ขอเชิญร่วมหล่อสร้างพระพุทธโสธร๓๐นิ้วเพื่อสันติสุข

ในห้อง 'พระพุทธรูป - วิหารทาน - สิ่งก่อสร้าง' ตั้งกระทู้โดย มุ่งเต็มใจ, 16 กันยายน 2009.

  1. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,468
    พระวัดโสธรฮือ-ต้านสมภารคนนอก

    300รูปบุกแบงก์ ระงับเบิกเงินวัด





    <TABLE border=0 cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    ม็อบพระ - พระเณรวัดโสธรวรารามวรวิหาร จ.ฉะเชิงเทรา กว่า 300 รูป ชุมนุมประ ท้วงเจ้าคณะจังหวัด ไม่แต่งตั้งเจ้าอาวาสรูปใหม่ซึ่งว่างมา 5 ปี แล้วเคลื่อนไปธ.กสิกรไทยให‰ระงับการเงินของวัดทั้งหมด


    </TD></TR></TBODY></TABLE>ม็อบพระ-เณร วัดหลวงพ่อ โสธร กว่า 300 รูป บุกแบงก์ยื่นหนังสือให้ระงับเบิกจ่ายเงินของวัดหลังรักษาการแทนเจ้าอาวาสทำหน้าที่ครบ 5 ปี แต่เจ้าคณะจังหวัดไม่สามารถตั้งเจ้าอาวาสรูปใหม่ขึ้นมาปกครองได้ ย้ำไม่ยอมรับสมภาร คนนอกที่จะเสนอแต่งตั้ง เพราะพระลูกหม้อในวัดมีความรู้ความสามารถมากกว่า ด้าน"พระพรหมสุธี"เจ้าคณะภาค 12 เชื่อปัญหาไม่บานปลาย เพราะได้พูดคุยกับพระ-เณรภายในวัดจนเป็นที่เข้าใจแล้ว

    เวลา 09.00 น. วันที่ 3 พ.ย. ผู้ช่วยเจ้าอาวาส พร้อมด้วยพระภิกษุสามเณร วัดโสธรวรารามวรวิหาร อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา จำนวนกว่า 350 รูป ออกมารวมตัวกันบริเวณวัด พร้อมกับป้ายต่อต้านเจ้าคณะปกครอง เรื่องแต่งตั้งเจ้าอาวาสที่ไม่โปร่งใส และต้องการปกป้องผลประโยชน์ของวัด จากนั้นเคลื่อนขบวนเดินเท้าจากวัดมาชุมนุมกันบริเวณหน้าธนาคารกสิกรไทย สาขาฉะเชิงเทรา ฝั่งตรงข้ามสภ.เมืองฉะเชิงเทรา เพื่อยื่นหนังสือถึงผู้จัดการธนาคารกสิกรไทย สาขาฉะเชิงเทรา เรื่องขอให้ระงับการทำธุรกรรมทาง การเงินของวัดโสธรฯ

    หนังสือดังกล่าวระบุว่า ตามที่วัดโสธรวรารามวรวิหาร มีผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาส ตั้งแต่วันที่ 10 ต.ค. 2547 ซึ่งตามกฎมหาเถรสมาคม ผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาสมีระยะเวลาเพียง 5 ปีเท่านั้น บัดนี้ครบกำหนดแล้ว แต่เจ้าคณะปกครองยังมิได้แต่งตั้งเจ้าอาวาสเพื่อปฏิบัติหน้าที่ ทำให้ผู้มีอำนาจกระทำการแทนวัดหมดหน้าที่ลง จึงไม่มีผู้ใดปฏิบัติหน้าที่แทนวัดในนามนิติบุคคล ทั้งนี้ ทางคณะสงฆ์วัดโสธรวราราม จึงขอให้ทางธนาคารระงับการเบิกจ่ายหรือการทำธุรกรรมทางการเงินจากบัญชีของวัดทุกบัญชี มิเช่นนั้นจะถือว่าทำผิดกฎหมาย จนกว่าจะแต่งตั้งผู้มีอำนาจกระทำการแทนวัดได้

    จากนั้น นายไพศาล ปัญญาลิขิต ผจก.ธนา คาร ออกมารับหนังสือด้วยตัวเอง และกล่าวยืนยันว่าระหว่างนี้ทางธนาคารจะระงับการทำธุรกรรมทางการเงินจากบัญชีของวัดโสธรวรารามทุกบัญชี จนกว่าจะแต่งตั้งเจ้าอาวาสอย่างเป็นทางการ สร้างความพอใจให้คณะพระภิกษุสามเณร ที่มาร่วมชุมนุมกันในครั้งนี้ จากนั้นทั้งหมดเดินทางกลับวัดอย่างสงบ

    พระครูโสภณสรกิจ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดโสธรวรารามเปิดเผยว่า เนื่องจากวัดโสธรวรารามได้ว่างตำแหน่งเจ้าอาวาสมานาน มหาเถรสมาคมจึงมีคำสั่งผ่านพระพรหมสุธี เจ้าคณะภาค 12 และเจ้าคณะจังหวัดฉะเชิงเทรา แต่งตั้งพระพรหมสุธี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศ เจ้าคณะภาค 12 และกรรมการมหาเถรสมาคม รักษาการแทนเจ้าอาวาสตั้งแต่วันที่ 30 ต.ค. 2547 บัดนี้ได้ครบกำหนดเวลา 5 ปีแล้ว ตามกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 19 (พ.ศ.2536) ข้อ 4 ว่าด้วยการแต่งตั้งผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาส ต้องดำเนินการเสนอให้มีการแต่งตั้งเจ้าอาวาส กรณีพระอารามหลวงให้เสร็จสิ้นภายในกำหนดมิให้เกิน 5 ปี แต่ปรากฏว่า พระเทพปัญญาเมธี เจ้าคณะจังหวัดฉะเชิงเทรา มิได้ดำเนินการเสนอเจ้าอาวาสรูปใหม่ เพื่อให้เจ้าคณะปกครองดำเนินการแต่งตั้งเจ้าอาวาสตามกฎดังกล่าว ทำให้ที่ผ่านมาการปกครองวัดโสธรวรารามเกิดความเสียหาย และเกิดผลเสียเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นพระอารามหลวง มีองค์หลวงพ่อพระพุทธโสธรเป็นที่เคารพศรัทธาของพุทธศาสนิกชนทั่วประเทศ มีพระภิกษุและสามเณรอยู่จำพรรษาเป็นจำนวนมาก จึงเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์สอบถามจากประชาชนทั่วไปว่าเหตุใดจึงไม่มีการแต่งตั้งเจ้าอาวาสให้เรียบร้อย

    ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดโสธรวรารามเปิดเผยอีกว่า ดังนั้น ทางคณะผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดโสธรวรารามจึงประชุมปรึกษาหารือร่วมกัน และเสียงส่วนใหญ่เห็นควรให้พระปริยัติกิจวิธาน เจ้าคณะอำเภอเมืองฉะเชิงเทรา และผู้ช่วยเจ้าอาวาส อาวุโส อายุ 53 ปี พรรษา 32 วิทยฐานะ น.ธ.เอก ป.ธ.4 เป็นผู้มีความรู้ความสามารถ ช่วยส่งเสริมให้การศึกษาของวัดจนขึ้นสู่อันดับหนึ่งของประเทศ และยังจบการศึกษาถึงระดับปริญญาโท สมควรได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสและได้รับการสนับสนุนจากผู้ช่วยเจ้าอาวาส จำนวน 7 รูป และพระภิกษุสามเณร จำนวน 348 รูป จึงได้ทำเรื่องเสนอต่อเจ้าคณะจังหวัดฉะเชิงเทรา แต่เจ้าคณะจังหวัดยังคงเพิกเฉย ทางคณะพระภิกษุ สามเณรวัดโสธรวรารามจึงทำหนังสือสอบถามความคืบหน้าในเรื่องดังกล่าวแล้วถึง 2 ครั้ง ซึ่งก็ยังไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจน โดยเจ้าคณะจังหวัด อ้างแต่รอพระผู้ใหญ่สั่งการ จนกระทั่งถึงวันที่ 31 ต.ค.แล้ว ก็ยังไม่แต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดโสธรวรารามอย่างเป็นทางการ

    พระครูโสภณสรกิจ กล่าวต่อว่า คณะผู้ช่วยเจ้าอาวาส พระภิกษุ สามเณร จึงประชุมปรึกษาหารือกันในวัด และมีมติเห็นควรให้ผู้ช่วยเจ้าอาวาสร่วมกันเป็นคณะกรรมการบริหารวัด เพื่อแก้ไขสถานการณ์ไปพลางก่อน จนกว่าคณะปกครองจะดำเนินการให้เรียบร้อย และหากมีการแต่งตั้งเจ้าอาวาสรูปใหม่มาจากพระนอกวัด เชื่อว่าคณะสงฆ์ส่วนใหญ่ภายในวัดโสธรวรารามจะไม่ยอมรับ เพราะทราบมาว่า มีความพยายามของพระผู้ใหญ่บางรูป ที่จะนำเอาพระพิพิธกิจจา ภิวัฒน์ เจ้าอาวาสวัดท่าสะอ้าน และเจ้าคณะอำเภอบางปะกง ซึ่งมีอายุมากถึง 84 ปี มาเป็นเจ้าอาวาส ทั้งที่วัดโสธรวรารามมีพระที่มีความรู้ความสามารถอยู่เป็นจำนวนมาก แต่เหตุใดคณะผู้ปกครอง จึงต้องแต่งตั้งพระนอกวัดที่มีความรู้ความสามารถน้อยกว่ามาเป็นเจ้าอาวาส ทำให้พระสงฆ์ภายในวัดเกิดความคลางแคลงใจ ทั้งนี้ เชื่อว่าวัดโสธรวรารามเป็นวัดที่มีรายได้มาก การแต่งตั้งเจ้าอาวาสของเจ้าคณะผู้ปกครองบางรูป จึงอาจเกี่ยวข้องกับการรักษาผลประโยชน์ของตนเองก็เป็นได้

