ผมต้องการเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องอิเล็กโทรนิคและการเขียนโปรแกรม เพื่อจะทำงานสำคัญบางอย่างด้วยตัวเอง
ผมมีพื้นฐานความรู้อยู่เล็กน้อย การทำการศึกษาเพิ่มเติมด้วยตัวเองไม่เกิดความก้าวหน้าเท่าที่ควร และ เกิดความท้อถอย พลอยทำให้คิดไปว่า"ผมอาจไม่มีความสามารถพอ"
ผมคิดว่าภาวะการเรียนรู้ด้วยตัวเองของผมไม่มีประสิทธิภาพพอ (ที่จะทำงานนี้ได้ทัน)
เราสามารถพัฒนาความสามารถในการเรียนรู้ให้สูงขึ้นได้อย่างไรทำอย่างไร
ควรมีความรู้สึก อารมณ์ แบบใด ในระหว่างนั้น
หรือว่าความรู้เรื่องพุทธศาสนาจะช่วยผมได้อย่างไร
ขอบคุณล่วงหน้านะครับที่ตอบ
ความรู้เรื่องพุทธศาสนาช่วยผมได้หรือไม่
ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย bazcifer, 3 กุมภาพันธ์ 2009.
หน้า 1 ของ 2
-
อิทธิบาท 4
-
คิดด้วยจิตว่าง
ทำใจให้ว่าง (เหมือนที่ด๊อกเตอร์อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา เคยใช้ตอนคิดวิธีเอายานลงจอดบนดาวอังคาร)
แล้วค่อยคิด ถ้าฟลุค คำตอบก็มาตอนจิตว่าง โดยที่ยังไม่ได้คิด
ขอให้สำเร็จนะคะ
ปล.คิดว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่คงเป็นเรื่องดีนะคะ ถ้าใช่ ขอเอาใจช่วยให้สำเร็จค่ะ -
ก็แค่งาน แค่นี้ทำไม่ได้ก็ไปบวชซะ
-
ศาสนาพุทธหรือศาสนาไหนก็ช่วยได้ทั้งหมดนั่นและ
แต่เนื่องจากตนเองเป็นคนไทยนับถือศาสนาพุทธ
ก็ขอบอกว่า ถ้ามีสัมมาทิฐิ มีความคิดชอบ ตั้งมั่น เชื่อมั่น
ตั้งสติ สร้างสมาธิ เจริญภาวนา
ถ้าคราวนี้ทำไม่ทัน ก็แค่ทำให้คนอื่นมีผลงาน แต่เราได้เรียนรู้ ;aa10
แต่ถ้าทำได้ก็ยินดีด้วย และขออนุโมทนา -
ศาสนาพุทธหรือศาสนาไหนก็ช่วยได้ทั้งหมดนั่นและ
แต่เนื่องจากตนเองเป็นคนไทยนับถือศาสนาพุทธ
ก็ขอบอกว่า ถ้ามีสัมมาทิฐิ มีความคิดชอบ ตั้งมั่น เชื่อมั่น
ตั้งสติ สร้างสมาธิ เจริญภาวนา
ถ้าคราวนี้ทำไม่ทัน ก็แค่ทำให้คนอื่นมีผลงาน แต่เราได้เรียนรู้ ;aa10
แต่ถ้าทำได้ก็ยินดีด้วย และขออนุโมทนา;aa8 -
น้องหน่อยน่ารัก เป็นที่รู้จักกันดี
-
การทำสมาธิจะช่วยให้จิตตั้งมั่นกับสิ่งที่เราคิด/ตั้งใจได้ดีขึ้น จะทำให้เราเข้าใจได้ง่ายขึ้น
