คนไทยมาจากไหน? ตำนานประวัติศาสตร์ชาติไทย พุทธสาสนสุวัณณภูมิปกรณ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย เก่ากะลา, 19 มกราคม 2011.

  1. phitd

    phitd สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +10

    คุณเมตต สนใจพระพุทธรูปแก่นจันทร์เหมือนผมเลยครับ แต่ผมยังไม่ได้อ่านรายละเอียดอะไรมากเพราะหาหลักฐานต่างๆ ยากมากๆเลย ตอนนี้ผมอยู่เชียงใหม่ อยู่ใกล้ๆ วัดเจ็ดยอด (วัดโพธาราม) ที่เคยเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปแก่นจันทร์ ผมดูจากอะไรหลายๆอย่างในวัดแล้วคาดว่าวัดนี้สร้างมานานมากกว่า 2 พันปี แต่สงสัยว่าทำไมนักโบราณคดีไม่ศึกษาต่อกันนะ

    และนี้เป็นสิ่งยืนยันว่านครเชียงใหม่ เป็นเมืองมานานแล้วนะครับ ค้นพบกำแพงหินหมื่นปีที่เชียงใหม่ | เดลินิวส์
     
  2. hmu111

    hmu111 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    324
    ค่าพลัง:
    +391
    อนุโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ หนังสือดี ๆ น่าสะสมครับ ขอบคุณเจ้าของกระทู้ครับ
     
  3. EUROPE

    EUROPE Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +93
    ผมอ่านมาได้ ๔ เดือนแล้วยังไม่ถึงครึ่งเรื่องเลยครับ
    ผ่านทีละหน้าก้อได้ความรู้แปลกใหม่มากเลย


    ขอบคุณครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 พฤษภาคม 2012
  4. ป้ามา

    ป้ามา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +5
    โอ้...สาธุ
    ดีใจมากที่เห็นผู้เผยแผ่งานของท่านเจ้าคุณพระราชกวี (หลวงปู่อ่ำ)

    ปล. ดิฉันใช้ชื่อ pama ในกะทู้อ้างอิงชื่อ "ชาวไท(ไต)ทำไมพูดภาษาเหมือนกันในพื้นที่ที่ไม่น่าเป็นไปได้" ^^
     
  5. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,401
    ขอบคุณที่ทำไฟล์ดาวน์โหลดให้นะครับ นำไปลงให้แล้วครับ
     
  6. หมูน้ำยืน

    หมูน้ำยืน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    152
    ค่าพลัง:
    +38
    แว่ะมาอ่านต่อครับ เพิ่งอ่านได้ไม่กี่หน้าเอง
     
  7. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,401
    พอดีได้ค้นพบข้อมูล(มั่วตามฝรั่ง)จากเว็ปราชบุรีศึกษา
    ประวัติ ตำนาน และเรื่องเล่าราชบุรี: จารึก 3 แห่งที่พบในราชบุรี

    ขอคัดลอกมาดังนี้

    จารึกถ้ำฤาษีเขางูราชบุรี
    เป็นอักษร "ปัลลวะ" จารึกเอาไว้ราวปีพุทธศตวรรษ 12 ภาษาสันสกฤต มี 1 บรรทัด จารึกบนศิลา (หิน) อยู่ใต้ฐานพระพุทธรูป ในถ้ำฤๅษีเขางู วัดเขางู ตำบลเจดีย์หัก อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี ขนาดกว้าง 47 ซม. สูง 26 ซม. ไม่ปรากฏหลักฐานผู้สร้าง ratch-603-1.jpg
    เขางู ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของจังหวัดราชบุรีห่างจากอำเภอเมืองประมาณ 8 กิโลเมตร เมื่อขึ้นเขาไปได้ครึ่งทางก็จะพบถ้ำซึ่งชาวบ้านเรียกว่า “ถ้ำฤๅษี” บริเวณปากถ้ำมีพระพุทธรูปใหญ่จำหลักอยู่บนหน้าผาเป็นพระพุทธรูปนั่งห้อยพระบาท มีความสูงราว 2.50 เมตร พระหัตถ์ขวาแสดงปางปฐมเทศนา พระหัตถ์ซ้ายวางอยู่บนพระเพลา ที่ฐานพระพุทธรูปมีจารึกอักษร 12 ตัว ลักษณะรูปอักษรเหมือนรูปอักษรที่ใช้อยู่ในสมัยราชวงศ์ปัลลวะ ประเทศอินเดีย ประมาณพุทธศตวรรษที่ 11–12


    ที่เขางูนี้ พันตรี เดอ ลาช็องกีแอร์ ได้เคยสำรวจและพรรณนารายละเอียดตีพิมพ์ลงในวารสาร Bulletin de la Commission Archéologique de l’Indochine (BCAI) เมื่อ ค.ศ. 1912 หน้า 117 แต่ท่านไม่ได้สังเกตเห็นว่า ใต้ฐานของพระพุทธรูปมีตัวอักษรปัลลวะจารึกอยู่



    ต่อมาในคราวที่มีการจัดพิมพ์หนังสือ “ประชุมศิลาจารึกสยาม ภาคที่ 2 : จารึกกรุงทวารวดี เมืองละโว้ แลเมืองประเทศราชขึ้นแก่กรุงศรีวิชัย” ศ. ยอร์ช เซเดส์ ได้อ่านจารึกหลักนี้ เป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2472 แต่ท่านไม่ได้แปลและอธิบาย มีแต่เพียงคำอ่านเท่านั้น ต่อมาในปี พ.ศ. 2504 จึงมีการชำระ โดยเพิ่มเติมคำแปลและคำอธิบายเพื่อตีพิมพ์ใหม่เป็นครั้งที่ 2 ใน “ประชุมศิลาจารึก ภาคที่ 2 : จารึกทวารวดี ศรีวิชัย ละโว้”



    ratch-101-6.jpg
    ต่อมา กองหอสมุดแห่งชาติได้จัดพิมพ์หนังสือชุด จารึกในประเทศไทย ขึ้นในปี พ.ศ. 2529 ในครั้งนี้ นายชะเอม แก้วคล้าย ได้ทำการอ่านและอธิบายคำในจารึกหลักนี้ใหม่อีกครั้ง แต่อย่างไรก็ตาม ก่อนการอ่านของนายชะเอม แก้วคล้าย ประมาณ 10 ปี คือ ในปีพุทธศักราช 2519 ได้มีคนมาลักลอบจารึกข้อความต่อเติมคำจารึกเดิมนั้นด้วยอักษรไทยปัจจุบัน แต่ประดิษฐ์ให้พิสดาร แปลงเส้นและตัวอักษรให้ดูแปลกเหมือนเป็นจารึกโบราณ คือเพิ่มคำว่า “ชื่อ” ที่หน้าอักษรจารึกของเก่าและเพิ่มคำว่า “พุทธพัสสา 44” เป็นบรรทัดที่ 2 ต่อจากอักษรจารึกของเดิม ทำให้จารึกถ้ำฤาษีเขางูเมืองราชบุรี เปลี่ยนสภาพไป


