ข้อความต่างมิติ-จงไปดึงเอาพลังอำนาจและแสงสว่างจากภายในของตัวเองออกมาใช้งาน

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Chayutt, 9 กันยายน 2021.

  1. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    **จงไปดึงเอาพลังอำนาจและแสงสว่างจากภายในของตัวเองออกมาใช้งาน**

    Alchemistic Power of Stones-9.jpg

    (Credit the picture from : Alchemistic Power of Stones)

    "...แต่ขอได้โปรดเข้าใจไว้ด้วยว่า พวกเราไม่ได้กำลังจะบอกว่า ห้ามพวกคุณถือครองหรือใช้หินสีและคริสตัลที่พวกคุณชื่นชอบหรอกนะ และพวกเราก็ไม่ได้กำลังบอกว่า ห้ามพวกคุณไปเข้าเรียนหลักสูตรต่างๆที่พวกคุณอยากจะเรียนด้วย

    และพวกเราก็ไม่ได้บอกว่า ห้ามพวกคุณไปรักษากับผู้บำบัดรักษาที่ใช้ศาสตร์ทางพลังงานอีกด้วย และพวกเราก็ไม่ได้บอกว่า ห้ามพวกคุณไปร่วมในพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ต่างๆอีกด้วยเช่นเดียวกัน

    เพราะว่าสิ่งที่พวกเรากำลังบอกอยู่นี้ก็คือ พวกคุณจะต้องเข้าใจไว้ด้วยว่า
    หินสีและคริสตัลทั้งหลาย, รวมถึงพิธีกรรมและพิธีทางศาสนาต่างๆ จะไปช่วยปลุกกระตุ้น และช่วยแผ่ขยายพลังงานแห่งแสงสว่างที่พวกคุณมีอยู่แล้วในตัวเองให้ตื่นขึ้นมา หรือเพิ่มพูนขึ้นมาเท่านั้นเอง แม้ว่าพวกคุณจะไม่เคยรู้ว่าตัวเองมีพลังเหล่านั้นอยู่ก็ตาม

    ซึ่งเมื่อใดก็ตามที่พลังงานแห่งแสงสว่างที่ว่านี้ ถูกตระหนักรู้โดยตัวพวกคุณเองแล้วหละก็ นักเรียนสายจิตวิญญาณทั้งหลายอย่างพวกคุณ ก็จะต้องเริ่มหันมาพึ่งพาพลังงานแห่งแสงสว่างจากภายในของตัวเองแทน แทนที่จะไปหวังพึ่งพลังงานจากภายนอกเหมือนเดิม!

    หินสีและคริสตัลแต่ละชนิด จะมีพลังงานอะไรบางอย่างที่พิเศษเฉพาะตัวเป็นของตัวมันเองอยู่ และพวกมันก็จะทำหน้าที่ช่วยปรับจูนและกระตุ้นเจ้าพลังงานชนิดเดียวกันนั้น ที่มีอยู่แล้วในตัวมนุษย์แต่ละคน ให้เข้าสู่สมดุลและให้ตื่นขึ้นมา

    เพราะฉะนั้นแล้ว อย่าไปเข้าใจว่า หรือหลงเชื่อว่า เครื่องไม้เครื่องมือทางกายภาพ, หรือทางอารมณ์, หรือทางความคิด หรือทางจิตวิญญาณใดๆ จะสามารถมอบสิ่งที่พวกคุณ “ไม่มี” อยู่แล้วในตัวเอง ให้แก่พวกคุณได้นะ!..."

    ที่มา: บางส่วนของข้อความสื่อสารจากชาว อาร์ทูเรี่ยน ที่ผมโพสต์ล่าสุด เมื่อวันที่ 27/4/19 นี้

    Ref: จงไปดึงเอาพลังอำนาจและแสงสว่างจากภายในของตัวเองออกมาใช้งาน – ตอนที่ 1/4


    ข้อความฉบับเต็ม ตามอ่านได้ที่นี่: http://bit.ly/chayutt13
    .........................................................................................


    *คำอธิบายเพิ่มเติมจากผู้แปล:*

    นั่นหมายความว่า: ถ้าพัฒนาการทางจิตของเราสูงมากพอแล้ว และเราสามารถเข้าถึงพลังอำนาจภายในของตัวเอวได้แล้ว เราก็ไม่จำเป็นจะต้องไปอาศัยสิ่งภายนอกใดๆในการช่วยเหลือเลย เพราะว่าพลังงานและแสงสว่างจากภายในเราเอง มีมากพอที่จะช่วยเหลือตัวเองได้แล้ว

    เพราะว่าไม่มีพลังอำนาจใดๆจะสูงส่งและทรงพลังอำนาจมากเท่ากับพลังอำนาจภายในของเราอีกแล้ว เพราะว่าเราคือภาคส่วนหนึ่งของสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่แล้วนั่นเอง

    แต่ถ้า..เรายังเดินเตาะแตะอยู่ หรือยังไม่รู้อะไรเลย หรือยังเข้าไม่ถึงพลังอำนาจใดๆของตัวเองเลย เราก็อาจจะต้องอาศัยเครื่องไม้เครื่องมืออะไรบางอย่าง เช่น หินสีและอัญมณี หรือพิธีกรรม หรือครูบาอาจารย์ เพื่อมาช่วยเตะตูด หรือมาช่วยกระตุ้น หรือมาช่วยพยุง หรือมาช่วยปลุก หรือมาช่วยขยาย พลังอำนาจที่เรามีอยู่แล้วภายในตัวเอง ให้ตื่นขึ้นมา หรือให้พัฒนาขึ้นมา หรือให้แข็งแกร่งขึ้นมาให้จงได้

    เพราะว่าสิ่งเหล่านี้ที่กล่าวมาแล้วทั้งหมดนี้ สามารถช่วยได้จริงๆ เพราะข้อความจากต่างมิติทั้งหลาย ก็พูดตรงกันแบบนี้เสมอๆ เช่น กรณีของหินสีและอัญมณี เป็นต้น