    ด้านพระเทพปัญญาเมธี เจ้าคณะจังหวัดฉะเชิงเทรา กล่าวว่า การกระทำของพระสงฆ์วัดโสธรวรารามครั้งนี้ แม้จะไม่ผิดระเบียบของสงฆ์ แต่เป็นเรื่องไม่สมควร อย่างไรก็ตามการแต่งตั้งเจ้าอาวาสรูปใหม่ได้ดำเนินการไปตามระเบียบของมหาเถรสมาคม เพราะเสนอรายชื่อผู้ที่สมควรเป็นเจ้าอาวาสไปยังเจ้าคณะภาค 12 แล้ว และจะส่งต่อไปยังมหาเถรสมาคมเพื่อพิจารณาต่อไป เชื่อว่าน่าจะแต่งตั้งเจ้าอาวาสแล้วเสร็จภายในไม่เกินกลางเดือนนี้

    นายสุรพล พงษ์ทัดศิริกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรา กล่าวถึงปัญหากรณีการแต่งตั้งเจ้าอาวาสวัดโสธรวรารามในขณะนี้ว่า ตนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง เป็นเรื่องของมหาเถรสมาคม เป็นเรื่องระบบการปกครองของคณะสงฆ์ที่มีพระผู้ใหญ่ดูแล ตามขั้นตอนของการแต่งตั้ง ตนเป็นเพียงฆราวาส ซึ่งเจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะภาค และมหาเถรสมาคม จะเป็นผู้พิจารณาเสนอ โดยเฉพาะวัดโสธรวราราม เป็นพระอารามหลวง ต้องเสนอผ่านทางมหาเถรสมาคม ส่วนการดำเนินการในเรื่องอื่นๆ ก่อนหน้านี้ในวัดโสธรฯ นั้น ตนมาไม่ทัน

    ด้านพระพรหมสุธี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศ กรรมการมหาเถรสมาคม ในฐานะรักษาการเจ้าอาวาสวัดโสธรวรารามวรวิหาร เปิดเผยถึงกรณีคณะสงฆ์-สามเณร วัดโสธรวรารามวรวิหาร จำนวนกว่า 300 รูป ได้เดินทางไปที่ธนาคารกสิกรไทย สาขาฉะเชิงเทรา ฝั่งตรงข้าม สภ. เมืองเชิงเทรา เพื่อยื่นหนังสือถึงผู้จัดการธนาคาร ขอคัดค้านการเบิกจ่ายเงินของวัดเนื่องจาก วัดไม่มีผู้มีอำนาจเบิกจ่ายเงิน ด้วยผู้รักษาการวัด ได้ดำรงตำแหน่งครบวาระ 5 ปี ว่า เรื่องที่เกิดขึ้นไม่มีอะไร เป็นความเข้าใจผิด ขณะนี้เจ้าคณะจังหวัดฉะเชิงเทรา ได้ดำเนินการชี้แจงกับคณะสงฆ์วัดโสธรวรารามแล้ว ซึ่งทุกฝ่ายก็เข้าใจและยอมยุติการชุมนุมไปแล้ว ส่วนปัญหาในเรื่องการเบิกจ่ายเงิน ในช่วงที่อาตมาเข้าไปดูแลรักษาการวัดก็ไม่เคยมีปัญหา ด้วยทำตามขั้นตอนและระเบียบทุกประการ สามารถตรวจสอบได้ ทั้งนี้ วัดโสธรวรารามมีปัจจัยจากการทำบุญเข้าวัดเป็นจำนวนมหาศาล ทำให้การเบิกจ่ายเงินต้องใช้อย่างระมัดระวัง ตรงนี้ คงทำให้พระลูกวัดเกรงว่าถ้าอาตมาหมดวาระรักษาการลงและไม่มีใครเข้ามาดูแลทันที อาจมีผู้ไม่หวังดีแอบอ้างการเบิกจ่ายเงินอย่างไม่เหมาะสมก็ได้

    "สำหรับเรื่องที่อาตมาดำรงตำแหน่งจะครบวาระ 5 ปี รักษาการเจ้าอาวาสวัดโสธรฯ อาตมาขอยืนยันว่าจะไม่มีการต่ออายุรักษาการเจ้าอาวาสอีก สำหรับตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดรูปใหม่ เป็นอำนาจของเจ้าคณะจังหวัดฉะเชิงเทรา จะเป็นผู้เสนอชื่อผู้ที่มีความเหมาะสม เสนอไปยังเจ้าคณะภาค ก่อนเสนอตามลำดับไปที่เจ้าคณะหนใหญ่ ก่อนนำเสนอที่ประชุมมหาเถรฯ พิจารณาแต่งตั้งต่อไป" พระพรหมสุธีระบุ

    ด้านนายอำนาจ บัวศิริ ผอ.สำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม (มส.) สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวในเรื่องเดียวกัน ว่า สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดฉะเชิงเทรา รายงานมาถึงตน ทราบว่า พระเทพปัญญาเมธี เจ้าคณะจังหวัดฉะเชิงเทรา ได้เข้าไปชี้แจงให้พระภิกษุ-สามเณรที่มาชุมนุมเข้าใจ เกี่ยวกับเรื่องการเบิกจ่ายเงินของวัด ส่วนการแต่งตั้งเจ้าอาวาสรูปใหม่ แทนพระพรหมสุธี ในฐานะรักษาการเจ้าอาวาส ที่จะดำรงตำแหน่งครบ 5 ปี ว่าเป็นอำนาจของเจ้าคณะจังหวัด ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีการส่งรายชื่อมายังสำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคมแต่อย่างใด สำหรับขั้นตอนของการเบิกจ่ายเงินของวัด เจ้าอาวาสจะเป็นผู้มีอำนาจเต็มแต่งตั้งไวยาวัจกรเป็นผู้แทนดำเนินการเบิกจ่ายเงินของวัด โดยมีคณะกรรมการวัดเป็นผู้ลงมติ ส่วนรักษาการเจ้าอาวาส ก็สามารถมีอำนาจเบิกจ่ายเงินของวัดได้เช่นเดียวกับเจ้าอาวาส แต่โดยธรรมเนียมมารยาทแล้ว ผู้รักษาการแทนจะไม่ตั้งเบิกจ่ายเงินของวัดโดยไม่จำเป็น อย่างไรก็ตาม เรื่องดังกล่าวที่เกิดขึ้น จะไม่ทำรายงานเสนอให้ที่ประชุมมหาเถรฯ ทราบ เนื่องจากเป็นเรื่องภายในของวัดเท่านั้น และดำเนินการแก้ปัญหาเสร็จเรียบร้อยแล้ว
    http://www.khaosod.co.th/view_news....id=TURNd01RPT0=&day=TWpBd09TMHhNUzB3TkE9PQ]˹ѧ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 พฤศจิกายน 2009
  2. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,468
    เพิ่งจะได้โอนเงินมัดจำจากบัญชีในงานส่วนที่เกี่ยวข้องไป27,000บาทครับ
     
  3. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,468
    [​IMG]ขออนุโมทนากับทุกๆบุญกุศลบารมีที่เป็นการสืบทอดพระพุทธศาสนาและสร้างเสริมบุญบารมีอันเป็นบันไดสู่พระนิพพาน เพื่อให้ท่านผู้ปรารถนา พระนิพพาน พระพุทธภูมิ ทั้งในชาตินี้หรือชาติต่อๆไป ได้ร่วมบุญกุศลบารมี เพื่อความเจริญในธรรม


    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1>ขออนุโมทนาบุญกับทุกๆท่านครับ ธรรมใดที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงพบแล้ว ขอธรรมนั้น จงสำเร็จแก่ท่านทั้งหลายและสรรพชีวิตโดยดีงามด้วยเถิด สาธุ สาธุ สาธุ

    อิทัง ปุญญะผะลัง ผลบุญกุศลใด ที่ข้าพเจ้า ได้บำเพ็ญแล้ว ตั้งแต่ต้นชาติ จนถึงปัจจุบันชาติ ข้าพเจ้าขออุทิศส่วนบุญกุศลนี้ ให้แก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ที่เคยล่วงเกินมาแล้ว แต่ชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี ขอเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย จงอนุโมทนา ส่วนบุญกุศลนี้ แล้ว ขอจงอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้า ตั้งแต่บัดนี้ ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน พุทธภูมิ อภิเษกพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ และได้ช่วยให้ผู้อื่นได้ด้วย

    และขออุทิศส่วนบุญกุศลนี้ ให้แก่เทพเจ้าทั้งหลาย ที่ปกปักรักษาข้าพเจ้า และเทพเจ้าทั้งหลาย ทั่วสากลพิภพ และพระยายมราช ขอเทพเจ้าทั้งหลาย และพระยายมราช จงอนุโมทนาส่วนบุญกุศลนี้ ขอจงเป็นสักขีพยาน ในการบำเพ็ญบุญกุศล ของข้าพเจ้าในครั้งนี้ด้วยเถิด และขออุทิศส่วนบุญกุศลนี้ ให้แก่ท่านทั้งหลาย ที่ล่วงลับไปแล้ว ที่เสวยความสุขอยู่ก็ดี เสวยความทุกข์อยู่ก็ดี เป็นญาติก็ดี มิใช่ญาติก็ดี ขอท่านทั้งหลาย จงโมทนาส่วนบุญกุศลนี้ พึงได้รับประโยชน์ ความสุข ไม่ต่ำกว่าข้าพเจ้า จะพึงได้รับ ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด

    หากท่านทั้งหลายยังไม่มีโอกาสได้อนุโมทนาเพียงใด ขอเทพเจ้าทั้งหลายและพระยายมราชจงเป็นสักขีพยานให้แก่ข้าพเจ้าด้วย เจอท่านทั้งหลายเมื่อใด ขอให้ท่านทั้งหลายได้อนุโมทนาส่วนบุญกุศลนี้ด้วยเถิด ผลบุญกุศลบารมีใด ที่ข้าพเจ้า ได้บำเพ็ญแล้ว ตั้งแต่ต้นชาติ จนถึงปัจจุบันชาตินี้ ขอผลบุญกุศลบารมีนี้ จงเป็นสรรพพลวปัจจัย ให้ข้าพเจ้า เจริญในพระพุทธการกธรรม ได้เข้าถึง ซึ่งพระนิพพาน พุทธภูมิ อภิเษกพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณและได้ช่วยให้ผู้อื่นได้ด้วยด้วยเถิด หากแม้นยังไม่ถึงพระนิพพาน พุทธภูมิ อภิเษกพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณเพียงใด ขอคำว่าไม่รู้ ไม่มี ในสิ่งที่ดี จงอย่าได้บังเกิดแก่ข้าพเจ้าเลย ขอผลบุญกุศลทั้งหลาย ที่ข้าพเจ้า ได้กระทำแล้ว จงบังเกิดผล ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้ โดยดีงามด้วยเทอญเถิด

    "พุทโธ โพเธยยัง มุตโต โมเจยยัง ติณโณ ตาเรยยัง"
    "เมื่อรู้แล้ว จักช่วยผู้อื่นรู้ด้วย เมื่อพ้นทุกข์แล้ว จักช่วยผู้อื่นพ้นทุกข์ด้วย เมื่อข้ามโอฆะแล้ว จักช่วยผู้อื่นข้ามโอฆะด้วย"

    "เมื่อได้พุทธภูมิแล้ว จักช่วยให้ผู้อื่นได้พุทธภูมิด้วย"


    พุทโธ ธัมโม สังโฆ อัปมาโณ สิทธมัตถุ ๆ ๆ
    สะอาด สว่าง สงบสมดุลย์ เลิศ ประเสริฐ ปราณีต ละเอียด ยิ่งๆๆขึ้นไปเทอญ สัมปะติจฉามิ ๆ ๆ (i) [​IMG]
    <!-- google_ad_section_end -->
     
  4. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,468
  5. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,468
  6. ประตูสู่ทางสว่าง

    ประตูสู่ทางสว่าง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    327
    ค่าพลัง:
    +1,173
    เย็นนี้ผมจะโอนเงินร่วมทำบุญจำนวน 100.- บาทครับ
    พรุ้งนี้คงไม่ได้เข้าเน็ตขอแจ้งไว้ล่วงหน้าเลยครับ

    อนุโมทนา ครับ
     
  7. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,468
    :cool: สาธุครับ

     
  8. ong1962

    ong1962 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กันยายน 2009
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +144
    ขออนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ

    ---------------------------------------------------
    "พระอรหันต์ที่บ้าน คือ บิดามารดา จึงต้องเคารพและบูชามากที่สุด"
     
  9. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,468
    ประวัติ พระสารีบุตร เอตทัคคอัครมหาสาวกผู้เลิศทางปัญญา

    พระสารีบุตรถือกำเนิดในครรภ์ของนางสารีพราหมณีในบ้านอุปติสสคาม ณ หมู่บ้านนาลกะ (นาลันทะ) ไม่ไกลกรุงราชคฤห์ เดิมชื่อ อุปติสสะ บิดาคือ วังคันตพราหมณ์ มารดาคือ สารีพรามหณี มีน้องชาย ๓ คนชื่อ
    อุปเสนะ (เอตทัคคมหาสาวกผู้นำความเลื่อมใสมาโดยรอบ),
    จุนทะ (พระมหาสาวกจุนทะ แต่พระส่วนใหญ่ชอบเรียกท่านว่า สามเณรจุนทะ จนติดปาก),
    เรวตะ (เอตทัคคมหาสาวกเลิศทางผู้อยู่ป่าเป็นวัตร),
    มีน้องสาว ๓ คน นามว่า จาลา, อุปจาลา และสีสุปจาลา ซึ่งต่อมาได้บวชเป็นภิกษุณีและสามารถบรรลุธรรมขั้นสูง เป็นพระอรหันต์ทั้งหมด แม้สหายของท่านคือ พระโมคคัลลานะ ก็ถือกำเนิดในครรภ์ของโมคคัลลีพราหมณีในวันเดียวกัน บ้านโกลิตคาม อันไม่ไกลกรุงราชคฤห์

    วัยหนุ่มตอนเป็นคฤหัสถ์

    ในกรุงราชคฤห์มีงานมหรสพประจำปีบนยอดเขา ซึ่งมาณพทั้งสองก็นั่งรวมกันดูมหรสพเป็นประจำ จนกระทั่งถึงวันหนึ่ง ท่านทั้งสองเริ่มมีความเบื่อหน่ายในงานมหรสพ ด้วยต่างคิดว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่ควรดูในมหรสพเหล่านี้ เพราะคนทั้งหมด ต่างก็จะล้มหายตายจากกันไป เราควรแสวงธรรมซึ่งเป็นเครื่องหลุดพ้น ดังนี้ ขณะนั้นโกลิตะเห็นเพื่ออุปติสสะใจลอยจึงกล่าวถาม อุปติสสะจึงบอกความในใจ ที่เบื่อหน่ายต่อมหรสพและความต้องการแสวงหาธรรมอันเป็นเครื่องหลุดพ้นแล้วจึงถามกลับบ้าน ซึ่งโกลิตะก็ตอบโดยมีเนื้อความเช่นเดียวกัน เมื่อต่างคนต่างทราบความในใจแล้ว จึงชวนกันไปบวชในสำนักของสัญชัยปริพาชก พร้อมกับมาณพอีก ๕๐๐ คน เมื่อบวชแล้วท่านทั้งสองได้เรียนจบลัทธิของสัญชัยปริพาชกทั้งหมด โดยใช้เวลาเพียง ๒-๓ วันเท่านั้น เมื่อหมดความรู้ที่จะศึกษาแล้ว และยังไม่เห็นถึงธรรม ท่านจึงอำลาและแสวงหาอาจารย์ท่านอื่นๆต่อไป ซึ่งท่านทั้งสองได้ตกลงกันว่า หากใครบรรลุอมตะก่อน ผู้นั้นจงบอกแก่กัน

    สมัยนั้น พระอัสสชิเถระหนึ่งในภิกษุปัญจวัคคีย์ ได้ถือบาตรและจีวรเข้าไปบิณฑบาตยังกรุงราชคฤห์แต่เช้าตรู่ อุปติสสปริพาชกทำภัตกิจแต่เช้ามืดแล้วเดินไปอารามปริพาชก ได้เห็นพระเถระจึงตั้งใจเข้าไปสอบถามคำถามต่างๆ แต่เนื่องจากพระเถระกำลังบิณฑบาตอยู่ จึงติดตามไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงสถานที่แห่งหนึ่ง จึงเข้าไปอุปัฏฐากพระเถระ เมื่อเสร็จจากภัตกิจแล้วจึงได้สนทนาธรรมกัน โดยการสนทนาธรรมในครั้งนี้ทำให้ท่านได้บรรลุธรรมขั้นโสดาบัน เมื่อสอบถามถึงสถานที่ประทับของพระพุทธเจ้าแล้ว ท่านจึงกลับไปตามโกลิตปริพาชก เมื่อท่านได้กล่าวคาถาที่พระเถระได้มอบให้ไว้ โกลิตปริพาชกก็บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันเช่นเดียวกัน ท่านทั้งสองจึงนับถือพระอัสสชิเป็นอาจารย์ และไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าที่พระเวฬุวัน แต่ก่อนไป ท่านทั้งสองได้ไปชักชวนอาจารย์เก่า คือสัญชัยปริพาชก แต่อาจารย์ท่านปฏิเสธ แต่มีอันเตวาสิก ๒๕๐ คนได้ติดตามไปด้วย

    เมื่อพระศาสดากำลังทรงแสดงธรรมอยู่ท่ามกลางบริษัท ๔ เห็นชนเหล่านั้นแต่ไกล จึงตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า ๒ คนนั้น คือโกลิตะและอุปติสสะกำลังเดินมา ทั้งสองนี้แหละจักเป็นคู่สาวกที่เลิศที่เจริญ ครั้นแล้วทรงขยายพระธรรมเทศนา เนื่องด้วยจริยาแห่งบริษัทของ ๒ สหายนั้น ในครั้งนั้นบรรดาผู้ติดตามทั้งหมดต่างได้บรรลุอรหัตผล ยกเว้นพระอัครสาวกทั้งสอง เมื่อนั้นพระศาสดาจึงประทานเอหิภิกขุอุปสัมปทาให้

    การบรรลุธรรม

    หลังจากพระสารีบุตรเถระบวชได้ครึ่งเดือน ก็เข้าไปอาศัยอยู่ในถ้ำสุกรขาตากับพระศาสดา กรุงราชคฤห์ ขณะที่พระสารีบุตรถวายงานพัดอยู่นั้น เมื่อพระศาสดาทรงแสดงเวทนาปริคหสูตรแก่ทีฆนขปริพาชก ผู้เป็นหลานของพระสารีบุตร ท่านได้ส่งญาณไปตามกระแสพระสูตร ก็ได้บรรลุถึงที่สุดสาวกบารมีญาณ สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ในวันขึ้น ๑๕ เดือน ๓ เวลาบ่ายในเวลาต่อมา พระศาสดาจึงทรงสถาปนาพระมหาสาวก้ทั้งสองไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะว่า สารีบุตรเป็นยอดของภิกษุสาวกของเราผู้มีปัญญามาก มหาโมคคัลลานะเป็นยอดของภิกษุสาวกของเราผู้มีฤทธิ์มาก แม้ว่าพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะจะเกิดพร้อมกัน แต่ด้วยพระสารีบุตรสำเร็จเป็นพระโสดาบันก่อน พระผู้มีพระภาคจึงถือให้พระสารีบุตรเป็นผู้พี่ของพระโมคคัลลานะ.

