เกิดที่ใจ...ก็ดับที่ใจครับ
ดีชั่ว. .มันก็อยู่ที่นี่หละครับไม่ได้ขึ้นกับอะไรทั้งนั้น
ชั่วคือมืด..ดีคือสว่าง..กุศล..อกุศล
พ่อแม่ครูอาจารย์บอกไว้
เก้าอี้ตัวเดียว..นั้งได้ทีละคน
มีกุศล..อกุศลย่อมไม่มี
เช่นเดียวกับความมืด..จุดไฟขึ้นก็สว่าง
และมันก็สว่างที่ที่มันเคยมืดนั่นแหละครับ
ความดี ความชั่ว วัดกันจากสิ่งใดคะ
ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย thumachatshawan, 17 ตุลาคม 2012.
หน้า 2 ของ 2
-
ความดี ทำแล้วมีความสุขจากข้างใน ทำแล้วสบายใจ ทำแล้วไม่ผิดศีล
ความชั่ว ทำแล้วรู้สึกทุกข์ข้างใน
ฉะนั้น ดี หรือ ชั่ว วัดกันจากข้างในจิตใจของคน แค่พูดออกมาก็รู้ว่าคนนี้เป็นคนยังไง แม้กระทั่งที่เขียนๆเม้นกันอยู่ไม่เห็นตัวก็รู้คนใจกว้าง♥ หรือคนมีอคติ เพราะทุกคำพูดที่เขียนออกมาจะผ่านสมอง ผ่านการนึกคิด ผ่านขบวนการทำงานจากข้างในก่อน ถึงจะส่งออข้างนอก ไม่ได้ลอกใครมา.......>>>>เหมือนพระอรหันต์ ที่ท่านเทศน์สอนเราออกเป็นคำพูด ซึ่งไม่มีในตำรานั่นเรียกว่า *ปัญญา* -
อันบ่วงกรรมทำไว้ในปางหลัง
เป็นเครื่องยังปางนี้จึงมีผล
หว่านพืชดีผลดีมีแก่ตน
หว่านพืชชั่วกลั้วผลที่ข้นแค้น
อันความจริงข้อนี้มีมาแล้ว
ไม่คลาดแคล้วเป็นอื่นทุกหมื่นแสน
จะเปลี่ยนชั่วให้ดีมีมาแทน
ถึงแม้นมอดม้วยมีเปลี่ยนได้เอย -
วัดกันที่ การกระทำ ความคิด การพูดจา (กายวาจาใจ)ยิ่งจิตมีความบริสุทธิ์มากเท่าใด ทั้งสามสิ่งที่กล่าวมาก็จะสอดคล้องกันมากเท่านั้น
.............................
อย่าเถียงผม ผมรู้ ผมเรียนมา -
การกระทำใดที่ถีงหร้อมด้วยความไม่ประมาทเป็นประโยชน์ตนและประโยชน์ท่านย่อมเป็นกูศล(ความดี)
-
ดี ชั่ว วัดกันที่ เจตนาในการละเมิดศีลของการกระทำ แต่เจตนา(หรือเหตุผลประกอบการกระทำใด ๆ นั้น) มีองค์ความรู้หรือปัญญา เป็นตัวกำกับ อยู่
ความหมายคือ ถ้าเรามีความรู้ไม่พอ เราอาจคิดว่า สิ่งนั้นดี แต่มันอาจดีไม่จริง ทำไป อาจได้รับผลไม่ดี เพราะไม่ครบองค์ประกอบความดี นั่นเอง
ปัญญา ต้องอาศัยการอบรบบ่มเพาะสั่งสมอย่างถูกต้องตามธรรมจึงจะกลายเป็น ปัญญาในพุทธศาสนา
พูดง่าย ๆ คือ ความรู้เราอาจไม่พอเป็นเหตุ ทำให้เจตนาที่เราคิดว่าดี มันดีไม่จริง ผลจึงไม่สมบูรณ์
ลองฟังตัวอย่างการพิจารณาประกอบเหตุผล(เจตนา) ของพระพุทธเจ้า
พระองค์ทรงมีพระเมตตา หวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งหลาย จึงตรัสพระวาจา ตามหลัก 6 ประการ คือ :-
คำพูดที่ไม่จริง ไม่ถูกต้อง, ไม่เป็นประโยชน์, ไม่เป็นที่รักที่ชอบใจของผู้อื่น - ไม่ตรัส
คำพูดที่จริง ถูกต้อง, แต่ไม่เป็นประโยชน์, ไม่เป็นที่รักที่ชอบใจของผู้อื่น - ไม่ตรัส
คำพูดที่จริง ถูกต้อง, เป็นประโยชน์, ไม่เป็นที่รักที่ชอบใจของผู้อื่น- เลือกกาลตรัส
คำพูดที่ไม่จริง ไม่ถูกต้อง, ไม่เป็นประโยชน์, ถึงเป็นที่รักที่ชอบใจของผู้อื่น - ไม่ตรัส
คำพูดที่จริง ไม่ถูกต้อง, ไม่เป็นประโยชน์, ถึงเป็นที่รักที่ชอบใจของผู้อื่น - ไม่ตรัส
คำพูดที่จริง ถูกต้อง, แต่ไม่เป็นประโยชน์, เป็นที่รักที่ชอบใจของผู้อื่น - เลือกกาลตรัส *
ลักษณะของพระพุทธเจ้าในเรื่องนี้ คือ ทรงเป็น
กาลวาที
สัจจวาที
ภูตวาที
อัตถวาที
ธรรมวาที
วินัยวาที
