ข้อความจาก กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)(ปิดกระทู้)

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย สุดใจเขากะลา, 9 สิงหาคม 2007.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. dogsman

    dogsman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,094
    ยินดีด้วยครับกับคุณ Chayutt และคุณ O.A.T เพื่อนซี้ใหม่ ต่างดาว
    ทำงานด้วยคุณธรรม เพื่อคอยช่วยเหลือชาวโลกยามเกิดภัยพิบัติ..
    ผมเชื่อว่ามนุษย์ต่างดาวมีจริง..(ถ้าได้เห็นตัวเป็นๆก็คงจะดี)
    ผมเชื่อว่าภัยพิบัติรุนแรงจะต้องเกิดขึ้นจริง(แต่ไม่สามารถระบุวันเวลาที่แน่นอนได้)เป็นไปตามกฏธรรมชาติเพื่อรักษาสมดุลย์ในจักวาลเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป
    ผมเชื่อว่าการปฏิบัติธรรม รักษาศีล สามารถทำให้รอดพ้นจากภัยพิบัติได้
    ผมเชื่อว่านิพพานมีจริง ทำให้มนุษย์หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดได้
    แหม!! เชื่อหมดทุกเรื่องเลย แต่อย่างน้อยความเชื่อของผมก็ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน และเชื่ออย่างมีสติ คิดพิจารณาติดตามสถานะการณ์ความเป็นไปได้
    ด้วยเหตุและผลที่มี ไม่รู้สึกเครียดหรือวิตกกังวลใดๆมากจนเกินไป..
    และความเชื่อทั้งหมดนี้ก็เป็นแรงบันดาลใจให้ผมปฏิบัติธรรมรักษาศีลจริงจัง
    ปล.ถ้ามนุษย์ต่างดาวชวนไปทัวร์จักวาลเมื่อไหร่ ผมขอไปด้วยสักคนนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กุมภาพันธ์ 2008
  2. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    อยากให้พี่สุดใชช่วยเล่าเรื่องที่ต้องเดินลงเขาตอนดึกๆ
    และเรื่องที่ต้องเตะเสา ที่เคยเล่าให้ผมฟังหนะครับ

    ผมว่าคนอื่นๆจะได้เห็นอะไรมากขึ้นอีกหน่อยหนะครับ
     
  3. สุดใจเขากะลา

    สุดใจเขากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    2,083
    ค่าพลัง:
    +11,451


    [​IMG]

    เห็นเขาว่าพอเข้าระบบแล้วต้องใช้รูปจริงๆของตัวเอง
    มาเป็นรูปแทนตัว..ว่างั้นนะครับ
    ก็เลยจำเป็นต้องเอารูปขี้เหร่ๆของตัวเองออกมาโชว์หนะครับ

    อันที่จริงหนะ..ไม่อยากเล๊ย!! ให้ตายเถอะโรบิ้น!!

    อายเค๊าไหม๊เนี่ย !!



    บททดสอบเรื่องความกลัว และประสบการณ์ของผู้ฝึกฯ

    เป็นเรื่องที่เป็นเบสิคพื้นฐานของมนุษย์โดยทั่ว ๆ ไป ที่จะต้องมีความกลัวในเรื่องต่าง ๆ รอบตัวมากมาย กลัวเสียชื่อเสียง กลัวคนนินทา กลัวคนไม่รัก กลัวเขาดูถูก กลัวไปสารพัดเรื่อง โดยไม่เคยคิดว่า สิ่งที่กำลังกลัวนั้นเป็นเพราะเราอุปาทาน คือยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวเรา ชื่อเสียงเรา หน้าตาเรา และสิ่งที่วนเวียนอยู่ในความคิดล่อหลอกให้สุขทุกข์ กังวลตลอดเวลานั้น ก็คิดว่าเป็นความคิดของเรา มันจึงยังต้องมีสุข มีทุกข์ มีความกังกล มีความห่วงใยตัวตนของเราอยู่ตลอดเวลา<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    สิ่งที่คุณชยุต กำลังพบเจอนี้ เรียกว่าบททดสอบ ในด้านเสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ ไปพร้อม ๆ กันเลย<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    เพราะปกติโดยทั่วไป เรามักจะไม่อยากที่จะไปเกี่ยวข้องกับสิ่งใด ๆ ก็ตาม ที่จะเป็นการทำให้เสียชื่อเสียง ทำให้คนนินทา ทำให้คนเห็นว่าบ้า ทำให้คนส่วนใหญ่หมดความเชื่อถือ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เรามักจะหลีกเลี่ยงอยู่เสมอ ถ้าเป็นไปได้ ดังนั้น พี่สุดใจ คุณ no.9 หรือผู้ฝึกทุกคน ก็มีความรู้สึกเช่นนี้มาก่อน<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    แต่เมื่อเราได้เรียนรู้ในธรรมะของพระพุทธเจ้า ได้เรียนรู้ในกฎของธรรมชาติ ได้รับทราบข้อมูลในมุมมองของธรรมชาติโดยผ่านการอธิบาย และทำให้เห็นเป็นรูปธรรม จากผู้ที่มาจากดวงดาวอื่นนั้น ทำให้เริ่มเข้าใจในกลไกของขันธ์ห้าที่เราหลงยึดติดคิดว่าเป็นตัวเราของเรานั้น ชัดเจนยิ่งขึ้น ดังนั้นในระบบการฝึกในเรื่องแรก ๆ ก็คือ การละทิฐิมานะ การละความถือตัวถือตน การละความกลัวเสียชื่อเสียงนั่นเอง<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ในช่วงที่ฝึกนั้น มีการจัดความอาย มาให้มากมายที่ต้องข้าม เดินไปเป็นกลุ่มก็ให้รำข้างถนนเสียอย่างนั้น คนแก่หรือชาวบ้านเดินผ่านไม่รู้จักเขาหรอก ก็ระบบให้เดินเรียงแถวเข้าไปไหว้เขา เขาก็งง และเป็นแบบนี้อยู่หลายวัน หรือบางทีก็ให้ทาแป้งเสียขาวเว่อ ทาหน้าทาตา เดินออกไปตามที่ชุมชน ถอดรองเท้าเดินบ้าง สารพัดจะต้องทำ ซึ่งผู้ฝึกแต่ละคนหน้าตาดี ๆ ทั้งนั้น (หรือเปล่า) และบางคนที่เคยไปร่วมประชุมกับสมาคมค้นคว้าทางจิต ของ ดร.เทพนม เมืองแมน ที่โรงแรมรัตนโกสินทร์ ในวันเสาร์สุดท้ายของเดือน มีช่วงหนึ่งที่ ดร.เทพนม ได้เชิญกลุ่มเขากะลา(ในตอนนั้น) มาให้ข้อมูล ผู้ที่ไปในวันนั้น จะเห็นกลุ่มเขากะลาโกนศรีษะกันทั้งหญิงและชาย คนที่ไปฟังประชุมส่วนใหญ่ก็จะมองเห็นว่าเป็นกลุ่มคนเพื้ยน ๆ กลุ่มหนึ่งเท่านั้นเอง ซึ่งในครั้งนั้นเป็นการกระทบจิตในขั้นรุนแรง และใกล้ ๆ จบกันแล้ว ซึ่งในขั้นแรก ๆ ก็อายแสนอาย ก็ทุกข์กันไป แต่เมื่อยังไม่ข้ามผ่าน ก็เรียนกันอยู่นั่นแหละ
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    หนังสือธรรมะที่มีเป็นตู้ จึงพอเป็น ธรรมโอสถ รักษาเยียวยาจิตใจ ในความเห็นผิดยึดติดในขันธ์ห้าได้ และได้มีการนำมาให้อ่านให้เข้าใจ ว่าที่ยังทุกข์เพราะยึดมั่นถือมั่นว่านี่เป็นตัวเรา หน้าตาของเรา ชื่อเสียงของเรา จึงต้องทุกข์อยู่กับการมีอุปาทานขันธ์ห้านี้ ถ้ายังมีตัวเราก็ยังทุกข์ร่ำไป ยังกลัวร่ำไป ก็เลยเริ่มเข้าใจ ความอายน้อยลง ทิฐิมานะน้อยลง มีความอดทนกับบุคคลอื่น ๆ ที่ไม่เข้าใจ หาว่าเราบ้า เราเพี้ยน ได้มากขึ้น ความทุกข์ในความห่วงตัวตนน้อยลง จึงมีความสงบในจิตมากขึ้น ไม่ค่อยสะดุ้งสะเทือนกับการที่จะถูกมายาดวงจิตล่อหลอกให้กลัวโน่น กลัวนี่ กลัวสารพัด ตอนนี้ก็เหลือน้อยลงทุกที แทบจะไม่มีการกระทบในเรื่องเหล่านี้อีก <O:p</O:p

