ดังนั้นคำว่า ไม่มีใครมีความสุขหรอก นี่คือ คำโกหก ถ้าไม่มีสุขเลย ใครกำหนดคำว่า สุข มาล่ะ
แล้วใครมาบังคับให้เรา ต้องมีแต่ทุกข์เท่านั้น ล่ะ พระเจ้าที่ไหนล่ะ ทำไมเราต้อง ทุกข์อย่างเดียวล่ะ จะสุขอย่างเดียว ใคร มา ขัดล่ะ ใครสามารถทำแบบนั้นล่ะ
ข้อความจากต่างมิติ-ก้าวกระโดดทางวิวัฒนาการครั้งยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ ไปสู่มิติที่ 5
ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Chayutt, 30 มิถุนายน 2010.
หน้า 433 ของ 494
-
แต่ถ้ายอมรับว่า จะรับผิดชอบทุกอย่าง ก็ จงทำต่อไป ตอบผมมาเพียงแค่นี้ ว่า จะรับผิดชอบหรือไม่รับผิดชอบ ตอบมาอย่างใดอย่างหนึ่ง -
-
-
จะรับผิดชอบในทุกสิ่งที่เกิด หรือ ไม่ยอมรับผิดชอบในทุกกรณี
แสดง ความจริงใจ ของทีมงานของพวกคุณออกมาเถอะ แค่นี้จริงๆ ครับ
เพราะ แค่ตอบ เท่านั้น
ผมคิดว่า แค่พวกคุณกล่้าที่จะตอบ ทุกอย่าง คงจบครับ -
-
คุณวงกลมจุด...
เอาละ...พวกเราจะขอเข้าที่ประชุม...เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องไม่เล็ก
เพราะหากเราตอบตกลง...ทันทีเลยนะ
ผลกระทบจะมีต่อองค์กรศาสนาตั้งแต่เล็กจนถึงกรมศาสนาเลยทีเดียว
ขอให้ใจเย็น ๆ รอสักนิด...เพราะเราก็อยู่ในองค์กรที่เกียวข้องนี้อยู่
จะนำข้อความที่เราคุยกันไปปรึกษาสมาชิกดู...
และทำไมมันถึงเป็นเรื่องใหญ่โตรู้ไม๊....เพราะเมื่อใดที่พวกเรา say yes..
นั่นหมายถึงพวกเราจะแน่กว่าผู้ที่คัดลอกพระไตรปิฏกมาซะอีก
พระถังซัมจั๋งยังกระเทือนเลย...และพระสงฆ์รูปใดที่ออกหนังสือ
หรือออกมาเทศน์...จะต้องเข้าระบบหมด...
เพราะเราจะประกาศสู่สาธารณะชนโดยสื่อต่าง ๆ..
เพราะเรื่องใหญ่ขนาดนี้...เก็บเงียบได้ไง...
จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากมาย...ยิ่งกว่าซึนามิอีก....
ต้องใช้คำว่า "ซึนามิในวงการศาสนา"
(อะ...คุณชยุตต้องดังละคราวนี้)
คุณอาจจะคิดว่า... ว่ามาเล่น ๆ...แต่เราเอาจริงนะ...
เพราะเราก็อยากรู้ว่าจะมีผู้ใหญ่ท่านใดจะออกมารับผิดชอบ
กับพระไตรปิฏกหรือหนังสือธรรมะที่ขายดีกันอยู่นี่...
ได้ช่องเราพอดีเลย...เราหาช่องอยู่นานละ
ไม่มีใครเปิดโอกาสสักที
ตกลงนะ...ขอเวลาพวกเราสักนิด...
พระเจ้า...คุณรู้ไม๊ ว่าคุณได้คุยถูกคนแล้ว...คุณวงกลมจุด...
โดนเลย....เพราะเราจะนำข้อความที่เราคุยกันและของคุณ
ไปนำเสนอในที่ประชุมใหญ่ ที่จะมีการจัดขึ้นในเร็ววันนี้...
น่ารักจริง ๆ คุณวงกลมจุด...เรารอนานละ...
ส่วนผลจะออกมาเป็นอย่างไร...หากเรายังหายใจจะมาขยายให้อ่านกันนะ...