    ในทางตรงข้าม..ถ้าเรายังไม่แข็งแกร่งมากพอ หรือเรายังไม่ตื่นรู้อะไรเลย หรือเรายังไม่ไปถึงไหนเลย แต่เรายังเอาแต่นั่งรอ-นอนรอให้ระดับพัฒนาการทางจิตของเราสูงขึ้นมาเองตามธรรมชาติหละก็ มันก็คงเป็นไปได้ยากอยู่ หรือเป็นไปได้..แต่ช้ากว่า..อะไรแบบนั้น

    เพราะว่าบางทีเราอาจจะยังติดอยู่ใน comfort zone ของเราเอง แต่ยังหลงคิดไปว่านั่นคือวิธีการที่ถูกต้องแล้ว ที่จะไม่ฝึกอะไรเลย หรือเรียนรู้อะไรเลย หรือขยับไปไหนเลย หรือใช้อะไรมาช่วยเลย

    เพราะฉะนั้นแล้ว เราจะต้องเข้าใจความหมายที่แท้จริงของข้อความที่สื่อสารมานี้ด้วยนะครับ - ชยุต

    Chayutt Naowarat

    27/4/19
    ..............................
    #Facebook: Chayutt Naowarat https://web.facebook.com/chayutt.deejaroen
    temp_hash-5b2a256136d0e513ecac26433db8d45a-jpg.jpg
    #เพจขายหินออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย: Alchemistic Power of Stones (https://facebook.com/chayutt.naowarat)
    #ฝากกระทู้เกี่ยวกับหินด้วยนะครับ http://Alchemistic.2.vu/AlchemisticHere
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กันยายน 2021
  2. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    **จงไปดึงเอาพลังอำนาจและแสงสว่างจากภายในของตัวเองออกมาใช้งาน - ตอนที่ 1/4**

    ข้อความจากชาว Arcturian เรื่อง : จงไปดึงเอาพลังอำนาจและแสงสว่างจากภายในของตัวเองออกมาใช้งาน

    ผู้รับสาส์น: Marilyn Raffaele, วันที่ : 7 เมษายน 2019, ที่มา: http://www.onenessofall.com/newest.html

    ........................
    Alchemistic Power of stones-10.jpg
    (Credit the picture from: Alchemistic Power of Stones)

    ผู้อ่านที่รักทั้งหลาย พวกเราขอต้อนรับพวกคุณเข้าสู่ข้อความแห่งจิตวิญญาณอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งอันที่จริงแล้วข้อความเหล่านี้ หาใช่ข้อความของพวกเราไม่ เพราะว่าแท้ที่จริงแล้วพวกมันคือข้อความที่สะท้อนออกมาจากระดับจิตสำนึกของพวกคุณเองต่างหากหละ เพราะว่าถ้ามันไม่ได้เป็นเช่นนั้นแล้ว พวกคุณก็คงจะไม่ได้มาเจอมันหรอก

    เพราะว่า..ถ้าพวกคุณอยากจะมีประสบการณ์กับอะไรบางอย่างหละก็ พวกคุณก็จะต้องมีระดับพลังงานที่สอดคล้องกลมกลืนกับสิ่งๆนั้นซะก่อน พวกคุณถึงจะสามารถมีประสบการณ์กับมันได้

    มาถึงตอนนี้ ในด้านจิตวิญญาณแล้ว พวกคุณได้พากันวิวัฒน์มาจนถึงขั้นที่ระดับจิตสำนึกและความตระหนักรู้ของพวกคุณ มีความพร้อมที่จะละทิ้งโปรแกรมเก่าๆ, และหลักการเก่าๆ, และความเชื่อเก่าๆไปได้แล้ว ซึ่งสิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่พวกคุณเคยถูกบอกถูกสอนมา หรือเคยรับเอามาว่าเป็นสัจธรรมหรือข้อเท็จจริงสำหรับตัวเอง หลายภพหลายชาติมาแล้ว

    และนี่แหละคือเหตุผลที่ว่าทำไม พวกคุณถึงได้ดูเหมือนว่า ช่างทิ้งพวกมันไปได้ยากเย็นซะเหลือเกิน หรือบางทีพวกคุณก็อาจจะคิดด้วยซ้ำว่า มันไม่มีความจำเป็นใดๆที่จะต้องทิ้งพวกมันไปเลยด้วยซ้ำ เพราะว่าพวกคุณอาจจะคิดว่าเจ้าแนวความคิดเก่าๆเหล่านี้ มันก็เหมาะสมดีอยู่แล้วสำหรับชีวิตทางกายภาพที่อยู่ในมิติที่ 3 นี้ของพวกคุณ

    แต่นั่นก็เพราะว่าจิตมนุษย์ที่อยู่ในมิติที่ 3 นี้ของพวกคุณมันมีข้อจำกัดเท่านั้นเอง คือมันไม่สามารถที่จะไปรับรู้อะไรอื่น ที่ไม่ได้อยู่ในสนามพลังงานของจิตสำนึกมวลรวมของคนทั้งโลกได้ เพราะฉะนั้น มันจึงเฝ้ากรอกหูพวกคุณอยู่ซ้ำๆเดิมๆว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ก็จะเป็นไปอย่างที่มันเคยเป็นมาแล้วนั่นแหละ หรือทำนองว่า “ถ้ามันยังไม่เสีย ก็อย่าเพิ่งไปซ่อมมัน” อะไรแบบนั้น

    แต่อย่างไรก็ตาม พวกคุณคนใดที่กำลังอ่านข้อความนี้อยู่ ก็ไม่ใช่คนที่อยู่ในมิติที่ 3 อีกต่อไปแล้ว

    เพราะว่าพวกเราได้เคยพูดไปหลายครั้งแล้วว่า พวกคุณได้มาถึงจุดที่พวกคุณไม่จำเป็นจะต้องไปเข้าเรียนหลักสูตรอะไรอีกเลย, หรือไปอาศัยเครื่องมืออะไรอีกแล้ว, หรือไปใช้พิธีกรรมอะไรอีกต่อไปแล้ว! เพื่อที่จะให้ตัวเองเข้าใจเรื่องของจิตวิญญาณและความเป็นพระเจ้ามากขึ้นไปอีก