    ดังนั้น โดยปกติทั่วไป เราก็ไม่อยากให้ใครเห็นหน้าเห็นตาเรา และยิ่งมาทำในเรื่องที่ค่อนข้างเพี้ยนอย่างนี้ การเสียชื่อเสียงย่อมมีอยู่แล้ว แต่เมื่อคุณชยุต ลองพิจารณาดูให้ดี ก็จะรู้ว่า เมื่อความคิดที่คิดว่ากลัวเข้ามา แล้วคุณถอยออกมาดูความคิดนั้น คุณก็จะเห็นว่า มันสักแต่ว่าคิด มันไม่ได้มีความกลัวจริงอยู่ในนั้น ไม่มีใครเป็นผู้ที่กลัวเลย เมื่อเห็นความคิด เมื่อรู้เท่าทันความคิด คุณก็จะไม่กลัวความคิดนั้น ไม่ทุกข์กับความคิดนั้น แล้วคุณก็จะก้าวข้ามความกลัว ก้าวข้ามความคิดที่จะล่อหลอกให้คุณไปยึดติดว่าเป็นความคิดของคุณ แล้วทุกข์ไปกับความคิดนั้นนั่นเอง ซึ่งในตอนนี้คุณอาจต้องใช้ขันติในการถูกหลอกล่อด้วยความคิดของมายาดวงจิต ให้คิดอาย คิดกลัวอยู่
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    แต่เมื่อคุณเห็นจริงแล้ว คุณจะไม่กลัวความคิดนั้นอีก ก็จะเห็นว่า สังขารขันธ์ หรือความคิด ก็สักแต่ว่าคิด ไม่สามารถทำให้เราเป็นทุกข์ได้ ซึ่งนั่นก็คือการวิปัสสนาในขณะที่สังขารกำลังปรุงแต่งความคิดนั่นเอง
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ระบบได้เคยกล่าวไว้ในกระทู้ก่อนนี้แล้วว่า
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กุมภาพันธ์ 2008
  4. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    ความรู้ใหม่ ติดตามอยู่ครับ
     
  5. rescuelp

    rescuelp เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2007
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +420
    อ่านจากการฝึกของทุกท่านที่ผ่านมาจากระบบ แล้วนั้น ซึ่งมีความคล้ายคำสอนแก่นแท้ของพุทธศาสนา ในสมัยอดีตกาล จากพระพุทธเจ้า ทำให้เกิดคำถามขึ้นว่าจะเป็นไปได้หรือไม่ เดิมที ระบบได้ถ่ายทอดการกระบวนการเหล่ามีมาแต่ ในสมัยอดีต มายังพระพุทธเจ้าเพื่อมาถ่ายทอดแก่ มนุษย์โลก เมื่อก่อน
     
  6. สุดใจเขากะลา

    สุดใจเขากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    2,083
    ค่าพลัง:
    +11,451


    พี่สุดใจขอตอบข้อความนี้ ของคุณ rescuelp ก่อนเลยนะคะ เพราะเกรงว่าจะมีการเข้าใจคลาดเคลื่อน และจะเป็นการไปขัดแย้งกับหลาย ๆ ท่านที่กำลังสงสัยอยู่ในใจ<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ความจริงแล้ว กฎไตรลักษณ์ ก็คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นั้น มีอยู่แล้วในจักรวาล เป็นกฎธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่เหนือสิ่งอื่นใด ดังนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ใช่ตัวตนของใครทั้งนั้น แต่ความเห็นผิด คือการอุปาทาน คิดว่ามีตัวตนของเรานั่นต่างหาก ที่เป็นตัวรวมเอาธรรมชาติทั้งหลายที่เป็นดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ เข้ามาเกาะกลุ่มกันเป็นร่างกายของเรา เมื่อยังเห็นผิดว่ามีตัวเราของเรา ก็ยังคงต้องวนเวียนไปในวัฏฏะสงสารไม่มีวันสิ้นสุด <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ดังนั้น พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ในกฎของธรรมชาติ หรือที่เราเรียกว่ากฎแห่งกรรมนั้น เป็นกฎเดียวกันทุกจักรวาล พระพุทธเจ้าที่เราทราบว่ามีมากมายมากกว่าเม็ดทรายในมหาสมุทรนั้น ท่านก็ตรัสรู้ในกฎของธรรมชาตินี้ทั้งสิ้น ดังนั้นจึงมิใช่เรื่องที่น่าแปลกใจ ว่าทำไมมนุษย์ต่างดาว ที่มาจากดาวดวงอื่น ๆ จึงรู้จักกฎแห่งกรรม รู้จักขันธ์ห้า รู้จักธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ รู้จักกลไกในร่างกายมนุษย์ รู้จักแนวความคิดของมนุษย์ที่มีความโลภ โกรธ หลง และทำไมจึงรู้จักวิธีการแยกความคิด ความรู้สึก ความสุข ความทุกข์ ออกจากขันธ์ห้าได้ นี่คือเรืองที่มนุษย์ส่วนใหญ่คิดไม่ถึง<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    จึงขออธิบายข้อสงสัยของคุณ rescuelp นะคะ

    พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ในกฎของธรรมชาติ ท่านจึงได้ทราบว่า จริง ๆ แล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างมันไม่เที่ยง มีความแปรปรวนตลอดเวลา เมื่อมีความแปรปรวนแล้ว เราไปยึดมันก็เกิดความทุกข์ และโดยความจริงแล้ว ไม่มีตัวใครของใครทั้งนั้น มันเป็นธรรมชาติ เป็นอนัตตา คือความว่าง ว่างจากความเป็นตัวใครของใคร เป็นธรรมชาติทั้งสิ้น เมื่อท่านตรัสรู้ในกฎของธรรมชาติแล้ว ท่านจึงได้นำมาสั่งสอนเวไนยสัตว์ในโลกใบนี้ <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    พระพุทธเจ้าจากดวงดาราอื่น ๆ ก็เช่นกัน ท่านก็ตรัสรู้ในกฎของธรรมชาติกฎนี้ เช่นเดียวกันกับพระพุทธเจ้าของเรา ดังนั้น คำสอนจึงเป็นไปในแนวทางเดียวกัน แต่วิธีการสอน หรือรูปแบบในการสอนอาจไม่เหมือนกัน เพราะเป็นการสอนตามเหตุปัจจัยของแต่ละดวงดาว ตามความรู้ความเข้าใจของมนุษย์ในแต่ละดวงดาวนั้น ๆ