    นิพพาน

    เมื่อพระสารีบุตรอาพาธ ท่านจึงทูลลาพระพุทธเจ้ากลับไปนิพพานยังบ้านเกิด ก่อนนิพพานท่านได้ทำให้โยมมารดาเปลี่ยนใจ หันมายอมรับนับถือพระพุทธศาสนา โดยแสดงธรรมแก่มารดาจนบรรลุธรรมขั้นโสดาบัน หลังจากท่านนิพพานแล้วพระจุนทะจึงนำพระธาตุของพระสารีบุตรไปถวายพระพุทธเจ้าพระสารีบุตรปรินิพพานก่อนพระพุทธเจ้าประมาณ ๖ เดือน คือ วันเพ็ญ เดือน ๑๒(ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒) เวลาใกล้รุ่ง ที่บ้านตนเอง.

    ที่มา : http://www.relicsofbuddha.com/barahun/page8-1-01.htm
     
  10. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,468
    [FONT=Tahoma, MS Sans Serif, MS Dialog Light]พระสารีบุตร[/FONT]
    <TABLE border=0 cellSpacing=1 cellPadding=1 width=450><TBODY><TR><TD rowSpan=2 width=300>[​IMG]</TD><TD> </TD></TR><TR><TD vAlign=bottom>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [FONT=MS Sans Serif, BrowalliaUPC]"สัณฐานกลมเป็นปริมณฑลบ้าง รีเป็นไข่จิ้งจกบ้าง เป็นดังรูปบาตรคว่ำบ้าง
    พรรณขาวดังสีสังข์ สีพิกุลแห้ง สีหวายตะค้า"
    [/FONT]
     
  11. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,468
    [FONT=Tahoma, MS Sans Serif, MS Dialog Light]พระโมคคัลลานะ[/FONT]
    <TABLE border=0 cellSpacing=1 cellPadding=1 width=450><TBODY><TR><TD rowSpan=2 width=300>[​IMG]</TD><TD></TD></TR><TR><TD vAlign=bottom>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [FONT=MS Sans Serif, BrowalliaUPC]"พระโมคคัลลานะ สัณฐานกลมเป็นปริมณฑลอย่างหนึ่ง รีเป็นผลมะตูม[/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, BrowalliaUPC]แลเมล็ดทองหลางก็มี แลเมล็ดสวาทก็มี เป็นเมล็ดคำก็มี [/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, BrowalliaUPC]สีเหลืองเหมือนหวายตะค้าบ้าง สีขาวบ้าง [/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, BrowalliaUPC]เขียวช้ำในและลายไข่นกบ้าง ร้าวเป็นสายเลือดบ้าง"[/FONT]
    [FONT=Tahoma, MS Sans Serif, MS Dialog Light]ประวัติ พระมหาโมคคัลลานเถระ เอตทัคคะในทางผู้มีฤทธิ์ [/FONT]

    [FONT=Tahoma, MS Sans Serif, MS Dialog Light]พระมหาโมคคัลลานะ เป็นบุตรพราหมณ์นายบ้านในหมู่บ้านโกลิตคาม ได้ชื่อว่า “โกลิตะ” ตามชื่อของหมู่บ้าน มารดาชื่อ โมคคัลลี คนทั่วไปจึงเรียกท่านว่า “โมคคัลลานะ” ตามชื่อของมารดา ท่านเป็นสหายที่รักกันมากับอุปติสสมาณพ เที่ยวแสวงหาความสุขความสำราญ ตามประสาวัยรุ่น และพ่อแม่มีฐานะร่ำรวย นอกจากนี้ยังมีอุปนิสัยใจคอเหมือนกัน และยังได้ออกบวชพร้อมกันอีกด้วย (ประวัติเบื้องต้นของท่านถึงศึกษาจากประวัติของพระสารีบุตร)[/FONT]
    [FONT=Tahoma, MS Sans Serif, MS Dialog Light]ทรงแสดงอุบายแก้ง่วงแก่พระโมคคัลลานะ [/FONT]

    [FONT=Tahoma, MS Sans Serif, MS Dialog Light]พระมหาโมคคัลลานะ เมื่ออุปสมบทได้ ๗ วัน ได้ไปทำความเพียรอยู่ที่ป่าใกล้บ้านกัลป์ลาวาลมุตตาคาม แขวงมคธ ถูกถีนมิทธารมณ์ คือ ความง่วงเหงาเข้าครอบงำ ไม่สามารถจะทำความเพียรได้ ขณะนั้น พระผู้มีพระภาค ประทับอยู่ ณ สวนเภสกลาวัน ซึ่งเป็นสถานที่ให้เหยื่อแก่เนื้อ ใกล้เมืองสุงสุมารคิรี อันเป็นเมืองหลวงของแคว้นภัคคะ ทรงทราบด้วยพระญาณว่าพระโมคคัลลานะ โงกง่วงอยู่ จึงทรงทำปาฏิหาริย์ให้เห็นปรากฏ ประหนึ่งว่าเสด็จประทับอยู่ตรงหน้า ทรงแสดงอุบายสำหรับระงับความง่วงแก่เธอตามลำดับ ดังนี้:-[/FONT]

    [FONT=Tahoma, MS Sans Serif, MS Dialog Light]๑. โมคคัลลานะ เมื่อเธอมีสัญญาอย่างใดแล้ว เกิดความง่วงขึ้น เธอจงทำไว้ในใจซึ่ง[/FONT]
    [FONT=Tahoma, MS Sans Serif, MS Dialog Light]สัญญาอย่างนั้นให้มาก จะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้[/FONT]
    [FONT=Tahoma, MS Sans Serif, MS Dialog Light]๒. ถ้ายังละไม่ได้ เธอควรตรึกตรองถึงธรรมที่ได้เรียนมาแล้ว ได้ฟังมาแล้วให้มาก จะ[/FONT]
    [FONT=Tahoma, MS Sans Serif, MS Dialog Light]เป็นเหตุให้ละความง่วงได้[/FONT]
    [FONT=Tahoma, MS Sans Serif, MS Dialog Light]๓. ถ้ายังละไม่ได้ เธอควรสาธยายธรรมที่ได้เรียนได้ฟังมาแล้วให้มากจะเป็นเหตุให้ละ[/FONT]
    [FONT=Tahoma, MS Sans Serif, MS Dialog Light]ความง่วงได้[/FONT]
    [FONT=Tahoma, MS Sans Serif, MS Dialog Light]๔. ถ้ายังละไม่ได้ เธอควรยอนช่วงหูทั้งสองข้าง และลูบตัวด้วยฝ่ายมือจะเป็นเหตุให้ละ[/FONT]
    [FONT=Tahoma, MS Sans Serif, MS Dialog Light]ความง่วงได้[/FONT]
    [FONT=Tahoma, MS Sans Serif, MS Dialog Light]๕. ถ้ายังละไม่ได้ เธอจงลุกขึ้นแล้วลูบนัยน์ตา ลูบหน้าด้วยน้ำเหลียวดูทิศทั้งหลาย [/FONT]
    [FONT=Tahoma, MS Sans Serif, MS Dialog Light]แหงนดูดาว จะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้[/FONT]
    [FONT=Tahoma, MS Sans Serif, MS Dialog Light]๖. ถ้ายังละไม่ได้ เธอควรทำไว้ในใจถึงอาโลกสัญญา ถือ กำหนดความสว่างไว้ในใจ[/FONT]
    [FONT=Tahoma, MS Sans Serif, MS Dialog Light]เหมือนกัน ทั้งกลางวันและกลางคืน ทำใจให้เปิด ให้สว่าง จะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้[/FONT]
    [FONT=Tahoma, MS Sans Serif, MS Dialog Light]๗. ถ้ายังละไม่ได้ เธอควรเดินจงกรมสำรวมอินทรีย์ มีจิตใจไม่คิดไปภายนอก จะเป็น[/FONT]
    [FONT=Tahoma, MS Sans Serif, MS Dialog Light]เหตุให้ละความง่วงได้[/FONT]
    [FONT=Tahoma, MS Sans Serif, MS Dialog Light]๘. ถ้ายังละไม่ได้ เธอควรสำเร็จสีหไสยาสน์ นอนตะแคงขวา ซ้อนเท้าให้เลื่อมกัน มี[/FONT]
    [FONT=Tahoma, MS Sans Serif, MS Dialog Light]สติสัมปชัญญะ หมายใจว่าจะลุกขึ้นเป็นนิตย์ เมื่อตื่นแล้วควรรีบลุกขึ้นด้วยตั้งใจว่า เราจะไม่[/FONT]
    [FONT=Tahoma, MS Sans Serif, MS Dialog Light]ประกอบความสุขในการนอนและการเคลิ้มหลับอีกจะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้[/FONT]
    [FONT=Tahoma, MS Sans Serif, MS Dialog Light]พระพุทธองค์ ตรัสสอนอุบายเพื่อบรรเทาความง่วงโดยลำดับจนที่สุดถ้ายังไม่หายง่วงก็[/FONT]
    [FONT=Tahoma, MS Sans Serif, MS Dialog Light]ให้นอน แต่ให้นอนอย่างมีสติ เมื่อปรานอุบายแก้ง่วงดังนี้แล้วได้ประทานพระโอวาทอีก ๓ ข้อ [/FONT]
    [FONT=Tahoma, MS Sans Serif, MS Dialog Light]คือ:-[/FONT]