อย่าคิดว่าเราเองไม่ฉลาดหรือไม่เก่งพอ ถ้าคิดว่าการเรียนรู้ด้วยตัวเองไม่ประสบความสำเร็จ ให้คิดหาเหตุผลว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ให้หาทางแก้ตรงจุดนั้น อาจจะเช่นว่าหนังสือที่อ่านมาเขียนไม่ดี หรือว่าพื้นฐานบางด้านยังไม่แน่นพอ (ตรงนี้จะคล้ายกับอริยสัจ 4 ข้อ สมุทัยในแง่ที่ว่าหาเหตุผลต้นเหตุ)
บางครั้งการเครียดไปก็ไม่ทำให้คิดอะไรได้ อย่างเช่นบางทีเราคิดอะไรอยู่ คิดตั้งนานคิดไม่ออก แต่พอหันไปทำอะไรอย่างอื่น ผ่อนคลายจากเรื่องนั้น อยู่ๆ มันก็ปิ๊งแว๊บขึ้นมาได้ -
การฝึกสมาธิ จะทำให้จิตจดจ่อตั้งมั่นกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ได้นาน ตามกำลังของจิต
ต้องอาศัยเวลา ทำวันนี้ เพื่อสะสมเป็นเสบียงไปใช้ในวันข้างหน้า
ถ้าจะใช้ในปัจจุบัน ก็ใช้ได้เท่าที่มี คือ พยายามทำให้เต็มกำลังจิตที่มี
อาศัยกำลังใจอย่างเดียว ถ้าใจท้อ ก็หมด หดหู่ คิดอะไรก็ไม่ออก
วิธีที่ใช้ได้ตอนนี้ คือ ทำใจให้สงบ ปลอดโปร่ง จดจ่อให้คิดเรื่องงานอย่างเดียว
ถ้าไม่ไหวแล้ว ยิ่งคิดยิ่งท้อ ก็หยุดพักผ่อนสักพัก ไปคิดเรื่องที่มีความสุข
เพื่อให้จิตมีกำลังขึ้นมาใหม่ แล้วค่อยคิดเรื่องงานต่อ คนที่ไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรค
จึงมีโอกาสได้พบความสำเร็จ คุณภาพของงานแสดงออกถึงคุณภาพของจิต
วันนี้ทำได้ไม่ดีอย่างที่ใจต้องการ ก็เริ่มใหม่ด้วยการพัฒนาคุณภาพของจิต
เพื่อวันหน้าจะทำงานได้ดีกว่าวันนี้ -
ดูเหมือนจะเป็นงานด้าน วิศวกร เขียน Machine language
ซึ่งถ้าเรียนมาทางวิศวะ ก็ไม่น่ายากอะไร เพราะ Assembly กับ C ก็คงต้องเรียนมาบ้าง
แต่ถ้าพึ่งเข้าสู่วงการ ก็แปลว่าเป็นมือสมัครเล่น ก็ต้องอาศัย Java ก็จะดีที่สุด เพราะจะ
มีสูตรสำเร็จให้พอตัว แต่ถ้าต้องการทำอะไรใหม่ๆ ไม่ใช่ของพื้นๆ ก็กลับไปยากเหมือน
เดิม เพราะท้ายที่สุด ก็ควรเข้าใจ Assembly หรือ C
ถ้าต้องการเริ่มต้น ยังไงเสียก็ต้องเข้าทาง Java ก่อน โดยสอบถามไปทาง NecTech
ว่ายังมีโครงการอบรมฟรีอยู่อีกไหม แต่ก็ต้องขอบอกไว้เนิ่นๆว่า หากจะไปทาง Java ก็
ต้องทำงานเป็น ทีม เป็น เพราะเครื่องไม่เครื่องมือนั้น จะได้จากการหยิบยืมจากของที่
เขาทำไว้แล้ว การจะเอา Code เขามาใช้ เราก็ต้องใช้การสื่อสารระหว่างคนจะดีกว่า
จะช่วยย่นเวลาในการดมเอง ( เพราะคนไทยส่วนใหญ่ ยังไง๊ยังไง ก็เขียน Code เพื่อ
อ่านได้คนเดียว มันเป็นนิสัยพื้นฐานของคนไทย ที่ทำงานเป็นทีมไม่ค่อยเป็น )