    ดังนั้น มนุษย์ต่างดาว ที่มาสอนให้กับมนุษย์ที่มาทำงานเฉพาะกิจในเรื่องของภัยพิบัติบนโลกใบนี้ จึงไม่ได้มุ่งเน้นรูปแบบ แต่มุ่งเน้นที่ผลเป็นหลัก ถ้าวิธีนี้ทำให้คุณกลัว คุณอาย ภาวะจิตถูกกดดันแล้วเกิดทุกข์ คุณก็ย่อมขนขวายที่จะหาวิธีดับทุกข์ นี่เป็นกลไก ทำให้เกิดทุกข์แล้วให้หาทางดับทุกข์ เน้นให้มีการปฏิบัติธรรมด้วยการวิปัสสนา คือเห็นการเกิดดับของความคิด ความรู้สึก สุข ทุกข์ ในขันธ์ห้าอยู่ตลอดเวลา ถ้าไม่ดูให้เห็นว่าสักแต่เป็นแค่ความคิด ก็จะต้องทนทุกข์ไปเอง แต่เมื่อมีการปล่อยวางความคิด ปล่อยวางตัวตนได้มากขึ้น ละมานะทิฐิจนเหลือน้อยลงได้ ความทุกข์ก็จะน้อยลง ความว่าง ความสงบ และการปล่อยวางด้วยการเห็นความเป็นเช่นนั้นเองของขันธ์ห้าก็จะเกิดขึ้น เมื่อปัญญามากขึ้น อวิชชาก็จะน้อยลงไปด้วย

    ดังนั้น มนุษย์ต่างดาว ก็ย่อมเลือกที่จะทำในสิ่งที่จะให้เห็นความว่างมากที่สุด มีการปล่อยวางตัวตน ปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ห้าที่เร็วที่สุด ดังนั้นความทุกข์ที่ให้มา ก็ต้องมากและก้าวข้ามกันอย่างหนักหนาสาหัสเป็นที่สุดด้วยเช่นกัน

    เพราะการทำงานในเรื่องของภัยพิบัตินั้น กลุ่มผู้ทำงานต้องมีความทุกข์ที่น้อยที่สุด มีการปล่อยวางมากที่สุดเห็นความเป็นจริงของธรรมชาติอย่างถูกต้อง จึงจะสามารถทำงานช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ได้มากที่สุดนั่นเอง <O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กุมภาพันธ์ 2008
  7. apichan

    apichan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    825
    ค่าพลัง:
    +4,424
    ขออนุโมทนาสาธุในธรรมที่พี่สุดใจได้รับในขณะรับการเรียนจากระบบ ได้ทั้งธรรมได้ทั้งบุญในการที่จะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ สาูธุครับ
     
  8. apichan

    apichan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    825
    ค่าพลัง:
    +4,424
    ถ้ายังงั้น เราก็คงไม่สามารถเรียกพระนามท่านว่า ผู้ตรัสรู้ชอบได้ด้วยพระองค์เองสิครับ
     
  9. rescuelp

    rescuelp เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2007
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +420
    ( เมื่อความคิดที่คิดว่ากลัวเข้ามา แล้วคุณถอยออกมาดูความคิดนั้น คุณก็จะเห็นว่า มันสักแต่ว่าคิด มันไม่ได้มีความกลัวจริงอยู่ในนั้น ไม่มีใครเป็นผู้ที่กลัวเลย เมื่อเห็นความคิด เมื่อรู้เท่าทันความคิด คุณก็จะไม่กลัวความคิดนั้น ไม่ทุกข์กับความคิดนั้น แล้วคุณก็จะก้าวข้ามความกลัว ก้าวข้ามความคิดที่จะล่อหลอกให้คุณไปยึดติดว่าเป็นความคิดของคุณ แล้วทุกข์ไปกับความคิดนั้นนั่นเอง ซึ่งในตอนนี้คุณอาจต้องใช้ขันติในการถูกหลอกล่อด้วยความคิดของมายาดวงจิต ให้คิดอาย คิดกลัวอยู่)
    ขอบคุณครับพี่สุดใจ ที่อธิบาย ผมก็คิดแล้วว่าคำถามนี้อาจจะทำให้หลายท่านเกิดความไม่สบายใจ เพราะเป็นคำถามที่น่าจะสำคัญในความคิดผม และคิดว่ามีหลายท่านที่คิดและสงสัยเหมือนกันว่า คำสอนพระพุทธ มันช่างสอดคล้องหรือคล้าย ๆ กับคำสอนของระบบ
    ดังนั้นผมเลยไม่กลัว และ ไม่อายที่จะคำถามนี้ขึ้นมา พี่สุดใจอธิบายได้ชัดเจนมาครับ ขอบคุณครับ
     
  10. สุดใจเขากะลา

    สุดใจเขากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    2,083
    ค่าพลัง:
    +11,451

    ขอบคุณนะคะ ที่กรุณาถามเข้ามา และคุณ rescuelp ก็สามารถเข้าใจในข้อความที่พี่สุดใจกล่าวได้ไว และนำมาใช้เลย

    ค่ะ ถ้าในความคิดของคุณล่อหลอกว่า น่าอายนะ น่ากลัวนะ อย่าถามเดี๋ยวคนว่าเอานะ ถ้าคุณมองเข้าไปในความคิดแล้วแยกตัวเราออกมา คุณก็จะเห็นว่าความคิดมันเกิดขึ้นได้สารพัดความคิด และเป็นกลไกทำให้เกิดความทุกข์ทั้งสิ้น


    ดังนั้น เราไม่อาจที่จะห้ามความคิดของเราได้ เราก็ทุกข์กับมันได้เพราะความรู้ไม่เท่าทันนั่นเอง


    ตัวอย่างเช่น บางครั้งเราอยากทำบุญจิตใจเต็มเปี่ยมด้วยกุศล แต่พอจะทำจริง ๆ ใจกลับไปในเรื่องอกุศล เราก็จะทุกข์ว่า ทำไมนะจะทำบุญแล้วไปคิดนินทาว่าร้ายคนอื่น ทั้ง ๆ ที่เราไม่ได้เจตนาจะคิดเลย เพราะมันคิดของมันเอง เราก็จะมีความทุกข์ ถ้าเราไปสนใจความคิดขึ้นมา 10 ครั้ง เราทุกข์ไปแล้ว 10 ครั้ง ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เจตนาจะคิดเลย แต่ก็ทุกข์ได้ เพราะเราไปสนใจความคิด ไม่ได้เห็นว่า ความคิดสักแต่ว่าความคิด เพราะความคิดนั้น จะคิดอะไรก็ได้เป็นร้อยเรื่องพันเรื่อง แต่การทึ่จะทำตามความคิดสักเรื่องหนึ่งนั้น ก็ต้องมีการนำมาพิจารณาไตร่ตรอง แล้วจึงทำไปตามสมควร ส่วนความคิดอื่น ๆ ที่เราไม่ได้สนใจ มันก็จะกลายเป็นแค่ความฟุ้งซ่านแค่นั้น
    ดังนั้นถ้าเราไม่สนใจ อยากคิดอะไรคิดไปเราไม่สนเพราะแกเป็นแค่ความคิด ไม่เกี่ยวกับการเจตนาจะทำบุญ คุณก็จะไม่ทุกข์กับความคิด และมุ่งหมายที่จะทำบุญอย่างเดียว

    เมื่อจะแน่ใจว่าไม่มีเจตนาจะคิดว่าร้ายคนอื่นได้นั้น ก็ต้องฝึกให้มีสติให้ไว รู้เท่าทันความคิดที่คอยส่งมาว่าร้าย เพื่อป้องกันการหลงไปกับความคิดนั้น เมื่อเห็นความคิดแล้ว ถ้าพยายามเลิกคิดแล้วมันยังไม่หยุดคิด ก็ให้ดูมันเฉย ๆ ไม่ต้องไปดับ เห็นความเป็นเช่นนั้นเองของสังขารปรุงแต่งความคิดไปเรื่อยเปื่อย เมื่อไม่สนใจ มันก็จะลอยไป ลอยมา วนไป วนมา เมื่อไม่มีผู้เจตนาไปต่อเติม หรือไปสนใจ มันก็จะดับไปเอง เพราะมันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ต้องดับไปเป็นธรรมดา


    ค่ะ พี่สุดใจก็ขออนุญาต เอาข้อความที่ตอบกระทู้ด้านบนมาลงอีกสักรอบนะคะ เพราะพี่สุดใจพิมพ์เพิ่มเติมลงไป บางท่านอ่านก่อนหน้านี้อาจได้ใจความไม่ครบค่ะ