    [FONT=Tahoma, MS Sans Serif, MS Dialog Light]๑. โมคคัลลานะ เธอจงทำไว้ในใจว่า เราจะไม่ชูงวง คือ ความถือตัวว่าเราเป็นนั่น เป็น[/FONT]
    [FONT=Tahoma, MS Sans Serif, MS Dialog Light]นี่ เข้าไปสู่สกุล เพราะถ้าภิกษุถือตัวเข้าไปสู่สกุลด้วยคิดว่าเขาจะต้องต้อนรับเราอย่างนั้นอย่างนี้ [/FONT]
    [FONT=Tahoma, MS Sans Serif, MS Dialog Light]ถ้าคนในสกุลเขามีการงานมาก ก็จะเกิดอิดหนาระอาใจ ถ้าเขาไม่ใส่ใจต้องรับ เธอก็จะเก้อเขินคิด[/FONT]
    [FONT=Tahoma, MS Sans Serif, MS Dialog Light]ไปในทางต่าง ๆ เกิดความฟุ้งซ่านไม่สำรวม จิตก็จะห่างจากสมาธิ[/FONT]
    [FONT=Tahoma, MS Sans Serif, MS Dialog Light]๒. โมคคัลลานะ เธอจงทำไว้ในใจว่า เราจักไม่พูดคำอันเป็นเหตุเถียงกันเพราะถ้าเถียง[/FONT]
    [FONT=Tahoma, MS Sans Serif, MS Dialog Light]กันก็จะต้องพูดมาก และผิดใจกัน เป็นเหตุให้ฟุ้งซ่านไม่สำรวม และจิตก็จะห่างจากสมาธิ[/FONT]
    [FONT=Tahoma, MS Sans Serif, MS Dialog Light]๓. โมคคัลลานะ ตถาคตไม่สรรเสริญการคลุกคลีด้วยประการทั้งปวง แต่ก็ไม่ตำหนิ[/FONT]
    [FONT=Tahoma, MS Sans Serif, MS Dialog Light]การคลุกคลีไปทุกอย่าง คือ เราไม่สรรเสริญการคลุกคลีกับหมู่ชน ทั้งคฤหัสถ์และบรรพชิต แต่[/FONT]
    [FONT=Tahoma, MS Sans Serif, MS Dialog Light]เราสรรเสริญการคลุกคลีด้วยเสนาสนะ อันสงบสงัดปราศจากเสียงอื้ออึง ควรแก่การหลีกเร้นอยู่[/FONT]
    [FONT=Tahoma, MS Sans Serif, MS Dialog Light]ตามสมณวิสัย [/FONT]
    [FONT=Tahoma, MS Sans Serif, MS Dialog Light]ลำดับนั้น พระมหาโมคคัลลานะ ได้กราบทูลถามถึงข้อปฏิบัติอันเป็นธรรมชักนำไปสู่การสิ้นตัณหา เกษมจากโยคะคือกิเลสเครื่องประกอบให้จิตติดอยู่พระพุทธองค์ ตรัสสอนในเรื่องธาตุกรรมฐาน โดยใจความว่า “ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ เมื่อได้สดับว่าธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่น ก็ควรกำหนดธรรมเหล่านั้น ในยามเมื่อเสวยเวทนา [/FONT]
    [FONT=Tahoma, MS Sans Serif, MS Dialog Light]อันเป็นสุขหรือทุกข์ หรือไม่สุขไม่ทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่ง และให้พิจารณาดังปัญญา อันประกอบด้วยความหน่าย ความดับ และความไม่ยึดมั่น จิตก็จะพ้นจากอาสวกิเลส เป็นผู้รู้ว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว” พระมหาโมคคัลลานะ ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว ท่านเป็นกำลังสำคัญของพระศาสนา ช่วยแบ่งเบาภารกิจ และยังพุทธดำริต่าง ๆ ให้สำเร็จด้วยดี เพราะท่านมีฤทธิ์มีอานุภาพยิ่งกว่าพระสาวกรูปอื่น ๆ จนได้รับการยกย่องจากพระบรมศาสดา แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง พระอัครสาวกเบื้องซ้าย โดยทรงยกย่องให้เป็นอัครสาวกคู่กับพระสารีบุตรว่า:-[/FONT]

    [FONT=Tahoma, MS Sans Serif, MS Dialog Light]“พระสารีบุตรเป็นพระอัครสาวกเบื้องขวา เปรียบเสมือนมารดาผู้ให้กำเนิดบุตร [/FONT]
    [FONT=Tahoma, MS Sans Serif, MS Dialog Light]พระโมคคัลลานะ เป็นพระอัครสาวกเบื้องซ้าย เปรียบเสมือนนางนมผู้เลี้ยงทารกที่เกิดมาแล้ว [/FONT]
    [FONT=Tahoma, MS Sans Serif, MS Dialog Light]พระสารีบุตร ย่อมแนะนำให้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล พระโมคคัลลานะ ย่อมแนะนำให้ตั้งอยู่ในคุณ[/FONT]
    [FONT=Tahoma, MS Sans Serif, MS Dialog Light]เบื้องสูงขึ้นไป”[/FONT]

    [FONT=Tahoma, MS Sans Serif, MS Dialog Light]นอกจากนี้ พระมหาโมคคัลลานะ ยังเป็นผู้มีความสามารถในการ นวกรรม คือ งานก่อสร้าง พระบรมศาสดาเคยทรงมอบหมายให้ท่านรับหน้าที่ นวกัมมาธิฏฐายี คือ ผู้ควบคุมดูแลการก่อสร้างวิหารบุพพาราม ที่เมืองสาวัตถี ซึ่งนางวิสาขาบริจาคทรัพย์สร้างถวายอีกด้วย[/FONT]
    [FONT=Tahoma, MS Sans Serif, MS Dialog Light]พระเถระมีความสามารถในทางอิทธิปาฏิหาริย์[/FONT]

    [FONT=Tahoma, MS Sans Serif, MS Dialog Light]พระมหาโมคคัลลานะ เมื่อบวชและสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วปรากฏว่าท่านมีความสามารถโดดเด่นในทางอิทธิปาฏิหาริย์ เป็นเลิศ กว่าภิกษุทั้งหลาย ท่านสามารถแสดงฤทธิ์ ไปยังภูมิของสัตว์นรก และไปโลกสวรรค์ชั้นต่าง ๆ ได้ ท่านได้พบเห็นสัตว์นรกในขุมต่าง ๆ ที่ได้เสวยความสุขจากการทำบุญไว้ในเมืองมนุษย์เช่นกัน ท่านได้นำข่าวสารของสัตว์นรกและของเทพบุตรเทพธิดาเหล่านั้น มาแจ้งแก่บรรดาญาติและชนทั้งหลายให้ทราบ ทำให้บรรดาญาติและชนเหล่านั้นพากันละเว้นกรรมชั่วลามกอันจะพาตนไปเสวยผลกรรมในนรก พากันสร้างบุญกุศล อันจะนำตนไปสู่สุคติโลกสวรรค์ และพร้อมกันนั้นก็พากันทำบุญอุทิศไปให้แก่ญาติของตน เหล่าชนบางพวกที่ไม่มีศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาก็พากันละทิ้งลัทธิศาสนาเดิมมาศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามากยิ่งขึ้น ทำให้พวกเดียรถีย์ทั้งหลายต้องเสื่อมจากลาภสักการะ เป็นอยู่ลำบากอดอยากขึ้นเรื่อย ๆ[/FONT]

    [FONT=Tahoma, MS Sans Serif, MS Dialog Light]พระมหาโมคคัลลานเถระถูกโจรทุบ[/FONT]

    [FONT=Tahoma, MS Sans Serif, MS Dialog Light]วันเวลาผ่านไปตามลำดับ เข้าสู่ปัจฉิมโพธิกาล ขณะที่ท่านพระมหาโมคคัลลานเถระพักอยู่ที่กาฬศิลา ในมคธชนบทนั้น[/FONT]
    [FONT=Tahoma, MS Sans Serif, MS Dialog Light]พวกเดียรถีย์ ทั้งหลาย มีความโกรธแค้นพระมหาโมคคัลลานเถระ เป็นอย่างมาก เพราะความที่ท่านมีฤทธานุภาพมาก สามารถกระทำอิทธิฤทธิ์ ไปเยี่ยมชมสวรรค์และนรกได้ แล้วนำข่าวสารมาบอกแก่ญาติมิตรของผู้ไปเกิดในสวรรค์และนรกให้ได้ทราบประชาชนทั้งหลายจึงพากันเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาทำให้พวกเดียรถีย์ ต้องเสื่อมคลายความเคารพนับถือจากประชาชน ลาภสักการะก็เสื่อมลง ความเป็นอยู่ก็ลำบากฝืดเคือง จึงปรึกษากันแล้วมีความเห็นอันเดียว[/FONT]
    [FONT=Tahoma, MS Sans Serif, MS Dialog Light]กันว่า “ต้องกำจัดพระมหาโมคคัลลานะ เพื่อตัดปัญหา” ตกลงกันแล้ว ก็เรี่ยไรเงินทุนจากบรรดาศิษย์ และอุปัฏฐากของตนเมื่อได้เงินมาพอแก่[/FONT]
    [FONT=Tahoma, MS Sans Serif, MS Dialog Light]ความต้องการแล้ว ได้ติดต่อจ้างโจรให้ฆ่าพระเถระ พวกโจรใจบาป ได้รับเงินสินบนแล้วพากันไปล้อมจับพระเถระถึงที่พัก แต่พระเถระรู้ตัวและหลบหนีไปได้ถึง ๒ ครั้ง ในครั้งที่ ๓ พระเถระได้พิจารณาเห็นกรรมเก่า ที่ตนเคยทำไว้ในอดีตชาติติดตามมา และเห็นว่ากรรมเก่านั้นทำอย่างไรก็หนีไม่พ้น จึงยอมให้พวกโจรจับอย่างง่ายดาย และถูกพวกโจรทุบตีจนกระดูกแตกแหลกเหลวไม่มีชิ้นดี พวกโจรแน่ใจว่าท่านตายแล้ว จึงนำร่างของท่านไปทิ้งในป่าแห่งหนึ่ง แล้วพากันหลบหนีไป[/FONT]

    [FONT=Tahoma, MS Sans Serif, MS Dialog Light]กราบทูลลานิพพาน[/FONT]