เรื่องภาษาโปรแกรมก็ว่ากันไปแล้ว
ขอต่อเรื่อง นิสัยที่ดีของนักพัฒนาโปรแกรม
ก่อนอื่นเลยครับ นักพัฒนาโปรแกรมไม่ว่าเล็ก หรือ ใหญ่ เราจะมี คติประจำใจ คือ
Devide n Conquer ซึ่งแปลว่า แบ่งแยกแล้วเอาชนะ
สำนวนไทยก็คงจะเป็น อย่าเล็งผลเลิศ คติเหล่านี้จะช่วยให้วางจิต วางใจ ในการ
เข้าศึกษา และ ทำงาน "Approach ได้บน Flair Way" ( สำนวนก๊อฟ ) ซึ่งจะ
เป็นการทำงานแบบ Down To Top คือเก็บเล็กผสมน้อย
แต่ดูจากคำถาม คุณมีความมุ่งมั่นแบบส่วนตัวสูง คือ ต้องการทำด้วยตัวเอง อันนี้
จะค่อนข้างขัดแย้งกับ คติ ดังกล่าว เพราะหากต้องการทำทุกอย่างด้วยตัวเอง จะทำ
ให้เป็นคนที่มองปัญหาแบบ Top Down คือ มองภาพรวมลงมา ตรงนี้จะทำให้เกิด
อาการเล็งผลเลิศ และมักจะทำให้แบ่งแยกงานออกเป็นส่วนๆ ไม่ค่อยได้ เพราะจะ
แตกได้เยอะกว่าปรกติ คือ มองอย่างไรก็เห็นรายละเอียดที่เป็นไปได้เยอะแยะไปหมด
ถ้ายืนยันที่จะเป็น Top Down คือ มุ่งมั่นที่จะทำเองทั้งหมด ก็ต้องทำตัวเป็น นักตัดสิน
ใจที่ดี เอาคุณลักษณะของนักบริหารมาใช้ คือ ตัดสินใจเลือกซะทางหนึ่งให้ได้ แล้ว
ยอมรับความเสี่ยงทั้งหมดที่อาจจะเลือกทางผิดพลาด ไม่เช่นนั้น เวลาทำไปแล้ว จะเกิด
การเลือกคว้าอีกทาง หรือ เปลี่ยนแนวทำงานกลางครัน ทำให้ไม่อาจประเมินความสำเร็จ
ได้ อ้อ ความสำเร็จจะเปลี่ยนเป็นการประเมินผลนะครับ ไม่ใช่การชี้ที่ผลสำเร็จตรงๆ
แบบเป็นชิ้นเป็นอัน วึ่งมันเป็นเรื่องของเก็บเล็กประสมน้อย
* * * * *
สมมติ โปรเจคทำเครื่องอ่าน CD ที่เร็วที่สุดในโลก
คิดแบบแบ่งแยกและเอาชนะ
ก็ต้องแตกเป็นเรื่อง มอร์เตอร์ , Servo มอร์เตอร์ที่ Step ได้อย่างใจ , หัวอ่านเลซอร์
, Bus Buffer แล้วไปพัฒนาแต่ละตัวให้ดีที่สุด ก่อนจะเอามา Integrate กัน ถ้าหาก
ล้มเหลว ก็เอาส่วนที่พัฒนาได้ดีไปต่อยอด หรือ แบ่งขายลิขสิทธิไปเอามาเป็นทุน
แต่ถ้ามองแบบ To Down มันจะมีแต่โจทย์ แล้วค่อยทำแต่ละ Part ให้ตอบสนอง
โจทย์ ซึ่งถ้าล้มเหลว ก็ล้มทั้งโปรเจค แกะขายก็ไม่ค่อยได้เพราะโจทย์แต่ละตัวถูก
ออกแบบให้สัมพันธ์ ขึ้นต่อกัน
ยากไปเปล่าหนอ แต่ก็นี่แหละ ต้องฝึกมองภาพทั้ง Top To Down และ Down To
Top เอาไว้
เพราะ เราต้องเข้าใจคศักยภาพของตัวเองว่า หนักไปทางใด จะได้ไม่ทำอะไรฝืนเกินไป
* * * * *
กาลิเลโอ ดารวินชี่ เจมส์วัตต์ และ นักประดิษฐ์ทั้งหลาย ส่วนใหญ่ก็ใช้ความสงบ นิ่ง