    เนื้อหาโดยสังเขป เป็นจารึกที่อาจเป็นการบอกชื่อของผู้สร้างพระพุทธรูป ในที่นี้คือ ฤษีสมาธิคุปตะ หรือ พระศรีสมาธิคุปตะ ว่าเป็น ผู้บริสุทธิ์ ด้วยการทำบุญ


    การกำหนดอายุ กำหนดตามรูปแบบอักษรปัลลวะ คือ อายุราวพุทธศตวรรษที่ 12 นอกจากนี้ ศ. ยอร์ช เซเดส์ได้ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า “วิสามัญนามข้างปลายว่า “คุปฺตะ” เช่น “สมาธิคุปฺตะ” นี้ เคยใช้กันในสมัยราชวงศ์คุปตะรุ่งเรืองในประเทศอินเดียเป็นอันมาก ภายหลังในสมัยตรงกับสมัยขอมมีอำนาจในประเทศนี้ นามเหล่านั้นไม่ใคร่ได้ใช้เลย ถ้าฉะนั้นแล้วพระพุทธรูปที่สลักบนฝาผนังถ้ำฤๅษี คงจะเป็นฝีมือครั้งกรุงทวารวดี คือตรงกับสมัยราชวงศ์คุปตะ (พุทธศตวรรษที่ 9 - 13) ในประเทศอินเดีย หรือ ภายหลังราชวงศ์คุปตะไม่สู้นานนัก”

    จะเห็นได้ว่าเขาบอกว่ามีการแต่งเติมอักษร แถวล่าง คือ พุทธพัสสา ๔๕ ในปี ๒๕๑๙

    แต่เดชะบุญด้วยพระบารมีปกเกล้าปกกระหม่อม

    เมื่อวันที่ ๑ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๙๙ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ และสมเด็จย่า ได้เสด็จถ้ำเขางู ได้มีการถ่ายรูปออกมาให้เห็นตัวจารึกที่สมบูรณ์ทั้งแถวบนแถวล่าง


    นั่นหมายความว่าตัวจารึกนั้นมีมานานก่อนหน้านั้นอีก
    ?temp_hash=b3f57fbe353721dfeb680e6c1479a3f7.jpg




     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 ธันวาคม 2018
  8. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,401
    จะเห็นได้ว่าเขาบอกว่ามีการแต่งเติมอักษร แถวล่าง คือ พุทธพัสสา ๔๕ ในปี ๒๕๑๙

    แต่เดชะบุญด้วยพระบารมีปกเกล้าปกกระหม่อม

    เมื่อวันที่ ๑ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๙๙ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ และสมเด็จย่า ได้เสด็จถ้ำเขางู ได้มีการถ่ายรูปออกมาให้เห็นตัวจารึกที่สมบูรณ์ทั้งแถวบนแถวล่าง
    ในหลวงเสด็จเขางู.JPG
    นั่นหมายความว่าตัวจารึกนั้นมีมานานก่อนหน้านั้นอีก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 29 กรกฎาคม 2012
  9. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,401
    ถ้ำเขางูในหลวง.JPG

    จะเห็นได้ว่าตัวจารึกมีมีครบสมบูรณ์ทั้ง2แถว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 29 กรกฎาคม 2012
  10. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,401
    scan0129.jpg

    ชื่อ บุญ วร ฤษี งู คิรฺ สมาธิ คุปฺต
    พุทธ พัส สา ๔ ๔

    แต่ยอชเซเดส อ่านว่า

    บุญ วระ ฤ ษี - ศรี ส มา ธิ คุ ปฺต

    จะเห็นว่า"งู" เป็นทั้งลายสือไทย และชื่อไทย กลับไม่อ่าน เว้นไว้ทำไม
    ทั้งๆที่ สถานที่นั้นเรียกว่า ถ้ำฤษีเขางู มานมนาน เมื่อ รัชกาลที่ ๕ เสด็จประพาส ก็ใช้ชื่อถ้ำฤษีเขางู
    และมีชื่อนี้มานมนานก่อนหน้านั้นมาก
    และการที่มีคำว่า "งู" ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ทำไมไม่ยอมอ่าน

    และทั้งๆที่ บ. ญ. ง. ส. ธ. มีเค้าเหมือนตัวปัจจุบัน แต่ก็ไม่ยอมให้เป็นลายสือไทย กลับยกไปให้เป็น อักษร คฤนถ อินเดียใต้ ไม่ยอมให้เป็นของไทย

    และแน่นอนว่า จะต้องเห็นคำว่า พุทธพัสสา ๔๔ ด้วย แต่ทำไมไม่ยอมอ่าน

    หรือว่ามันชัดเกินไป ว่าเป็นตัวอักษรไทย

    ให้เด็กอนุบาลอ่านยังได้ ทั้งตัว "ษ" "สระอู" "ส" "ม" นี่หรืออักษรคฤนถ อินเดียใต้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 29 กรกฎาคม 2012
  11. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,401
    ขอคัดลอกคำอธิบายของท่านเจ้าคุณพระราชกวีในคำนำครั้งที่๑ มาดังนี้