    [FONT=Tahoma, MS Sans Serif, MS Dialog Light]พระมหาโมคคัลลานเถระ คิดว่า “เราควรไปกราบทูลลาพระผู้มีพระภาค ก่อนจึงปรินิพพาน” ดังนี้แล้วก็เรียบเรียงสรีรกายประสานกระดูกผูกหมั่นด้วยกำลังฌาน เหาะมาเฝ้าพระบรมศาสดา ถวายบังคมแล้วกราบทูลลาปรินิพพาน พระพุทธองค์ตรัสถามว่า “โมคคัลลานะ เธอจะปรินิพพาน ที่ไหน เมื่อไร ?”[/FONT]
    [FONT=Tahoma, MS Sans Serif, MS Dialog Light]“ข้าพระองค์ จะนิพพานที่กาฬศิลาในวันนี้ พระเจ้าข้า”[/FONT]
    [FONT=Tahoma, MS Sans Serif, MS Dialog Light]“โมคคัลลานะ ถ้าอย่างนั้น เธอจงแสดงธรรมแก่ตถาคตก่อน ด้วยว่าการได้เห็นพระเถระเช่นเธอนี้ จะไม่มีอีกแล้ว”[/FONT]
    [FONT=Tahoma, MS Sans Serif, MS Dialog Light]พระเถระได้รับพระพุทธบัญชาเช่นนั้นจึงทำปาฏิหาริย์เหาะขึ้นไปบนอากาศแสดงพระธรรมเทศนาแล้วลงมาถวายอภิวาทกราบทูลลาไปยังกาฬศิลา และปรินิพพาน ณ ที่นั้น ตรงกับวันแรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ หลังจากพระสารีบุตรนิพพานได้ ๑๕ วันพระผู้มีพระภาค เสด็จไปพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย ทรงเป็นองค์ประธานจุดเพลิงฌาปนกิจศพให้ท่าน ขณะนั้น ฝนดอกไม้ทิพย์ตกลงมาโดยรอบบริเวณ มหาชนพากันประชุมทำสักการะอัฐิธาตุตลอด ๗ วัน พระพุทธองค์โปรดให้สร้างเจดีย์บรรจุอัฐิไว้ ณ ที่ใกล้ซุ้มประตูแห่งพระเชตะวัดมหาวิหารนั้นสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อพระอัครสาวกทั้งขวาและซ้ายนิพพานหมดแล้ว ก็เปรียบประหนึ่งต้นหว้าแก่ที่กิ่งใหญ่ทั้งสองหักลงแล้ว คงเหลือแต่พระอานนท์ ผู้เป็นพุทธอุปัฏฐากเพียงองค์เดียว เที่ยวติดตามประการหนึ่งว่าเงาตามพระองค์ ฉะนั้น[/FONT]

    [FONT=MS Sans Serif, BrowalliaUPC]ตัดทอนและแก้ไข จาก 84000


    http://www.relicsofbuddha.com/barahun/page8-1-02.htm
     
  12. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,468
    [FONT=Tahoma, MS Sans Serif, MS Dialog Light]พระสีวลี[/FONT]
    <TABLE border=0 cellSpacing=1 cellPadding=1 width=450><TBODY><TR><TD rowSpan=2 width=300>[​IMG]</TD><TD> </TD></TR><TR><TD vAlign=bottom>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>[FONT=MS Sans Serif, BrowalliaUPC]"พระสีวลี มีสัณฐานดังเมล็ดในพุทราอย่างหนึ่ง ผลยอป่าอย่างหนึ่ง
    เมล็ดมะละกออย่างหนึ่ง วรรณเขียวดังดอกผักตบบ้าง แดงดังสีหม้อใหม่บ้าง
    สีพิกุลแห้งบ้าง เหลืองดังหวายตะค้าบ้าง แลขาวดังสีสังข์บ้าง"
    [/FONT]

    [FONT=Tahoma, MS Sans Serif, MS Dialog Light]ประวัติ พระสีวลีเถระ เอตทัคคะในทางผู้มีลาภมาก[/FONT]
    [FONT=Tahoma, MS Sans Serif, MS Dialog Light]พระสีวลี เป็นโอรสของพระนางสุปปวาสา ราชธิดาแห่งโกลิยนคร ตั้งแต่ท่านจุติลงถือปฏิสนธิในครรภ์ของพระมารดา ได้ทำให้ลาภสักการะเกิดขึ้นแก่พระมารดาเป็นอันมาก ท่าน
    อาศัยอยู่ในครรภ์ของพระมารดา นานถึง ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน ครั้นเมื่อใกล้เวลาจะประสูติ พระมารดาได้รับทุกขเวทนาอย่างแรงกล้า พระนางจึงขอให้พระสวามีไปกราบบังคมทูลขอพร จากพระบรมศาสดาและพระพุทธองค์ตรัสประทานพรแก่พระนางว่า:-

    “ขอพระนางสุปปวาสา พระราชธิดาแห่งพระเจ้ากรุงโกลิยะ จงเป็นหญิงมีความสุข
    ปราศจากโรคาพยาธิ ประสูติพระราชโอรสผู้หาโรคมิได้เถิด”

    ด้วยอำนาจแห่งพระพุทธานุภาพ ทุกขเวทนาของพระนางก็อันตรธานไป พระนางประสูติพระราชโอรสอย่างง่ายดาย ดุจน้ำไหลออกจากหม้อ พระประยูรญาติทั้งหลายได้ขนานพระนามพระราชโอรสของพระนางสุปปวาสาว่า “สีวลีกุมาร” เมื่อพระนางมีพระวรกายแข็งแรงดีแล้ว มีพระประสงค์ที่จะถวายมหาทานติดต่อกันเป็นเวลา ๗ วัน จึงจึงความประสงค์แก่พระสวามีให้กราบทูลอาราธนาพระบรมศาสดาพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ มารับมหาทานอาหารบิณฑบาตในพระราชนิเวสน์ ตลอด ๗ วัน ในวันถวายมหาทานนั้น สีวลีกุมาร มีพระวรกายเข้มแข็งดุจกุมารผู้มีพระชนม์ ๗ พรรษา ได้ช่วยพระบิดาและพระมารดาจัดแจงกิจต่าง ๆ มีการนำธมกรก (ธะมะกะหรก = กระบอกกรองน้ำ) มากรองน้ำดื่มและอังคาสพระบรมศาสดาและหมู่พระภิกษุสงฆ์ ในขณะที่สีวลีกุมาร ช่วยพระบิดาและพระมารดาอยู่นั้น ท่านพระสารีบุตรเถระได้สังเกตดูอยู่ตลอดเวลา และเกิดความรู้สึกพอใจในพระราชกุมารน้อยเป็นอย่างมาก ครั้นถึงวันที่ ๗ ซึ่งเป็นวันสุดท้าย พระเถระได้สนทนากับสีวลีกุมารแล้วชักชวนให้มาบวช สีวลีกุมาร ผู้มีจิตน้อมไปในการบวชอยู่แล้ว เมื่อพระเถระชักชวน จึงกราบทูลขออนุญาตจากพระบิดาและพระมารดา เมื่อได้รับอนุญาตแล้วจึงติดตามพระเถระไปยังพระอารามพระสารีบุตรเถระ ผู้รับภาระเป็นพระอุปัชฌาย์ ได้สอนพระกรรมฐานเบื้องต้น คือ ตจปัญจกกรรมฐานทั้ง ๕ ได้แก่ เกสา(ผม) โลมา(ขน) นขา(เล็บ) ทันตา(ฟัน) ตโจ (หนัง) ให้พิจารณาของทั้ง ๕ เหล่านี้ว่าเป็นของไม่งานเป็นของสกปรก ไม่ควรเข้าไปยึดติดหลงใหลในสิ่งเหล่านี้ สีวลีกุมาร ได้สดับพระกรรมฐานนั้นแล้วนำไปพิจารณาในขณะที่กำลังจรดมีดโกนเพื่อโกนผม ครั้งแรกนั้นท่านได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน จรดมีดโกนลงครั้งที่ ๒ ท่านได้บรรลุเป็นพระสกทาคามี จรดมีดโกนลงครั้งที่ ๓ ท่านได้บรรลุเป็นพระอนาคามี และเมื่อโกนผมเสร็จ ท่านได้บรรลุเป็นพระอรหันต์

    เมื่อท่านอุปสมบทแล้วปรากฏว่าท่านเป็นพุทธสาวกที่มีลาภสักการะมากมาย ด้วยอำนาจบุญบารมีของท่านที่สั่งสมมา ลาภสักการะเหล่านี้ได้เผื่อแผ่ไปยังพระสงฆ์สาวกท่านอื่น ๆ ด้วย แม้พระบรมศาสดาเมื่อทรงพาหมู่ภิกษุสงฆ์เสด็จทางไกลกันดาร ถ้ามี พระสีวลี ร่วมเดินทางไปด้วย ความขาดแคลนอาหารและที่พักอาศัยในระหว่างทางก็จะไม่เกิดขึ้นแก่หมู่ภิกษุสงฆ์เลย เช่น....

    พระพุทธองค์และหมู่ภิกษุอาศัยบุญพระสีวลี

    สมัยหนึ่ง พระบรมศาสดาเสด็จพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ จำนวน ๕๐๐ รูปไปเยี่ยมพระเรวตะผู้เป็นน้องชายของพระสารีบุตรเถระ ซึ่งจำพรรษาอยู่ ณ ป่าไม้ตะเคียน เมื่อเสด็จมาถึงทาง ๒ แพร่ง พระอานนท์เถระได้กราบทูลสภาพหนทางว่า.....