    เพราะว่าพวกคุณได้มาถึงจุดๆนั้นแล้ว บนเส้นทางสายจิตวิญญาณของพวกคุณ! เพราะว่าตอนนี้พวกคุณเข้าใจแล้วว่า พวกคุณได้รับทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยวาดหวังเอาไว้มาเรียบร้อยแล้ว

    และตอนนี้พวกคุณก็รู้แล้วว่า “ทุกสรรพสิ่งก็คือหนึ่งเดียวกัน” และพวกคุณก็คือสิ่งๆนั้นนั่นเอง (น่าจะหมายถึงทุกสรรพสิ่งล้วนมีต้นกำเนิดมาจากแหล่งเดียวกัน และเพราะฉะนั้นแล้ว จึงเรียกได้ว่าในเอกภพแห่งนี้ มันไม่มีอะไรอื่นอยู่เลย นอกจาก “สิ่งนั้น” เท่านั้นเอง เพราะทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นส่วนหนึ่ง หรือเป็นภาคหนึ่ง หรือเป็น version หนึ่ง ของสิ่งๆนั้น – ผู้แปล)

    เพราะฉะนั้นแล้ว บนเส้นทางชีวิตของพวกคุณในตอนนี้ สิ่งที่พวกคุณจะต้องทำก็คือ การใช้ชีวิตอยู่กับสัจธรรมข้อนี้ให้ได้อย่างแท้จริง จนกว่ามันจะกลายมาเป็นระดับจิตสำนึกใหม่ของพวกคุณไปในท้ายที่สุด

    เครื่องไม้เครื่องมือทางอภิปรัชญาทั้งหลาย (Metaphysics tools) จะไม่ช่วย และก็ไม่สามารถที่จะช่วย ให้พวกคุณบรรลุถึงสิ่งที่พวกคุณ “เป็น” อยู่แล้วได้เลย (หมายถึงพวกเราเป็นพระเจ้าอยู่แล้ว – ผู้แปล)

    และการเอาแต่จมปรักอยู่แต่กับวิธีการจากภายนอก และการเที่ยวเสาะแสวงหาแต่วิธีการจากภายนอกทั้งหลาย เพื่อให้ตัวเองตื่นรู้ขึ้นมาสู่สัจธรรมที่ว่า “พระเจ้าทรงสถิตอยู่ในตัวของพวกคุณทุกคนอยู่แล้ว” นั้น ก็รั้งแต่จะทำให้ประสบการณ์ชีวิตแห่งการแบ่งแยกของพวกคุณ ยืดเยื้อและยาวนานต่อไปอีกเท่านั้นเอง

    แต่ขอได้โปรดเข้าใจไว้ด้วยว่า พวกเราไม่ได้กำลังจะบอกว่า ห้ามพวกคุณถือครองหรือใช้หินสีและคริสตัลที่พวกคุณชื่นชอบหรอกนะ และพวกเราก็ไม่ได้กำลังบอกว่า ห้ามพวกคุณไปเข้าเรียนหลักสูตรต่างๆที่พวกคุณอยากจะเรียนด้วย

    และพวกเราก็ไม่ได้บอกว่า ห้ามพวกคุณไปรักษากับผู้บำบัดรักษาที่ใช้ศาสตร์ทางพลังงานอีกด้วย และพวกเราก็ไม่ได้บอกว่า ห้ามพวกคุณไปร่วมในพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ต่างๆอีกด้วยเช่นเดียวกัน

    เพราะว่าสิ่งที่พวกเรากำลังบอกอยู่นี้ก็คือ พวกคุณจะต้องเข้าใจไว้ด้วยว่า หินสีและคริสตัลทั้งหลาย, รวมถึงพิธีกรรมและพิธีทางศาสนาต่างๆ จะไปช่วยปลุกกระตุ้น และช่วยแผ่ขยายพลังงานแห่งแสงสว่างที่พวกคุณมีอยู่แล้วในตัวเองให้ตื่นขึ้นมา หรือเพิ่มพูนขึ้นมาเท่านั้นเอง แม้ว่าพวกคุณจะไม่เคยรู้ว่าตัวเองมีพลังเหล่านั้นอยู่ก็ตาม

    ซึ่งเมื่อใดก็ตามที่พลังงานแห่งแสงสว่างที่ว่านี้ ถูกตระหนักรู้โดยตัวพวกคุณเองแล้วหละก็ นักเรียนสายจิตวิญญาณทั้งหลายอย่างพวกคุณ ก็จะต้องเริ่มหันมาพึ่งพาพลังงานแห่งแสงสว่างจากภายในของตัวเองแทน แทนที่จะไปหวังพึ่งพลังงานจากภายนอกเหมือนเดิม!

    หินสีและคริสตัลแต่ละชนิด จะมีพลังงานอะไรบางอย่างที่พิเศษเฉพาะตัวเป็นของตัวมันเองอยู่ และพวกมันก็จะทำหน้าที่ช่วยปรับจูนและกระตุ้นเจ้าพลังงานชนิดเดียวกันนั้น ที่มีอยู่แล้วในตัวมนุษย์แต่ละคน ให้เข้าสู่สมดุลและให้ตื่นขึ้นมา

    เพราะฉะนั้นแล้ว อย่าไปเข้าใจว่า หรือหลงเชื่อว่า เครื่องไม้เครื่องมือทางกายภาพ, หรือทางอารมณ์, หรือทางความคิด หรือทางจิตวิญญาณใดๆ จะสามารถมอบสิ่งที่พวกคุณ “ไม่มี” อยู่แล้วในตัวเอง ให้แก่พวกคุณได้นะ!