    พี่สุดใจขอตอบข้อความนี้ ของคุณ rescuelp ก่อนเลยนะคะ เพราะเกรงว่าจะมีการเข้าใจคลาดเคลื่อน และจะเป็นการไปขัดแย้งกับหลาย ๆ ท่านที่กำลังสงสัยอยู่ในใจ<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ความจริงแล้ว กฎไตรลักษณ์ ก็คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นั้น มีอยู่แล้วในจักรวาล เป็นกฎธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่เหนือสิ่งอื่นใด ดังนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ใช่ตัวตนของใครทั้งนั้น แต่ความเห็นผิด คือการอุปาทาน คิดว่ามีตัวตนของเรานั่นต่างหาก ที่เป็นตัวรวมเอาธรรมชาติทั้งหลายที่เป็นดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ เข้ามาเกาะกลุ่มกันเป็นร่างกายของเรา เมื่อยังเห็นผิดว่ามีตัวเราของเรา ก็ยังคงต้องวนเวียนไปในวัฏฏะสงสารไม่มีวันสิ้นสุด <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ดังนั้น พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ในกฎของธรรมชาติ หรือที่เราเรียกว่ากฎแห่งกรรมนั้น เป็นกฎเดียวกันทุกจักรวาล พระพุทธเจ้าที่เราทราบว่ามีมากมายมากกว่าเม็ดทรายในมหาสมุทรนั้น ท่านก็ตรัสรู้ในกฎของธรรมชาตินี้ทั้งสิ้น ดังนั้นจึงมิใช่เรื่องที่น่าแปลกใจ ว่าทำไมมนุษย์ต่างดาว ที่มาจากดาวดวงอื่น ๆ จึงรู้จักกฎแห่งกรรม รู้จักขันธ์ห้า รู้จักธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ รู้จักกลไกในร่างกายมนุษย์ รู้จักแนวความคิดของมนุษย์ที่มีความโลภ โกรธ หลง และทำไมจึงรู้จักวิธีการแยกความคิด ความรู้สึก ความสุข ความทุกข์ ออกจากขันธ์ห้าได้ นี่คือเรืองที่มนุษย์ส่วนใหญ่คิดไม่ถึง<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    จึงขออธิบายข้อสงสัยของคุณ rescuelp นะคะ

    พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ในกฎของธรรมชาติ ท่านจึงได้ทราบว่า จริง ๆ แล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างมันไม่เที่ยง มีความแปรปรวนตลอดเวลา เมื่อมีความแปรปรวนแล้ว เราไปยึดมันก็เกิดความทุกข์ และโดยความจริงแล้ว ไม่มีตัวใครของใครทั้งนั้น มันเป็นธรรมชาติ เป็นอนัตตา คือความว่าง ว่างจากความเป็นตัวใครของใคร เป็นธรรมชาติทั้งสิ้น เมื่อท่านตรัสรู้ในกฎของธรรมชาติแล้ว ท่านจึงได้นำมาสั่งสอนเวไนยสัตว์ในโลกใบนี้ <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    พระพุทธเจ้าจากดวงดาราอื่น ๆ ก็เช่นกัน ท่านก็ตรัสรู้ในกฎของธรรมชาติกฎนี้ เช่นเดียวกันกับพระพุทธเจ้าของเรา ดังนั้น คำสอนจึงเป็นไปในแนวทางเดียวกัน แต่วิธีการสอน หรือรูปแบบในการสอนอาจไม่เหมือนกัน เพราะเป็นการสอนตามเหตุปัจจัยของแต่ละดวงดาว ตามความรู้ความเข้าใจของมนุษย์ในแต่ละดวงดาวนั้น ๆ

    ดังนั้น มนุษย์ต่างดาว ที่มาสอนให้กับมนุษย์ที่มาทำงานเฉพาะกิจในเรื่องของภัยพิบัติบนโลกใบนี้ จึงไม่ได้มุ่งเน้นรูปแบบ แต่มุ่งเน้นที่ผลเป็นหลัก ถ้าวิธีนี้ทำให้คุณกลัว คุณอาย ภาวะจิตถูกกดดันแล้วเกิดทุกข์ คุณก็ย่อมขนขวายที่จะหาวิธีดับทุกข์ นี่เป็นกลไก ทำให้เกิดทุกข์แล้วให้หาทางดับทุกข์ เน้นให้มีการปฏิบัติธรรมด้วยการวิปัสสนา คือเห็นการเกิดดับของความคิด ความรู้สึก สุข ทุกข์ ในขันธ์ห้าอยู่ตลอดเวลา ถ้าไม่ดูให้เห็นว่าสักแต่เป็นแค่ความคิด ก็จะต้องทนทุกข์ไปเอง แต่เมื่อมีการปล่อยวางความคิด ปล่อยวางตัวตนได้มากขึ้น ละมานะทิฐิจนเหลือน้อยลงได้ ความทุกข์ก็จะน้อยลง ความว่าง ความสงบ และการปล่อยวางด้วยการเห็นความเป็นเช่นนั้นเองของขันธ์ห้าก็จะเกิดขึ้น เมื่อปัญญามากขึ้น อวิชชาก็จะน้อยลงไปด้วย

    ดังนั้น มนุษย์ต่างดาว ก็ย่อมเลือกที่จะทำในสิ่งที่จะให้เห็นความว่างมากที่สุด มีการปล่อยวางตัวตน ปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ห้าที่เร็วที่สุด ดังนั้นความทุกข์ที่ให้มา ก็ต้องมากและก้าวข้ามกันอย่างหนักหนาสาหัสเป็นที่สุดด้วยเช่นกัน

    เพราะการทำงานในเรื่องของภัยพิบัตินั้น กลุ่มผู้ทำงานต้องมีความทุกข์ที่น้อยที่สุด มีการปล่อยวางมากที่สุดเห็นความเป็นจริงของธรรมชาติอย่างถูกต้อง จึงจะสามารถทำงานช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ได้มากที่สุดนั่นเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กุมภาพันธ์ 2008
  11. crossmetica

    crossmetica เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มกราคม 2008
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +136
    เมื่อคืน ก่อน นอนหลับฝันว่า ตัวเองมองไป บนฝ้าตอนกลางคืน เห็น ยานอวกาศ แปลกๆ มาเต็มท้องฟ้าเลย มีทั้งแบบ ที่เป็น ยานเดียวแล้วเชื่อมต่อกัน กับ ยาน แบบ เดียว แนว บินต่ำๆช้าๆ แล้ว หายไปใน ก้อนเมฆ ตอนกลางคืน เหมือนมีระบบ พรางตัวเลย เนียน สุดๆ ตอนฝันน่ากลัวเลยนึกว่าจะมา บุกโลก มาเยอะมากๆ เลย *ก่อนหน้านี้ ก็ฝันว่าตัวเอง มองมาจาก บนอากาศ โดยที่อยู่บนอะไรก็ไม่รู้เคลื่อนที่ได้ เป็นภาพที่มองข้างหน้าเหมือนสิ่งก่อสร้างโบราณแปลกๆ แล้วก็ตัดไปอีก มุกนึงของสิ่งก่อสร้างแต่สไตร์อาคารคนละแบบแต่มุมเดียวกัน *แต่อย่างว่าละมันก็ฝันอ่ะครับ ผมอาจบ้าไปก็ได้ (-_-")
     
  12. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    สวัสดีครับ

    การเกิดของจิตนี่ เข้าใจว่าเมื่อตายแล้ว เกิดทันทีในชาติอนาคต จริงๆแล้วเราย้อนไปเกิดในอดีตได้หรือไม่ครับ เช่นกลับไปเกิดในกรุงศรีอยุธยา

    สงสัยเฉยๆครับ
     
  13. yokine

    yokine เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2007
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +602
    ขอบคุณพี่สุดใจและข้อมูลสำหรับทุกคนนะครับ เข้ามาอ่านนี่ ได้ข้อมูล ความรู้ เยอะแยะเลย ^_^
     