    “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าเสด็จไปทางอ้อม ระยะทางไกล ๖๐ โยชน์ มีประชาชนอยู่
    อาศัยมาก พระภิกษุไม่ลบากด้วยภิกขาจาร แต่ถ้าเสด็จไปทางลัดระยะทางประมาณ ๓๐ โยชน์
    ไม่มีประชาชนอยู่อาศัย มีสภาพเป็นป่าใหญ่ มีแต่อมนุษย์อยู่อาศัย พระภิกษุสงฆ์จะลำบากด้วย
    ภิกขาจาร”

    พระพุทธองค์ ตรัสถามว่า:-

    “ดูก่อนอานนท์ พระสีวลีมากับเราด้วยหรือไม่?”
    “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระเสวลีมากับเราด้วย พระเจ้าข้า”

    พระพุทธองค์ ตรัสว่า:-

    “ดูก่อนอานนท์ ถ้าอย่างนั้นก็จงไปทางลัด ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องกังวลด้วยอาหาร
    บิณฑบาต เพราะเทวดาทั้งหลายที่สิงสถิตอยู่ในป่าระหว่างทาง จะจัดสถานที่พักและอาหาร
    บิณฑบาตไว้ถวายพระสีวลีผู้เป็นที่เคารพนับถือของพวกตน เราทั้งหลายก็จะได้อาศัยบุญของ
    พระสีวลี นั้นด้วย”
    [/FONT]
    [FONT=Tahoma, MS Sans Serif, MS Dialog Light]
    ได้รับยกย่องในทางผู้มีลาภมาก

    ด้วยอำนาจบุญที่ท่านพระสีวลี ได้บำเพ็ญสั่งสมอบรมมาตั้งแต่อดีตชาติ เป็นปัจจัยส่งผลให้ท่านเจริญด้วยลาภสักการะ โดยมีเทพยาดา นาค ครุฑ และมนุษย์ทั้งหลาย นำมาถวายโดยมิ
    ขาดตกบกพร่อง ไม่ว่าท่านจะอยู่ในที่ใด ๆ ในป่า ในบ้าน ในน้ำ หรือบนบก เป็นต้นด้วยเหตุนี้ พระพุทธองค์ จึงทรงประกาศให้ปรากฏในหมู่พุทธบริษัทตรัสยกย่องท่านในตำแหน่ง เอคทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในทาง ผู้มีลาภมาก นับว่าท่านพระสีวลีเถระเป็นพระมหาสาวกอีกรูปหนึ่งที่ได้ช่วยกิจการ พระศาสนา แบ่งเบาภาระของพระบรมศาสดาเป็นอย่างมาก ท่านดำรงอายุสังขารโดยสมควรแก่กาลเวลาแล้วก็ดับขันธปรินิพพาน
    [/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, BrowalliaUPC]ตัดทอนและแก้ไข จาก 84000
     
  13. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,468
    ฮือฮาสร้างสมเด็จองค์ปฐมทองคำ หน้าตัก 10 นิ้ว! กว่า 100 ล้านบาท!


    มหากุศลหนึ่งเดียวในประเทศไทย สร้างสมเด็จองค์ปฐมทองคำ หน้าตัก 10 นิ้ว! กว่า 100 ล้านบาท! หรือใช้ทองคำในการหล่อมากถึงประมาณ 30 กิโลกรัม! ณ วัดทุ่งแสงสว่างเจริญธรรม ต.หนองบัว อ.เมือง จ.กาญจนบุรี ในวันเสาร์ที่ 7 พฤศจิกายน 2552 นี้ ในขณะที่พระอาจารย์ยุคลธรณ์ ธัมมปุตโต รักษาการเจ้าอาวาส วัดทุ่งแสงสว่างเจริญธรรม เผยเป็นงานมหากุศลหนึ่งเดียวของประเทศไทยในขณะนี้ในการสร้างพระทองคำแท้ ท่ามกลางราคาทองคำพุ่งสูงไม่หยุด พร้อมเผยโครงการต่อไปคือ “มูลนิธิเจโตวิมุตติ” เพื่อเผยแพร่พระพุทธศาสนาในอนาคต
    <O:p</O:p

    ช่วงต้นปี 52 ที่ผ่านมา ท่ามกลางสถานการณ์วุ่นวายทางการเมือง, ปัญหาภัยพิบัติ ปัญหาโรคระบาดต่างๆ ฯลฯ จึงไม่แปลกอะไรที่เราจะเห็นภาพผู้คนดิ้นรนหาสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจในรูปแบบต่างๆ จนเป็นที่ชินตา โดยหนึ่งเดียวที่ยึดเหนี่ยวจิตใจผู้คนได้ดีนั้นก็คือ พระพุทธศาสนานั่นเอง จึงเป็นที่มาของกระแสธรรมะฟีเวอร์ในเมืองไทยที่ยังมาแรงไม่หยุดในช่วง 2-3 ปีหลัง
    <O:p</O:p

    การปรากฏข่าวการสร้างสมเด็จองค์ปฐมทองคำ หน้าตักมากถึง 10 นิ้ว จึงกลายเป็นประเด็นร้อนแรงในกลุ่มพุทธศาสนิกชนมากมายกับสารพันคำถาม “จะสร้างได้จริงหรือ? แล้วจะเก็บรักษายังไง? คิดยังไงถึงทำ? แล้วจะหาทองได้ครบไหม? แต่นับจนถึงตอนนี้ปรากฏว่ามีพุทธศาสนานิกชนมากมายศรัทธาการสร้างสมเด็จองค์ปฐมอย่างล้นหลามเกินคาด! ทั้งที่ราคาทองคำยังพุ่งสูงไม่หยุด!
    <O:p</O:p

    พระอาจารย์ยุคลธรณ์ ธัมมปุตโต รักษาการเจ้าอาวาส วัดทุ่งแสงสว่างเจริญธรรม กล่าวถึงความคิดริเริ่มในการสร้างพระนี้ว่า<O:p</O:p

    “การหล่อสมเด็จองค์ปฐมทองคำหน้าตัก 10 นิ้ว นี้ เพราะ 10 นิ้ว หมายถึง บารมีเต็ม 10 ทัศ คือ ทานบารมี, ศีลบารมี , สัจจะบารมี ,วิริยะบารมี ,เนกขัมมะบารมี , ปัญญาบารมี , ขันติบารมี , เมตตาบารมี ,อธิษฐานบารมี ,อุเบกขาบารมี ตามหลักพุทธศาสนาผู้ใดก็ตามที่มีบารมีเต็ม ผู้นั้นจะหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง จะเข้าสู่แดนอมตะมหานิพพาน ซึ่งเป็นธรรมสูงสุดของพระพุทธศาสนา ภายใต้แนวคิด ทองคำ 1 แสนแผ่น - 1 แสนอธิษฐาน คือการรวบรวมแผ่นทองคำหนึ่งแสนคำอธิษฐาน เพื่อความวิมุตติสุขและเพื่อความที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบในชาติปัจจุบัน และรับบริจาคทองคำ เพื่อนำมาหล่อองค์พระในมหากุศลครั้งนี้
    <O:p</O:p

    ซึ่งถ้าสร้างเสร็จจะเป็นพระที่มีมูลค่ามาก จึงนับงานบุญนี้ที่ยิ่งใหญ่นัก จนไม่ทราบว่าในอนาคตกาลข้างหน้าจะมีการสร้างพระทองคำหน้าตัก 10 นิ้ว หรือภายใน 10 นิ้วได้หรือไม่ เพราะมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 100 ล้านบาท นับเป็นบุญที่ยิ่งใหญ่มหาศาล และจะเป็นพระประธานในพระอุโบสถของวัดทุ่งแสงสว่างเจริญธรรมอีกด้วย” <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ทั้งนี้ปัจจัยที่เหลือจากการสร้างพระ ทางวัดฯ จะนำไปสร้างพระอุโบสถ,บูรณะวัดทุ่งแสงสว่างเจริญธรรม และสมทบทุนมูลนิธิเจโตวิมุตติ เพื่อเผยแพร่พระพุทธศาสนาต่อไปในอนาคต
    <O:p</O:p

    “อาตมาได้ริเริ่มมูลนิธิเจโตวิมุตติ ในแนวคิด โครงการองคุลิมาลของมูลนิธิ เพื่อให้ผู้หลงผิด ได้มีโอกาสกลับตัวกลับใจใหม่ โดยจะเดินสายไปสอนกรรมฐาน ไปให้กำลังใจในการยืนหยัดความดีของตนที่มีอยู่ในจิตใจให้รักษาความดีของจิตตนเองไว้ และกลับตัวกลับใจ ละความชั่ว ทำแต่ความดี ยึดมั่นในหลักคำสอนของพระพุทธศาสนาว่า ทำความดีแล้ว ละความชั่ว ทำจิตใจให้ผ่องใส อย่าสงสัย และให้ยืนหยัดในความดีที่ตนกระทำ อย่าอายที่จะกระทำความดี ให้ละอายในสิ่งที่กระทำความชั่วต่างๆ โดยจะเดินทางไปสอนตามสถานพินิจฯ, เรือนจำ, สถานสงเคราะห์ต่างๆ, กรมคุมประพฤติ ฯลฯ และจะทำสื่อการสอนธรรมะเพื่อเผยแพร่พระพุทธศาสนา อันเป็นเป็นหลักธรรมในการใช้ชีวิต และเพื่อที่จะดูแลสมเด็จองค์ปฐมทองคำ และสมทบทุนสร้างพระอุโบสถของวัด

    และอีกประการคือ เพื่อให้มีพื้นที่สถานปฎิบัติธรรมในการอบรมด้านสมถกรรมฐาน ด้านจิตตานุภาพต่างๆ และรวบรวมวิทยาศาสตร์ทางจิตต่างๆ อีกทั้งจะสนับสนุนด้านศาสตร์ทางจิต เพื่อให้เกิดสันติสุขและสันติภาพต่างๆ แก่มวลมนุษยชาติ

    <O:p</O:p
    มูลนิธิเจโตวิมุตติ คำว่า เจโตมาจากคำว่า เจตะ ที่ แปลว่า ใจ<O:p</O:p

