเพื่อเอาไว้ช่วยเหลือ จึงใปหาพระดาบส พร้อมกับพูดว่า
     

แชร์หน้านี้