อจิตตะ
-
แล้วเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะนี่ เขาสามารถรับผดชอบการกระทำของตัวเองได้แล้วหรือครับ
คุณก็จะตอบว่า ก็พ่อแม่ไม่ดูแลเอง
ผมก็จะถามว่า พ่อแม่ จะวางใจ ปล่อยลูกตนเอง ไม่ได้เลยหรือ ต้องคอยเฝ้าคอยดูติดตามแจตลอดเลยหรือ
คุณก็จะตอบว่า เรื่องของครอบครัวเขา
ผมก็จะถามว่า ครอบครัวคุณก็จะหนีไม่พ้น จากสิ่งที่คุณคิด นี้หรอก
คุณก็จะตอบว่า คุณไม่เชื่อที่ผมพุด
ผมก็จะบอกว่า แล้วจะรู้เอง -
-
ยกตัวอย่าง ง่ายๆนะครับ ถ้ามีรายการทีวีรายการหนึ่ง เชิญคนปีนเขาเอฟเวอเรสต์มาออกรายการ แล้วมีคนไปปีนเขาเอฟเวอเรสต์เพราะเกิดแรงบันดาลใจ แล้วดันเกิดประสบอุบัติเหตุ รายการโชว์นั้นต้องรับผิดชอบไหมครับ
หรือรายการทีวี เชิญคนที่สามารถไม่หลับไม่นอนติดต่อกัน 1 สัปดาห์โดยยังสามารถท่องสูตคูณได้อย่างถูกต้องมาโชว์ให้ดู แล้วมีคนไปทำตามแล้วเป็นลมเป็นแล้งไป รายการนั้นต้องรับผิดชอบไหมครับ
เขาถึงต้องมีคำว่า "โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม" ซึ่งนั่นแล่ะครับ คือสิ่งที่แสดงถึงความเอาใจใส่ต่อผู้ชม หรือผู้อ่าน ซึ่งผมยอมรับว่าผมตกหล่นตรงนี้ไป ซึ่งก็ได้กลับไปเพิ่มในบทความเก่าๆที่ผมแปลให้แล้วนะครับ และต่อจากนี้ผมก็จะจ่าหัวข้อความว่า "ผู้แปล:โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านข้อความแปลข้างล่างนี้" โอเคนะครับ -
คุณไม่ต้องเอามาถามหรอก ว่า ต้องรับรับผิดชอบมั้ย และผมไม่ต้องตอบ คุณก็ รู้คำตอบในใจคุณแล้วว่า ปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้หรอก และ อย่าเถียงผมเลย เพราะมันคือตราบาปที่เกิดขึ้นในใจ เจ้าของรายการ แล้วล่ะ ชดใช้ ยังไง ก็ไม่ ได้แล้ว ถึงแกล้ง กล้าทำ ว่าไม่รับผิดชอบ แต่ ในใจนั้น หนีไม่พ้นหรอกครับ จ่าย ร้อยล้านให้ครอบครัวคนตาย ยังลบ ตราบาปในใจออกไม่ได้เลย เชื่อผมสิ ยกเว้น ผมลบให้
-
ขอหยุดการพูดคุย แค่นี้นะครับ ตอบมาเมื่อไหร่ จะรู้เอง ครับ ว่า ที่พวกคุณเลือกนั้น ผลจะเป็นเช่นไร
-
-
-
ขออธิบาย คำว่า มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิด มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่ดับ
จะเห็น สิ่งที่กล่าวถึง คือ จิต คือ สิ่งที่ เรา ควบคุมไม่ได้ มันไม่ไช่ สิ่งที่เป็นเรา เราที่แท้จริง มีแค่ กายใจ เท่านั้น ดังนั้น จตที่เกิดดับคือ ตัวทุกข์ แต่ กายใจ หรือ ใจที่รู้ นั้น ไม่ได้ เป็นทุกข์ ไปกับ จิตหรือสิ่งที่เกิดดับแต่อย่างใด ดังนั้น ถ้าใจ ไม่รู้จิต ไม่มีจิต ใจก็ไม่มีทุกข์ ไม่รู้ทุกข์ ใจจะรู้แต่ ความจริง ของกายที่รับรู้มา แล้วปรุงแต่ง ตามจริง ที่กายใจจะรองรับ ได้เท่านั้น หามีจิตใดใด มาทำให้หลงไม่ เช่นกัน ใจนี้ เรารู้ทัน ยอมรับ ควบคุมมันได้ หาเกินเลยกว่านี้ ไม่ ยกเว้น จิต(อวิชชาที่ยังมีอยู่)ถึงควบคุมไม่ได้
หรือมีใครจะเถียงว่าผมพูดผิด ว่า เป็นการฝึกควบคุมใจ ไม่ไช่ฝึกควบคุมจิต แต่อย่างใด
ส่วนใจ เมื่อ ควบคุมได้ (ทิ้งจิตอวิชชาได้แล้ว) ก็ ไม่ต้องควบคุมใจแต่อย่างใด เพราะ ใจมันบริสุทธิ์แล้ว -
1. ตัวรู้ กับ ธาตุรู้ คืออะไร เหมือนและ/หรือแตกต่างกันอย่างไร เพราะเหตุใด
ตัวรู้กับธาตุรู้ ไม่ต่างกัน คือ ใจ อันเดียวกัน เพราะ ตัวรู้หมายถึง รู้พร้อมกับกายที่มีตัวตน มองเห็น จับต้องได้ ส่วน ธาตุรู้หมายถึง การรู้นั้น มันมีพลังงานของธาตุ ในการรับรู้ธาตุ ด้วยกัน เพื่อต่างก็เกิดจากธาตุ เหมือนกัน เลยเรียกว่า ธาตุ แม้จะมองไม่เห็น เช่น พลังงาน หรือคลื่นพลังงาน ก็ตาม
........................