เพื่อตามสังเกตความเป็นไป ดังนั้น จะว่าพวกเขาฝึกสมาธิก็ว่าได้ ผมจำชื่อนักวิทยา
ศาตร์คนหนึ่งไม่ได้ น่าจะเจมส์วัตต์นี่แหละ เขาเป็นแค่ช่างซ่อมสันหนังสือในห้องสมุด
เขียนหนังสือก็ไม่ได้ สูตรสมการก็ไม่รู้จักษ์เลย แต่เขาอาศัยการวาดรูปเป็นหลัก สุด
ท้ายก็ประดิษฐ์เครื่องกำเหนิดไฟฟ้าได้ ก็เพราะ อาศัยการสังเกตุ แบ่งแยก และ เอาชนะ
ไปทีละส่วน ก่อนจะเอาทั้งหมดมาประกอบกัน
* * * * *
ยาวเลย คราวนี้ขอสรุปมาทาง พุทธศาสนาบ้าง
สิ่งที่ขัดขวางความเจริญ ก็คือ นิวรณ์5 ซึ่งหลักๆ ก็คือ การฝุ้งในความรู้(อุธธัจจะ ) เช่น
Top Down , Down to Top และความรู้ที่ฝุ้งทำให้เล็งผลเลิศ(กุกกุจจะ) เช่น แบ่งแยก
งานไม่ได้ ไม่กล้าตัดสินใจเพราะกลัวผลาด จะเห็นว่า สองตัวนี้ตัวร้ายต่อนักคิดค้น
ทีนี้ จะให้ไปทำสมาธิ สมถะ เพื่อความสงบ อันนี้ก็จะไม่ใช่เรื่องของ นักคิด นักประดิษฐ์
อีก เพราะเมื่อไหร่สงบ จิตจะไหลไปคิดทันที
จึงขอเสนอวิธีปราบ นิวรณ์ ดังกล่าวนั้นด้วยการ ตามรู้ ตามดู จิตใจเราขณะนี้เป็นอย่างไร
กำลังฝุ้งซ่านคิดมากหลายเรื่องเกินไปหรือเปล่า กำลังหงุดหงิดกลัวผลงานไม่ทันกำหนด
ไม่ได้อย่างใจหรือเปล่า ดูไปเฉยๆ ไม่ต้องไปเห็นแล้วหงุดหงิดตัวเองที่จิตใจเผลอไป
มีอารมณ์หรือเกิดสภาวะธรรมเหล่านั้นขึ้น ให้ตามรู้ตามดูไว้เนืองๆ จิตเขาอบรมได้ เมื่อ
เราคอยแบ่งจังหวะให้จิตหันมาทบทวนดูสภาวะจิตของตัวเองไว้เนืองๆ จิตเขาจะรู้สึกตัว
และจะค่อยนเห็นว่า นิวรณ์เหล่านั้นที่เป็นมันคืออุปสรรค เมื่อจิตเขาเห็นบ่อยๆ เพราะเรา
ชำเลืองดูเนืองๆ นิวรณ์เหล่านี้จะถูกรู้ทัน และมันจะเริ่มครอบงำเราได้น้อยลง เพราะ
เรารู้สึกตัว
เช่น กำลังสงสัยว่า จะเรียนรู้เรื่องไหม จิตมันตรึกไปแล้ว ก่อนที่จะลงมือเรียน พอเรา
ชำเลืองดูจิต เห็นว่า อ้อ นี่สงสัยละ กุกกุจจะละ เราก็จะหลุดจากสภาวะดังกล่าว แล้ว
ก็จะเริ่มตั้งหน้าตั้งตาลงมือเรียนได้ เมื่อเรียนจบก็ค่อยประเมินอีกที ไม่ใช่ไปประเมินผล
การเรียนเสียแต่ต้น
* * * * *
จบก่อนดีกว่า
* * * * *
หากสนใจ กล้าพอที่จะเรียนรู้ ธรรมะ ด้วยตัวเอง ก็ลองไปโหลดเสียงเทศน์
ของพระเอามาฟังเล่นๆ ระหว่างที่ศึกษาเรื่อง อิเลคโทรนิค หรือ โปรแกรม
คำสอนของพระท่านจะเป็นเรื่องการ ชักชวนดูสภาวะธรรมของจิต ไม่ใช่การชักชวน