    มีผู้นำหนังสือ ประจำเดือนมีนาคม ค.ศ.๑๙๖๔ (พ.ศ.๒๕๐๗)มาให้ ในหนังสือนี้มีรูปเขียนเล่าเรื่องในหิน(Stones that speak)และมีหนังสือโบราณของชาติต่างๆที่เขียนในหิน ในไม้ ทุกชาติ กระทั่งของพวกเอสกิโมใหม่(New Eskimo Script)ก็ยังมี แต่ไม่มีก็คือกลุ่มหนังสือไทย และคฤนถขอม ถ้าถือตามฝรั่ง เอาหนังสือนี้เป็นบรรทัดฐาน หนังสือไทย หนังสือคฤนถขอม ไม่มีอยู่ในทำเนียบของโลก ไทยก็กลายเป็นชาติไม่มีหนังสือไทยใช้แต่โบราณแม้๖-๗ร้อยปี
    โดยเฉพาะหนังสือคฤนถขอม ที่ว่าเป็นของอินเดียภาคใต้นั้น ตามหนังสือนี้ไม่มี พยายามถามแขก เพื่อได้มาจากอินเดียแท้ก็ไม่ได้ จึงเข้าใจว่า คฤนถขอมนั้นไม่ใช่หนังสือแท้ของอินเดีย แต่เป็นหนังสือขอมไทย ที่ขอมไทย สร้างขึ้นแต่ครั้งและหลังพระพุทธกาล และฝรั่งอุปโลกน์ไปให้อินเดีย ถ้าอินเดียมีจริง ทำไมจึงไม่ปรากฏ ก็ชาวอินเดียมาถึงแหลมทองได้ตั้งแต่สมัยโบราณ อย่างน้อยก็สมัยพระพุทธกาล เพราะพระคัมภีร์ศาสนากล่าวถึงสุวัณณภูมิหลายแห่ง เมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมคนไทยจะไปบ้างไม่ได้ เมื่อไปแล้วก็นำหนังสือของไทยไปด้วย นำไปเขียนไว้เล็กน้อยและระยะกาลสั้น เพราะชาวอินเดียถือว่าไม่ใช่ของพวกเขาจึงเลิกใช้และไม่มีปรากฏต่อมา ฝรั่งพบหรือไม่พบไม่รู้ เขียนไว้ในประชุมจารึกว่าคล้ายคลึงกัน ไทยเลยเชื่อถือว่าของแขก ยิ่งจารึกที่ถ้ำฤษี เขียนเป็นภาษาสันสกฤตด้วยแล้ว (จากหน้าปกหนังสือ ชื่อ บุญ วระ ฤษี งูคีร สมาธิคุปฺต ปรากฏ๓ภาษา คือ ชื่อ บุญ งู คำไทย สมาธิ เป็นภาษามคธและสันสกฤต วระ ฤษี คิรฺ คุปฺต เป็นภาษาสันสกฤต สมาธิ พุทฺธพสฺสา เป็นภาษามคธ) ดูจะเป็นหลักฐานแน่นอนยิ่งขึ้น แต่ตัว บ. ญ. ษ. ธ. เหมือนอักษรไทยเดี๋ยวนี้และเหมือนอักษรขอมโบราณ จะให้คนยอมฉลาดเช่นข้าพเจ้าไม่เชื่อได้อย่างไรว่าไม่ใช่ตัวหนังสือไทย โดยเฉพาะ ง. งู ที่ฝรั่งอ่านไม่ออกนั้น ยิ่งเป็นตัวไทยแท้ๆ แต่เขียนแบบสลักหิน ซึ่งไม่เหมือนคฤาถขอม ไม่เหมือนเทวนาครี ไม่เหมือนพราหมิ แล้วจะว่าไม่ใช่ตัวหนังสือไทยได้อย่างไร"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 ธันวาคม 2018
  12. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,401
    เนื่องจากคำว่า พุทธพัสสา ๔๔ ชัดเกินไป จึงมีการทำลายหลักฐาน

    ดังคำนำในการพิมพ์ครั้งที่๒

    "เมื่อวันเสาร์ ที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๒๐ ครู นักเรียนโรงเรียน ส.น. ได้ให้ร่วมไปเพื่อบรรยายจารึก และลายสลักพระ ครั้นได้ดูลายจารึก ก็ปรากฏว่า มีผู้เอารักดำใหม่ลงลบลายจารึกเกือบหมด

    เมื่อปีก่อนหน้านี้ผม(กมลช)ได้ค้นพบข้อมูลในที่แห่งหนึ่งว่ามาจากหอสมุดจดหมายเหตุแห่งชาติมีใจความสั้นๆว่า

    "ก่อนสิ้นพระชนม์ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ รู้สึกเสียพระทัยที่ไปหลงเชื่อ ยอร์ชเซเดส แต่ก็ทรงสิ้นพระชนม์เสียก่อน"

    ส่วนข้อมูลมากกว่านี้ที่สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ จะทรงบอกอะไรไว้อีก เป็นสิ่งที่น่าสนใจอย่างยิ่งครับ แต่เนื่องจากข้อมูลส่วนที่เหลืออยู่ในหอจดหมายเหตุแห่งชาติ(คงเขียนไม่ผิด) สุดที่จะค้นมาได้ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 29 กรกฎาคม 2012
  13. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,401
    พ.ศ. 2429-พ.ศ. 2512 เป็นนักวิชาการชาวฝรั่งเศสที่มีชื่อเสียงในคริสต์ศตวรรษที่ 20
    ยอร์ช เซเดส์เดินทางมารับราชการในตำแหน่งบรรณารักษ์ใหญ่ประจำหอพระสมุดวชิรญาณ (ภายหลัง เป็น หอสมุดแห่งชาติ) เมื่อ พ.ศ. 2461 และในปีพ.ศ. 2472 ได้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักฝรั่งเศสแห่งปลายบุรพทิศและทำงานที่นั่นกระทั่ง พ.ศ. 2489 หลังจากนั้นได้เดินทางกลับกรุงปารีส และถึงแก่กรรมเมื่อพ.ศ. 2512
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 ธันวาคม 2018
  14. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,401
    ตัวอย่างการแปลเพี้ยนของยอร์ชเซเดส จาก [สาระ] พ่อขุนรามคำแหง ทรงประดิษฐ์อักษรไทย......จริงหรือ?? - Dek-D.com > Board : สัพเพเหระ

    สมัยเมื่อยังเป็นเด็ก เราได้เรียนรู้มาตลอดว่า พ่อขุนรามคำแหงมหาราชแห่งกรุงสุโขทัย
    เป็นผู้ที่ทรง คิดและประดิษฐ์อักษรไทยขึ้นใช้เป็นครั้งแรกเมื่อปีพ.ศ.1826 ทำให้ต้อง
    ถามครูบาอาจารย์ว่า แล้วก่อนหน้านั้น คนไทยใช้อักษรอะไรในการเขียนก็ได้รับคำตอบ
    ว่าคนไทยใช้อักษรขอมในการเขียน จึงทำให้คิดสงสัยอยู่เสมอว่า ก่อนหน้านั้นคนไทยโง่ ถึงขนาดไม่มีอักษรใช้กันมาก่อนจริงหรือ บัดนี้มีคำอธิบายและทฤษฎีที่สามารถไขปริศนาข้างต้นได้แล้ว