    (ยังไม่จบนะครับ..อ่านต่อตอนถัดไปในลิงค์ข้างล่างนี้นะครับ)
    ......................................................
    #Facebook: Chayutt Naowarat https://web.facebook.com/chayutt.deejaroen
    temp_hash-5b2a256136d0e513ecac26433db8d45a-jpg.jpg
    #เพจขายหินออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย: Alchemistic Power of Stones (https://facebook.com/chayutt.naowarat)
    #ฝากกระทู้เกี่ยวกับหินด้วยนะครับ http://Alchemistic.2.vu/AlchemisticHere
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กันยายน 2021
  3. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    **จงไปดึงเอาพลังอำนาจและแสงสว่างจากภายในของตัวเองออกมาใช้งาน - ตอนที่ 2/4**

    ข้อความจากชาว Arcturian เรื่อง : จงไปดึงเอาพลังอำนาจและแสงสว่างจากภายในของตัวเองออกมาใช้งาน

    ผู้รับสาส์น: Marilyn Raffaele, วันที่ : 7 เมษายน 2019, ที่มา: http://www.onenessofall.com/newest.html
    ........................


    127167612_3709464372437168_7610799073017960334_n.jpg
    (Credit the picture from: Internet)

    และในตอนนี้ พวกคุณก็ได้มาถึงจุดที่พร้อมแล้วที่จะยอมรับว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกคุณเที่ยวเสาะแสวงหามาจากคนอื่น หรือจากสถานที่อื่น หรือจากสิ่งอื่น ตลอดระยะเวลาหลายร้อยหลายพันภพชาติที่ผ่านมานั้น มันไม่เคยไปอยู่ที่ไหนเลย นอกจากอยู่ภายในตัวพวกคุณเองตลอดเวลา!

    และตอนนี้พวกคุณก็ได้ทำภารกิจนี้เสร็จสิ้นลงแล้ว และพวกคุณก็มีคุณสมบัติเพียบพร้อมทุกประการแล้ว ที่จะยุติการค้นหาและเสาะแสวงหาพระเจ้า!เพราะว่าตอนนี้พวกคุณได้พบพระองค์แล้ว เพราะว่าพระเจ้าก็คือพวกคุณนั่นเอง!

    ดังนั้น เมื่อมาถึงจุดๆหนึ่งแล้ว มนุษย์ทุกๆคนก็จะต้องยอมรับโดยสิโรราบว่าตัวเองเป็นใครหรือเป็นอะไร และก็จะต้องใช้ชีวิตอยู่กับความจริงข้อนี้ให้ได้อย่างแท้จริง และให้มากที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้

    เพราะว่าวิถีแห่งการดำรงชีวิตอยู่อย่างผู้ที่เต็มเปี่ยมด้วยจิตวิญญาณที่แท้จริงนั้น มันไม่ได้เป็นอย่างที่พวกคุณซึ่งอยู่ในมิติที่ 3 แห่งนี้เชื่อกันเลย (พวกคุณมักคิดว่ามันต้องเป็นเหมือนภาพนักบุญที่อยู่บนแผ่นกระดาษ)

    แต่การดำรงชีวิตอยู่อย่างผู้ที่เต็มเปี่ยมด้วยจิตวิญญาณที่แท้จริงนั้น มันคือการดำรงชีวิตอยู่บนโลก และต้องพบเจอกับเหตุการณ์ต่างๆในชีวิตเหมือนกับคนอื่นๆทุกๆคน เพียงแต่ว่าพวกเขาจะเผชิญมันด้วยหัวใจที่เปี่ยมไปด้วยความรักแบบไร้เงื่อนไขเสมอเท่านั้นเอง!

    ความรักแบบไม่มีเงื่อนไข (Unconditional Love) คือสภาวะจิตอย่างหนึ่ง ที่ตระหนักรู้เองแล้วว่ามนุษย์ทุกๆคนคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์เสมอเหมือนกันหมด ไม่ว่ารูปลักษณ์ภายนอกของแต่ละคนจะเป็นอย่างไรก็ตาม

    ความรักแบบไม่มีเงื่อนไขนี้ อาจจะมีอารมณ์และความรู้สึกมาร่วมด้วยก็ได้ แต่ก็ไม่เสมอไป ซึ่งภายหลังจากที่มีการตระหนักรู้จากภายในอันนี้แล้ว มนุษย์ผู้นั้น ก็สามารถที่จะก้าวเดินไปที่ใดก็ได้ที่ได้รับแรงบันดาลใจให้ก้าวเดินไป

    และความรักแบบไม่มีเงื่อนไขนี้ ก็คือเหลี่ยมมุมหนึ่งของการมามีชีวิตอยู่บนโลก แต่ไม่ถูกครอบงำโดยโลก

    ในขณะที่พลังงานของโลกกำลังเพิ่มความถี่และความเข้มข้นสูงขึ้นเรื่อยๆอยู่นี้ ระบบกายเนื้อของพวกคุณก็กำลังมีการเปลี่ยนแปลงตามไปด้วยเช่นเดียวกัน เพื่อให้สามารถรองรับคลื่นความถี่ที่สูงขึ้นเรื่อยๆนี้ได้

    และในระหว่างที่พวกคุณกำลังอยู่ในกระบวนการปลดปล่อยความทรงจำเก่าๆ ที่ฝังแน่นอยู่ภายในเซลในร่างกายเนื้อของพวกคุณออกไปอยู่นี้ ซึ่งมันติดตามพวกคุณมาหลายร้อยหลายพันภพชาติแล้วนั้น

    และในระหว่างที่คลื่นความถี่แห่งแสงสว่างกำลังค่อยๆเข้ามาแทนที่ความทรงจำเก่าๆที่ถูกปลดปล่อยออกไปอยู่นี้ มันก็อาจจะทำให้ร่างกายเนื้อของพวกคุณรู้สึกไม่สบายขึ้นมาได้ด้วย หรืออาจจะรู้สึกอ่อนเปลี้ยเพลียแรงจนหมดท่าไปเลยก็ได้ จนทำให้จิตมนุษย์ของพวกคุณตื่นตระหนกขึ้นมาด้วยความไม่รู้ เพราะว่ามันเข้าใจไปว่าพวกคุณกำลังป่วยซะแล้ว