ให้นั่งทำสมาธิ แต่เป็นการเอาสมาธิที่ได้จากการทำงานประจำวันมาใช้โดยตรง
ดังนั้น หากเราอ่านหนังสือ(เป็นสมาธิ)อยู่แล้วเกิดตอนนั้นสับสน แล้วเสียงเทศน์
ก็บรรยายมาตรงสภาวะจะทำให้เราเหมือนมีคนมาคอยเตือนให้รู้สึกตัว ก็จะหลุด
จากสงสัย พร้อมทั้งดูสภาวะสงสัยเป็น พอดูเป็น ทีนี้ก็เลิกฟัง cd ได้ ที่เหลือเอา
ไปฝึกชำเลืองเอง
นี่เป็นเรื่องของคนกล้า ปัญญากล้า ลองไปโหลดฟังดูนะ
http://www.wimutti.net/pramote/cd.php?cd=24
( เลือกเอาที่สั้นๆ ก็พอ ) -
เอาแบบสั้นๆ ดีกว่า ถ้าข้างบนยาวไป
ศรัทธา ครับ
[music]http://www.icygang.com/jukebox/asx_file/SMF-acoustique-04-sut_tha.asx[/music] -
ไปเขียนหนังสือขายดีกว่ามั๊งครับ 55555 -
อุปสรรค นั้น บางทีก็ไม่ได้มาจากตัวเรา แต่มาจาก บุคคลอื่น
ทางศาสนาเราเรียกว่า ธรรมภายนอก
ปรกติลำพัง ธรรมภายใน คือ ความสงสัย ฝุ้งซ่าน รำคาญใจ ที่เกิดจาก
ตัวเราเองนั้นมันก็เป็นอุปสรรคแก่ความเจริญของตัวเราอยู่แล้ว ถ้ามี
ธรรมภายนอกมากระทบอีก แล้วเราไปรับเอามาเป็น เอามาหลอมเหมือน
เป็นเรื่อง ธรรมภายใน และจัดการไม่ถูกต้อง สมเหตุสมผล กับธรรมภายนอก
เหล่านั้น เราก็จะมีอุปสรรคเพิ่มโดยไม่จำเป็น
ดังนั้น ธรรมภายนอก นั้น เราจะไปหลีกเลี่ยงไม่ได้ ห้ามก็ไม่ได้ พ้นวิสัย
เพราะมันเป็นความพอใจของเขาเหล่านั้น บางทีก็เพื่อชื่นชม บางที่ก็เพื่อ
จะมาคอยช่วย บางทีก็ทำไปงั้นๆแบบว่า อยากมีส่วนร่วม เราก็ต้องจัดการ
ให้ดี เพราะบางคนเขาจะเป็นที่พึ่งได้ในยามจำเป็น ส่วนที่เป็นที่พึ่งไม่ได้
เข้ามาแล้วไม่ค่อยมีประโยชน์ เราก็แปลงมาเป็นกำลังใจที่เรียกว่า
ศรัทธา
ต่อตนไปตามเพลง ที่เอามาให้ฟังนั้นแหละครับ
;aa8;aa8 -
ความรู้เรื่องศาสนาพุทธ ช่วยคุณได้สิครับ
ช่วยอะไรได้บ้าง ตอบว่า ศาสนาพุทธ จะช่วยให้คุณแก้ปัญหาด้วยปัญญาคุณเองได้อย่างตรงทาง ซึ่งให้คำตอบที่ดีเสมอ
คนเราอาจจะมีปัญญา ร้อยแปด เรียนรู้สรรพวิทยา แต่มันมักจะใช้ปัญญาไม่ตรงทาง เพราะว่า มันมีปัจจัยที่นอกเหนือจากปัญญาคือ อารมณ์ ความกังวล ความกลัว เข้ามาซึ่งทำให้ปัญญาที่มีไม่สามารถแสดงศักยภาพได้เต็มที่
พุทธศาสนา สอนวิธีที่จะนำเอาปัญญานั้นออกมาใช้ได้เต็มที่และตรงทาง ซึ่งนำไปสู่ ภูมิปัญญาอันเป็นสุดยอด คือ กระบวนการที่นำไปแทรกกับสรรพวิทยาใดๆ ก็จะทำให้ วิทยาการนั้นเด่นและมีพลังขึ้นมาอย่างน่าประหลาดใจ