    ในขณะที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯยังทรงผนวชอยู่นั้น พระองค์ได้เสด็จประพาส
    เมืองโบราณ โดยเฉพาะเมืองเก่าสุโขทัยอยู่บ่อยครั้ง และครั้งหนึ่งในเมืองเก่าสุโขทัยใน
    ปีพ.ศ.2376 พระองค์ทรงพบพระแท่นมนังคศิลาอาสน์ซึ่งพังลงมาแล้วตั้งตะแคงอยู่ พระองค์ก็ได้เสด็จประทับนั่งบนพระแท่นนั้นแล้วตรัสว่า "อยู่ทำไมกลางดงกลางป่าไป
    อยู่ด้วยกันที่บางกอก จะได้ถือศีลฟังเทศน์" แล้วจึงโปรดให้ ชลอลงมาไว้ที่กรุงเทพฯ แล้วโปรดให้ก่อเป็นพระแท่นไว้ที่ลานใต้ต้นมะขามในวัดราชาธิวาส คราวเดียวกันนั้น
    ก็ทรงพบเสาศิลาสลักอักษรไทยโบราณต้นหนึ่ง กับอักษรขอมโบราณอีกต้นหนึ่งจึงโปรด
    ให้นำมาไว้ที่กรุงเทพฯ พร้อมกัน เมื่อทรงย้ายไปครองวัดบวรฯ พระองค์ก็ทรงย้ายเสา ที่สลักอักษรไทยและพระแท่นฯตามไปด้วย เมื่อพระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์แล้ว พระ องค์ก็ยังโปรดให้ย้ายเข้าไปเก็บรักษาไว้ในพระบรมมหาราชวังเนื่องจากพระ องค์มีความ
    ผูกพันกับของทั้งสองสิ่งนั้นมาก เพราะพระองค์ทรงทราบว่า พ่อขุนรามฯเป็นผู้ทำของ
    ทั้งสองนั้นขึ้นมา และพระมหากษัตริย์ในราชจักรีวงศ์ ก็สืบสายเลือดมาจากราชวงศ์พระ
    ร่วง โดยผ่านทางพระมหาธรรมราชา ดังนั้น จึงถือว่าพ่อขุนรามฯเป็นบรรพบุรุษทางสาย
    เลือดของราชวงศ์จักรี และของพระองค์เองอีกด้วย

    ในขณะที่ยังทรงประทับอยู่ที่วัดบวรฯนั้น พระองค์ก็ได้ทรงเพียรพยายามถอดความออก
    มาเป็นภาษาไทยปัจจุบัน จนสามารถอ่านได้ความ แต่ก็ยังไม่สมบูรณ์ดีนัก ประมาณปี
    พ.ศ.2457 คณะกรรมการหอพระสมุดแห่งชาติได้ว่าจ้างศาสตราจารย์ ยอร์ช เซเดส์ ผู้เชี่ยวชาญภาษาและอักษรขอม ให้ทำการชำระสอบสวนและแปลจารึกต่างๆที่มีอยู่
    รวมทั้งเสาสลักอักษรโบราณดังกล่าวด้วยในเสานั้น เมื่อแกะอักษรออกมาแล้วก็จะอ่านได้ว่า

    เมื่อก่อน ลายสือไทนี้ บ่มี 1205 ศก ปีมะแม
    พ่อขุนรามคำแหงหาใคร่ใจในใจ แลใส่ลายสือไทนี้
    ลายสือไทนี้ จึงมีเพื่อพ่อขุนผู้นั้นใส่ไว้
    ต้องยอมรับว่า การแกะอักษรนั้นถูกต้อง แต่คนที่แปลไม่ใช่คนไทย เป็นคนฝรั่งเศษชื่อ
    ยอร์ช เซเดส์ คงจะไม่ มีความรู้ทางนิรุกติศาสตร์ของไทยสักเท่าใด จึงแปลออกมาว่า
    เมื่อก่อน ตัวอักษร(ลายสือ)ไท(แบบ)นี้ ยังไม่เคยมี 1205 ศกปีมะแม พ่อขุนรามคำ
    แหงมีความสนพระทัย จึงโปรดให้มีการประดิษฐ์อักษรไทขึ้น อักษรไทยจึงมีเกิดขึ้น
    เพราะพ่อขุนนั้นโปรดให้ประดิษฐ์ไว้
    ย้อนกลับไปมองที่ตัวอักษรแต่ละตัวที่ได้ถอดออกไว้แล้วลองพิจารณาดูทีละตัว จะเห็น
    ว่า
    ไม่มีคำใดเลยที่มีความหมายว่า ประดิษฐ์ จะมีก็แต่คำว่า ใส่ เท่านั้น

    การที่จะแปลเอาความหมายจากอักษรโบราณนั้น จำเป็นต้องคำนึงถึงหลายสิ่งหลาย
    อย่าง ไม่ใช่แปลกันตามตัวอักษรโต้งๆ

    ประโยดที่ว่า "เมื่อก่อน ลายสือไทนี้ บ่มี"
    ถ้าจะแปลกันตรงๆก็อาจจะแปลได้ว่า"เมื่อก่อน ลายสือไทนี้ บ่มี" ตรงตัวได้เลย
    แต่เราต้อง พิจารณาเรื่องชนชาติด้วย อย่าลืมว่า ชนชาติไท เป็นชนชาติที่มีความยิ่งใหญ่มาก่อน
    ได้สร้างสมอารยธรรมมาเป็นพันๆปี ทั้งรูปแบบการปกครอง การยังชีพ การนับถือศาส
    นา การสร้างวัดวาอาราม ซึ่งคนไทสามารถทำและสร้างสิ่งต่างๆได้สวยงาม วิจิตรพิศดาร
    นับว่าเป็นชนชาติที่ฉลาดลึกล้ำเอาเรื่องทีเดียว แต่คนไทกลับโง่เง่าเบาปัญญาถึงกับไม่เคยมีอักษรของตัวเองไว้ใช้ กับเขาบ้างเชียวหรือ

    การเข้ายึดครองดินแดนของชน เชื้อชาติอื่นเช่น มอญ ข่า ลั๊ว เป็นต้น ชนชาติต่างๆ ต่างก็มี ภาษาเป็นของตนเอง รวมทั้งต้องมีภาษาเขียนด้วย ถึงจะมีชนบางกลุ่มที่มีแต่ภาษาพูดก็ตามที แต่ก็น้อยมาก
    ถ้าเราไม่เคยมีอักษรของเราเอง แล้วเราจะไปปกครองชนชาติเหล่านั้นได้อย่างไร ใครเขา
    จะมาให้เกียรติไทว่า เป็นผู้มีอำนาจมากกว่า และยอมอยู่ใต้การปกครองของไท