  14. สุดใจเขากะลา

    สุดใจเขากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    2,083
    ค่าพลัง:
    +11,451

    จำเก่งจังเลยนะคะคุณชยุต ความจริงเรื่องของรูปแบบการฝึกเพื่อการลด ละ เลิก การปล่อยวางขันธ์ห้านั้น เป็นการฝึกเฉพาะกลุ่ม เพราะไม่สามารถที่บุคคลอื่นจะเข้าใจได้ มันเหมือนกับว่าทำอะไรบ้า ๆ บอ ๆ ไม่ใช่รูปแบบของการฝึกธรรมะ ดังนั้น การที่จะนำออกมาเล่าให้สาธารณะชนได้รับทราบนั้น น้อยคนนักที่จะทำความเข้าใจได้จริง ๆ ทางผู้ฝึกเอง ไม่ว่าจะเป็นพี่สุดใจ หรือ no.9 ก็ตาม ก็จะพยายามที่จะเล่าให้น้อยที่สุด และใช้คำพูดที่เบาที่สุดเท่าที่เราจะสามารถทำได้ เพื่อให้ท่านฟังแล้วพอเข้าใจ แต่นั่นเทียบไม่ได้กับความรู้สึกจริง ๆ ของความทุกข์ ที่ผู้ฝึกที่ต้องก้าวข้ามเลย<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    รูปแบบการฝึกกับมนุษย์ต่างดาวนั้น จะมีเทคโนโลยีเป็นอุปกรณ์ไฮเทคจากต่างดาวมาเป็นอุปกรณ์ในการช่วยฝึก อุปกรณ์ดังกล่าวจับต้องไม่ได้ มองไม่เห็น แต่ใช้งานได้จริง และมีการนำมาใช้เฉพาะกิจสำหรับผู้ที่ต้องฝึกฯ กับระบบ ดังนั้น ทุกคนที่อยากจะเห็นเครื่องมือ หรืออุปกรณ์ของมนุษย์ต่างดาวนั้น ผู้ฝึกแต่ละคนพบเจอมามาก พบเห็นมามาก และสัมผัสมานานนับ 10 ปีแล้ว ซึ่งหากพูดไปก็จะกลายเป็นเรื่องเหลือเชื่อ เป็นไปไม่ได้ในความคิดของคนทั่ว ๆ ไปอย่างแน่นอน<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    แต่เมื่อคุณชยุต ซึ่งได้มีการปฏิบัติธรรมมานานมากแล้ว และเป็นบุคคลที่ไม่ได้รู้จักกันกับพี่สุดใจมาก่อน เมื่อมีโอกาสได้สนทนา ได้พูดคุย ได้รับฟัง ก็สามารถเข้าใจในเรื่องเหล่านี้ได้ โดยมีการนำการฝึกโดยระบบ มาเทียบเคียงกับธรรมะของพระพุทธองค์ และสามารถเข้าใจความหมายของการฝึกโดยระบบ เพื่อให้ผู้ฝึกปล่อยวางขันธ์ห้านั้น มีความเป็นไปได้ หากมีความเห็นที่ถูกต้อง ก็สามารถปล่อยวางได้จริง ซึ่งแม้จะเป็นรูปแบบใหม่ แต่เข้าใจได้ไม่ยากเลย ซึ่งในที่นี้มิได้หมายความว่าต้องพบเจอ ต้องถูกฝึกอย่างพี่สุดใจนะคะ เพียงแค่ให้มองถึงจุดมุ่งหมายในการฝึก และผลที่ได้หลังการฝึกแล้ว ว่ามีการลด ละ เลิก ในกิเลส ตัณหา อุปาทานต่าง ๆ ได้มากน้อยแค่ไหนนั่นเอง
    <O:p</O:p<O:p</O:p
    ดังนั้น เมื่อยังมีผู้สนใจ พี่สุดใจก็ค่อยมีกำลังใจที่จะเล่าให้ฟัง เพื่อว่าบางท่านที่พบเจอเช่นเดียวกับพี่สุดใจ หรืออาจจะน้อยกว่านั้น อาจจะนำไปเทียบเคียงกับสิ่งที่ท่านพบเจอ หรือนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน ความทุกข์จากความคิด ความรู้สึก เพราะความไม่รู้เท่าทันในขันธ์ห้า จะได้น้อยลง <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ที่พี่สุดใจกล่าวมาทั้งหมดนี้ ก็เพื่อให้ท่านที่สนใจติดตามอ่านอย่างต่อเนื่องมาตลอด ได้พิจารณาในสิ่งที่กำลังจะเล่าต่อไปนี้ หากสิ่งใดที่เป็นประโยชน์และเมื่อลองทำตามแล้วดับทุกข์ได้จริง ก็ค่อยรับไป หากสิ่งใดเกินที่จะเชื่อได้ อ่านแล้วทำให้เกิดทุกข์ ก็ขอให้ท่านมองผ่านข้อความเหล่านี้ไป เพราะไม่คุ้มกับการที่เราจะต้องไปทุกข์กับเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับเราเลย<O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กุมภาพันธ์ 2008
  15. สุดใจเขากะลา

    สุดใจเขากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    2,083
    ค่าพลัง:
    +11,451
    ในสิ่งที่พี่สุดใจได้เคยกล่าวไว้ในกระทู้นี้ในช่วงต้น ๆ นั้น ว่าการฝึกจะมี 2 รูปแบบ คือการฝึกธรรมะ ฟังธรรม ปฏิบัติสมาธิ กำหนดสติ และรับวาระการฝึกต่าง ๆ และอีกส่วนหนึ่งก็คือ การฝึกรับคลื่นจากต่างดาว ซึ่งในการรับคลื่นนั้นเราจะเรียกว่า การประมวลพลัง<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ทุกคนที่ฝึกก็จะมีรูปแบบคล้ายกันเช่นนี้ แต่การฝึก ฝึกตามจริตแต่ละคน ซึ่งผู้ที่ทำการฝึกนั้นระบบจะบอกว่า 1 ต่อ 1 คือครู 1 คน นักเรียน 1 คน<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ดังนั้น นักเรียนก็คือกลุ่มผู้ฝึกฯ ครูก็คือผู้ที่มีความเจริญทางจิตสูงแต่อยู่ดวงดาวอื่น และเป็นผู้รับผิดชอบดูแลนักเรียนคนนั้นเป็นการเฉพาะกิจของโครงการนี้ ซึ่งเรียกได้ว่า ตัวต่อตัวเลยทีเดียว จึงไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจ ที่พอผู้ฝึกคิดอะไร บททดสอบก็มาเลยในทันที ณ ขณะนั้น ถ้าเผลอสติเมื่อไร ก็จะทุกข์ไปกับความคิดที่มาหลอกล่อทันที จึงจำเป็นต้องมีสติรู้เท่าทันความคิดตลอดเวลา (ไม่ใช่อยากมีสติตลอดเวลาหรอกนะคะ แต่เผลอเมื่อไร ทุกข์ทุกที จนเข็ด)

    พี่สุดใจ จะขอเล่าในส่วนที่พบเจอด้วยตัวเองเท่านั้น สำหรับคนอื่น ๆ ก็พบเจอแตกต่างกัน ตามแต่การยึดติดในแต่ละอย่าง ดังนั้น การสอนให้ละกิเลส จึงต้องสอนตามจริตของแต่ละคนที่จะสามารถเข้าใจได้ <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    พี่สุดใจเป็นคนที่ดื้อที่สุด ไม่เชื่อที่สุด และค่อนข้างจะลองดีมากที่สุด ดังนั้น ความที่เป็นคนไม่เคยยอมใคร เอาแต่ใจตัวเอง ไม่ชอบให้ใครบังคับ รวมทั้งไม่ยอมปฏิบัติธรรมะด้วยในตอนแรก การพบเจอระบบการฝึก จึงค่อนข้างจะหนักกว่าคนอื่น ๆพี่สุดใจจะขอเล่าคร่าว ๆ ยกตัวอย่างบางเรื่องให้ทราบ เพราะความจริงแล้วมีมากมายเหลือเกิน<O:p</O:p