ทีนี้สิ่งที่เจ้าของกระทู้บอกมาว่า มีความไม่มั่นใจ ว่าจะทำสำเร็จ หรือจะทำอะไรดีพอ เรื่องนี้ ต้องใช้ความคิดพิจารณาว่า ความรู้อันใดก็ตามหากเราไม่ทำ มัวแต่คิดนั่นนี่ มันก็จะนำไปสุ่ความฟุ้งซ่านและลังเล จนคิดไปว่าเราไม่มีความสามารถเพียงพอ เพราะว่ายิ่งคิดมันก็ยิ่งเยอะเต็มไปหมด
แต่หากว่า เราทำใจเราให้สบายๆ เราจะเห็นความเรียบง่ายบนความยุ่งยากเหล่านั้น เพราะใจเราสบาย ปราศจากความกังวล อารมณ์มากลุ้มรุม พอใจเราสบาย มันก็สนุก แม้ว่า เรื่องจะซับซ้อนเพียงใดก็ตามก็ยิ่งสนุก เพราะมันไม่มีอารมณ์เข้ามาปน
พระพุทธศาสนา จึงสอนให้ดูจิตดูใจ ตน อย่าง มีสติ และ มีสมาธิ และ ปัญญา เพื่อจะได้แก้ปัญหาที่มีให้ถูกต้อง ถูกทาง -
ดร.อาจองฯเล่าว่าเคยใช้การนั่งสมาธิ แล้วการหยั่งรู้ก็เกิดขึ้นได้
แต่ในทางพุทธ คุณต้องมีที่มาที่ไป มีบุญและบาป มีกรรมดี กรรมชั่วปกคลุมอยู่
ถ้าอดีตชาติ ไม่เคยมีบุญด้านปัญญาที่เคยทำบุญไว้ เช่นบริจาคหนังสือ สอนคนฯลฯ คิดให้ตาย นั่งสมาธิให้ตาย ปัญญาก็หาเกิดได้ไม่ ศาสนาพุทธจะช่วยคุณ ถ้า คุณ เคยช่วยตนเองมาในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ในการปฏิบัติดี -
ได้นะคับ
ศิล สมาธิ ปัญญา
ลองทำใจให้ว่าง ให้หยุดคิด บางทีน่าจะคิดออกนะคับ ลองทำสมาธิดู กองไหนก็ได้ แต่ขอให้ทำใจสบายๆ สังเกตใบหน้าว่าเคร่งเครียดมากไปไหมดูว่าตึงไหน ไม่ต้องไปใช้กระจกนะคับ ไม่ต้องไปอยากให้สงบ เพราะมันจะไม่สงบ มีหน้าที่อย่างเดียวคือ รู้ตัวอยู่เสมอ และภาวนาไปเรื่อยๆคับ ลองทำดู คล้ายๆกับเวลา แล้ววิ่งแล้วหันไปมองอะไรบางอย่างมันจะไม่ชัด แต่พอหยุดวิ่งก็จะชัด ทำสมาธิก็ทำให้หยุดคิดนั้นแหละคับ รอความคิดที่มันผุดขึ้นมาเอง จากการหยุดคิดดู ผมก็นำคำสอนที่ได้ยินได้รับฟังมาแนะนำต่อแค่นั้นแหละคับ
สาธคับ -
ไม่ฝืนบังคับตัวเองจนเกินไป และ ไม่ขี้เกียจจนเกินไป
ความพอดีของแต่ละคนต่างกัน ต้องตรวจหากันเอาเอง
ถ้าอะไรที่ทำดีที่สุดแล้วมันยังไม่ได้ ก็ให้ทำใจปล่อยวาง
ถือว่ามันยังไม่ใช่โอกาสของเรา -
-
พระพุทธศาสนามีคำตอบสำหรับชีวิตเสมอ
-
ขอบคุณครับสำหรับความเห็นดีๆ ที่ช่วยเติมเต็ม ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจมากนัก
แต่ก็ช่วยขจัดสิ่งที่ไม่จำเป็นไปได้พอควร
หน้า 1 ของ 2