    เพราะฉะนั้น ในช่วงเวลาที่พวกคุณจิตตกเช่นนี้ จงพยายามรื่นไหลไปตามกระแสพลังงานของจักรวาล (คือพยายามปล่อยวาง และยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น อย่าวิตกกังวล – ผู้แปล) จงอ่อนโยนกับตัวเองและรักตัวเองให้มากๆ มากเท่าที่จะมากได้ และจงเชื่อมั่นเถิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นั้น ล้วนกำลังเป็นไปอย่างที่มันควรจะเป็นอยู่แล้วทั้งสิ้น

    อาการแห่งการเลื่อนระดับขึ้นเหล่านี้ มักจะเกิดขึ้นกับร่างกายเนื้อของพวกคุณในจุดที่อ่อนแอมากที่สุดก่อนเสมอ เช่น ถ้าในภพชาติก่อนๆพวกคุณเคยเสียชีวิตด้วยโรคถุงลมโป่งพองมาก่อน ในภพชาตินี้ พวกคุณก็อาจจะมีปัญหาเกี่ยวกับปอดใหม่อีกครั้งหนึ่ง เพราะว่าพลังงานเก่าๆเกี่ยวกับเรื่องนี้ของพวกคุณ ตั้งแต่ภพชาติที่แล้วและรวมมาถึงชาตินี้ด้วย มันกำลังถูกชำระล้างออกไปอยู่

    อาการแห่งการชำระล้างพลังงานเก่าๆออกไปเช่นนี้ มักจะมาแล้วก็จากไป เพราะว่ามันคือวิธีการหนึ่งที่จะทำให้พวกคุณตระหนักรู้ถึงพวกมันได้ แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าพวกคุณมีความรู้สึกว่าจะต้องไปพบแพทย์แล้วหละก็ ก็จงไปเสีย แต่อย่ารู้สึกผิดหรือรู้สึกต่อต้านเป็นอันขาด

    ในช่วงเวลานี้ พวกคุณหลายคน กำลังถูกเบื้องบนชี้นำทางให้ทำการตัดขาดสายใยทางพลังงาน (Energy cords) ต่างๆ ที่อาจจะคอยเหนี่ยวรั้งพวกคุณเอาไว้กับใครบางคน หรือกับสถานที่บางแห่ง หรือกับสิ่งของบางสิ่งอยู่ ซึ่งสายใยทางพลังงานเหล่านี้ บ่อยครั้งที่พวกคุณหอบหิ้วพวกมันมาข้ามภพข้ามชาติแล้ว เพราะว่าพวกมันอยู่ในสนามพลังออร่าของพวกคุณอยู่แล้ว

    และพวกคุณก็สามารถที่จะรับรู้ถึงพวกมันได้ด้วย โดยสังเกตจากความรู้สึกหรือการตอบสนองที่พวกคุณมีต่อใครบางคน หรือใครหลายคน ในทางที่ “ดี” หรือ “ไม่ดี” อย่างเข้มข้นผิดปกตินั่นเอง

    สายใยทางพลังงาน (Energy cords) จะทำให้พวกคุณสูญเสียพลังงาน และจะทำให้พวกคุณยึดติดกับพลังงานของใครบางคน ในทางที่จะไม่เป็นผลดีกับฝ่ายไหนเลย ไม่ว่าจะเป็นกับแฟน, หรือกับคนในครอบครัว หรือกับเพื่อน หรือกับศัตรูของพวกคุณก็ตาม

    และประสบการณ์ชีวิตที่เข้มข้นใดๆก็ตาม ก็สามารถที่จะนำมาซึ่งการสร้างสายใยทางพลังงานแห่งสายสัมพันธ์ที่ว่านี้ขึ้นมาได้ด้วย และมันก็มักจะเป็นเช่นนั้นเสมอด้วย

    แต่ว่า..การตัดสายใยทางพลังงานนี้ทิ้งไป มันก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรเลยนะ เพราะว่าพวกคุณทุกคนสามารถทำได้ด้วยตัวเอง โดยใช้เจตจำนงของตัวเองร่วมกับการใช้จินตนาการ และจงร้องขอให้เทพผู้ทำทางของพวกคุณช่วยในระหว่างที่พวกคุณทำกระบวนการนี้ด้วย

    การตัดสายใยทางพลังงานทิ้งไปนั้น ไม่ได้หมายความว่ามันคือการตัดขาดความรัก และสายสัมพันธ์ที่มีต่อบุคคลอันเป็นที่รักของพวกคุณไปหรอกนะ แต่มันหมายถึงการตัดขาดการเสพติด หรือการยึดติดที่มีต่อบุคคลเหล่านั้นทิ้งไปต่างหากหละ เพราะว่าความสัมพันธ์ที่ตั้งอยู่บนการยึดติดและการเสพติดนั้น มันไม่เป็นผลดีต่อใครเลย

    แต่ว่าหลังจากที่ถูกตัดขาดทิ้งไปแล้ว สายใยทางพลังงานเหล่านี้ มันก็อาจจะถูกสร้างขึ้นมาใหม่ได้อีกครั้งหนึ่ง โดยพวกคุณเอง

    และพ่อแม่ผู้ปกครองทั้งหลาย ก็มักจะมีสายใยทางพลังงานที่เชื่อมต่ออยู่กับลูกๆของตัวเอง หรือเชื่อมต่ออยู่กับลูกคนใดคนหนึ่งอยู่เสมอด้วย แต่ว่าสัมพันธภาพจะดียิ่งกว่าถ้ามันปราศจากสายใยทางพลังงานใดๆ

    (ยังไม่จบนะครับ..อ่านต่อตอนถัดไปในลิงค์ข้างล่างนี้นะครับ)

    ........................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กันยายน 2021
  4. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    **จงไปดึงเอาพลังอำนาจและแสงสว่างจากภายในของตัวเองออกมาใช้งาน - ตอนที่ 3/4**

    ข้อความจากชาว Arcturian เรื่อง : จงไปดึงเอาพลังอำนาจและแสงสว่างจากภายในของตัวเองออกมาใช้งาน

    ผู้รับสาส์น: Marilyn Raffaele, วันที่ : 7 เมษายน 2019, ที่มา: http://www.onenessofall.com/newest.html
    ........................