    ข้อเท็จจริงที่ควรจะเป็นคือ
    ตัวอักษรไทนั้น เรามีใช้กันนานมาแล้ว นานจนไม่รู้ว่ามีมาตั้งแต่เมื่อใด ใครเป็นผู้สร้าง นานเท่าๆกับตัวอักษรของมอญ เขมร และอีกหลายชนชาติที่เคลื่อนไหวอยู่ในเขตเอเซียอาคเนย์นี้
    เพราะพัฒนาการทางภาษาของแต่ละภาษาจำเป็นต้องใช้เวลา อาจจะเป็นพันๆปี หรือกว่านั้น

    ไม่ใช่นึกอยากจะ ประดิษฐ์ อักษรขึ้นใช้ ก็สามารถทำได้เพียงข้ามวัน
    ดังนั้น
    อักษรไทโบราณที่ปรากฏอยู่บนเสาศิลานั้น จึงเป็นอักษรไท ที่มีใช้กันมาก่อน หน้านั้นนานมาแล้ว
    แต่
    วัฒนธรรมการแกะสลักตัวอักษรไท ลงบนหินนั้น ยังไม่เคยมี
    ดังตัวอักษรที่ถอดออกมาได้ว่า

    "เมื่อก่อนลายสือไทนี้ บ่มี"
    หมายความว่า(ไม่ใช่แปลว่า)

    "เมื่อก่อนลายสือไทแบบนี้ (ที่สลักอยู่บนหิน) ยังไม่เคยมี"
    ไม่ใช่
    "เมื่อก่อนไม่เคยมีตัวอักษรไทใช้"

    ทีนี้เราลองมาสำรวจดูข้อความ ต่อมา
    "พ่อขุนรามคำแหงหาใคร่ใจในใจ แลใส่ลายสือไทนี้ ลายสือไท นี้ จึงมีเพื่อพ่อขุนผู้นั้นใส่ไว้"
    ยอร์ช เซเดส์ แปลว่า
    "พ่อขุนรามคำแหงมีความประสงค์ในพระทัย จึงประดิษฐ์อักษรไทขึ้น
    อักษรไทจึงมีขึ้นเพราะพ่อขุนผู้ นั้นโปรดให้ประดิษฐ์ไว้"

    ขอให้ลองอ่านประโยคที่เซเดย์แปล เอาไว้ แล้วลองหาดูว่า
    มีตรงไหนที่แปลว่า ประดิษฐ์
    และที่แปลว่า ประดิษฐ์ ไปเอามาจากไหน
    มีแต่คำว่า ใส่ ซึ่งแน่นอนว่า คำว่า ใส่ กับ คำว่า ประดิษฐ์ ย่อมมีความหมายต่างกันโดยสิ้นเชิง
    และคำว่า ใส่ ที่ปรากฏอยู่นั้น แน่นอนว่าไม่ใช่แปลว่า ประดิษฐ์

    พ่อขุนรามคำแหงหาใคร่ใจในใจ แลให้ใส่ลาย สือไทยนี้
    ลายสือนี้จึงมีเพื่อพ่อขุนผู้นั้นใส่ไว้ ....................

    ต้องแปลให้มีความหมายว่า

    พ่อขุนรามคำแหงมีพระราชประสงค์ จึงโปรดให้ใส่ (สลัก) ลายสือไท(ที่มีใช้กันมาก่อน
    แล้ว)นี้ ลายสือไท(ที่สลักไว้บนหินแบบ)นี้ จึงมีขึ้นเพราะพ่อขุนผู้นั้น โปรดให้(สลัก)ใส่
    เอาไว้

    แล้วทำไม ยอร์ช เซเดส์ จึงเหมาว่า ใส่ คือ ประดิษฐ์ แล้วบอกว่า พ่อขุนรามฯประดิษฐ์
    อักษรไทขึ้นมาใช้ เป็นครั้งแรก

    เนื่องจาก ท่านไม่เคยพบว่ามีการสลักอักษรไทบนศิลามาก่อน
    เมื่อมาพบศิลานี้ จึงตั้งสมมติฐาน ไว้ก่อน จากคำแปล ในประโยคแรกที่ว่า

    เมื่อก่อนลายสือไทนี้บ่มี
    ซึ่งท่านแปลเอาตรงๆโดยไม่คำนึงถึงความหมาย
    แต่กลับมาสร้างความหมายให้กับ คำว่า ใส่ ว่าเป็น ประดิษฐ์ ซึ่งเป็นเรื่องที่ท่านจินตนาการเอาเอง
    โดยไม่คำนึง ถึงความเสียหาย ที่จะตามมาว่าจะมากจะน้อย เพียงใด

    ถือว่าเป็นความมักง่ายทางวิชาการที่ ไม่น่าให้อภัยกัน เลยที่เดียว...............

    เมื่อศาสตราจารย์ ยอร์ช เซเดส์ ได้แปลออกมาดังนั้น คนไทต่างก็พากันเชื่อตามกันไปหมด
    ถ้าจะบอกว่า ตามตูดฝรั่ง หรือเป็นทาสทางปัญญา ก็คงจะแรงเกินไป แต่พวกเราคนไทยจะ
    ยอมเดินตามตูดฝรั่ง และเป็น ทาสทาง ปัญญา กันอีกนานแค่ไหน หวงแหนในเกียรติภูมิ
    ของความเป็นคนไทบ้างหรือไม่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 กุมภาพันธ์ 2013
  15. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301


    แน่นอนคะว่ามีคนไทยที่อยู่ในแผ่นดินไทยมาแต่ดั้งเดิม แต่อยากจะค้านท่านว่าคนพื้นเมืองพวกนั้น ก็คือ เงาะป่าแบบที่เราเห็นอยู่ทางงใต้คะ เป็นคนนดำ แต่คนไทยส่วนใหญ่ที่เราเห็นปัจจุบันเป็นชนเผ่าเร่รอน อย่างฝรั่งว่าจริงๆนั้นแหละอพยพมาจากทางใต้จีนมาผสมกับคนดำพื้นเมืองที่เหมือนเงาะป่า เลยกลายเป็นคนไทยปัจจุบัน แต่ที่ฝรั่งไม่ยกเรื่องคนไทยท้องถิ่นที่เป็นเงาะป่ามาพูดว่าเป็นชนชาติไทยแท้ๆ ก็เพราะชนชาติไทยแท้ๆเกือบ 100 เปอร์เซนต์ในสมัยปัจจุบัน ไปลองเช็ค ดีเอนเอ ดู ส่วนใหญ่จะมีแต่เชื้อสายจากพวกที่มาจากทางจีนกันทั้งนั้น หรือไม่ก็มี คอเคซอยผสมอยู่กรายๆอย่างคนทางใต้ คนไทยพื้นเมืองจริงๆนั้นเป็นคนดำ ไม่ต่างจาก ชนเผ่า นิกิโต้ มาลาโย ในฟิลิปปินส์ หรือ อินโดนีเซีย ซึ่งแทบจะไม่มีเหลืออยู่แล้ว หรือไม่ก็ผสมจนดูแทบไม่ออก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 ธันวาคม 2012
  16. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,401
    อย่าลืมว่ากระทู้นี้เป็น เรื่องราวที่คนไทยสมัยโบราณจารึกเรื่องราวเอาไว้ และยังคงมีหลักฐานทางโบราณวัตถุ โบราณสถาน วัฒนธรรมประเพณี สอดคล้องกันอยู่