    คำว่าวิมุตติ แปลความว่าหลุด จึงแปลความหมายว่า การหลุดพ้นทางใจ
    <O:p</O:p
    เพื่อที่จะบอกว่า การที่เราจะบรรลุธรรม หรือการจะทำอะไรให้สำเร็จก็ตาม ขึ้นอยู่ที่ใจเท่านั้น และนี่คือเป้าหมายสูงสุดของการสร้างสมเด็จองค์ปฐมทองคำและการตั้งมูลนิธิเจโตวิมุตติ” พระอาจารย์ยุคลธรณ์ กล่าวปิดท้าย

    <O:p</O:p
    สนใจทำบุญสมทบทุนมูลนิธิเจโตวิมุตติ เพื่อเผยแพร่พระพุทธศาสนา ที่บัญชี พระยุคลธรณ์ ธัมมปุตโต ธนาคารกรุงไทย ออมทรัพย์ สาขาสยามสแควร์ เลขที่บัญชี 052-007462-9 <O:p</O:p
     
  14. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,468
    อานิสงค์ของการทำบุญด้วยธาตุทองคำในพระพุทธศาสนา

    ๑. เมื่อเกิดไปในภพใดชาติใด สมบัติใดที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเลิศที่สุดเท่าที่มนุษย์พึงมีในยุคนั้นเราจะเป็น ผู้ครอบครองสมบัตินั้น เพราะได้ทำบุญด้วยทองคำซึ่งขึ้นชื่อว่า เป็นธาตุที่เลิศที่สุด

    ๒. สามารถเข้าถึงฐานะแห่งความเป็นมหาเศรษฐี ที่ถึงพร้อมด้วยโภคทรัพย์สมบัติอันมากมาย เพราะได้บริจาคทรัพย์ไว้ในพระพุทธศาสนา และเนื้อนาบุญอันเลิศ

    ๓. เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยรูปสมบัติอันงดงาม ตั้งแต่เกิดจนสิ้นอายุขัย เพราะทำบุญด้วยทองคำ ซึ่งเป็นธาตุที่งามอยู่ในตัวเองตั้งแต่เริ่ม และมีความงามเป็นอมตะ ไม่หมองคล้ำ ผุกร่อน แม้กาลเวลาจะผ่านไปเป็นพัน ๆ ปี

    ๔. เกิดในตระกูลสูง เข้าถึงฐานะอันสูงส่ง เป็นที่เคารพนับถือเกรงใจของเหล่ามนุษย์และเทวา เพราะขึ้นชื่อว่าบูชาบุคคลที่ควรบูชา ซึ่งเป็นมงคลอันสูงสุด

    ๕. เป็นผู้มีบุตร บริวาร ให้ความเคารพกตัญญู อยู่ในโอวาท เพราะได้ทำทานด้วยความเคารพ ความกตัญญูที่มีต่อ มหาปูชนียาจารย์

    ๖. เป็นผู้มีปัญญาเป็นเลิศ เพราะได้ทำทานที่ประกอบไปด้วยปัญญา บูชาผู้ที่ปัญญาถึงพร้อมด้วยวิชชา และ จรณะ

    ๗. ขึ้นชื่อว่าสายบุญเชื่อมกับมหาปูชนียาจารย์ และธรรมใดที่ท่านบรรลุ ก็จะสามารถบรรลุตามอย่างท่านได้โดยง่าย สามารถเข้าถึงนิพพานและที่สุดแห่งธรรมได้โดยง่าย

    ๘. เป็นผู้มีสัมมาทิฐิ เกิดในปฎิรูปเทส ในดินแดนที่พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรื่อง เพราะได้สร้างเหตุแห่งความเจริญไว้ในพระพุทธศาสนา

    ๙. หลังจากละโลกแล้ว ได้ไปเสวยทิพยสมบัติอันเป็นเลิศ ถึงพร้อมด้วยลาภ ยศ สรรญเสริญ สุข ในทิพยวิมาน ฯลฯ


    ที่มาจากหนังสือ: คำน้อย ยอดคนกตัญญู หัวใจทองคำ<!-- google_ad_section_end -->

    ร่วมสร้างสมเด็จองค์ปฐมทองคำหน้าตัก ๑๐ นิ้ว วัดทุ่งแสงสว่างเจริญธรรม รับตะกรุดเงินกำแพงแก้ว ๗ ชั้น<!-- google_ad_section_end -->
     
  15. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,468
    <TABLE id=post2607629 class=tborder border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center><TBODY><TR vAlign=top><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" class=alt2 width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->Red Leaf<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2607629", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Dec 2006
    ข้อความ: 106
    Groans: 1
    Groaned at 0 Times in 0 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 6,347
    ได้รับอนุโมทนา 5,089 ครั้ง ใน 729 โพส
    พลังการให้คะแนน: 61 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]



    </TD><TD style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" id=td_post_2607629 class=alt1><!-- google_ad_section_start -->อ้างอิง:
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-RIGHT: 1px inset" class=alt2>ตอนไปหล่อพระสมเด็จองค์ปฐมทองคำตันหน้าตัก10นิ้วทองคำ30กิโลกรัมที่กาญจนบุรี เสร็จแล้วได้ไปพักที่ค่ายกองพลทหารราบที่ 9 ค่ายสุรสีห์นี้ด้วยครับ ก่อนนอนก็นึกถึงกรมพระราชวังบวรที่สนามหลวง วัดมหาธาตุ กทม.ที่ผมยกมือไหว้เสมอๆที่ผ่านไป ตอนเช้าตื่นขึ้นมาเพราะได้ยินเสียงเทวดาปลุกว่า ชายแดนใต้ๆ(ผมสร้างหลวงพ่อโสธรประดิษฐานเพื่อสันติสุขชายแดนใต้) น้องผู้หญิงท่านหนึ่งที่ไปด้วยชอบพูดถึงสมเด็จพระนเรศวรฯบ่อยๆตอนผมติดรถไปด้วย ผมก็คิดในใจว่า เอเข้าค่ายพระยาสุรสีห์ยังพูดถึงสมเด็จพระนเรศวรด้วยแฮะ ก็ถามเขา เขาบอกว่าประทับใจสมเด็จพระนเรศวรฯท่านมากครับ เมื่อเช้านี้ตอนเดินทางนึกถึงหลวงพ่อโสธรที่สร้างองค์นี้ ก็เกิดนิมิตเป็นเทวดาชุดทหารปัจจุบันมาจำนวนมาก รู้สึกว่ามาขอบใจ ทำให้เทวดาเหล่านั้นมีความสุขและกำลังมากขึ้นครับ </TD></TR></TBODY></TABLE>

    เข้ามาโมทนากุศลของคุณมุ่งก่อนกลับบ้านค่ะ โดยเฉพาะเพื่อ "ชายแดนใต้"


    พักนี้ตกบ่ายทีไร บ้านเราหงอยเนาะ สมาชิกหายกันหมด มาโพสแก้หงอยกันหน่อยเร้ว...<!-- google_ad_section_end -->
    __________________
    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->แจกอาทิตตปริยายสูตร + อนัตตลักขณสูตร ทิ้งอีเมล์ไว้จะส่งให้ค่ะ<!-- google_ad_section_end -->

    </TD></TR><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" class=alt2>[​IMG] [​IMG]<SCRIPT type=text/javascript> vbrep_register("2607629")</SCRIPT> [​IMG] </TD><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" class=alt1 align=right>[​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE>

    http://palungjit.org/threads/รวมพลเ...หาราชจอมราชันย์-แห่งสยามประเทศ.205692/page-60
     
  16. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,468
    ทองคำที่ถวาย และทองคำที่ร่วมหล่อพระพุทธรูป รวมทั้งทองคำพระราชทานจากสมเด็จพระเทพครับ<!-- google_ad_section_end -->

    <FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>[​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]
    </FIELDSET>
     
  17. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,468
    เบ้าหล่อหลวงพ่อโสธรอยู่มุมบนซ้ายมือครับ หล่อโบราณดินไทย สัมฤทธิ์แดงทั้งองค์<TABLE style="BORDER-BOTTOM: white 1px solid; BORDER-LEFT: white 1px solid; BACKGROUND-COLOR: black; BORDER-TOP: white 1px solid; BORDER-RIGHT: white 1px solid" border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR vAlign=center><TD style="TEXT-ALIGN: center" id=lightboxholder vAlign=center colSpan=2 align=middle></TD></TR><TR class=lightboxtextrow><TD style="PADDING-BOTTOM: 4px; BACKGROUND-COLOR: black; PADDING-LEFT: 4px; PADDING-RIGHT: 4px; COLOR: white; PADDING-TOP: 4px" class=smallfont>IMG_1482_resize.JPG (10 of 10)</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE style="BORDER-BOTTOM: white 1px solid; BORDER-LEFT: white 1px solid; BACKGROUND-COLOR: black; BORDER-TOP: white 1px solid; BORDER-RIGHT: white 1px solid" border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR vAlign=center><TD style="TEXT-ALIGN: center" id=lightboxholder vAlign=center colSpan=2 align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  18. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,468
  19. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,468
    พระธรรมสิทธินายก ผู้แทนสมเด็จฯเกี่ยวมาเป็นประธานในพิธีเททองในงานครั้งนี้ในภาพผู้คนต่างใจจดใจจ่อดูการเททองคำอันยิ่งใหญ่ในครั้งนี้ไม่คลาดสายตาครับ<!-- google_ad_section_end -->


    <FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>[​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG]

    </FIELDSET>
     
  20. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,468
    ประธานพิธีฝ่ายฆราวาส อัญเชิญ แผ่นทองพระราชทาน ของ สมเด็จฯพระเทพฯ และสมเด็จฯ พระสังฆราช และ สมเด็จฯเกี่ยว นำมาลงในเบ้าหลอม
    ทองคำก็พร้อมที่จะเทแล้วครับ<!-- google_ad_section_end -->

    <FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>[​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG]
    </FIELDSET>
     

แชร์หน้านี้

Loading...