    Chayutt-Alchemistic_Power_of_stones-30.jpg
    (Credit the picture from: myself)

    และจงพูดคุยกับเซลในร่างกายเนื้อของพวกคุณเอง และจงแผ่แสงสว่างไปให้พวกมันด้วย แล้วบอกกับพวกมันว่า มันถึงเวลาแล้วที่จะต้องปลดปล่อยโปรแกรมเก่าๆของมิติที่ 3 ทั้งหมดทิ้งไป (เช่น ความแก่, ความเสื่อมสภาพ, และโรคภัยไข้เจ็บ เป็นต้น) แล้วให้พวกมันนำเอาพิมพ์เขียวศักดิ์สิทธิ์ของร่างกายมนุษย์ฉบับสมบูรณ์มาใช้งานแทน

    ซึ่งด้วยวิธีการนี้ก็มักจะทำให้ปัญหาต่างๆที่ซุกซ่อนอยู่หรือฝังลึกอยู่ในความทรงจำระดับเซลของพวกคุณถูกกระตุ้นให้โผล่ขึ้นมาสู่ระดับพื้นผิว แล้วถูกขจัดทิ้งไป

    จงอย่าไปเชื่อเด็ดขาดว่า เรื่องราวที่เกิดขึ้นมาแบบปุบปับในชีวิตของพวกคุณ ที่ดูเหมือนว่าจะคือสิ่งเลวร้ายนั้น จะหมายถึงความล้มเหลวของพวกคุณเสมอไป เพราะว่าพวกคุณไม่สามารถที่จะล้มเหลวได้อยู่แล้ว

    เพราะว่าความล้มเหลมคือเรื่องโกหก เพราะว่าความล้มเหลวคือความคิดและความเข้าใจแบบมนุษย์เท่านั้นเอง ซึ่งมีพื้นฐานมาจากความเชื่อภายใต้ความเป็นทวิภาวะ (ความสำเร็จ vs ความล้มเหลว) และมีพื้นฐานมาจากการแบ่งแยก

    และแม้ว่าพวกคุณจะสามารถหลงลืมหรือเพิกเฉยต่อความเป็นพระเจ้าในตัวเองได้ก็ตาม แต่ไม่มีวันเลยที่พวกคุณจะเป็นอะไรอย่างอื่นที่ต่ำต้อยด้อยค่ากว่าพระเจ้าไปได้!เพราะว่าพวกคุณคือภาคหนึ่งของพระเจ้านั่นเอง

    จงเชื่อมั่นว่าพวกคุณกำลังอยู่ในจุดที่ๆพวกคุณควรจะอยู่อยู่แล้วในขณะนี้ แม้ว่าในขณะที่กำลังอยู่ในกระบวนการนี้ บางครั้งมันก็อาจจะไม่ค่อยสะดวกสบายนักก็ตาม

    แต่ว่าในตอนนี้พวกคุณก็มีความพร้อมแล้วที่จะละทิ้งโปรแกรมเก่าๆทั้งหลายไป ซึ่งพวกมันคอยแต่จะตะโกนสั่งพวกคุณว่า พวกคุณจะต้องทำโน่นทำนี่ หรือทำด้วยวิธีการโน้นวิธีการนี้ “เท่านั้น” อยู่ตลอดเวลา

    เพราะว่าตอนนี้พวกคุณได้วิวัฒน์มาจนถึงขั้นที่จะอยู่เหนือคำว่า “ต้อง” หรือ “ต้องไม่” อย่างโน้นอย่างนี้ได้แล้ว เพราะว่าคำเหล่านั้นมันคือการส่อให้เห็นถึงการยึดติดกับโปรแกรมเก่าๆของความเป็นขั้วของมิติที่ 3 อยู่

    และเมื่อใดที่พวกคุณสามารถยุติการเป็นทาสของระบบความเชื่อในมิติที่ 3 ได้แล้ว พวกคุณก็จะค้นพบอย่างรวดเร็วว่าท้องฟ้าก็ไม่ได้ถล่มลงมาอย่างที่เขาขู่เอาไว้ซักหน่อย และชีวิตก็ยังดำเนินต่อไปอย่างสุขสบายดี

    พวกคุณจะต้องยอมรับว่าทุกสิ่งทุกอย่างกำลังจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว แต่ก็ยังมีชาวโลกอีกหลายคนที่เชื่อว่า เมื่อโลกเลื่อนระดับขึ้นไปสู่พลังงานของมิติที่สูงกว่าเรียบร้อยแล้ว พวกเขายังจะสามารถทำสิ่งต่างๆอย่างที่พวกเขากำลังทำอยู่ในตอนนี้ได้อยู่อีก โดยไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลย

    แต่ว่า..เพราะว่าจิตสำนึกและความตระหนักรู้คือแก่นแท้ของทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่-เป็นอยู่ (แต่ว่ารูปลักษณ์หรือระดับพลังงานของสิ่งที่มีอยู่-เป็นอยู่นั้น จะเป็นอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับการแปลความหมายของจิตของแต่ละตัวตน/บุคคล ซึ่งมีระดับจิตสำนึกไม่เท่ากัน)

    ดังนั้น เมื่อใดก็ตามที่จิตสำนึกของมนุษย์คนใดคนหนึ่ง และของคนทั้งโลกได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว โลกภายนอกทั้งหมดของมนุษย์ผู้นั้น และของคนทั้งโลก ก็จะต้องเปลี่ยนแปลงตามไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

    เพราะฉะนั้น จงเชื่อมั่นเถิดว่า Higher Self ของพวกคุณ หรือจิตวิญญาณของพวกคุณเอง จะรู้ดีเสมอว่าพวกคุณกำลังต้องการอะไร และเมื่อไหร่ และก็รู้ด้วยว่าควรจะมอบสิ่งนั้นให้แก่พวกคุณด้วยวิธีการอย่างไรด้วย

    ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับบทเรียนชีวิตที่จำเป็นสำหรับพวกคุณก็ตาม หรือเกี่ยวกับบุคคลที่พวกคุณจะต้องได้ไปประสบพบเจอก็ตาม

    นี่คือความเชื่อมั่นทางจิตวิญญาณ และพวกคุณทุกคนที่กำลังอ่านข้อความนี้อยู่ก็พร้อมแล้วที่จะมีความเชื่อมั่นทางจิตวิญญาณที่ว่านี้

    การมีความเชื่อมั่นทางจิตวิญญาณ หมายถึงการตระหนักรู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างกำลังดำเนินไปตามแผนการของจักรวาลอยู่แล้ว ไม่ว่าความคิดของมนุษย์ผู้ที่อยู่ในมิติที่ 3 แห่งนี้จะคิดว่าอย่างไรก็ตาม

    การมีความเชื่อมั่นทางจิตวิญญาณ คือการบรรลุถึงสภาวะจิตระดับหนึ่ง ซึ่งตอนนี้พวกคุณก็กำลังอยู่ในระดับจิตระดับนั้นอยู่แล้ว หรือไม่ก็พร้อมแล้วที่จะไปถึงระดับนั้น

    เพราะฉะนั้นแล้ว การพยายามที่จะรักษาหลักการหรือแนวทางทางจิตวิญญาณ ตามความคิดและความเชื่อของตัวเอง ว่ามันควรจะเป็นแบบนั้นแบบนี้เท่านั้นเอาไว้นี่ ก็รั้งแต่จะไปสกัดกั้นการทำงานของ Higher Self ของพวกคุณเองเท่านั้นเอง ที่กำลังจะนำพาพวกคุณเข้าไปสู่บทเรียนชีวิตที่สำคัญๆบางบทต่อไป

    (ยังไม่จบนะครับ..อ่านต่อตอนถัดไปในลิงค์ข้างล่างนี้นะครับ)

    ........................

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กันยายน 2021
  5. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    **จงไปดึงเอาพลังอำนาจและแสงสว่างจากภายในของตัวเองออกมาใช้งาน - ตอนที่ 4/4**

    ข้อความจากชาว Arcturian เรื่อง : จงไปดึงเอาพลังอำนาจและแสงสว่างจากภายในของตัวเองออกมาใช้งาน

    ผู้รับสาส์น: Marilyn Raffaele, วันที่ : 7 เมษายน 2019, ที่มา: http://www.onenessofall.com/newest.html
    ........................

    Chayutt-Alchemistic_Power_of_stones-25.jpg


    ฉัน..คือ “พระเจ้า” ฉันไม่ใช่แมรี่ หรือโจ หรือเบตตี้ เพราะว่าฉันคือพระเจ้า ซึ่งคำว่า “ฉัน” ในที่นี้จึงคือคำพูดที่ศักดิ์สิทธิ์มาก เพราะมันหมายถึงตัวตนภาคที่ศักดิ์สิทธิ์ของพวกคุณเอง ซึ่งเป็นตัวตนที่แท้จริงของพวกคุณเอง

    แต่เพราะว่าพวกคุณยังไม่ตื่นรู้ และเพราะความไม่รู้ของพวกคุณเอง จึงทำให้พวกคุณเข้าใจผิดและคิดไปว่า “ฉัน” หมายถึงตัวตนเล็กๆนี้ของพวกคุณแต่เพียงอย่างเดียว ซึ่งป็นตัวตนที่พวกคุณคิดว่าแบ่งแยก และแยกขาดออกมาจากสิ่งมีชีวิตอื่นๆทุกชนิด และก็แบ่งแยกจากพระเจ้าอย่างสมบูรณ์

    คุรุผู้รู้แจ้งผู้มีนามว่าพระเยซูเคยสั่งสอนพวกคุณเกี่ยวกับคำว่า “ฉัน” เอาไว้แล้ว แต่เพราะว่าผู้คนในสมัยนั้นยังไม่มีวิวัฒนาการทางจิตวิญญาณสูงพอที่จะเข้าใจความหมายที่แท้จริงของพระองค์ได้

    ดังนั้น พวกเขาจึงแปลความหมายของคำว่า “ฉัน” ของพระองค์ผิดไป โดยไปเข้าใจว่ามันหมายถึงพระเยซูเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น (ที่เป็นพระบุตรของพระเจ้า – ผู้แปล) และนี่แหละคือสาเหตุและต้นตอของความผิดพลาดครั้งใหญ่หลวงที่สุดของชาวโลกหละ

    และความผิดพลาดนี้ก็ยังคงสืบทอดต่อๆกันมาจนถึงทุกวันนี้ ท่ามกลางผู้คนที่นับถือศาสนาคริสต์ ว่าผู้ที่เป็นพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้าก็คือพระเยซูเท่านั้น!

    เพราะฉะนั้นแล้ว จงเริ่มต้นเข้าใจความหมายที่แท้จริงของคำว่า “ฉัน” ใหม่ได้แล้ว และจงอย่าได้พากันใช้คำว่าฉันไปในความหมายที่เป็นส่วนตัวให้มากนัก เพราะว่าในทุกๆครั้งที่พวกคุณพูดคำว่า “ฉันป่วย” หรือ “ฉันจน” หรือ “ฉันล้มเหลว” นั้น พวกคุณก็จะไปสร้างให้เกิดสิ่งนั้นๆขึ้นมาในชีวิตของพวกคุณเองโดยปริยาย

    เพราะฉะนั้น จงเริ่มคิดถึงคำว่าฉันในความหมายที่แท้จริงของมันเสียที ซึ่งหมายถึง ตัวตนรวมทั้งหมดที่อยู่ในทุกหนทุกแห่งและในทุกๆมิติ และหมายถึงผู้เป็นสัพพัญญูที่รอบรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง และหมายถึงผู้ทรงมหิทรานุภาพที่ยิ่งใหญ่เหลือจะประมาณ ซึ่งนั่นแหละคือตัวตนที่แท้จริงของพวกคุณหละ!