    ใครที่คิดว่าคนไทยเป็นชนเผ่าเร่รอน อย่างฝรั่งว่า อพยพมาจากทางใต้จีนมาผสมกับคนดำพื้นเมืองที่เหมือนเงาะป่า
    ลองศึกษาดูดีๆ ก่อนที่จะเดินตามตูดฝรั่ง





    เขาสอนบิดเบือนคนไทยมานานแล้วทั้งสองด้าน คือผืนแผ่นดินที่ทำกินและความเชื่อเรื่องการนับถือศาสนา เขาทำกันมาตั้งแต่สมัยปีพ.ศ.2400แล้ว เพื่อเข้ามายึดครองดินแดนนี้ได้อย่างง่ายดาย ถ้าทำให้คนไทยมีความรู้สึกว่าตนเองพึ่งอพยพเข้ามาสู่ดินแดนแห่งนี้ พร้อมทั้งให้มีความรู้สึกว่าสยามประเทศนี้พระพุทธเจ้าไม่เคยเสด็จมาประกาศ พระศาสนาด้วย นี่เขาทำลายความเชื่อถือทั้งด้านประวัติศาสาตร์ และพุทธศาสตร์ ควบคู่ไปด้วยกัน
    ฉะนั้นต่อไปนี้พวกเรา คนไทยทุกคน จะต้องเข้าใจเสียใหม่ตามที่คนไทยสมัยโบราณจารึกเรื่องราวเอาไว้ ไม่ใช่ไปเชื่อคนต่างด้าวท้าวต่างแดนสอนกันเช่นในอดีต.......

    ............ ความตั้งใจของพระราชกวี หรือเจ้าคุณอ่ำ ธมฺมทตฺโต ที่ท่านทุ่มเทชีวิตจิตใจ กำลังทรัพย์ กำลังปัญญา เพื่อจะบอกในสิ่งที่ท่านพบ และให้เก็บรักษาวัตถุพยานที่เป็นกระเบื้องจารไว้ทำการศึกษาค้นคว้าต่อไป ในเวลานั้นท่านเองก็ถูกต่อต้านจากผู้มีอำนาจในสังคม เพราะความไม่รู้ข้อเท็จจริงและหลงลาภ ที่ต่างชาติเขาปรนเปรอเลี้ยงไว้และพยายามให้พวกเราชาวสุวรรณภูมิทั้งหมดเข้าใจคลาดเคลื่อน ทำให้ดูถูกกันเอง ด้วยการแต่งเติมบิดเบือนประวัติศาสตร์โดยที่คนเขียนไม่เคยได้ศึกษาหรือเข้า ใจวัฒนธรรมประเพณีของท้องถิ่น ไม่เข้าใจรากฐานความคิดของคนในภูมิภาคที่มาจากอิทธิพลของศาสนาพุทธด้วยกัน เมื่อไม่เข้าใจศาสนาก็ไม่มีทางจะเข้าถึงอดีตของคนชาวสุวรรณภูมิได้เลย เพราะทั้งหมดผูกพันธ์กับพุทธศาสนามาตั้งแต่บรรพบุรุษเป็นเวลาหมื่นๆปีแล้ว ไม่ใช่เป็นพันปีอย่างที่เขียนไว้ในตำรากัน พวกเขาชาวตะวันตกมีสมมุติฐานและทฤษฎีเป็นไปตามหลักวิชาการมีมาตรฐาน แต่ในฐานะของผู้ที่มองคนชาติอื่นต่ำกว่า และยังมีเป้าหมายผลประโยชน์ซ่อนเร้นแอบแฝง นอกจากจะไม่ถูกต้องโดยหลักการแล้ว ยังมีอคติแบบปุถุชนเคลือบปนอยู่ด้วย....

    ... นอกจากจะเป็นการยัดเยียดแล้วยังขาดรายละเอียดทั้งเนื้อหาและวัตถุประสงค์ของการสร้างโบราณวัตถุที่นำมาอ้างอิงประกอบ เพียงแต่นำเอกสารบันทึกโบราณของนักเขียนบนเรือสินค้าสัญชาติจีนและอินเดียมา วัดเทียบเคียง ซึ่งไม่น่าจะเพียงพอที่ให้ท่องจำกัน
    ไม่เคยพบหรือเคยได้ยินว่านักโบราณคดีหรือนักประวัติศาสตร์ของคนในภูมิภาค ทุ่มทุนและเวลาศึกษามาค้นคว้าวิจัยอย่างจริงจัง อย่างเช่นที่เรียกกันว่าผู้เชี่ยวชาญของชาวตะวันตก
    มารู้เอาทีหลังว่าวัตถุโบราณที่สำคัญๆทั้งหลายถูกกว้านซื้อไปหมดแล้วก่อนจะ ตั้งกรมศิลปกรขึ้นมา ที่เหลืออยู่เป็นการทำเลียนแบบไม่สามารถนำมาประกอบอ้างอิงได้ตามหลักวิชาการ และที่สำคัญคนไทยและผู้นำรัฐบาลที่ผ่านมาต่างตกเป็นทาสทางวิชาการ ไม่รู้คุณค่าโบราณวัตถุ ซ้ำร้ายยังมีส่วนในการลักลอบนำไปขายเสียเองอีก เมื่อวัตถุพยานอ้างอิงอยู่ต่างประเทศกันหมด จึงไม่มีสิ่งใดให้ศึกษา แม้จะมีความพยายามรื้อฟื้นขึ้นมาก็ทำไม่ได้เนื่องจากไม่สมบูรณ์ถูกต้องตาม หลักวิชาการ และเกิดไม่เชื่ออย่างจริงจังที่สุดโดยเฉพาะเรื่องประวัติศาสตร์ที่มีอำนาจและผลประโยชน์ทางการเมืองเกี่ยวข้องกับการบันทึกไม่ว่าจะเป็นเรื่องใด ๆ ก็ตาม...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 19 มกราคม 2013
  17. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,401
    ขอยกคำนำบางตอนในการพิมพ์ครั้งที่๑ มาให้อ่าน
    http://palungjit.org/posts/6604908