ถ้ามองจากตัวอย่างจะเห็นว่าผู้มีความรู้เต็มอย่างสมเด็จพระจอมไตรคงใช้ปัญญาอย่างถ้วนถี่ในการกระทำอย่างหนึ่งอย่างใด พร้อมทั้งพระองค์ทรงเลิศด้วยปัญญาจนรู้เจนจบว่าผลวิบากนี้ ๆ เกิดขึ้นจากอะไรเป็นเหตุ
แต่คนธรรมดาอย่างเรา ๆ ไม่มีความรู้เจนจบขนาดนั้น จึงทุกข์บ้างสุขบ้างเป็นธรรมดา ความน้อยใจ เสียใจมีบ้าง ก็เป็นปกติ แต่ขออย่าให้มันตัดกำลังใจในการทำความดีของเราเลย เพราะเมื่อไรก็ตามที่กำลังใจเราถดถอยจากความดี ความชั่วก็เข้าครอบงำได้ง่าย
เมื่อกำลังใจเราตกไปสู่ความชั่ว นั่นคือ เราอยู่กับความทุกข์โดยไม่รู้ว่ามันเป็นทุกข์ หรือโมหะจิต หลงทุกข์ นั่นเอง
เหมือนกับตอนนี้ ที่เราลังเลสงสัยอยู่ โดยไม่รู้ว่า ความลังเล หรือ วิจิกิจฉา ( ๑ ใน นิวรณ์ ๕ ) เป็นอาการของคนที่ขาดสมาธิ เราก็จะไม่ทราบว่าสิ่งที่เราต้องทำที่แท้จริง คือ พัฒนาสมาธิให้เกิดขึ้นและทรงตัวขึ้น และเมื่อ สมาธิทรงตัวและมั่นคง ดี แล้ว เราก็จะมีปัญญาดี เมื่อมีปัญญาดี ทำอะไรก็สำเร็จงดงามดี ไม่หวั่นปัญหา เพราะอารมณ์มั่นคง ตัดสินใจได้ถูกต้อง พร้อมเผชิญกับทุกอย่างได้อย่างทุกข์น้อยหรือไม่ทุกข์ใจเลย
คำตอบคือ ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นตัวชี้วัด ความดี ความชั่ว และผู้มี ศีล สมาธิ ปัญญาบริบูรณ์
จึงเป็ผู้ที่ทรงคุณความดีสูงสุด คือพระอรหันต์นั่นเอง
หากผิดพลาดประการใด ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย -
วัดกันที่เจตนาและการกระทำค่ะ ถ้าเจตนาดีกระทำดีก็ได้ดีเอง
ถ้าเจตนาไม่บริสุทธิ์กระทำการอันไม่เป็นกุศลก็ได้ชั่วเอง
อยากพ้นทุกข์ก็ต้องมีความเพียรและตั้งมั่นในจิตอันเป็นกุศลกันนะคะ
อนุโมทนาให้ทุกท่านหลุดพ้นจากเวทนาด้วย สาธุ -
เยาวชนรุ่นใหม่หรือแม้กระทั่งคนรุ่นเราๆรุ่นก่อน ยังแยกไม่ออกระหว่าง ความดี ความชั่ว ความทุกข์ ความสุข ความสนุกเพลิดเพลิน ความสะดวกสบาย
แล้วเราจะหนีทุกข์พ้นทุกข์ ทำความดี ไม่ทำชั่ว ได้อย่างไร
ผมขอเสริมว่าอันความดีและความไม่ดี หากจะวัดกันที่เหตุและวัดกันที่ผลลัพธ์ที่ได้
ง่ายๆคืออะไรที่ทำแล้วมีประโยชน์ทั้งแก่ตนเองและผู่อื่นไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น ไม่ก่อกรรมทำบาบแก่ตนเองและผู้อื่น สิ่งนี้เรียกว่าความดี ทำแล้วย่อมเกิดความสุขทั้งตนเองและผู้อื่น
ส่วนความชั่วอันไม่ดีนั้นก็ตรงกันข้าม ทำแล้วก่อให้เกิดโทษทั้งตนเองและผู้อื่นเป็นการทำบาบก่อเวรกรรมทั้งกับตนเองและผู้อื่นเสมอ
ก่อนทำความดีและความชั่ว ต้องใช้สติปัญญาคิดก่อนเสมอว่า สิ่งที่เรากำลังจะทำมันดีจริงหรือเปล่า ถูกเวลา ถูกบุคคล ถูกสถานที่หรือเปล่า อย่าประมาทเพราะอาจเป็นการทำบาบหรือทำผิดโดยไม่รู้ตัวนะครับ ดังนั้นทุกอย่างจึงเริ่มที่สติและความคิดหรือปัญญารู้ทันนี้เองครับ
คนเราถ้ายังขาดปัญญาขาดสติสัมปชัญญะ ขาดวิชา ย่อมยังตกอยู่ในอำนาจของกิเลสย่อมทำบาบทำชั่วได้เสมอเพราะเหตุว่า ยังไม่รู้ว่าตนกำลังทำชั่วนั่นเองครับ
สิ่งที่ทำไปแล้วไม่ได้ดังปราถนา ย่อมก่อให้เกิดทุกข์ และเป็นทุกข์ที่ขาดปัญญา เพราะสรรพสิ่งในโลกนี้ล้วนแปลเปลี่ยนเปลี่ยนแปลงเสมอ ผู้มีปัญญาจึงควรพอใจและมีความสุขในการกระทำอันเป็นเหตุไว้่ดีแล้ว แน่นอนเมื่อถึงเวลาย่อมได้รับผลที่ดีสมปราถนา หากแต่เวลานี้ยังไม่ได้รับผลก็ให้สติไม่ประมาทและควรมีขันติอดทนมีความเพียรต่อไปครับ
หน้า 2 ของ 2