    และจงรู้ไว้ด้วยว่าตอนนี้พวกคุณกำลังเผชิญกับการค่อยๆตายลงของโปรแกรมเก่าๆอยู่ เช่น สิ่งที่ได้รับสืบทอดมาทางร่างกาย, สัมพันธภาพที่ก่อให้เกิดกรรม, และความทรงจำในระดับเซล เป็นต้น

    และจงอย่าไปคิดเด็ดขาดว่าปัญหาทั้งหลายที่พวกคุณแต่ละคนกำลังเผชิญอยู่นี้ เป็นของพวกคุณแต่เพียงลำพัง ไม่เช่นนั้นแล้ว มันจะกลายเป็นของพวกคุณไปจริงๆ เพราะว่าความผิดพลาดทั้งหลาย หาได้เป็นของพวกคุณคนใดคนหนึ่งไม่เลย เพราะว่าคำว่า “ฉัน” ที่พวกคุณเป็นนั้น ไม่เคยมีปัญหาอะไรเลย และมันก็ไม่เคยรู้จักปัญหาใดๆอีกด้วย!

    เพราะว่าจิตสำนึกของความเป็นพระเจ้านั้น คือจิตสำนึกที่มีความเต็มเปี่ยมสมบูรณ์อย่างไร้ที่สิ้นสุด มันสมบูรณ์แบบ และบริบูรณ์ไร้ขีดจำกัดอยู่เสมออยู่แล้ว

    และเพราะฉะนั้นแล้ว ถ้าสมมุติว่ามีความผิดพลาดใดๆเกิดขึ้นจริงๆ (บาป, โรคภัยไข้เจ็บ, ความขาดแคลน, การมีข้อจำกัด และอื่นๆ) ในจิตสำนึกของพระเจ้า มันก็จะดำรงอยู่ภายในจิตสำนึกแห่งพระเจ้านั้นไปตลอดกาลเลยทีเดียว เพราะว่ามันเป็นกฎของพระเจ้า และมันก็จะไม่มีวันที่จะสามารถกำจัดออกไปหรือเยียวยารักษาให้หายขาดได้เลย

    ดังนั้น เมื่อใดที่พวกคุณตั้งเจตจำนงว่าจะตื่นรู้ขึ้นมา หรือวิวัฒน์ขึ้นไปอีก ไม่ว่าจะด้วยเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม พวกคุณก็จะไปอยู่บนเส้นทางแห่งการตื่นรู้ของตัวเองโดยอัตโนมัติ และพวกคุณก็ไม่จำเป็นจะต้องสงสัย หรือวิตกกังวล หรือมีคำถามอะไรอีกเลย ว่าพวกคุณกำลังทำถูกแล้วหรือไม่

    เพราะว่ามนุษย์ทุกคน แค่เพียงจำเป็นจะต้องดำรงชีวิตอยู่ด้วยระดับความตระหนักรู้สูงสุดของตัวเองเท่านั้นเอง ซึ่งถ้าพวกเขาทำเช่นนั้นได้แล้ว พวกเขาก็จะได้รับความตระหนักรู้ในระดับที่สูงขึ้นไปอีกเรื่อยๆๆ มันคือกระบวนการอย่างหนึ่ง เพราะว่าพวกคุณยังคงดำรงชีวิตอยู่ภายใต้พลังงานของช่องว่างและกาลเวลาอยู่

    วิวัฒนการคือการเดินทางสู่การตื่นรู้ที่ไม่มีที่สิ้นสุด เพื่อไปสู่ระดับจิตสำนึกของความเป็นหนึ่งเดียว แต่ก็ไม่ได้หยุดอยู่ที่การไปถึงระดับจิตสำนึกอันนั้นเท่านั้นนะ เพราะว่าทุกๆการค้นพบใหม่และการบรรลุใหม่ จะถูกผสานรวมและกลายไปเป็นพวกคุณ เพื่อสร้างหนทางไปสู่สัจธรรมขั้นสูงกว่ายิ่งๆขึ้นไปอีกเสมอ เพราะว่าพระเจ้าจะสำแดงตัวเองออกไปเรื่อยๆอย่างไร้ขีดจำกัด เฉกเช่นเดียวกับพวกคุณ

    มันถึงเวลาแล้วที่ความลังเลสงสัย, การหลบเลี่ยง และการหาข้ออ้าง จะต้องยุติลง ดังนั้นการพูดว่า “ฉันไม่คู่ควร, หรือฉันเป็นคนบาป, หรือฉันไม่สามารถที่จะเป็นรูปธรรมชีวิตที่ศักดิ์สิทธิ์ได้” จึงเป็นแค่เพียงคำพูดที่แสดงถึงความอ่อนน้อมถ่อมตนจอมปลอมแบบเก่าๆที่มาจากอีโก้เท่านั้นเอง หาใช่ความอ่อนน้อมถ่อมตนที่แท้จริงไม่

    และเมื่อใดก็ตามที่ใครซักคนตื่นรู้ขึ้นมาสู่ความจริงที่ว่า “มันมีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น ที่กำลังสำแดงตัวมันเองออกมาเป็นทุกสรรพสิ่งอยู่” แล้ว บุคคลผู้นั้นก็จะไม่มีวันกลับไปหลับใหลได้อีกเลย แม้ว่าบางคนจะพยายามลองแล้วก็ตาม

    ด้วยความรักอันยิ่งใหญ่ที่มีต่อพวกคุณ และด้วยความนับถืออย่างสูง พวกเราคือชาวอาร์คทูเรียน

    (จบครับ)

    ........................
    #Facebook: Chayutt Naowarat https://web.facebook.com/chayutt.deejaroen

    ?temp_hash=5b2a256136d0e513ecac26433db8d45a.jpg
    #เพจขายหินออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย: Alchemistic Power of Stones (https://facebook.com/chayutt.naowarat)
    #ฝากกระทู้เกี่ยวกับหินด้วยนะครับ http://Alchemistic.2.vu/AlchemisticHere
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กันยายน 2021

แชร์หน้านี้

Loading...