    ......ความจริงมีอยู่ เรื่องไม่จริงนั้นโกหกกันได้ไม่นาน เพราะตัวของมันเองยืนยันตัวเองอยู่แล้ว เหตุนี้จึงไม่ต้องกลัว แต่ถ้าเรื่องโกหกเพื่อยกย่องกันก็เป็นสิ่งที่บัณฑิตชนยังยกย่องกันบ้าง
    ส่วนที่ทำให้ตัวเองเสียหายน่าอับอายขายหน้า เช่น แต่งให้ไทยวิ่งหนีไม่มีอะไรเป็นของตัวเองเลยนั้นไม่มีใครสรรเสริญ เราทำกันอย่างถือความจริง และมีหลักฐาน ไม่ใช่เลื่อนลอยอย่างทวารวดีซึ่งไม่รู้และไม่มีหลักฐานยืนยันว่าที่ไหน เมื่อไร ของใคร และอะไร เพียงเอาหลักฐานที่ฝรั่งชาติ ลบแผนที่ไทยโบราณกุให้ฟังแล้วสร้างเรื่องขึ้น.......

    .... ผู้ทำเองจดเองมีการคลาดเคลื่อนได้ยาก ไม่เหมือนนักเดาทีหลังตั้งพันๆปีแล้วกลัวปั่นป่วน ของจริงไม่ต้องกลัว
    และมีผู้นำหนังสือ The Unesco Courier ประจำเดือนมีนาคม ค.ศ.๑๙๖๔ (พ.ศ.๒๕๐๗)มาให้ ในหนังสือนี้มีรูปเขียนเล่าเรื่องในหิน(Stones that speak)และมีหนังสือโบราณของชาติต่างๆที่เขียนในหิน ในไม้ ทุกชาติ กระทั่งของพวกเอสกิโมใหม่(New Eskimo Script)ก็ยังมี แต่ไม่มีก็คือกลุ่มหนังสือไทย และคฤนถขอม
    ถ้าถือตามฝรั่ง เอาหนังสือนี้เป็นบรรทัดฐาน หนังสือไทย หนังสือคฤนถขอม ไม่มีอยู่ในทำเนียบของโลก ไทยก็กลายเป็นชาติไม่มีหนังสือไทยใช้แต่โบราณแม้๖-๗ร้อยปี
    โดยเฉพาะหนังสือคฤนถขอม ที่ว่าเป็นของอินเดียภาคใต้นั้น ตามหนังสือนี้ไม่มี พยายามถามแขก เพื่อได้มาจากอินเดียแท้ก็ไม่ได้ จึงเข้าใจว่า คฤนถขอมนั้นไม่ใช่หนังสือแท้ของอินเดีย แต่เป็นหนังสือขอมไทย ที่ขอมไทย สร้างขึ้นแต่ครั้งและหลังพระพุทธกาล และฝรั่งอุปโลกน์ไปให้อินเดีย ถ้าอินเดียมีจริง ทำไมจึงไม่ปรากฏ ก็ชาวอินเดียมาถึงแหลมทองได้ตั้งแต่สมัยโบราณ อย่างน้อยก็สมัยพระพุทธกาล เพราะพระคัมภีร์ศาสนากล่าวถึงสุวัณณภูมิหลายแห่ง เมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมคนไทยจะไปบ้างไม่ได้ เมื่อไปแล้วก็นำหนังสือของไทยไปด้วย นำไปเขียนไว้เล็กน้อยและระยะกาลสั้น เพราะชาวอินเดียถือว่าไม่ใช่ของพวกเขาจึงเลิกใช้และไม่มีปรากฏต่อมา ฝรั่งพบหรือไม่พบไม่รู้ เขียนไว้ในประชุมจารึกว่าคล้ายคลึงกัน ไทยเลยเชื่อถือว่าของแขก .......

    .......ในที่นี้ ขอถือสุภาษิตไทยว่า อย่าสีซอให้ควายฟัง ... มีอรรถกถากล่าวว่าควายฟังเสียงซอได้แต่ไม่รู้เรื่องเพราะไม่ได้เรียน...

    อันคนไทย – ไทยแท้แม้ทุกผู้ ต้องอับไปในความรู้ผู้ทู่โท่
    รู้เหมือนคูถพูดไม่ได้ปากไม่โต มูลฟันโร่ดีแท้แม้ว่าปลอม
    ที่อับเฉาเดารู้ดูสักนิด อุตพิษต้องนิยมชมว่าหอม
    เป็นความรู้อยู่บนหัวตัวดมดอม ต้องการกล่อมตนเองเป็นเพลงเอย

    พระธรรมวงศ์เวที (อ่ำ ธมฺมทตฺโต)
    ๑๕ ตุลาคม ๐๙
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 ธันวาคม 2018
  18. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,401
    บางตอนของคำนำพิมพ์ครั้งที่๓
    http://palungjit.org/posts/6604916

    ......ที่ไทยได้กระทำมาเป็นไทย และของไทย – ไทยไม่ยอมรับ แถมยกไปให้เขาอื่น
    ที่ทำขึ้นก็ไปเอาของเขามาทำ และทำผิดแบบไทยอีกด้วย
    เหตุนี้ ไทย และ ของไทย ทุกชนิด จึงไม่ขึ้นเป็นหลักฐาน
    แม้ในขั้นการเรียนเพียงชั้นประถมก็ยังไม่มี ที่มีอยู่ก็ต้องอาศัยฝรั่ง เหตุนั้นไทยและของไทยจึงไม่มีขั้นหรือชั้นสำคัญ เฉพาะในหลัก มนุษยศาสตร์ชาติพันธุ์ไทย ตลอดถึงโบราณคดี โบราณวัตถุ และเรื่องประวัติไทย กับทั้งวัฒนธรรมประเพณีไทยทุกประการที่มีขึ้นปรากฏอยู่ ก็ต้องไปลอกแปลที่ฝรั่งเขาเขียนไว้แล้ว
    ที่ฝรั่งไม่รู้ก็ไม่ได้เขียน ไทยและของไทย เช่น แรกนา โพสพ พระร่วง และทับทิม ฯลฯ ซึ่งไม่มีอยู่ในนั้น มีอยู่แต่ในไทย.............