แล้วจะมีคนสงสัยว่า แล้วสติตัวรู้นั้นล่ะ ก็เวลาที่จิตอวิชชามีอยู่ สติตัวรู้จะเป็นตัวที่หลงถูกสร้างขึ้นมา แล้ว สมุทัยออกจากกายใจ ออกจากโลกค้นหาสิ่งที่ดีกว่า ที่คิดว่า ไม่ดีเป็นตัวทุกข์เหมือนในโลก(กายใจ) แต่เมื่อ ชำระความหลงได้ ตัวรู้ที่แท้จริง คือ ใจ เท่านั้น มันจะปล่อยวางให้ สติตัวรู้นั้น เป็น อนัตตาไป คือ ปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่นนั่นเอง
แต่ที่ผมตอบคนที่ถาม เพราะ คนที่ถาม เขา ถามตามที่เขาคิด เขารู้ ผมตอบตามที่เขาคิดเขารู้ เขาถาม หา ตอบคนที่ ยังไม่รู้ สภาวะนี้ไม่ หวังว่า อย่าเข่้าใจผิดในคำตอบ หรือสับสนในคำตอบ นะครับ -
ดังนั้น ใจที่ ไม่มีจิตอวิชชา เกิดๆ ดับๆ ก็จะมีแต่ใจที่เป็นสุข เท่านั้น หามีทุกข์ใดใดเจือปนไม่
จะมีก็แต่ ความคิด การรับรู้ อารมณ์ เท่านั้น แต่ก็ ไม่มีทุกข์เกิดฃๆดับๆ อีกแล้ว -
ทีนี้ ก็มีคนสงสัยอีกว่า ตกลง ใจที่บริสุทธิ์ หรือ จิตกันแน่ ที่บริสุทธิ์ คำตอบคือ ถ้าจะปล่อยวางกันได้ ก็ ต้อง เพราะ บริสุทธิ์ เท่ากัน คือ เข้าถึง อนัตตาธรรม เหมือนกัน นั่นเอง จึง หลุด ปล่อยวาง จากกันได้ ดังนั้น จิตที่บริสุทธิ์ ถูกปล่อยวางคืนแก่ จักรวาลโดยรวม ส่วนใจนั้น สัมปชัญญะจะถอยกลับคืนมาอยู่กับกาย เพื่อ ตายลงพร้อมกับกาย นั่นเอง
-
สติที่ถูกฝึก มา มันคือจิต ตัวอวิชชา ที่ เราจะ เอามาชำระล้าง นั่นเแอง โดยฝึกสติ รู้ความจริงของกาย รู้ความจริงของเวทนา รู้ความจริงของจิต(ความคิด)และใจ เมื่อรู้ความจริงของ กาย อารมณ์ ความคิด และใจแล้ว ก็ ปล่อยวางกัน เหลือเพียง ตัวสติหรือจิตอวิชชานี้ ที่ต้อง มาชำระตัวเอง คือ ชำระอาสวะ อัตตาตัวตนเพื่อ ให้ เข้าถึง อนัตตาธรรม หรือก็คือ ความบริสุทธิ์ แปลง่ายๆว่า ทำลายตนเองให้บริสุทธิ์ โดยการไม่ยึดมั่นถือมั่น เมื่อบริสุทธิ์ คือ ตาย คือ ดับ คือนิพพาน นั่นก็คือ สติหรือจิตอวิชชานี้ ดับแล้ว นิพพานแล้ว อนัตตาแล้ว
เปรียบคือ ใจรู้นิพพาน ด้วย แต่ ใจนี้ มันไม่มีตัวตนแล้ว ก็คือ ไม่มีจิตอวิชชาแล้ว มันก็ต้อง กลับมารวมกับกายที่โลก ก็คือ เหมือนการเกิดใหม่ ที่ บริสุทธิ์ โดยๆไม่มีจิตอวิชชาเจือปนไม่ เหมือน กายใจที่มาเกิด ครั้งแรก นี่คือ จุดเริ่มต้นของ การ เดินมรรคแปด เพื่อ เข้าถึง ความเป็น พุทธะ มนุษย์ผู้ประเสริฐนั่นเอง ครับ
ขั้นตอนก็มีเท่านั้น เอง วิชาพุทธะ ผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน -
หน้า 433 ของ 494