    พี่สุดใจเป็นคนที่กลัวความมืด กลัวผี กลัวยุง กลัวงู กลัวสารพัด ดังนั้น การที่อยู่บนเขากะลา ก็จะต้องพบเจอทั้งยุง ทั้งความมืด ทั้งงู ในความคิดจึงมีแต่ความหวาดระแวง คอยมองซ้ายมองขวาตลอดแม้แต่ตอนปฏิบัติธรรม ทำสมาธิ ความคิด ความกลัวก็จะหลอกล่ออยู่เสมอ จึงไม่มีความสงบเลยตอนนั้น<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    จนเข้าสู่ระบบการฝึก หลังจากลงทะเบียนการฝึกครั้งแรกกับระบบแล้ว (การลงทะเบียน คือการลงลายมือชื่อเข้ารับการฝึก หมายถึงผู้นั้นยินยอมรับการฝึกโดยระบบ ในรุ่นแรก 39 บุคคล) ก็เริ่มได้รับแจกอุปกรณ์ประกอบการฝึกเลย พี่สุดใจสัมผัสได้กับอุปกรณ์ของมนุษย์ต่างดาว ที่เป็นเทคโนโลยีก็คือระบบคอลโทรล

    คือเมื่อปฏิบัติธรรมเสร็จแล้วตามวาระ ทุกคนแยกย้ายกันไปนอน แต่พี่สุดใจ เข้านอนแล้ว ก็จู่ ๆ กลับต้องลุกขึ้นมาเดินออกจากที่พักลงจากเขา จะหยุดก็หยุดไม่ได้เพราะขาก้าวเดินไปอย่างเดียว จะเรียกคนอื่นก็พูดไม่ออก ตอนนั้นกลัวมาก กลัวความมืด กลัวผี กลัวงู กลัวไปหมด พยายามขืนตัวไว้ก็ไม่อยู่ ขาก้าวเดินไปเรื่อย ๆ ลงไปข้างล่างเขาที่เป็นถ้ำด้านล่าง แปลกที่ตรงว่า มันมืดมาก มองไม่ค่อยเห็นอะไร แต่กลับเดินลงไปไม่ชนอะไรเลย ไม่สะดุดหินที่เกะกะอยู่ที่พื้นให้ต้องหกล้มเลย เหมือนมีเรดาห์เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาไปเรื่อยๆ <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ถ้าถามตอนนั้น ตกใจ กลัวมาก และหยุดเดินไม่ได้ มีสติครบถ้วน ความทุกข์ที่ถาโถมเข้ามาตอนนั้น บอกไม่ถูกว่ากลัวแค่ไหน ถือว่ากลัวที่สุดก็ว่าได้
    <O:p</O:p
    เดินลงไปหน้าถ้ำที่มืดสนิท ไปนั่งที่โขดหิน ความคิดปรุงแต่งเรื่องที่น่ากลัวทั้งนั้น ความทุกข์ไม่ต้องพูดถึง มากทีเดียว นั่งอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง ขาเราเองก็พาเราเองเดินกลับขึ้นมาบนเขาอย่างเดิม นี่เป็นครั้งแรก<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    พอรุ่งขึ้น ปฏิบัติธรรมเสร็จแล้ว ก็แยกย้ายกันไปนอน พี่สุดใจก็รีบเข้านอน เพราะกลัวจะต้องเดินลงเขาไปอีก พอหลังเที่ยงคืนเล็กน้อย ก็ลุกพรวดขึ้นมา และเดินลงเขาไปอย่างเมื่อวาน ก็กลัวอีกเช่นเดิม คราวนี้เดินลงไปไกลกว่าเก่าอีก ก็ทุกข์กับการเดินในความมืดเช่นนี้อีกคืน และก็เป็นเช่นนี้อีกในคืนที่ 3 <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    พอคืนที่ 4 พี่สุดใจเริ่มคิดใหม่ ตั้งหลักคิดใหม่เลยว่า เอา อยากเดินก็เดินไป ถ้าจะให้เราทำงานช่วยเหลือคน ก็ต้องดูแลขันธ์นี้เอาเอง ถ้างูกล้ากัด ฉันก็กล้าตาย ถ้าผีกล้าหลอก ฉันจะช็อคให้ดู เอาไปเลยตามสบาย นี่เป็นการคิดที่สวนทางกับทุกครั้ง เพราะ 3 คืนที่ผ่านมาทุกข์แทบตาย แต่ก็ยังต้องเดินลงไปอยู่ดี วันนี้ฉันจะไม่ทุกข์กับความคิด ที่คิดว่ากลัวอีกแล้ว พอกันที<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    หลังเที่ยงคืน ก็ลุกขึ้นแล้วเดินลงเขาอีกตามเคย แต่ตอนนี้พี่สุดใจเริ่มรู้เท่าทันความคิดที่เริ่มปรุงแต่งให้กลัวเหมือนเดิม พี่สุดใจก็คิดสวนไปเลยว่า แกอยากกลัวก็กลัวไป ฉันไม่กลัว ถ้างูกัด ก็แค่ตาย ก็ดีไม่ต้องลำบากไปช่วยใครเขา
    <O:p</O:p<O:p</O:p
    แปลก ที่คราวนี้เดินลงไป ความคิดที่ล่อหลอกให้กลัว เรากลับไม่สนใจ ความคิดที่คิดว่ากลัวนั้นก็ทำอะไรเราไม่ได้ ขณะที่เดินไป ก็พิจารณาไป เห็นความเป็นเช่นนั้นเองของความคิดที่เกิดขึ้นมาล่อหลอก เมื่อไม่สนใจมันก็ดับไป ความทุกข์ที่เคยมีมาหลายวัน ก็แทบไม่เหลือเลยในคืนนั้น ถือว่าวันนั้น ประสบชัยชนะเหนือความกลัวจนได้ <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    หลังจากนั้น ในคืนถัดมาก็เดินลงเขาไปอีกคนเดียวเช่นเคย แต่ตอนนี้สบายมาก เมื่อขาพาเดินไปในความมืด ก็เดินไปร้องเพลงไป ไม่มีความรู้สึกทุกข์มากเหมือนเคยอีกแล้ว ซึ่งหลังจากนั้นก็มีการเดินต่อเนื่องมาอีก 2
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กุมภาพันธ์ 2008
  16. สุดใจเขากะลา

    สุดใจเขากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    2,083
    ค่าพลัง:
    +11,451
    อีกครั้ง ระบบพาไปฝึกริมทะเล ปราณบุรี ประจวบฯ ที่เขาเจ้าแม่ทับทิมทอง ซึ่งเป็นเขาสูง และข้าง ๆ เขาจะลึกชันลงไปคล้ายเหว ซึ่งมีรั้วกั้นไว้<O:p</O:p
    ตอนกลางวันหลังจากฝึกเสร็จช่วงบ่าย ๆ พี่สุดใจก็จะถูกขาตัวเองพาเดินไปทิ่ริมเขาทุกวัน วันแรกที่ไปก็ยังคิดว่าเขาพามาริมรั้วทำไม นึกว่าจะพามาดูวิว
    <O:p</O:p
    แต่พอมาถึงริมรั้ว ก็ปีนข้ามรั้วไปด้านนอก ซึ่งเป็นพื้นหินที่ยื่นออกไปสักประมาณ 1 เมตรเห็นจะได้ และเมื่อก้มมองลงไปลึกชันคล้ายเหว ถ้าตกลงไปก็รอดยากเชียวละ
    <O:p</O:p
    พอข้ามไปได้ มือก็ปล่อยรั้วทันที และเดินออกไปริมสุดขอบเหว พี่สุดใจก็กลัวว่าตัวเองจะตกลงไป ก็พยายามเอียงตัวเข้ามาด้านในมากที่สุด ตัวเอียงเข้ามาแล้วแต่ขาก็ยังเดินริมเหวอยู่ตามเดิม ความกลัวก็ถาโถมเข้ามา ความคิดก็ยุยงส่งเสริมว่าต้องตกไปตายแน่เลย หรืออาจจะสาหัส หรือพิการไปเลย ก็ทุกข์ไปตามระเบียบในวันนั้นซึ่งคนที่ฝึกร่วมกัน ก็ได้แต่มองดู ไม่มีใครช่วยใครได้ เพราะบทฝึกของใครของมัน อย่างดีก็เตรียมส่งโรงพยาบาลแค่นั้น
    <O:p</O:p
    วันต่อมาก็ปีนรั้วไปเดินอย่างเดิมอีก คราวนี้ก็กลัว แต่น้อยกว่าเดิม เพราะเริ่มจับทางความคิดได้แล้ว แต่ก็ยังคงกลัวอยู่<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    แต่พอวันที่ 3 คราวนี้ความคิดเริ่มล่อหลอกเหมือนเดิม แต่มีสติมากขึ้นแล้ว เลยคิดย้อนกลับไปเลยว่า ถ้าแกกล้าตก ฉันก็กล้าตาย ถ้าจะให้ทำงานก็ดูแลขันธ์นี้เอาเองละกัน คิดอย่างนี้ได้แล้วไม่ใช่ว่าขันธ์จะยอมหยุดนะ ขาก็ยังคงก้าวข้ามรั้วไปอยู่ดี แต่ตอนนี้พี่สุดใจมีไม้เด็ด คือหลับตาเลย แล้วให้ขามันเดินเอาเอง จะตกหรือจะรอดเรื่องของขา เรื่องของเขา เรื่องของมนุษย์ต่างดาวจัดการเองก็แล้วกัน<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    เมื่อหลับตา มองไม่เห็น มันก็ไม่กลัว เพราะไม่รู้ว่าจะตกหรือไม่ตก แต่ขาก็ยังพาเดินเลาะไปริมเหวอย่างเดิม เพราะผู้ที่ฝึกด้วยกัน แอบยืนดูอยู่ห่าง ๆ บอกว่าก็เดิมริม ๆ เหวอย่างเดิมนั่นแหละ แต่ที่ไม่เหมือนเดิมก็คือไม่ได้ลืมตา<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    วันถัดมาก็ใช้มุกเดิม หลับตาให้เขาพาเดิน ซึ่งเดินไประยะหนึ่งก็หยุด แล้วข้ามกลับ

    <O:p</O:pเดินอีก 1
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กุมภาพันธ์ 2008
  17. สุดใจเขากะลา

    สุดใจเขากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    2,083
    ค่าพลัง:
    +11,451
    และอีกครั้งฝึกที่สันคู นครสวรรค์ เวลาเดินผ่านกลางห้องโถง ขาก็คอยแต่จะแวะไปเตะที่เสาปูนกลมกลางห้องอยู่เรื่อย จนเกิดความหวาดระแวง เมื่อจะเข้าไปประมวลพลังในห้องโถง จะเดินอ้อมไกล ๆ เสากลมนั้น แต่ไม่ว่าจะเดินอ้อมไปไกลแค่ไหน ขาก็จะพาเดินมาเตะที่เสาทุกทีเลย จนขาเจ็บไปหมด ทุกข์จากรูปขันธ์ของจริงเลยละ
    <O:p</O:p
    เป็นอยู่หลายวัน ก็ทุกข์อยู่หลายวันเหมือนกัน จนคิดได้ว่า เอาละ ถ้ากลัวอยู่อย่างนี้ ก็ถูกความทุกข์กินอยู่ไม่เลิก ถ้าอยากเตะ ก็เตะไปเลย ให้ขาหักไปเลยจะได้ไม่ต้องฝึกสบายดีเสียอีก เมื่อคิดได้ดังนั้น พี่สุดใจเดินเข้ามาในห้องโถงเพื่อทำการฝึก ก็เดินตรงไปที่เสาเลย แล้วง้างขาเตะไปอย่างแรงไปยังเสาต้นนั้น กะให้มันเจ็บให้หนักจะได้เลิกกันไป

    แต่สิ่งที่เจอก็คือ ขาที่เตะไปโดยแรง มันกลับไม่ถึงเสา เหวี่ยงเท่าไรก็ไม่ถูกเสา เหมือนมีอะไรมากั้นไว้ระหว่างเสากับขา แต่มองไม่เห็นนะ พี่สุดใจก็เหวี่ยงขาเตะเสาใหญ่เลย จะให้ถึงให้ได้ แต่ทำยังไงก็ไม่ถูกเสา ห่างประมาณสักฝ่ามือเห็นจะได้ พอเตะหลาย ๆ ทีไม่ถึง ก็เลยรู้ว่า ระบบเขาต้องดูแลขันธ์นี้ของเขาเอง เพราะเมื่อยังคิดว่าขันธ์ห้านี้เป็นของเรา เขาก็จะมีบททดสอบมาล่อให้ทุกข์อยู่เรื่อย เมื่อรู้ว่าขันธ์ห้าไม่ใช่ตัวเราของเรา เป็นของธรรมชาติ เราไปอุปาทานเอาเองว่าเป็นตัวเราของเรา ที่มานี้ก็เพื่อทำงานเรื่องของภัยพิบัติเป็นการเฉพาะกิจเท่านั้น

    จริง ๆ แล้ว ทุกอย่างก็เป็นของธรรมชาติทั้งสิ้น เพราะธรรมะก็ได้กล่าวไว้ว่า ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา ไม่ใช่ตัวใครของใคร

    ซึ่งการพิจารณาเพื่อการปล่อยวางขันธ์ห้าของระบบ ก็เหมือนกันกับการปล่อยวางขันธ์ห้าทางธรรมะ ก็คือการพิจารณาว่ากายนี้ไม่ใช่ของเรา ความคิดไม่ใช่ของเรา ขันธ์ห้า ไม่ใช่ของเรา ซึ่งการปล่อยวางขันธ์ห้า ก็ปล่อยวางแนวทางเดียวกัน แต่คนละรูปแบบเท่านั้นเอง

    (ภาพล่าง) เสากลมเจ้าปัญหา (เสาซ้ายมือ) กลางห้องโถงสำหรับฝึก

    ในภาพกำลังฝึกสติในอริยบท 4 คือ คือยืน เดิน นั่ง นอน (จำคุณ no.9 ได้ไหมคะ ? คนกลางดำ ๆ น่ะแหละค่ะ) <O:p</O:p
    <O:p</O:p
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กุมภาพันธ์ 2008
  18. สุดใจเขากะลา

    สุดใจเขากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    2,083
    ค่าพลัง:
    +11,451
    อีกครั้ง ฝึกที่บางกระเจ็ด จังหวัดสิงห์บุรี วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2543 พี่สุดใจต้องไปตลาดสิงห์บุรีเพื่อซื้ออาหาร ขณะที่เดิน ๆ อยู่ในตลาด จู่ ๆ ก็หยุดกึกตรงหน้าร้านขายของจัดงานศพ พี่สุดใจก็งง แต่ก็เริ่มคิดว่า ระบบจะเล่นอะไรอีกนี่ ปรากฏว่าซื้อดอกไม้จันทน์สำหรับวางหน้าศพ 1 ห่อ 50 ดอก ราคา 60 บาท พี่สุดใจก็ยังหวั่น ๆ ว่าจะเอาไปไหนนี่ เพราะพี่สุดใจเป็นคนที่ไม่ชอบงานศพ ไม่ชอบกลิ่นศพ กลิ่นเมรุ กลิ่นวัดอะไรเลย และมักหลีกเลี่ยงงานศพอยู่เสมอ
    <O:p</O:p
    ขี่รถมอเตอร์ไซด์กลับมาบ้าน ตอนที่ฝึกพี่สุดใจนอนเต้นท์คนเดียวอยู่ในป่าข้างบ้าน ทุกคนที่ฝึกนอนในบ้านกันหมด ระบบพี่สุดใจพาออกไปนอนคนเดียวในเต้นท์นอกรั้วบ้าน กลางคืนมืดมาก และพอได้ดอกไม้จันทน์ ก็เอาเข้าไปไว้ในเต้นท์ที่นอน
    <O:p</O:p
    พอตอนกลางคืนก็ต้องเข้าไปนอนในเต้นท์นั้นกับดอกไม้จันทน์ เต้นท์เล็ก และดอกไม้จันทน์ก็กลิ่นแรงมาก กลิ่นอบอวลอยู่ในเต้นท์ คืนนั้นก็เหมือนนอนอยู่กลางงานศพเลยละ บรรยากาศก็เป็นใจเสียด้วย มืดและหนาวมาก ก็ทุกข์ไปกับความคิด ความกลัวเหมือนเคย
    <O:p</O:p
    คืนต่อมาก็นอนในเต้นท์นั้นอีก ความกลัวน้อยลง เพราะเริ่มรู้แล้วว่าต้องเรียนอะไร เมื่อกลัวอะไร ก็ต้องข้ามความกลัวอันนั้น
    <O:p</O:p
    พอวันที่ 3 สบายมาก นอนดูความคิดที่มาหลอกล่อให้ทุกข์ ก็ดูไปเรื่อย ๆ แต่ไม่ไปทุกข์ตามที่ความคิดพยายามปรุงแต่งให้
    <O:p</O:p
    พอรุ่งขึ้นวันที่ 4 ก็ผ่านเรียบร้อย ระบบเอาดอกไม้จันทน์ไปทิ้ง พร้อมทั้งความกลัวเรื่องงานศพก็หายไปพร้อม ๆ กันด้วย เดี๋ยวนี้พี่สุดใจก็เดินเข้าไปดูศพคนตายบนเมรุอย่างหน้าตาเฉยบ่อย ๆ <O:p</O:p</O:p
    <O:p</O:p
    หลังจากนั้น พี่สุดใจก็เริ่มเห็นได้ชัดเจนเลยว่า เครื่องมือของมนุษย์ต่างดาวที่นำมาใช้เพื่อสอนให้ปล่อยวางขันธ์ห้า ให้ออกจากความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ห้านั้น มันมีจริง และมีประสิทธิภาพในการสร้างความทุกข์ได้จริง และระบบก็มีการสอนให้ดับทุกข์ได้จริง ๆ

    (ภาพล่าง) บ้านพักที่ไปเช่าเพื่อการฝึกจิตในระดับเข้มข้นก่อนจบที่นี่ มองเหมือนไม่เปลี่ยวแต่ความจริงบ้านหลังนี้ตั้งอยู่กลางทุ่งนาหลังเดียว มีแต่ทุ่งนา และคลองน้ำรอบด้าน เปลี่ยวและไม่ค่อยมีคนเดินผ่านเท่าไร เขาให้เช่าเดือนละ 700 บาททั้งหลังเลย
    สำหรับพี่สุดใจ ระบบจะกางเต้นท์ให้อยู่นอกรั้วค่ะ<O:p</O:p
    <O:p</O:p
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กุมภาพันธ์ 2008
  19. สุดใจเขากะลา

    สุดใจเขากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    2,083
    ค่าพลัง:
    +11,451
    สิ่งที่ได้จากบทฝึกนี้ก็คือ เห็นความคิดที่คอยแต่จะปรุงแต่งให้ทุกข์ ให้กลัว ให้หวาดระแวง ให้วิตกกังวล เป็นข่ายความทุกข์ทั้งสิ้น <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ซึ่งบางท่านก็สามารถทำได้เช่นกัน คือการฝึกให้มีสติในการดูความคิดก่อนในอันดับแรก เพื่อป้องกันความทุกข์จากความคิด คือหากมีความคิดใด ๆ เข้ามา ส่อไปในทางที่จะพาให้ไปทุกข์ ไปกลัว ไปวิตกกังวล ให้หยุด แล้วมองดูความคิดก่อน ว่ากำลังคิดอะไร? แล้วฉันควรจะเชื่อแกดีหรือไม่? อย่าไปตามความคิดโดยทันที <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    เมื่อทำไปเรื่อย ๆ จะเริ่มเห็นว่า มีผู้คิด 1 และมีผู้ดูความคิดอีก 1 ดังนั้นเมื่อมีความคิดเข้ามา ผู้ที่ดูความคิดก็จะรู้ว่ากำลังคิดอะไร จะวิตกกังวลไปด้วยดีไหม หรือมันกำลังคิดกลัวอะไร เมื่อเห็นความคิดนั้นจริง ๆ รู้เรื่องว่ากำลังคิดอะไรจริง ๆ เมื่อนั้น เราจะไม่กลัวความคิด เราจะจัดการกับความคิดนั้นได้ตามความเหมาะสม โดยไม่ต้องไปทุกข์ ไม่ต้องไปกลัว ไม่ต้องไปทุรนทุรายกับความคิดนั้นเลย จึงจะเรียกว่าอยู่เหนือความคิดได้ <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    เพราะโดยความจริงแล้ว ความคิดทำอะไรเราไม่ได้หรอก ถ้าเราไม่ทำตัวเองให้เป็นทุกข์

    หลังจากนั้น พี่สุดใจก็เริ่มเห็นได้ชัดเจนเลยว่า เครื่องมือของมนุษย์ต่างดาวที่นำมาใช้เพื่อสอนให้ปล่อยวางขันธ์ห้านั้น ให้ออกจากความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ห้านั้น มันมีจริงแม้ว่าเราจะมองไม่เห็น เพราะเทคโนโลยีเขาก้าวล้ำไปไกลจนถึงใช้รูปแบบของพลังงานแทนวัตถุไปแล้ว และอุปกรณ์เหล่านี้ มีการนำมาใช้ในการฝึก ซึ่งมีประสิทธิภาพในการสร้างความทุกข์ให้ได้เสมือนจริง และระบบก็มีการสอนให้ดับทุกข์ได้จริง ๆ</O:p

    มีเรื่องอีกมากมายเลยในช่วงฝึก เป็นเรื่องจริง เหตุการณ์จริง ซื่งแต่ละเรื่องพี่สุดใจเจอมาด้วยตัวเองทั้งสิ้น จึงกล้าที่จะเล่าให้ฟัง เพราะกว่าที่จะมามีพี่สุดใจคนนี้ในวันนี้ ต้องผ่านการฝึกอย่างเข้มข้นมามากมาย แต่สิ่งที่ได้คุ้มค่าเหลือเกิน คือความทุกข์ที่เคยมีน้อยลง มีสติรู้เท่าทันขันธ์ห้า รู้เท่าทันความคิด ความรู้สึก และความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ห้าที่คิดว่าเป็นตัวเรา ของเราน้อยลง จึงมีการทำเพื่อผู้อื่นมากขึ้น ทุกวันนี้จึงค่อนข้างเบาสบาย มีความสงบในท่ามกลางความวุ่นวาย เพราะอยู่ในปัจจุบันขณะ นั่นเอง<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ที่เล่ามาทั้งหมดนี้ เป็นแค่การฝึกเรื่องรูปขันธ์ หรือกายเสียเป็นส่วนใหญ่ ยังไม่ได้เล่าลงลึกถึงการฝึกเรื่อง เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณเลย ซึ่งหากมีผู้สนใจจะนำมาเล่าให้ฟังอีกค่ะ <O:p</O:p
    <O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กุมภาพันธ์ 2008
  20. อาหลี_99

    อาหลี_99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    744
    ค่าพลัง:
    +2,992


    ชอบข้อความนี้ครับ^ ^..
    ยุคสมัยนี้ดูความคิดสำคัญมากครับพี่สุดใจ
    .......................................................................<O:p</O:p
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...