    ที่ว่า ไทย และ ของไทย อันมีอยู่ แต่ไม่ขึ้นขั้นสำคัญ แม้จะเป็นหลักสูตรการเรียนชั้นประถมก็ยังไม่มีนั้น จะเห็นได้ เช่นชื่อ ขุนสรวง และ นางสาง ซึ่งเป็นต้นกำเนิดรูปแบบโครงสร้างคนชายหญิงสร้างคำไทยใช้กันมา และได้สร้างรูปเคารพเป็นแบบไว้ด้วย
    ขุนอิน และ นางกวัก ผู้สร้าง และ ตั้งชื่อ เมืองแมน เฉพาะแม่นางกวัก ยังมีมนต์นางกวักสำหรับเสกโชคลาภ ทั้งคู่เป็นผู้ตั้ง ปีอิน และ ปี เดือน วัน ทำเครื่องใช้ เช่น หลอมแร่ธาตุเป็นเครื่องใช้ และ เครื่องดินเผา ทั้งได้ตั้งชื่อไทยให้รู้ความหมายไว้
    ขอมฟ้าไทย ขุนสือไทย – ขุนหญิงไทยงาม ขุนเลกไทย ขุนหญิงงามตน ได้สร้างลายไทย ลายสือไทย ลายสือขอม ลายตัวเลขไทย ตลอดถึงวัฒนธรรมบูชา บำบวง ไหว้ครูบาอาจารย์ ฯลฯ
    ขุนลือต้นไทย – ขุนหญิงโพสพ ได้ทำนา ปลูกข้าว สร้างเครื่องใช้-ทำ เช่น ไถ คราด เลือกข้าว ตั้งชื่อใช้กันมา สร้างระบบบำบวง-แรกนา-ทำขวัญข้าว กันมา
    พระร่วงลายไทย – จ้าวแม่เบิกไพร ได้สร้างระบบป่าไม้ตั้งชื่อต้นไม้ทั้งบกและน้ำ
    พระอินร่วงไทย – จ้าวแม่ทับทิมทอง ได้สร้างสีย้อม สร้างรูปแบบเงินทองเป็นมูลค่า ระบบค้าขาย ตลาดนัด บก-น้ำ ได้ตั้งชื่อใช้กันมา คือ ต้น(สตางค์) ไพ เฟื้อง สลึง ดำรอง(บาท) ตำลึง ชั่ง ร้อย ตั้งเป็นมูลค่าไว้ ได้สร้างรูปแบบ เช่น เหรียญ เงินขด อัน
    ขุนโลลาย – โห่มาดี กับ แห่ขวัญมา ได้สร้างแบบเรือนบ้าน แบบบ้านเมือง ระบบวางหลัก-ยกเสา บำบวงบูชา-ออกเสียงโห่ และ ระบบขบวนแห่ขวัญมา เมื่อได้รับพระพุทธศาสนา-ได้ก่อสร้างระบบ เขตสังฆกรรม เช่น วัด พระ เช่น พระพุทธรูป ได้ประดิษฐ์สิ่งต่างๆและตั้งชื่อใช้กันมา จึงเกิดเป็น ไทย และ ของไทย ขึ้น
    ซึ่งยังปรากฏอยู่ทุกอย่างแก่ไทยชาวท้องถิ่นทุกคน และยังได้กระทำ-ประพฤติกันมาทั้งรู้กันว่า “ไทย” เช่น หนังสือไทย เงินไทย ลายไทย คำไทย ชื่อไทย ฯลฯ
    สิ่งเหล่านี้ นักรู้ไทย ตั้งแต่นักเรียน นักศึกษา นักปราชญ์ ฯลฯ ต่างรู้อยู่ทุกคน แต่ไม่ยอมรับ และ ไม่ยอมให้เป็น ของไทย จึงไม่เล่าให้ฝรั่งฟัง-ฝรั่งจึงไม่รู้ และไม่ได้นำไปเขียนในหนังสือภาษาของเขา ฉะนี้ ไทย และ ของไทย แม้มีอยู่ก็ไม่ขึ้นขั้นชั้นใดๆ...........

    ................ระบบไทย แบบไทย ฯลฯ ได้เริ่มตั้งแต่ขุนสรวง-นางสาง ,ขุนอิน-นางกวัก ,ขุนสือไทย-ไทยงาม, ขุนเลกไทย-งามตน ,ขุนต้นแรก-แม่โพสพ ,เจ้าพ่อพระร่วง-เจ้าแม่เบิกไพร, พระร่วงเมืองไทย-จ้าวแม่ย่าซื้อนาง,จ้าวพ่อพระอินร่วงไทย-จ้าวแม่ทับทิม ฯลฯ และท่านต้นต่อๆมาได้แสดงรูปปรากฏเล่าให้ทราบว่า ท่านต้นเหล่านี้ทำอะไรไว้ คนไทยก็ยกขึ้นเป็นต้นตน เมื่อตายไปก็ยกท่านต้นเหล่านี้ขึ้นเป็นต้นผี
    เช่น พ่อขุนสือไทย คิดสร้างลายสือไทย ก็ขึ้นเป็น ต้นบา คือ ครูบาอาจารย์ ตายไปก็ขึ้นเป็น ต้นผีบา เมื่อจะเรียนหนังสือ จึงมีระบบไหว้ครูกันมา ระบบนี้จึงเป็นแบบไทยตลอดไปเพราะมีไทยชาติเดียวที่ทำกันมา..............
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 ธันวาคม 2018
  19. EUROPE

    EUROPE Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +93
    ขอคาราวะ คุณกมลช ครับ
     
  20. นักรบธรรม

    นักรบธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    969
    ค่าพลัง:
    +1,174
    พระธรรมคำสอนของพระเจ้ากกุสันโธได้ อธิบายความเป็นมาของโลกและสรรพชีวิตทั้งหลายโดยเฉพาะมนุษย์ที่กำลังประหัตประหารกัน ไขข้อข้องใจ ความหลงเชื่อว่า เทพเทวดาแต่ละชนเผ่าของพวกตนยิ่งใหญ่ และมีอำนาจสูงสุดสามารถจะช่วยให้มนุษย์ทุกคนได้รับทุกสิ่งที่ต้องการเพียงภาวนา อ้อนวอนด้วยความศรัทธา และตอบปัญหาทั่วทั้งจักรวาล พร้อมกับวิธีการตรวจสอบความรู้นั้นได้ด้วยตนเองว่าถูกต้องหรือไม่อย่างไร

    ติดตาม
    ภัยพิบัติ ตำนานสุวรรณภูมิ
     

แชร์หน้านี้

Loading...